Monday, 9 June 2025
TheStatesTimes

‘สื่อนอก’ ฮือฮา!! พูดถึง ‘ลิซ่า’ ยกใหญ่ หลังปล่อยเพลง New Woman แถมอยากรู้ 'ลิซ่าคือใคร' หลังได้ฟีเจอริ่งกับตัวแม่ละติน 'โรซาเลีย'

(16 ส.ค.67) หลังจากที่ปล่อยซิงเกิลที่ 2 ออกมากับเพลง 'New Woman' ของศิลปินสาวเก่ง 'ลิซ่า' ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า แบล็กพิงก์ โดยเพลงนี้มีตัวแม่สายละตินชาวสเปนอย่าง Rosalía (โรซาเลีย) มาร่วมร้องและเล่นเอ็มวีด้วย 

ทำเอาสื่อยุโรปและทางฝั่งลาตินอเมริกา ฮือฮากับการโคจรมารวมกันของ 2 ตัวแม่ โดยข่าวเว็บไซต์ต่าง ๆ พากันลงข่าวพูดถึง 'ลิซ่า' กันยกใหญ่ โดยทางสื่อสเปนพากันสงสัยว่าสาวสวยนามว่า 'ลิซ่า' คือใคร? ก่อนจะแนะนำว่าเธอคือ ไอดอลสาวสุดฮอตจากวง BlackPink ที่โด่งดังและมีผู้ติดตามทั่วโลก

พร้อมทั้งยังแนะนำว่าเธอนั้นคือศิลปินที่ประสบความสำเร็จทั้งศิลปินเดี่ยวและเกิล์กรุ๊ป โดยเคยได้รางวัล MTV และ Billboard Music Awards พร้อมทั้งกล่าวอีกว่า 'ลิซ่า' เธอคือนักร้องหญิงที่สร้างสถิติต่าง ๆ ไว้มากมาย และกำลังออกผลงานเดี่ยวอีกครั้ง โดยเธอเพิ่งปล่อยซิงเกิล Rockstar ออกมา ก่อนจะมีเพลงคัมแบค New Woman ที่ฟีเจอริ่งกับโรซาเลีย

Rosalía ถือเป็นผู้ทรงอิทธิพลทางดนตรีของโลกอีกคน เธอสร้างความฮือฮาให้กับวงการเพลงระดับโลกเพราะมีดีกรีเป็นนักร้องเจ้าของรางวัล Grammy Awards สาขา Latin Grammy Awards มากถึง 13 รางวัลเลยทีเดียว จากอัลบั้ม ‘El Mal Querer’

และในปี 2019 เธอได้รับรางวัลในสาขา Best Latin Rock และ Urban or Alternative Album จากนั้นในปี 2022 เป็นผู้หญิงคนแรกที่คว้ารางวัล Album of The Year ถึงสองครั้งจากเวที Grammy Awards

‘สส.สัญญา’ ให้การต้อนรับ ‘คณะที่ปรึกษาประธาน กมธ. กิจการศาลฯ’ ขอบคุณที่เสียสละ เชื่อ!! ใช้ความรู้ความสามารถ เพื่อประเทศชาติอย่างเต็มที่

เมื่อวานนี้ (15 ส.ค. 67) นายสัญญา นิลสุพรรณ สส.นครสวรรค์ เขต 3 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน ได้ให้การต้อนรับแพทย์หญิงกนกวรรณ จันทอุปฬี พร้อมด้วย พันเอกนายแพทย์ลัทธพล ม้าลายทอง, นายแพทย์ภูศิษฐ์ จิตติละอองวงศ์, นายแพทย์พัชร์พล สุภาวงค์

ซึ่งคณะแพทย์ได้เดินทางเข้าขอบคุณนายสัญญา นิลสุพรรณ จากการเสนอแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาประธานคณะกรรมาธิการกิจการศาลฯ เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา

โดยนายสัญญา นิลสุพรรณได้กล่าวขอบคุณคณะแพทย์ที่ได้เสียสละ และให้เกียรติรับตำแหน่งที่ปรึกษาประธานคณะกรรมาธิการกิจการศาลฯ และขอให้ใช้ความรู้ความสามารถเพื่อประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาติต่อไป

‘สรรเพชญ’ หวัง ‘รัฐบาลอุ๊งอิ๊ง’ แก้ปัญหาปากท้อง-เศรษฐกิจจริงจัง เตือน!! อย่าริทำอะไรเสี่ยงผิดกฎหมาย พรรคฝ่ายค้านจับตาดูผลงาน

(16 ส.ค. 67) นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้ความเห็นภายหลังการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งตนและพรรคประชาธิปัตย์ มีมติงดออกเสียงกับการเลือกนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ นายสรรเพชญ ได้ให้เหตุผลว่า การลงมติงดออกเสียงในครั้งนี้เพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าและไม่ให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง เพราะมีการเสนอชื่อนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เพียงชื่อเดียว อีกทั้งเพื่อให้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ได้เข้าแถลงนโยบายกับรัฐสภาและทำหน้าที่ก่อน หลังจากนั้นจึงจะดำเนินการทำหน้าที่ฝ่ายค้านในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล 

นายสรรเพชญ กล่าวว่า ตนมีความหวังว่ารัฐบาลชุดใหม่จะเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องต่าง ๆ ที่คั่งค้างของรัฐบาลโดยเฉพาะเรื่องที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ปรึกษาหารือผ่านประธานสภาผู้แทนราษฎร เพราะเป็นปัญหาที่ประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ร้องเรียนและสะท้อนผ่านมายังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยตรง ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลต้องดำเนินการ คือ การเร่งแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้ประชาชน นอกจากการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่รัฐบาลสามารถทำได้ทันที สิ่งที่เป็นโจทย์หลักและท้าทายความสามารถของรัฐบาลทุกชุด คือ ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ กำลังซื้อของประชาชนกำลังถดถอยเพราะรายได้สวนทางกับรายได้ ปัญหาปากท้อง หนี้สินครัวเรือนอันมหาศาลของประชาชน ทั้งเรื่องราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งผงชูรส หรือราคาสินค้าทางการเกษตรที่เกษตรกรขายมีราคาตกต่ำ แต่เมื่อถึงมือของประชาชนกลับมีราคาที่สูงขึ้น ส่งผลให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนมีความลำบากมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องค่าครองชีพ 

