Tuesday, 10 June 2025
TheStatesTimes

'กก.บห.' พลังประชารัฐ มอบดาบ 'บิ๊กป้อม' ชงชื่อใหม่ได้ หากคุณสมบัติ รมต.ไม่ผ่าน

(23 ส.ค.67) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค เป็นประธาน ว่า พรรคพลังประชารัฐได้จัดการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค โดยมีกรรมการบริหารพรรคมาร่วมประชุมจำนวน 12 คน จากจำนวน 19 คน ซึ่งครบตามองค์ประชุม เพื่อยืนยันการเข้าร่วมรัฐบาลและการเสนอชื่อบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในสัดส่วนของพรรคตามที่ได้มีข้อตกลงกับพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

ที่ประชุมได้รับทราบเกี่ยวกับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา ตามที่ สส.ของพรรคพลังประชารัฐได้มีมติเห็นชอบให้หัวหน้าพรรคเพื่อไทย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และต่อมาผู้ประสานงานพรรคร่วมรัฐบาลได้ประสานมายังพรรคพลังประชารัฐเพื่อเสนอรายชื่อบุคคลที่มีความเหมาะสมจะเป็นรัฐมนตรีในสัดส่วนโควตาของพรรคพลังประชารัฐ และในวันที่ 20 ส.ค.67 หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐได้เสนอรายชื่อบุคคลดังกล่าวจำนวน 4 คน ผ่าน นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯ ไปแล้วนั้น

พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวต่อว่า โดยที่ประชุมได้พิจารณาแล้ว ได้มีมติเกี่ยวกับการเสนอชื่อบุคคลที่เห็นควรเป็นรัฐมนตรีในสัดส่วนของพรรค ดังนี้ พรรคพลังประชารัฐขอยืนยันรายชื่อบุคคลที่พรรคได้เสนอต่อนายกรัฐมนตรีผ่าน นพ.พรหมินทร์ ไปแล้วเมื่อวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา เพื่อให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาแต่งตั้งตามข้อตกลงในการร่วมรัฐบาล ทั้งนี้ หากรายชื่อที่ส่งไปแล้วปรากฏว่า มีบุคคลใดบุคคลหนึ่งไม่ผ่านคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ทางพรรคเพื่อไทยควรต้องแจ้งกลับมาให้พรรคพลังประชารัฐทราบ เพื่อให้หัวหน้าพรรคซึ่งได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริหารพรรคเป็นผู้พิจารณาเปลี่ยนแปลงรายชื่อและเสนอไปใหม่เพื่อทดแทนเท่านั้น

"หากมีการเสนอแต่งตั้งรายชื่อบุคคลอื่นบุคคลใดที่ไม่ได้มาจากรายชื่อที่พรรคพลังประชารัฐเสนอเป็นรัฐมนตรี ทางพรรคขอปฏิเสธรายชื่อดังกล่าวและจะถือว่าไม่เป็นไปตามข้อตกลงที่ทางพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาลควรยึดถือและปฏิบัติตามต่อไป"

ผู้สื่อข่าวถามว่า ตั้งแต่วันที่ได้ส่งรายชื่อให้พรรคเพื่อไทย มีการแจ้งกลับมาหรือยังว่า แต่ละคนมีคุณสมบัติครบถ้วน พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ขณะนี้มีการประสานงานกันเป็นระยะ

เมื่อถามว่า ชื่อของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ยังมีคุณสมบัติอยู่ใช่หรือไม่ พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ขณะนี้ในเบื้องต้นมีการพูดคุยกัน แต่ก็ไม่ได้มีการยืนยันว่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยนแค่ไหนอย่างไร

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า รายชื่อที่คุณสมบัติไม่ผ่าน หัวหน้าพรรคสามารถเสนอชื่อให้ทางพรรคเพื่อไทย โดยไม่ต้องผ่านกก.บห.ใช่หรือไม่ พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ใช่ มติที่ประชุมยืนยันชัดเจนว่า กก.บห.ได้มอบอำนาจให้หัวหน้าพรรคเป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ แต่หากหัวหน้าพรรคจะมีความเห็นควรจะผ่านกรรมการบริหารพรรคอีกครั้งก็คงจะนำรายชื่อเข้าที่ประชุม กก.บห.

ซักว่า รายชื่อที่ ร.อ.ธรรมนัส ส่งไป ซึ่งยังไม่ผ่านกก.บห.ถือว่าโมฆะหรือไม่ พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ไม่ เพราะ 4 รายชื่อตามที่ กก.บห.ก็ยังยืนยันตามเดิมตั้งแต่วันแรกที่เราเสนอไปเมื่อวันที่ 20 ส.ค. ซึ่งล้วนเป็นรัฐมนตรีเก่าของเราในรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน

ผู้สื่อข่าวถามด้วยว่า สุดท้ายหากรายชื่อไม่ออกมาตามนี้จะดำเนินการอย่างไร พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า คงจะต้องคุยกับทางพรรคเพื่อไทย จริง ๆ แล้วเป็นอำนาจของหัวหน้ารัฐบาล แต่โดยมารยาททางการเมืองจะต้องมีการพูดคุยกัน หากรายชื่อที่เสนอไปไม่เหมาะสม หรือคุณสมบัติไม่ครบถ้วน ไม่ชัดเจน ก็ต้องมาคุยกัน เรายินดีพร้อมที่จะเปลี่ยน

ถามว่า การประชุม กก.บห.วันนี้ กลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัส ไม่เข้าร่วม สะท้อนถึงรอยร้าวภายในพรรคหรือไม่ พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ไม่ เพราะอาจจะติดภารกิจ มีการแจ้งกก.บห.แล้ว

เมื่อถามว่า รายชื่อที่ไปส่งตั้งแต่วันที่ 20 ส.ค. ยังไม่มีการติดต่ออะไรกลับมาใช่หรือไม่ พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ในทางการยังไม่มีการติดต่อกลับมา เมื่อถามว่า ในที่ประชุม กก.บห.มีการหารือกันถึงการครอบงำข้ามพรรคของคนนอกหรือไม่ พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ไม่ได้พูดคุย เราคุยในหลักเกณฑ์ หลักการ และวิธีการของพรรคเราเท่านั้น

พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวถึงรายชื่อรัฐมนตรีที่พรรคพลังประชารัฐเสนอไปว่า รายชื่อรัฐมนตรีแต่ละพรรค ก็มีมติและความเห็นของแต่ละพรรค แต่หากพรรคใดมัวแต่ฟังเสียงเล็ก เสียงน้อย เสียงทุ้มอะไรพวกนี้ ก็จะไขว้เขว ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นหลักเกณฑ์มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ที่มีการเมืองมา ควรคุยกันและให้เกียรติการร่วมรัฐบาลซึ่งกันและกัน ซึ่งพรรคพลังประชารัฐยืนยันว่า รายชื่อรัฐมนตรีที่เราส่งไปได้ผ่านการพิจารณาของกรรมการบริหารพรรค แต่หากพรรคเพื่อไทยจะนำคนอื่นมาใช้ในโควตาของพรรคพลังประชารัฐ ถือว่าไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า กังวลถึงคุณสมบัติของรัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐ ที่อาจเข้าข่ายผิด มาตรฐานจริยธรรมหรือไม่ พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า เรื่องนี้เราเข้าใจหัวหน้าพรรค และนายกรัฐมนตรี เพราะตามหลักการ หากเสนอบุคคลที่คุณสมบัติไม่ครบถ้วน หรือไม่เหมาะสม ก็อาจจะมีผลกระทบ ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยมีความไม่สบายใจตรงนี้ จึงแจ้งกลับมายังหัวหน้าพรรค ซึ่งทางพรรคยินดีที่จะเปลี่ยนเป็นคนที่เหมาะสม เพราะพรรคพลังประชารัฐมีบุคคลที่เหมาะสม และพร้อมเป็นรัฐมนตรีอยู่หลายคน ไม่ต้องห่วง

เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่า พล.อ.ประวิตร จะลาออกจากหัวหน้าพรรค พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ไม่มี หัวหน้าพรรคอยู่กับพวกเราตลอด หากเราไม่ทิ้งท่าน ท่านก็ไม่ทิ้งพวกเรา

‘สี จิ้นผิง’ ยกย่อง ‘ทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง’ สร้างสังคมนิยมอันมีอัตลักษณ์จีน พร้อมเดินหน้า-ต่อยอด ‘สร้างสันติ-ความเจริญรุ่งเรือง’ ร่วมกันของทุกฝ่าย

(23 ส.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน กล่าวยกย่อง ‘คุณูปการอันโดดเด่น’ ของ ‘เติ้ง เสี่ยวผิง’ ผู้นำที่ล่วงลับ และเรียกร้องการเดินหน้าสังคมนิยมอันมีอัตลักษณ์จีนที่ริเริ่มโดยเติ้ง เสี่ยวผิง เนื่องในวาระครบรอบ 120 ปี วันคล้ายวันเกิดของเติ้งเสี่ยวผิง เมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา

สี จิ้นผิง เลขาธิการใหญ่คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน และประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง ซึ่งร่วมการประชุมเนื่องในวาระข้างต้น กล่าวว่าจีนต้องศึกษาและประยุกต์ใช้ทฤษฎีเติ้ง เสี่ยวผิง (Deng Xiaoping Theory) อย่างละเอียดต่อไป

เติ้ง เสี่ยวผิงสร้างคุณูปการโดดเด่นแก่พรรคฯ ประชาชน ประเทศ ชาติ และโลก ซึ่งความสำเร็จของเติ้ง เสี่ยวผิงถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์และจะเป็นแรงบันดาลใจแก่คนรุ่นใหม่อยู่เสมอ

เติ้ง เสี่ยวผิงเป็นแกนหลักของคณะผู้นำส่วนกลางรุ่นที่ 2 ของพรรคฯ หัวหน้าสถาปนิกของการปฏิรูปสังคมนิยม การเปิดกว้าง และการสร้างความทันสมัยของจีน และผู้บุกเบิกสังคมนิยมอันมีอัตลักษณ์จีน ขณะเดียวกันเติ้ง เสี่ยวผิงยังเป็นนักสากลนิยมที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งสร้างคุณูปการสำคัญแก่สันติภาพและการพัฒนาของโลก