นอกจากนี้ ปัญหาที่กำลังทดสอบความสามารถของรัฐบาล คือ การแก้ไขปัญหาที่ประชาชนไม่สามารถประกอบอาชีพเหมือนเดิมได้ เห็นได้จากการปิดตัวของร้านค้าต่าง ๆ ที่ได้ปิดตัวลงเป็นจำนวนมาก ทั้งการสู้เรื่องต้นทุนไม่ไหว และสำคัญกว่านั้น คือ การเข้ามาของสินค้าจีน ทุนจีน ที่เข้ามาผ่านแอปพลิเคชันออนไลน์ขายราคาถูก ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กในประเทศไปไม่รอดหลายราย ซ้ำยังมีปัญหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน ปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี คอลเซ็นเตอร์ ปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะเรื่องพลังงาน ที่เกือบ 1 ปี ที่มีรัฐบาลเพื่อไทยเป็นแกนนำไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ 

ดังนั้น รัฐบาลต้องเร่งหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ไม่ให้บานปลายไปมากกว่านี้ ควบคู่กับการเร่งมาตรการเพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชนและการฟื้นความเชื่อมั่นจากต่างประเทศให้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งรัฐบาลต้องหาทางออกในเรื่องนโยบายแจกเงินผ่านระบบดิจิทัลที่ประชาชนได้ลงทะเบียนไปแล้วรัฐบาลจะเดินหน้าต่อไปหรือไม่อย่างไร 

นายสรรเพชญ ได้กล่าวในตอนท้ายว่า ขอให้รัฐบาลทำงานอย่างตรงไปตรงมา อย่าริอาจทำอะไรที่สุ่มเสี่ยงผิดกฎหมาย การเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องหรือปล่อยให้ใครมาครอบงำนายกรัฐมนตรี และตนจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านและคอยจับตาดูการทำงานของรัฐบาลต่อไป

'วิโรจน์' ยกเมฆ!! 'มรดกบาป 'คสช.' - ‘รธน.60' บั่นทอนประชาธิปไตย เหตุผล 'ปชช.' ไม่โหวต 'อุ๊งอิ๊ง' แต่ยังดีได้นายกฯ จาก 'สภาผู้แทนราษฎร'

(16 ส.ค.67) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า...

การ ‘ไม่เห็นชอบ’ ของผม เป็นการสะท้อนให้ประชาชนได้เห็นว่า ปัจจุบันอำนาจอธิปไตยที่เป็นของปวงชนชาวไทย อย่างน้อย ๆ สองในสาม ซึ่งก็คือ อำนาจบริหาร และอำนาจนิติบัญญัติ กำลังถูกบั่นทอนจากนิติสงคราม โดยองค์กรที่ขาดการยึดโยงกับประชาชนอย่างแนบแน่น ไร้กลไกในการตรวจสอบถ่วงดุลที่ได้สัดส่วนกับอำนาจ

ทั้งหมดนี้ ล้วนมีสารตั้งต้นมาจากการจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว ซึ่งทำให้มรดกบาปของ คสช. และอำนาจใด ๆ ของรัฐธรรมนูญปี 60 ยังคงอยู่บั่นทอนระบอบประชาธิปไตยต่อไป

การยุบพรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1 จากประชาชน การพ้นจากตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี และผู้นำฝ่ายค้าน ที่มีที่มาจากระบบรัฐสภา โดยองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญปี 60 ทำให้ประชาชนจำนวนไม่น้อยตั้งข้อสังเกตว่า อำนาจอธิปไตยที่เป็นของปวงชนชาวไทย กำลังถูกบั่นทอนอยู่หรือไม่

อย่างไรก็ตาม สำหรับการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ก็ยังมีเรื่องที่พอจะเป็นความหวังอยู่บ้าง นั่นก็คือ นายกฯ คนใหม่ ยังคงมีที่มาจาก ‘สภาผู้แทนราษฎร’ ตามระบบรัฐสภา

ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้แทนราษฎร ที่มาจากการเลือกของประชาชนทุกคน จะร่วมกันฟื้นฟู และปกป้องอำนาจอธิปไตยของประชาชนอย่างเต็มที่ร่วมกัน ผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ การแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้อง

ในฐานะฝ่ายค้าน ผมจะทำหน้าที่ในการติดตามตรวจสอบการทำงานของนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลนี้อย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดิน และการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และปราศจากการคอร์รัปชัน

และยืนยันว่า หากนายกรัฐมนตรีคนนี้จะต้องพ้นจากตำแหน่ง ก็ต้องพ้นจากตำแหน่งด้วยระบบรัฐสภา หรือจากการเลือกตั้งของประชาชน ไม่ใช่ว่าจะต้องมีอันเป็นไปจากการแทรกแซงอำนาจอธิปไตย จากอำนาจอื่นใด ที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน

‘คุณหญิงหน่อย’ ติง!! 6 สส.ไทยสร้างไทย โหวต ‘อุ๊งอิ๊ง’ นั่งนายกฯ ผิดจริยธรรมการเป็นฝ่ายค้าน ด้าน ‘ฐากร’ โต้กลับ “จะปล่อยให้ประเทศไม่มีนายกฯ ต่อไปได้อย่างไร?”

จากกรณีที่ประชุมรัฐสภา มีมติเห็นชอบให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 ด้วยเสียงเห็นชอบ 319 เสียง ไม่เห็นชอบ 145 เสียง และงดออกเสียง 27 เสียง

ปรากฏว่า 6 สส. จากพรรคไทยสร้างไทย คือ นายชัชวาล แพทยาไทย สส.ร้อยเอ็ด, นางรำพูล ตันติวณิชชานนท์ สส.อุบลราชธานี, นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ สส.บัญชีรายชื่อ, ​นายอดิศักดิ์ แก้วมุงคุณทรัพย์ สส.อุดรธานี, นายหรั่ง ธุรพล สส.อุดรธานี และนางสุภาพร สลับศรี สส.ยโสธร ที่เคยเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน ลงมติเห็นชอบให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกฯ คนที่ 31

ต่อมา คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก ต่อกรณี 6 สส.พรรคไทยสร้างไทย โหวตเห็นชอบให้ น.ส.แพทองธาร เป็นนายกรัฐมนตรี ระบุว่า...

ดิฉัน และผู้บริหารพรรคไทยสร้างไทย ขอยืนยันว่าพรรคไทยสร้างไทย เรามีจุดยืนรักษาอุดมการณ์ประชาธิปไตย และทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านที่ซื่อสัตย์ต่อเสียงประชาชน และต้องปฏิบัติตามมติของพรรคฝ่ายค้านร่วม 

ดังนั้นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคไทยสร้างไทย ควรมีจิตสำนึกต่อการทำหน้าที่อย่างสุจริต ในฐานะพรรคฝ่ายค้านในสภา การลงมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี จากพรรครัฐบาลในวันนี้ ถือว่าเป็นการขัดต่อจุดยืนและอุดมการณ์ของพรรคไทยสร้างไทย และผิดมารยาทในการทำงานร่วมกับพรรคฝ่ายค้าน

ซึ่งในเวลา 14:00 น. วันนี้จะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค เพื่อพิจารณาการกระทำของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคไทยสร้างไทย ที่ขัดต่อจุดยืนและอุดมการณ์ของพรรคไทยสร้างไทย 

จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบในเบื้องต้น

โดยหลังประชุมกรรมการบริหาร จะมีการออกแถลงการณ์ให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบ

และต้องกราบขอโทษต่อพี่น้องประชาชนสำหรับการกระทำของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อเสียงของประชาชน

ทางฟาก นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยสร้างไทย ได้ให้สัมภาษณ์ว่า เราได้มีการประชุม สส.พรรคไทยสร้างไทย ซึ่งนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน ได้แจ้งมติของพรรคประชาชน ว่าจะโหวตไม่เห็นชอบ เนื่องจากขัดกับหลักประชาธิปไตย และการที่อดีตพรรคก้าวไกลเคยมีเสียงข้างมาก จึงควรเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล แต่ในส่วนพรรคไทยสร้างไทย เรามองว่าเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในช่วงตกต่ำ และมีชื่อเสนอมาชื่อเดียว หากเราไม่โหวตเห็นชอบในวันนี้ แล้วจะทำอย่างไร

นายฐากรกล่าวต่อว่า หากมีชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคประชาชนเสนอมา อย่างไรพรรคไทยสร้างไทยก็โหวตให้อยู่แล้ว หรือพรรคประชาธิปัตย์ก็เช่นกัน แต่เนื่องจากไม่มีชื่อแคนดิเดตฯ จากพรรคฝ่ายค้านเลย พรรคไทยสร้างไทยจึงเห็นชอบร่วมกันว่า เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ เราจะต้องรออีกนานเท่าไหร่ กว่าจะทูลเกล้าฯ กว่าจะยกร่างนโยบาย ซึ่งเราคาดว่าจะใช้เวลาร่วมเดือนในการให้รัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ดังนั้นหากเราปล่อยไปเรื่อย ๆ ประเทศชาติจะมีความเสียหาย

“เราไม่ได้โหวตเพื่อที่จะบอกว่าจะเข้าร่วมรัฐบาล เราต้องการคิดถึงความเสียหายที่เกิดกับประชาชนและประเทศชาติ” นายฐากรกล่าว

นายฐากรกล่าวว่า พรรคไทยสร้างไทยยังอยู่กับพรรคร่วมฝ่ายค้านเช่นเดิม ดังนั้น การอภิปรายงบประมาณ เราก็จะโหวตไม่เห็นด้วยเช่นเดิม ยืนยันว่าเราโหวตโดยเจตนาบริสุทธิ์ ไม่มีการติดต่อกับพรรคเพื่อไทยทั้งสิ้น จะเดินหน้าในฐานะพรรคร่วมฝ่ายค้านต่อ

เมื่อถามว่า จะถูกมองว่าเป็นพรรคงูเห่าหรือไม่ นายฐากรกล่าวว่า ไม่มี ไม่มีเด็ดขาด เพราะการโหวตไม่ได้เป็นมติพรรค แต่เป็นมติที่ประชุม สส. ทั้งนี้ เราไม่เห็นด้วยที่จะโหวตไม่เห็นชอบ เพราะยึดหลักการว่าต้องมีนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศ ยอมรับว่าสื่ออาจพาดหัวข่าวว่าเป็น ‘งูเห่า’

เมื่อถามว่า หลังจากนี้จะทำงานกับพรรคฝ่ายค้านยากขึ้นหรือไม่ นายฐากรปฏิเสธว่าไม่ยาก เพราะจุดยืนเราชัดเจน ส่วนได้พูดคุยกับนายปกรณ์วุฒิหรือยังนั้น นายฐากรกล่าวว่า นายปกรณ์วุฒิได้ให้ตนลงมาพูดคุยกับสื่อมวลชน

เมื่อถามว่า การที่โหวตลักษณะนี้มีผลประโยชน์แลกใช่หรือไม่ นายฐากรกล่าวว่า ไม่มี เราไม่เคยรับผลประโยชน์จากใครทั้งสิ้นในการโหวตครั้งนี้ แม้แต่เก้าอี้รัฐมนตรีก็ไม่เคยพูดคุย จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาพรรคไทยสร้างไทยเป็นพรรคที่เงียบที่สุด แม้จะมีกระแสข่าวว่าเราจะเข้าร่วมรัฐบาล แต่เราก็ยังอภิปรายในสภาอยู่ตลอดเวลา

เมื่อถามว่า หากไม่มีเสียงจากไทย เสียงในสภาก็เพียงพอที่จะให้ น.ส.แพทองธาร เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว นายฐากร กล่าวว่า สส.ในพื้นที่ บอกว่าหากลงคะแนนไม่เห็นชอบ ประชาชนในพื้นที่จะไม่เห็นด้วย เพราะเขาต้องการให้มีรัฐบาลบริหารประเทศ ตนได้ถาม สส.ทุกคนแล้ว ซึ่งเมื่อตนเดินทางถึงสภาในตอนเช้า ก็ได้เรียกประชุม สส. เพื่อแสดงความเห็น ยืนยันว่าเราดำเนินการตามขั้นตอนทั้งหมด

เมื่อถามว่า จะทำให้พรรคไทยสร้างไทยถูกมองว่าไม่มีจุดยืนหรือไม่ นายฐากรกล่าวว่า ไม่ ยืนยันว่าเราโหวตตามหลักการของเรา แต่ละพรรคก็มีหลักการของตัวเอง ดังนั้น ถ้าเอาหลักการของพรรคอื่นมาเชื่อมโยงกับเรา ก็เชื่อมโยงไม่ได้