"สหายเติ้ง เสี่ยวผิงได้ใช้ชีวิตที่น่ายกย่อง ต่อสู้ดิ้นรน และไม่ธรรมดา" สี จิ้นผิงกล่าว พร้อมเสริมว่าหลังจากการปฏิวัติวัฒนธรรม ซึ่งเป็นห้วงยามแห่งความวุ่นวายนานนับทศวรรษที่สิ้นสุดปี 1976 เติ้ง เสี่ยวผิงได้นำพรรคฯ และประชาชนบรรลุการเปลี่ยนผ่านครั้งประวัติศาสตร์ของจีน

เติ้ง เสี่ยวผิงผลักดันจีนบรรลุความก้าวหน้าใหม่ในการปรับใช้ลัทธิมาร์กซ์ให้เข้ากับบริบทของจีน บุกเบิกการสร้างความทันสมัยของสังคมนิยม และกำหนดวิถีทางอันถูกต้องสำหรับการรวมชาติอย่างสมบูรณ์ โดยความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ของเติ้ง เสี่ยวผิงมีความครอบคลุมและความแปลกใหม่ ซึ่งส่งผลลัพธ์อันลึกซึ้งและยั่งยืนต่อทั้งจีนและโลก

"เราจะจดจำความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่และเคารพแนวทางการปฏิวัติอันสง่างามของเขาตลอดไป" สี จิ้นผิงกล่าว พร้อมเสริมว่ามรดกทางปัญญาอันสลักสำคัญที่สุดจากเติ้ง เสี่ยวผิงคือทฤษฎีเติ้ง เสี่ยวผิง และเรียกร้องการศึกษาและประยุกต์ใช้ทฤษฎีดังกล่าวอย่างละเอียด เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในโลกความเป็นจริง

"วิธีการอันดีที่สุดในการเชิดชูเกียรติของเติ้ง เสี่ยวผิงคือเดินหน้ากิจการสังคมนิยมอันมีอัตลักษณ์จีนที่เขาริเริ่มไว้" สีจิ้นผิงกล่าว และเรียกร้องการปฏิรูปอย่างครอบคลุมลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อเสริมแรงและคุ้มครองการสร้างความทันสมัยของจีนอย่างต่อเนื่อง

สีจิ้นผิงกล่าวกระตุ้นการเร่งสร้างเศรษฐกิจอันทันสมัย การพึ่งพาตนเองเพิ่มขึ้นในภาควิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการพัฒนาวัฒนธรรมสังคมนิยมขั้นสูง รวมถึงพยายามบรรลุความก้าวหน้าที่โดดเด่นและมีแก่นสารยิ่งขึ้นในการส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันของทุกฝ่าย

สีจิ้นผิงกล่าวว่าการบรรลุการรวมชาติอย่างสมบูรณ์ของจีนเป็นความปรารถนาของเหมา เจ๋อตง เติ้ง เสี่ยวผิง และสมาชิกนักปฏิวัติรุ่นเก่าคนอื่น ๆ มาเนิ่นนานแล้ว พร้อมเรียกร้องความพยายามส่งเสริมการพัฒนาอย่างสันติของความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบไต้หวัน และการคัดค้าน ‘เอกราชไต้หวัน’ อย่างหนักแน่น เพื่อคุ้มครองอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของจีน

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตรวจเยี่ยม สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ชื่นชมตำรวจในพื้นที่ทุกหน่วย แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลประชาชนและนักท่องเที่ยว

วันนี้ ( 23 สิงหาคม 2567) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการปฏิบัติแก่ข้าราชการตำรวจ สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา จ.ชลบุรี พร้อมด้วย พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 , พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี , พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี และคณะ โดยมี พ.ต.อ.นาวิน ธีระวิทย์ ผู้กำกับการ สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา และข้าราชการตำรวจ สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา ให้การต้อนรับ

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า การท่องเที่ยวนับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจ และเป็นรายได้หลัก ของประเทศ ซึ่งเมืองพัทยานับเป็นจุดหมายยอดนิยมอันดับต้นๆ ของชาวต่างชาติ ที่เดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย ดังนั้น การดูแลความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวจึงนับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ซึ่ง มาตรการป้องกันเหตุและดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวต่างชาติของสถานีตำรวจภูธรพัทยา ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดชลบุรี และสถานีตำรวจท่องเที่ยวพัทยา แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ มีแผนปฏิบัติและรายละเอียดที่ชัดเจน จึงขอชื่นชมผู้เกี่ยวข้องทุกนาย 

นอกจากนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้การทำงานของตำรวจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีด้วยกัน 2 ประการ ประการแรก คือ การได้รับความร่วมมือจากเครือข่ายภาคประชาชน และหน่วยงานในพื้นที่ ซึ่งจากการที่ได้เห็นความสัมพันธ์อันดี และการทำงานที่สอดประสานระหว่างคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ (กต.ตร.) และสถานีตำรวจภูธรพัทยา เชื่อมั่นว่าจะส่งผลให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรพัทยา สามารถดำเนินไปอย่างราบรื่น ได้รับความร่วมมือที่ดี และตรงกับความต้องการของประชาชน และประการที่ 2 คือ ขวัญกำลังใจของผู้ปฏิบัติงาน “ขวัญ เป็นอำนาจรบ ที่ไม่มีตัวตน” หากผู้ปฏิบัติงานมีขวัญกำลังใจและสวัสดิการที่ดีก็จะส่งผลให้การทำงานมีประสิทธิภาพ จึงเน้นย้ำผู้บังคับบัญชาทุกระดับดูแลสวัสดิการและความเป็นอยู่ของผู้ใต้บังคับบัญชาและครอบครัว ให้มีขวัญกำลังใจที่ดี สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างมีศักดิ์ศรี และขอให้ข้าราชการตำรวจทุกนายถือปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ “เป็นองค์กรปราบปรามอาชญากรรมและบังคับใช้กฎหมายในระดับมาตรฐานสากล ที่ประชาชนเชื่อมั่นศรัทธา” ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนและสังคม

ประธานสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า วสท. และ นายกสมาคมช่างเหมาไฟฟ้าและเครื่องกลไทย ปลื้ม 'ERDI-CMU' มช. สร้าง Platform การประหยัดพลังงาน 9% พร้อมแก้ปัญหา Net Zero, Near Zero, Demand Response และ Peak Demand ด้วย นวัตกรรมคนไทย NiA หม้อแปลง Low Carbon

ผศ.ดร.พฤกษ์ อักกะรังสี ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานและผู้แทนพิเศษสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงาน   นครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และ ดร. ณัฐวุฒิ จารุวสุพันธุ์ ต้อนรับคุณธีรภพ พงษ์พิทยาภา นายกสมาคมช่างเหมาไฟฟ้าและเครื่องกลไทย และดร.เตชทัต บูรณะอัศวกุล ประธานสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า วสท. ให้เกียรติเข้าเยี่ยมชมศึกษาดูงาน หม้อแปลง Low Carbon และระบบบริหารจัดการพลังงานทดแทน Solar กับ Energy Storage ด้วยโปรแกรม Sustainable Green Energy Management System เพิ่มอายุการใช้งานให้กับ Energy Storage มากถึง 20 ปี ทำให้ระบบไฟฟ้าเกิดความเสถียรภาพเกิดความมั่นคงด้านพลังงาน Net Zero, Near Zero, Peak Demand และ Demand Response ประหยัดพลังงาน 9% ตอบโจทย์ด้านการประหยัดพลังงานและความมั่นคงระบบพลังงานไฟฟ้าสะอาด ของภาคอุตสาหกรรม, ผู้ประกอบการ, อาคารสถานที่, โรงพยาบาล โรงแรม เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติด้านพลังงานและด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้า 

ผศ.ดร.พฤกษ์ อักกะรังสี กล่าว เนื่องจากเร็วๆนี้ องค์กรภาครัฐ ส่งเสริมด้านการประหยัดพลังงานรณรงค์ชวนปิดไฟ ให้โลกพัก ปิดไฟ 1 ชั่วโมงเพื่อลดโลกร้อน Platform หม้อแปลง Low Carbon ตอบโจทย์ Demand Response Net Zero off Grid 100% ด้วยกราฟเสริมสร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้า

ด้วยสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับบริษัท เจริญชัย หม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด ได้ร่วมวิจัยและได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ให้ดำเนินงานวิจัยหม้อแปลง IoT และระบบบริหารจัดการพลังงานทดแทน Solar กับ Energy Storage ด้วยโปรแกรม Sustainable Green Energy Management System ภายใต้โครงการ “Low Carbon Transformer ระบบจัดการหม้อแปลงไฟฟ้า เพื่อรองรับพลังงานสะอาดอย่างมั่นคง Net Zero, Near Zero, Peak Demand และ Demand Response” ซึ่งจากการดำเนินงานพบว่าหม้อแปลงที่ใช้ในการดำเนินโครงการที่กล่าวในข้างต้น ตอบโจทย์ด้านการประหยัดพลังงาน ในภาคอุตสาหกรรม Smart Factory, Smart Building ในด้าน Net Zero & Near Zero, Peak Demand และ Demand Response และการประหยัดพลังงาน โดยสามารถลดการใช้พลังงาน ลดต้นทุนค่าไฟฟ้า และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และมีระยะเวลาคืนทุนภายในเวลา  2 – 5  ปี ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการแก้ปัญหาด้านการประหยัดพลังงาน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ สังคม ประชาชนและผู้ประกอบการ ด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้าพลังงานสะอาด

‘เพจดัง’ เผยเรื่องราว ‘ครูบอย’ ไม่ละทิ้ง ‘ลูกศิษย์’ ช่วยหาทุนจนมีโอกาสเรียน หลังเด็กเขียนจดหมายลา ขอไปช่วยแม่รับจ้างเก็บลำไย รายได้วันละร้อยบาท