“ย้ำว่าจุดยืนของเราคือสิ่งไหนที่รัฐบาลทำไม่ถูก ก็จะเดินหน้าอภิปราย ทั้งนี้ หากเราโหวตแล้วเสียงแตก นั่นคืองูเห่า ถ้าเราเป็นฝ่ายค้านก็ต้องโหวตเหมือนกัน”

เมื่อถามว่า ได้พูดคุยกับคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทยหรือไม่ นายฐากรกล่าวว่า ไม่ได้คุยกันเลย

เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่า นายฐากรแตกหักกับคุณหญิงสุดารัตน์ เพราะอยากไปร่วมรัฐบาล นายฐากรกล่าวว่า ไม่ ตนไม่เคยแตกหัก ใครจะไปกล้าแตกหักกับคุณหญิง แต่ยอมรับว่าไม่ได้พูดคุยกับคุณหญิงสุดารัตน์ก่อนจะโหวต ก็เราเพิ่งตัดสินใจเมื่อเช้าก่อนโหวต

เมื่อถามย้ำว่า จะเป็นการลอยแพคุณหญิงสุดารัตน์หรือไม่ นายฐากรร้องโอ๊ย ก่อนกล่าวว่า ใครจะกล้าลอยแพคุณหญิง ไม่มีหรอก ยืนยันว่าไม่ลอยแพ แต่กลัวคุณหญิงจะลอยแพพวกเรา พร้อมย้ำว่าคุณหญิงสุดารัตน์มีความสำคัญต่อพรรคไทยสร้างไทย ดังนั้น เราต้องให้ความสำคัญ เพราะพรรคไทยสร้างไทยคือพรรคที่คุณหญิงสุดารัตน์สร้างมา

เมื่อถามว่า ในอนาคตหากมีการเทียบเชิญ จะร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายฐากรกล่าวว่า ต้องไปพูดคุยกัน แต่วันนี้ขออยู่ในโลกความเป็นจริง วันนี้เราเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด วันนี้ขออยู่ในโลกปัจจุบัน อย่าเพิ่งอยู่ในโลกอนาคต แต่ไม่ได้บอกว่าไม่ปิดประตู ขอตอบเพียงว่า ทำหน้าที่วันนี้ให้ดีที่สุด

เมื่อถามว่า น.ส.แพทองธารได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว เหมาะสมหรือไม่ นายฐากรกล่าวว่า เมื่อผลออกมาแล้วก็แสดงความยินดี เพราะไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายใดทุกคนก็ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ แต่ถึงแม้จะเป็นคนอื่นที่เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเช่นเดียวกัน เราก็ยินดีที่จะโหวต

'ครูเอ้-อัษฎาวุธ' แจ้ง!! เตรียมจัดงานใหญ่ ฉลอง 144 ปี หลวงประดิษฐไพเราะ เผย!! ดีใจ 'เยาวชนไทย-หลากวัย' หันมาสนใจเรียนดนตรีไทยเพิ่มขึ้น

THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ 'อาจารย์อัษฎาวุธ สาคริก' หรือ 'อาจารย์เอ้' เลขาธิการ มูลนิธิหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ถึงความเป็นมาของมูลนิธิหลวงประดิษฐไพเราะ ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2524 เพื่อเป็นอนุสรณ์ในโอกาสครบรอบ 100 ปี ของหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) อันเป็นมูลนิธิเกี่ยวกับดนตรีไทยมูลนิธิแรกของประเทศไทย ที่มีวัตถุประสงค์หลาย ๆ ด้าน เช่น การอนุรักษ์สืบสาน, การพัฒนาและสร้างโอกาสใหม่ ๆ เพื่อขับเคลื่อนสังคมดนตรีไทยในระดับต่าง ๆ รวมถึงรวบรวมองค์ความรู้ที่กระจัดกระจาย มาสื่อสารให้คนในยุคปัจจุบันได้รับรู้ถึงคุณค่าที่แท้จริงของดนตรีไทย

ช่วงหนึ่งของรายการ อ.เอ้ เล่าให้ฟังว่า โจทย์ที่สำคัญในวันนี้ คือ จะทำอย่างไรให้ดนตรีไทยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตผู้คนได้เพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันทางมูลนิธิฯ ได้มีการจัดทำโครงการเพื่อนดนตรี ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงดนตรี และงานวิชาการกับกลุ่มคนใหม่ ๆ รวมถึงการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ดนตรีไทย ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงการจัดแสดงสิ่งของเท่านั้น แต่ต้องการนำเสนอองค์ความรู้ง่าย ๆ เพื่อสร้างการเรียนรู้ได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น

"ในปี พ.ศ. 2568 จะเป็นวาระครบรอบ 144 ปี ของหลวงประดิษฐไพเราะ ทางมูลนิธิฯ จึงเตรียมที่จะจัดกิจกรรมพิเศษมากมาย เพื่อร่วมรำลึกถึงท่าน เช่น การจัดทำละครโทรทัศน์, ละครเวที, การเผยแพร่ข้อมูลทางเว็บไซต์, การจัดเทศกาลดนตรีไทย ซึ่งอยู่ระหว่างการวางแผนงาน ฝากติดตามกันในปีหน้า"

เมื่อถามถึงความสนใจดนตรีไทยของเด็กและเยาวชนไทยในปัจจุบัน? อ.เอ้ เผยว่า "มีความสนใจในดนตรีไทยมากขึ้น มีทักษะมากขึ้น และมีความกล้าในการนำเสนอมากขึ้น แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือ การถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับดนตรีไทยไปสู่เด็กและเยาวชนอย่างลึกซึ้งเท่านั้นเอง"

เมื่อพูดถึงการเรียนดนตรีไทย ที่มูลนิธิหลวงประดิษฐไพเราะ อ.เอ้ เผยว่า ปัจจุบันมีการเปิดสอนทุกชนิดของเครื่องดนตรีไทย โดยสอนทุกวันเสาร์และอาทิตย์ 

"การสอนของเรามีลักษณะเป็นชมรม เป็นครอบครัวใกล้ชิดกัน เหมือนพี่สอนน้องกันมากกว่า ซึ่งถ้าผู้สนใจไม่มีพื้นฐานดนตรีไทยก็สามารถเรียนได้ โดยปัจจุบันมีเยาวชนจนถึงผู้สูงวัยให้ความสนใจมาเรียนดนตรีไทยกันจำนวนมาก"