(23 ส.ค.67) เมื่อการศึกษาต้องเข้าถึงทุกคน จึงกลายเป็นที่พูดถึงในโซเชียลมีเดียไม่น้อย หลัง ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน เจ้าของเพจเฟซบุ๊กดัง ‘หมอแล็บแพนด้า’ ได้โพสต์ข้อความและรูปจดหมายที่เขียนเรื่องเล่าของเด็กชายรายหนึ่ง ที่ไม่มีโอกาสได้เรียนอย่างที่ใจหวัง ต้องเขียนจดหมายลาครู เพื่อไปช่วยแม่รับจ้างเก็บลำไย รายได้วันละร้อยกว่าบาท

โดยข้อความระบุว่า “โอย อยากให้ลองอ่านจดหมายฉบับนี้ครับ เป็นเรื่องราวของ ‘แดง’ เด็กชายบ้านนาเกียนที่ต้องเขียนจดหมายลาครู เพื่อไปช่วยแม่รับจ้างเก็บลำไย รายได้วันละร้อยกว่าบาท และไม่รู้เลยว่าจะได้กลับมาเรียนอีกรึเปล่า

แต่ครูบอย พอได้อ่านจดหมายของลูกศิษย์แล้ว ครูไม่เคยทิ้งเด็กชายแดงเลย พยายามตามกลับไปเรียน และช่วยแนะนำทุนการศึกษา จนแดงได้รับทุนเสมอภาค จนถึงชั้น ม.3 และทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาทำให้แดงได้เรียนต่อ ปวส. สาขาช่างไฟฟ้าที่วิทยาลัยเทคโนโลยีเทคนิคโปลิลานนา เชียงใหม่

พอแดงมีโอกาสได้เรียนในสิ่งที่ชอบก็เลยทำให้แดงมีแรงบันดาลใจที่จะสู้เพื่ออนาคตของตัวเอง ชีวิตของแดง คือดอกผลที่มีชีวิต เป็นการลงทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาที่แสนคุ้มค่า

การศึกษาต้องไม่เป็นเส้นทางที่ยากลำบาก เพราะเด็กทุกคนมีศักยภาพ โอกาสการศึกษาต้องไปให้ถึงทุกคน!!! โดยไม่มีข้อจำกัดหรืออุปสรรคอะไรทั้งนั้น

แต่เชื่อมั้ยครับ แดงยังโชคดีมีครูบอยคอยช่วย เพราะข้อมูล กสศ. ชี้ว่าเด็กไทยกว่า 1.02 ล้านคน หลุดออกนอกระบบการศึกษา ไม่ได้เรียนหนังสือ

ซึ่ง BigData ข้อมูลของเด็กกลุ่มนี้ ทางเลือกการศึกษาที่ยืดหยุ่น ตอบโจทย์ชีวิตเด็กทุกคน และความร่วมมือกับทุกภาคส่วน จะเป็น Game Changer ตัวเปลี่ยนเกม ที่ช่วยให้โอกาสการศึกษาไปให้ถึงเด็กทุกคน

นี่เป็นหัวข้อสำคัญที่เค้าจะมีการแลกเปลี่ยนในงานมหกรรม All For Education : Education For All รวมพลังนักสร้างการเปลี่ยนแปลงและนวัตกรรมการเรียนรู้เพื่อเด็กทุกคน จัดขึ้นวันที่ 23-25 สิงหาคมนี้ ที่ IMPACT Forum เมืองทองธานี

เด็กทุกคนควรได้เรียนนะครับ”

หลังจากที่โพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ก็ได้รับคอมเมนต์จากประชาชนหลั่งไหลเข้ามาชื่นชมครูบอย ที่ได้คอยช่วยเหลือและเพจที่เป็นกระบอกเสียงให้เด็กทุกคนได้เข้าถึงการศึกษาได้มากขึ้น อาทิ ขอบคุณครูบอยมากนะคะ ขอให้โลกนี้ มีคนแบบครูบอยเยอะ ๆ เลย, คุณครูสุดยอดมากค่ะ, ครูแบบนี้ควรยกย่องมาก ๆ ค่ะ..ต้นแบบที่ดี, อยากให้มีครูแบบนี้หลาย ๆ คน ฯลฯ

'เวียดนาม' เอาจริง!! รุกสร้างแบรนด์แข่งไทย ยกระดับ 'ทุเรียน' เป็นผลิตภัณฑ์ประจำชาติ

(23 ส.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สื่อเวียดนามอ้างอิงคำกล่าวของเล มินห์ ฮวน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทของเวียดนาม ระบุว่า เวียดนามควรผลักดันให้ทุเรียนขึ้นแท่นเป็นผลิตภัณฑ์ประจำชาติ ด้วยการกำหนดมาตรฐานคุณภาพและสร้างแบรนด์เพื่อแข่งขันกับผู้ส่งออกรายใหญ่ เช่น ไทย และมาเลเซีย

เล มินห์ ฮวนเผยว่า การผลักดันให้ทุเรียนเป็นผลิตภัณฑ์ประจำชาตินั้น จำเป็นต้องอาศัยนโยบายการเกษตรที่ครอบคลุมและต้องมีการให้ความรู้แก่เกษตรกรและภาคธุรกิจ สิ่งนี้มีความสำคัญเนื่องจากปัจจุบันเวียดนามตามหลังไทยและมาเลเซียในการส่งออกผลไม้ไปยังจีน ขณะที่การผลิตในเวียดนามยังกระจัดกระจายและมีขนาดเล็ก

สินค้าแต่ละชนิดจะต้องผ่านเกณฑ์หลายประการเพื่อให้มีคุณสมบัติเป็นผลิตภัณฑ์ประจำชาติ เช่น ขนาดการผลิต ขีดความสามารถการแข่งขันด้านการส่งออก การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี และศักยภาพในการครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา 

กลุ่มผู้เชี่ยวชาญท้องถิ่นคาดว่า การส่งออกทุเรียนของเวียดนามจะสูงถึง 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.2 แสนล้านบาท) ภายในสิ้นปีนี้ เมื่อพิจารณาจากเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยในปัจจุบัน

ทั้งนี้ เวียดนามทำรายได้จากการส่งออกทุเรียนอยู่ที่ราว 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.84 หมื่นล้านบาท) ระหว่างเดือนมกราคมถึงกรกฎาคม โดยจีนเป็นผู้นำเข้าทุเรียนเวียดนามรายใหญ่ที่สุด

‘Biotherm’ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ประกาศปิดเคาน์เตอร์ในห้างฯ อำลาตั้งแต่ 1 ต.ค.67 พร้อมขายออนไลน์วันสุดท้ายสิ้นปีนี้

(23 ส.ค.67) เพจ ‘Biotherm’ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวชื่อดัง ได้ประกาศโดยระบุข้อความว่า “เรียน ลูกค้าไบโอเธิร์มที่น่ารักทุกท่าน เรามีความเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่จะแจ้งให้ทราบว่า แบรนด์ไบโอเธิร์ม ประเทศไทยจะปิดให้บริการในช่องทางห้างสรรพสินค้าเริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไปเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวก

สำหรับลูกค้าที่ยังคงต้องการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา ช่องทางจัดจำหน่ายออนไลน์ใน Lazada และ Line Official Biotherm Thailand จะยังเปิดให้บริการจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567

แบรนด์ไบโอเธิร์ม ประเทศไทย มีความซาบซึ้งในความรักและความผูกพัน ที่ลูกค้าทุกท่านมีให้กับแบรนด์ รวมถึงการสนับสนุนแบรนด์ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราขอใช้โอกาสนี้ในการกล่าวขอบคุณทุกท่านจากใจ

สุดท้ายนี้ แบรนด์ไบโอเธิร์ม ประเทศไทย ขอลูกค้าที่น่ารักทุกท่าน มีสุขภาพที่ดีและมีสุขภาพผิวที่ดีตลอดไป ด้วยรักและเคารพ ไบโอเธิร์ม ประเทศไทย”

ยอดขาย ‘BYD’ มาแรงแซง ‘Honda-Nissan’ ขยับสู่อันดับ 7 ของโลก วัดจากจำนวนที่ขายได้

(23 ส.ค. 67) เว็บไซต์นิกเกอิ เอเชียรายงานว่า ยอดขาย ‘บีวายดี’ (BYD) ของจีน แซงหน้า Honda Motor และ Nissan Motor จนกลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 7 ของโลกตามจำนวนรถยนต์ที่ขายได้ในไตรมาส 3 ขับเคลื่อนด้วยความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดของบริษัท ตามข้อมูลจากผู้ผลิตรถยนต์และบริษัทวิจัย MarkLines

สำหรับยอดขายรถยนต์ใหม่ของ BYD เพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็น 980,000 คันในไตรมาสนี้ แม้ว่าผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำส่วนใหญ่ รวมถึง Toyota Motor และ Volkswagen Group จะประสบภาวะยอดลดลงก็ตาม โดยยอดขายของ BYD ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากยอดขายต่างประเทศ ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณสามเท่าเมื่อเทียบกับปีก่อน เป็น 105,000 คัน

ทั้งนี้ BYD เคยอยู่อันดับที่ 10 ของโลกในช่วงไตรมาส 3 ของปีที่แล้ว ด้วยยอดขาย 700,000 คัน นับตั้งแต่นั้นมา BYD ได้แซงหน้า Nissan และ Suzuki Motor และเอาชนะ Honda ในฐานะรายไตรมาสเป็นครั้งแรกในไตรมาสล่าสุด

มีเพียงผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นรายเดียวที่ยังคงมียอดขายมากกว่า BYD คือ ‘Toyota’ ซึ่งนำอันดับโลกในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน ด้วยยอดขาย 2.63 ล้านคัน ขณะที่ ‘Big Three’ (General Motors, Stellantis, Ford Motor) ในสหรัฐก็ยังคงนำหน้า แต่ BYD กำลังไล่ตามรถ Ford Motor อย่างรวดเร็ว

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดของ BYD ได้รับความนิยมมากขึ้นในประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก ทำให้ยอดขายในเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับปีก่อน