ในช่วงท้ายอาจารย์เอ้ ฝากข้อคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับดนตรีไว้ด้วยว่า "การฟังดนตรี เราฟังผ่านทางหู และรับรู้ด้วยหัวใจ ศิลปะบางอย่างไม่ต้องเข้าใจลึกซึ้ง ขอแค่รู้สึกได้ รับรู้ได้ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราก็พอ"

ย้อนดู ‘ศาลฎีกาสหรัฐฯ’ ตัดสิน ‘ม.ฮาร์วาร์ด’ ขัดรัฐธรรมนูญ หลังใช้นโยบายด้านเชื้อชาติกีดกัน ‘นักศึกษาอเมริกันเชื้อสายเอเชีย’

(16 ส.ค.67) จากช่องยูทูบ ‘ดร.อธิป อัศวานันท์’ ผู้บริหารของบริษัท ทรูคอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) รองประธานกิจการไอซีทีหอการค้าไทย นักเขียนชื่อดัง และอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยชั้นนำ ได้โพสต์คลิปวิดีโอเล่าเรื่องราวภายใต้หัวข้อ ‘มหาวิทยาลัยดังสหรัฐแพ้คดี : ต้องหยุดกีดกันเด็กเอเชีย ยกเลิกการใช้เชื้อชาติ ศาลสูงสุดตัดสิน ฮาร์วาร์ด’ ต่อกรณีมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา ใช้นโยบายหนึ่งที่เรียกว่า ‘Affirmative Action’ แต่สุดท้ายชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียกลับต้องเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า ‘Reverse Affirmative Action’ ซึ่งการเลือกปฏิบัติเชิงลบ หรือมาตรการลดโอกาสต่อพวกเขา โดยมีเนื้อหาดังนี้...

เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 2023 ศาลฎีกาของสหรัฐฯ (Supreme Court of the United States : SCOTUS) ได้มีคําตัดสินที่สะเทือนวงการ ‘การศึกษา’ โดยระบุว่าการใช้เชื้อชาติในการรับสมัครนักศึกษา เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ โดยคําตัดสินนี้เป็นผลมาจากการต่อสู้ทางกฎหมายที่ยาวนานถึงเกือบ 10 ปี ซึ่งเริ่มต้นในปี 2013 เมื่อมีการฟ้องร้อง ‘ฮาร์วาร์ด’ มหาวิทยาลัยชื่อดังของสหรัฐฯ ด้วยข้อกล่าวหาที่ว่า มีการเลือกปฏิบัติต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย

ก่อนอื่นเราต้องทําความเข้าใจว่า เด็กเอเชียที่พูดถึงในกรณีนี้คือใคร ซึ่งพวกเขาไม่ใช่นักศึกษาต่างชาติจากเอเชีย แต่เป็น ‘ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย’ 

ทั้งนี้ สหรัฐฯ มีกฎหมายที่แตกต่างจากประเทศอื่นตรงที่ใช้หลัก ‘สิทธิของดินแดน’ หรือมีหมายความว่า เด็กที่เกิดในดินแดนของสหรัฐฯ จะได้รับสัญชาติอเมริกันโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าพ่อหรือแม่จะมีสถานะทางกฎหมายอย่างไร ซึ่งนี่ถือเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดที่ว่า ‘Birthright Citizenship’ ที่ถูกระบุอยู่ในรัฐธรรมนูญ ในขณะที่ประเทศไทยใช้หลักสิทธิของ ‘สายเลือด’ ซึ่งหมายความว่าลูกของคนต่างด้าวที่เกิดในประเทศไทยจะได้สัญชาติไทยต่อเมื่อพ่อหรือแม่เป็นคนไทยเท่านั้น

สหรัฐอเมริกาถือเป็น ‘ประเทศแห่งผู้อพยพ’ ซึ่งเป็นแนวสําคัญในการสร้างชาติของอเมริกา โดยแนวคิดนี้สะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์การก่อตั้งประเทศที่เกิดขึ้นจากการอพยพของผู้คนจากทั่วโลก และยังคงเป็นส่วนสําคัญของอัตลักษณ์ของชาติอเมริกันจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ทําให้ชาวอเมริกันมีหลากหลายเชื้อชาติ โดยในวันนี้มีชาวผิวขาว 62%, ชาว Hispanic 19%, ชาวผิวดํา 12%, ชาวเอเชีย 6% และชาวอินเดียนแดง 3%

ดังนั้น หากยึดตามรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ แล้ว ไม่ว่าคุณจะเป็นเชื้อชาติอะไร แต่ตราบเท่าที่คุณเป็นสัญชาติอเมริกัน คุณจะต้องมีสิทธิที่เท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะเป็นคนต่างด้าวหรือผู้อพยพก็ตามเพราะต้องอย่าลืมว่าอเมริกาเป็นประเทศของผู้อพยพ เชื้อชาติอเมริกันที่แท้จริงก็คือชาวอินเดียนแดงที่มีอยู่เพียง 3% ของประชากร แต่ผู้ที่อพยพมาในภายหลังซึ่งรวมไปถึงชาวผิวขาว, ชาว Hispanic, ชาวผิวดํา และชาวเอเชีย มีอยู่ถึง 97% ของประชากร ซึ่งจะแตกต่างกับประเทศส่วนใหญ่ ซึ่งรวมไปถึงประเทศไทยของเรา ที่คนเชื้อชาติไทยคือคนส่วนใหญ่ของประเทศ 

นั่นหมายความว่า ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียก็คือลูก หรือหลาน หรือเหลน ของผู้ที่อพยพมาจากเอเชีย แต่ก็นับเป็นชาวอเมริกันอย่างเต็มภาคภูมิตามรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ และก็ไม่สามารถถูกมองได้ว่าเป็นคนต่างด้าวอีกต่อไป

ดร.อธิป กล่าวต่ออีกว่า เช่นนั้นแล้ว ‘Affirmative Action’ ในการรับนักศึกษาเข้ามหาวิทยาลัยคืออะไร? คําตอบก็คือนโยบายการเพิ่มโอกาสให้กับเชื้อชาติที่เสียเปรียบในการเข้ามหาวิทยาลัย เพื่อที่จะช่วยให้ชาติเหล่านั้นสามารถเข้ามหาวิทยาลัยได้ง่ายขึ้น