ตรงกันข้าม ผู้เล่นชาวญี่ปุ่น ซึ่งมีความแข็งแกร่งในรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน กำลังมียอดขายตามหลัง โดยยอดขายของ Honda ในจีนลดลง 40% ในเดือนมิถุนายน ผู้ผลิตรถยนต์วางแผนลดกำลังการผลิตในประเทศลงประมาณ 30% แม้กระทั่งในไทยซึ่งบริษัทญี่ปุ่นครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 80% อีกทั้ง Susuki ก็กำลังยุติการผลิต ในขณะที่ Honda กำลังลดกำลังการผลิตลงครึ่งหนึ่ง

‘จีน’ ยักษ์ใหญ่ประเทศผลิตรถยนต์ ส่งออกรถยนต์ 2.79 ล้านคันในช่วงครึ่งแรกของเดือนมกราคม-มิถุนายน มากกว่าญี่ปุ่น 780,000 คัน โดย BYD ได้เปิดโรงงานประกอบรถยนต์ขนาดใหญ่แห่งแรกในต่างประเทศที่ไทย พร้อมแผนสร้างฮับเพิ่มเติมในฮังการีและบราซิล นอกจากนี้ยังกำลังพิจารณาการผลิตรถในเม็กซิโกด้วย

รู้จัก ‘ROSOBORONEXPORT’ บริษัทส่งออก-นำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่เพียงผู้เดียวแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย

‘อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ’ เป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้อย่างมากมายให้แก่ประเทศซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ โดย 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2019-2023) ข้อมูลจาก STOCKHOLM INTERNATIONAL PEACE RESEARCH INSTITUTE (SIPRI) ระบุว่า ประเทศที่ส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์มากที่สุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดถึง 41.7% รองลงมาคือ ฝรั่งเศส มีส่วนแบ่งตลาด 10.9% และตามมาเป็นอันดับ 3 ได้แก่ สหพันธรัฐรัสเซีย ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาด 10.5% น้อยกว่าฝรั่งเศสเล็กน้อย ด้วยเหตุสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนจึงทำให้รัสเซียถูกมาตรการลงโทษ (Sanctions) ต่าง ๆ นานา ส่งผลให้ปริมาณการส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ของรัสเซียลดลง

สำหรับสหพันธรัฐรัสเซียแล้ว มีบริษัทที่ส่งออก/นำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์แต่เพียงผู้เดียว คือ ‘ROSOBORONEXPORT’ ซึ่งเดิมก่อตั้งขึ้นเป็น ROSOBORONEXPORT Federal State Unitary Enterprise (FSUE) ในปี 2000 โดยรัฐกฤษฎีกาของประธานาธิบดีแห่งรัสเซียและมีหน้าที่ในการดำเนินนโยบายของรัฐในด้านความร่วมมือทางเทคนิคการทหารระหว่างรัสเซียและต่างประเทศ ในปี 2007 บริษัทได้รับการจดทะเบียนเป็น ROSOBORONEXPORT Open (OJSC) บริษัทมหาชนจำกัด ต่อมาในปี 2011 Rostekhnologii (ปัจจุบันคือ Rostec) อันเป็นวิสาหกิจหลักของรัฐที่มีลักษณะเป็นบริษัท Holding ได้เข้าซื้อหุ้นของ ROSOBORONEXPORT OJSC 100% 

‘ROSOBORONEXPORT’ เป็นหน่วยงานสืบทอดกิจการอาวุธยุทโธปกรณ์ของอดีตสหภาพโซเวียต หรือสหพันธรัฐรัสเซียในปัจจุบัน เป็นหน่วยงานกลางของรัฐที่ดูแลรับผิดชอบในด้านเทคโนโลยีทางการทหารได้รับการก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1953 เมื่อมีการก่อตั้งแผนกวิศวกรรมทั่วไปภายในกระทรวงการค้าภายในและต่างประเทศของสหภาพโซเวียตตามการตัดสินใจของรัฐบาลโซเวียตในขณะนั้น ด้วยการขยายตัวของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ จึงมีการจัดตั้งหน่วยงานส่งออกเฉพาะทางใหม่ ๆ ขึ้นหลายแห่ง 

ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 สหภาพโซเวียตมีบริษัทตัวกลางของรัฐ 2 แห่ง ได้แก่ Rosvooruzhenie และ Promexport และเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2000 บริษัทที่เป็นของรัฐทั้งสองแห่งก็ได้ควบรวมกิจการกันโดยรัฐกฤษฎีกาที่ 1834 ของประธานาธิบดีรัสเซีย โดยจัดตั้ง ‘ROSOBORONEXPORT Unitary’ ขึ้นเพื่อเป็นหน่วยงานกลางของรัฐเพียงแห่งเดียวสำหรับการส่งออกและนำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์ของรัสเซีย