สำหรับ Affirmative Action เริ่มต้นในทศวรรษ 1960 ในช่วงของการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมือง โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขความไม่เท่าเทียมทางสังคมและเศรษฐกิจที่เกิดจากการเลือกปฏิบัติในอดีต ซึ่งนโยบายนี้ไม่ได้จํากัดอยู่แค่การศึกษาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการจ้างงานและการทําสัญญากับภาครัฐอีกด้วย อีกทั้งในบริบทของการศึกษา Affirmative Action ยังมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความหลากหลายในมหาวิทยาลัย และสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับกลุ่มที่เคยถูกกีดกันในอดีต และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์ที่หลากหลายในชั้นเรียน 

ทั้งนี้ เชื้อชาติที่เสียเปรียบเหล่านั้นก็คือชนกลุ่มน้อยทั้งหมด โดยยกเว้นคนอเมริกันเชื้อสายเอเชีย ซึ่งได้แก่ชาว Hispanic, ชาวผิวดํา และชาวอินเดียนแดง เนื่องจากชนกลุ่มนี้มีความเสียเปรียบทั้งในเรื่องของผลการเรียนและฐานะของครอบครัวเมื่อเทียบกับชาวผิวขาว ซึ่ง Affirmative Action นี้ไม่ได้ช่วยชาวผิวขาว เพราะชาวผิวขาวถือเป็นชนกลุ่มใหญ่ที่ทุกเผ่าพันธุ์จะถูกเปรียบเทียบด้วย แต่ในทางกลับกัน Affirmative Action กลับทําร้ายชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย เพราะทําให้เข้ามหาวิทยาลัยได้ยากขึ้น เพราะถือว่าเป็นชนกลุ่มที่ได้เปรียบทั้งในเรื่องของผลการเรียนและฐานะของครอบครัวเมื่อเทียบกับชาวผิวขาว

สรุปก็คือ Affirmative Action ทําให้ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียเข้ามหาวิทยาลัยได้ยากกว่าชาวผิวขาว แต่ก็ช่วยให้ชาว Hispanic, ชาวผิวดํา และชาวอินเดียนแดง เข้ามหาวิทยาลัยได้ง่ายกว่าชาวผิวขาว

ดร.อธิป เสริมอีกว่า ในทางปฏิบัติการใช้ Affirmative Action ในการรับนักศึกษา มักจะถูกทําในรูปแบบของการพิจารณาแบบองค์รวม ซึ่งพิจารณาปัจจัยหลากหลายนอกเหนือจากคะแนนและเกรดเฉลี่ย อย่างเช่นประสบการณ์ชีวิต ความสามารถพิเศษ และภูมิหลังทางวัฒนธรรม โดยเชื้อชาติอาจจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ถูกนํามาพิจารณา ซึ่งก็คือชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียจะต้องมีคะแนนสอบและประวัติที่สูงกว่าทุกเผ่าพันธุ์ ซึ่งรวมถึงชาวผิวขาวด้วย หากจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ในระดับเดียวกัน

หากอธิบายในอีกแง่มุมหนึ่งก็เปรียบได้ว่า แต่ละมหาวิทยาลัยมีโควตาสําหรับชาวอเมริกันในแต่ละเผ่าพันธุ์ ก็คือมีโควตาสําหรับชาวผิวขาว, ชาว Hispanic, ชาวผิวดํา, ชาวเอเชีย และชาวอินเดียแดง ซึ่งก็คือ ‘ชาวผิวขาว’ แข่งกับ ‘ชาวผิวขาว’ / ‘ชาว Hispanic’ แข่งกับ ‘ชาว Hispanic’ เป็นต้น ซึ่งมาตรฐานของแต่ละเผ่าพันธุ์ก็จะไม่เท่ากัน และชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียก็จะแข่งขันกันเองในลีกที่คะแนนสูงกว่าและยากกว่าทุกเผ่าพันธุ์

ดังนั้น Affirmative Action จึงเป็นนโยบายที่มีทั้งผู้ที่สนับสนุนและผู้ที่คัดค้าน โดยผู้ที่สนับสนุนต่างมองว่านโยบายนี้จะช่วยแก้ไขความไม่เท่าเทียมทางสังคมที่สะสมมานาน และก็เป็นการส่งเสริมความหลากหลายในมหาวิทยาลัย ที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของทุกคน และยังเป็นการเปิดโอกาสให้คนจากเผ่าพันธุ์ที่ขาดแคลนได้เข้าถึงการศึกษาระดับสูง แต่ผู้ที่คัดค้านก็ต่างมองว่า เป็นการเลือกปฏิบัติต่อบางกลุ่ม โดยเฉพาะชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย และก็ไม่ได้พิจารณาความสามารถของบุคคลอย่างแท้จริง และยังทําให้เกิดการตั้งคำถามต่อความสามารถของผู้ที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้ 

อย่างไรก็ตาม ถึงจะมี Affirmative Action หรือนโยบายการเพิ่มโอกาสให้กับเชื้อชาติที่เสียเปรียบ ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียก็ยังจะมีจํานวนที่สูงมากในหลายมหาวิทยาลัยชั้นนํา ทั้ง ๆ ที่มีจํานวนอยู่เพียงแค่ 6% ของประชากรเท่านั้น

ทั้งนี้ ดร.อธิป ได้กลับมาพูดต่อถึงเคสที่ฟ้องร้องมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่สู้กันอยู่ 10 ปี จนกระทั่งศาลสูงสุดได้ตัดสินว่า การใช้เชื้อชาติในการรับนักศึกษาเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ โดยคดีนี้เริ่มต้นเมื่อองค์กร Students for Fair Admissions หรือ SFFA ได้ฟ้องฮาร์วาร์ดในปี 2014 โดยกล่าวหาว่ามีการเลือกปฏิบัติต่อผู้สมัครชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย

โดย SFFA อ้างว่า ฮาร์วาร์ดใช้ระบบโควตาแอบแฝงที่จํากัดจํานวนนักศึกษาเชื้อสายเอเชีย ที่มีการนําเสนอหลักฐานที่สําคัญในคดี ซึ่งเป็นข้อมูลการรับสมัครตั้งแต่ปี 2014 - 2019 และข้อมูลรวมตั้งแต่ปี 2000 - 2019 ที่อ้างว่า ผู้สมัครเชื้อสายเอเชียได้คะแนนต่ำกว่ากลุ่มอื่น ๆ ในด้านคุณลักษณะส่วนบุคคลเชิงบวก และการวิเคราะห์ทางสถิติโดยนักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยหนึ่งก็ได้พบว่า ผู้สมัครเชื้อสายเอเชียก็ได้รับการลงโทษทางสถิติในคะแนนส่วนบุคคลและคะแนนโดยรวม นอกจากนี้ ก็มีการอ้างถึงรายงานภายในของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ได้ค้นพบการลงโทษทางสถิติต่อผู้สมัครเชื้อสายเอเซียจากการตรวจสอบภายใน ในปี 2013