19 มกราคม ค.ศ. 2007 Vladimir Putin ประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย ได้ลงนามในรัฐกฤษฎีกากำหนดให้บริษัท ROSOBORONEXPORT รับผิดชอบการส่งออกอาวุธทั้งหมด ทำให้สถานะอย่างเป็นทางการของ ROSOBORONEXPORT คือบริษัทส่งออกและนำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์แต่เพียงผู้เดียวของสหพันธรัฐรัสเซีย ถือเป็นผู้ประกอบการชั้นนำในตลาดอาวุธระหว่างประเทศ ด้วยสถานะตัวแทนของรัฐทำให้บริษัทมีโอกาสพิเศษในการขยายและเสริมสร้างความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันในระยะยาวกับพันธมิตรต่างประเทศ ปัจจุบัน ลูกค้ารายใหญ่ซึ่งเป็นลูกค้าชั้นนำของ ROSOBORONEXPORT ได้แก่ จีน อินเดีย อัลจีเรีย ซีเรีย เวียดนาม เวเนซุเอลา และอิรัก ฯลฯ

เมื่อ ROSOBORONEXPORT เป็นบริษัทส่งออกและนำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์แต่เพียงผู้เดียวของสหพันธรัฐรัสเซีย จึงทำให้บริษัทผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ของสหพันธรัฐรัสเซียไม่ต้องจัดการด้านการตลาดต่างประเทศด้วยตัวเอง ซ้ำตลาดในประเทศเองก็มีเฉพาะหน่วยงานด้านความมั่นคงของสหพันธรัฐรัสเซียเท่านั้น ทั้งยังไม่ต้องวุ่นวายเรื่องใบอนุญาตส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์เหมือนเช่นประเทศตะวันตกอื่น ๆ เช่น สหรัฐอเมริกาต้องขออนุญาตกระทรวงต่างประเทศ และอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ระบุไว้ในรายการกำหนดต้องขออนุญาตจำหน่ายต่อรัฐสภาสหรัฐฯ ตัวอย่างเช่น การขายเครื่องบินรบ แม้ว่าบริษัทผู้ผลิตต้องการที่จะขายเครื่องบินรบมากเพียงใดก็ตาม แต่คำสั่งซื้อต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาสหรัฐฯ ก่อน จึงจะดำเนินการต่อไปจนแล้วเสร็จได้ ทั้งนี้ไทยเรามีหน่วยงานที่มีภารกิจใกล้เคียงในลักษณะนี้คือ สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) แต่ สทป. ยังคงทำหน้าที่ในทางวิชาการคือ การศึกษา วิจัย และพัฒนา อาวุธยุทโธปกรณ์ มากกว่าการทำตลาดต่างประเทศเช่นเดียวกับ ROSOBORONEXPORT

‘ประเทศไทย’ ก็เป็นหนึ่งในลูกค้าที่สั่งซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากสหพันธรัฐรัสเซีย โดย ROSOBORONEXPORT หลายรายการ อาทิ กองทัพบก ซื้อเฮลิคอปเตอร์แบบ Mi-17V-5 เครื่องยิงจรวดต่อสู้อากาศยานแบบประทับบ่า 9K38 Igla อาวุธปืนเล็กยาวแบบ AK-104 (อาสาสมัครทหารพราน) กองทัพอากาศ ซื้อเครื่องบินแบบ Sukhoi Superjet ส่วนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซื้อเฮลิคอปเตอร์แบบ Ka-32 เป็นต้น 

อันที่จริงแล้วตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุคสงครามเย็น ไทยเราได้รับความช่วยเหลือทางทหารเป็นอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมหาศาลจากรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อให้เป็นหนึ่งในประเทศพันธมิตรต่อต้านสหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีน จนกระทั่งความพ่ายแพ้ของรัฐบาลต่าง ๆ ในประเทศเพื่อนบ้านของเรา ทำให้สหรัฐฯ ต้องถอนตัวออกจากภูมิภาคนี้ พร้อมกับตัดความช่วยเหลือทางทหารต่อประเทศไทย จนกระทั่งอาวุธยุทโธปกรณ์ตามความช่วยเหลือทางทหารจากรัฐบาลสหรัฐฯ หมดอายุสิ้นสภาพทหารใช้งาน กองทัพไทยจึงจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์จากประเทศต่าง ๆ 

ทั้งนี้สิ่งซึ่งกองทัพไทยจำเป็นต้องดำเนินการด้วยความเข้าใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ การบริหารความสมดุลอย่างเหมาะสมในการจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ จากสองฟากฝ่ายซึ่งแบ่งข้างอย่างชัดเจนในปัจจุบัน เพื่อให้ไทยมีดุลยภาพทางทหารที่เหมาะสมที่สุดตามบริบทที่สมควรจะเป็นต่อไป

'สส.เพื่อไทย' แฉ 'สส.บางพรรค' ต้นเหตุทำน้ำท่วมภาคเหนือ

(23 ส.ค.6) นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานวิปรัฐบาล สส.พรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X ระบุว่า...

"ความสะใจของพวกคุณในวันนั้น คือความเดือดร้อนของประชาชนในวันนี้...

"ไม่ต้องถามว่านายกฯ จะลงพื้นที่น้ำท่วมเมื่อไร? เพราะหากบางพรรคไม่ได้ตัดงบฯ ฝายแกนซีเมนต์ของเพื่อไทยทิ้งทั้งหมดจาก พรบ.งบฯ '67 ก็คงสามารถป้องกันให้น้ำไม่ท่วมจนไม่จำเป็นต้องลงพื้นที่...ใช่ไหมครับ? #น้ำท่วมภาคเหนือ"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top