อย่างไรก็ตาม ฮาร์วาร์ดก็ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดและอ้างว่าการพิจารณาเชื้อชาติเป็นเพียง 1 ในหลายปัจจัยเพื่อสร้างความหลากหลาย และถึงแม้ว่าฮาร์วาร์ดจะชนะในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่ศาลฎีกากลับตัดสินในวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 2023 ด้วยคะแนนเสียง 6 ต่อ 2 ว่า การใช้เชื้อชาติในการรับนักศึกษาเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ

แน่นอนว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีทั้งฝ่ายที่สนับสนุนคําตัดสินของศาลสูงสุดและฝ่ายที่ไม่สนับสนุน โดยฝ่ายที่สนับสนุนมองว่าเป็นการยุติการเลือกปฏิบัติ และในขณะที่ฝ่ายคัดค้านกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อความหลากหลาย และโอกาสทางการศึกษาของกลุ่มที่เคยเสียเปรียบในอดีต

สุดท้าย ดร.อธิป ได้เน้นย้ำเพิ่มเติมว่า “Affirmative Action มีผลโดยตรงกับชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย และยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่า ชาวเอเชียที่มาจากเอเชียอย่างพวกเราจะได้รับผลกระทบโดยตรงจาก Affirmative Action ในรูปแบบที่เหมือนหรือแตกต่างอย่างไร และผลของการตัดสินนี้จะเกิดเป็นผลบวกหรือลบอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ มหาวิทยาลัยทั้งสหรัฐฯ จะต้องทบทวนและปรับเปลี่ยนนโยบายการรับนักศึกษาทั้งหมด ซึ่งอาจจะส่งผลต่อสัดส่วนของการรับนักศึกษา ต่างชาติด้วย ซึ่งเรื่องนี้นักศึกษาต่างชาติก็ควรติดตามการเปลี่ยนแปลงและนโยบายของแต่ละมหาวิทยาลัยอย่างใกล้ชิด”

“ยิ่งไปกว่านั้น อรื่องนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เพราะฉะนั้นพวกเราจึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในปีต่อ ๆ ไป และท้ายที่สุดการยกเลิกกับ Affirmative Action อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบการศึกษาระดับอุดมศึกษาของสหรัฐอเมริกา ที่เราก็คงจะต้องติดตามดูว่าสหรัฐอเมริกาจะสามารถรักษาสมดุลระหว่าง ‘ความเป็นธรรม’ และ ‘ความหลากหลาย’ ในระบบการศึกษาได้อย่างไรในอนาคต”

‘แพทองธาร’ ขอบคุณทุกคะแนนเสียงโหวตนั่งนายกรัฐมนตรี ประกาศพร้อมเดินหน้าทำงานอย่างตั้งใจ สร้างโอกาส ยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยทุกคน

วันที่ 16 สิงหาคม 2567 เวลา 14.08 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย  แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนครั้งแรกภายหลังสภาผู้แทนราษฎร 319 เสียง ลงมติเห็นชอบนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 

นางสาวแพทองธาร กล่าวขอบคุณทุกคะแนนเสียงโหวตจากตัวแทนประชาชนทุกท่าน ดิฉันและทีม จะทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ใดก็ตามที่ได้รับมอบหมาย ขอขอบคุณนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี  ที่ทำงานมาอย่างหนักมาโดยตลอดเกือบ 1 ปีเต็ม เราทุกคนพร้อมจะทำงานหนักเพื่อพี่น้องประชาชนต่อไป“

ผู้สื่อข่าวสอบถามว่า ความตั้งใจแรกที่จะทำคืออะไร นางสาวแพทองธารกล่าวว่า ขอให้มีการเสนอรายชื่อและโปรดเกล้าก่อนที่จะมีการพูดถึงรายละเอียดในการบริหารต่อไป วันนี้ตั้งใจเพื่อขอบคุณคะแนนโหวตมากกว่า

ผู้สื่อข่าวถามว่า คนแรกที่แสดงความยินดีคือใคร  นางสาวแพทองธาร ตอบว่า สามี พี่ชาย และพี่สาว  ซึ่งอยู่ด้วยกันในขณะติดตามการโหวต  และได้โทรคุยกับคุณพ่อคุณแม่  โดยคุณพ่อโดย Facetime บอกว่า เมื่อได้รับการนำเสนอชื่อทูลเกล้าและโปรดเกล้าฯ แล้ว ขอให้ทำเต็มที่ ดีใจที่หวังว่าจะได้เห็นลูกสาวได้รับตำแหน่ง (นายกรัฐมนตรี) ก่อนที่ท่านจะเป็นอัลไซเมอร์ เป็นอะไรไป ท่านบอกแบบนี้ เพราะท่านอายุมากแล้ว  (หัวเราะ) พูดกันเล่นๆ ก็เป็นกำลังใจให้กันเสมอ คุณแม่ เป็นห่วงเสมอ บอกคุณแม่ว่าจะดูแลตัวเองให้ดี 

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีแรงกดดันหรือไม่ นางสาวแพทองธารตอบว่า ความกดดัน เราสามารถจัดการกับมันได้ การทำงาน ใน mindset ที่เข้ามาทำงานตั้งแต่ก้าวเข้ามาทำงานการเมือง ไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นคนที่ดีที่สุด เก่งที่สุดในห้อง แต่คิดเสมอว่าเรามีแรงผลักดันที่ชัดเจน เรามีทีมที่ดี ทีมของเราเข้มแข็ง มีประสบการณ์ มีความตั้งใจและคิดไปในแนวทางเดียวกับเรา คือสิ่งที่ตนเองให้คุณค่า (Value) ตรงนี้มากๆ ไม่ว่าจะอยู่ตำแหน่งตรงไหนก็ตาม  เมื่อเรามีทีมที่ดี เราจะประสบความสำเร็จได้ 

ทั้งนี้ นางสาวแพทองธาร ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวต่างประเทศว่า ตนมีความคาดหวังว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชนว่า ‘เรา พรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาล’ จะร่วมกันสร้างโอกาสและยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างพลังให้กับคนไทยทุกคน 

(I really hope that I can make the people feels confident about that we can to built opportunity and to improve the quality of life and to empower to all Thais)

ผู้สื่อข่าวต่างประเทศถามว่า คุณรู้สึกอย่างไรเมื่อได้รับการยืนยันว่านายเศรษฐา ต้องออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (What was on your my when confirm the Prime minister left? )

นางสาวแพทองธาร ตอบว่า  มีความรู้สึกสับสน และในขณะนั้นยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรหลังจากผลของคำนิจฉัยของศาลออกมา เมื่อผลเป็นเช่นนั้น ตนรู้สึกเสียใจ เพราะไม่ได้คาดหวังว่าผล (ของคำวินิจฉัย) จะเป็นอย่างนั้น 

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ได้รู้ผลคำวินิจฉัยหลังจากที่เดินทางกลับจากจีน และรู้ผลหลังจากเปิดโทรศัพท์มือถือและอ่านข่าว ตอนนั้นเกิดความรู้สึกว่า ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็นอย่างนี้ ตนรู้สึกเสียใจมาก และได้คุยกับคุณเศรษฐา พูดคุยกับครอบครัว และพูดคุยกับคนในพรรคหลายคน จนตัดสินใจได้ว่า ถึงเวลาแล้วที่จะทำอะไรสักอย่าง เพื่อประเทศ และเพื่อพรรคเพื่อไทยด้วย ตนจะทำเต็มที่เพื่อให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า 

ตอนนี้ วันนี้ รู้สึกเป็นเกียรติและมีความสุขมาก ยืนยันว่าทำดีที่สุดในทุกๆ วันและในทุกโอกาสที่มี  แม้มีหลายอย่างเกิดขึ้น หากตนทำดีที่สุดเสมอ และนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้เสมอ เชื่อว่าทุกอย่างจะลุล่วงไปได้ด้วยดี

(I was very confused and I didn’t know what to do when the result come out and I felt very bad because I didn't expect the result to be right that at all. 

On Wednesday, I heard the result because I was on a plane flying back from China. So, when I turned on my phone and then I read the news. I felt almost like I didn’t know it gonna happen like this. I was very sad and I got back up again and I talked to Khun Srettha and I talked to my family and I talked to a lot of people from my party. And I decided that it’s about time to do something for the country and for the party as well and I hope that I can do my best to make the country go forward. That’s what I try to do. Right now, today I feel very honored and I feel very happy.

To do my best in everyday and in every opportunity that I have. I think that’s make me feels like. You know that a lot of things going on around me. If I always do my best and always think about what is happening right now right here in front of my face, I will be fine.

Thank you all for coming) 

‘เสก โลโซ’ ยัน!! รักและเคารพ ‘แอ๊ด คาราบาว’ เสมอมา ไม่เคยตะเพิดหรือมองเป็นศัตรู อย่างที่บางเพจนำเสนอ

สืบเนื่องจากกรณีที่ ‘แอ๊ด คาราบาว’ หรือ ‘ยืนยง โอภากุล’ นักร้องเพื่อชีวิตชื่อดัง ได้โพสต์เฟซบุ๊กให้กำลังใจ ‘พรรคก้าวไกล’ หลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรค ด้วยข้อความขอแสดงความเสียใจด้วย กับความไม่เป็นธรรมในบ้านเมืองเรายุคนี้ จนเกิดกระแสต่อต้าน เรียกร้องให้ถอดแอ๊ด คาราบาว ออกจากตำแหน่ง ‘ศิลปินแห่งชาติ’

ล่าสุด เฟซบุ๊ก ‘SEK LOSO’ ของ ‘เสก โลโซ’ หรือ ‘เสกสรรค์ ศุขพิมาย’ ร็อกเกอร์ชื่อดัง ได้แชร์โพสต์เพจหนึ่งซึ่งนำเสนอข้อมูลว่า “แอ๊ด คาราบาว ฟัง เสก โลโซ ‘กูไม่มีเงินเยอะ แต่กูมีหัวใจที่งดงาม’ ตะเพิดพวกล้มล้าง มึงเป็นศัตรูกับกู” พร้อมยืนยันว่าข่าวดังกล่าวมั่วมาก ตนไม่เคยให้สัมภาษณ์แบบนี้ 

“ข่าวนี้เป็นข่าวที่มั่วมาก ผมไม่เคยพูดหรือให้สัมภาษณ์แบบนี้ ผมรักพี่แอ๊ดอย่างบริสุทธิ์หัวใจ เคารพในการตัดสินใจของพี่แอ๊ดเสมอ ผมและพี่แอ๊ดรักและเทิดทูนในชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์สุดหัวใจ จึงแจ้งมาเพื่อความเข้าใจและให้ทราบโดยทั่วกัน…”

สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย จัดโครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายการให้ความช่วยเหลือคนพิการทางจิตและการบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐและเอกชนรุ่นที่ 4 ภาคใต้

นายอำนวย พิณสุวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ให้เกียรติมาเป็นประธานเปิดโครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายการให้ความช่วยเหลือคนพิการทางจิต และการบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน รุ่นที่ 4 ภาคใต้ ระหว่างวันที่ 15 - 17 สิงหาคม 2567 ณ ห้องประชุมทานตะวัน ชั้น 1 โรงแรม หาดใหญ่ พาราไดซ์ โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา

โดยมี นายกสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย / กรรมการและที่ปรึกษาสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย คณะกรรมการภาคใต้ ผู้แทนตำรวจภูธรภาค 8 และภาค 9 ผู้แทนหน่วยงานสาธารณสุข ในเขตพื้นที่ภาคใต้ ผู้แทนจากกรมสุขภาพจิต ผู้แทนสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งภาคใต้จังหวัดนครศรีธรรมราช (บ้านสิชล) ผู้มีเกียรติ ร่วมงาน

นายอำนวย พิณสุวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา กล่าวว่า โครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่าย การให้ความช่วยเหลือคนพิการทางจิตและการบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐและเอกชน ในวันนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อต้องการให้ผู้เข้าร่วมงานทุกท่าน
ได้รับความรู้ มีความเข้าใจ ในเรื่องสิทธิด้านต่างๆ สำหรับคนพิการ โดยเฉพาะการดูแล ผู้ป่วยจิตเวชที่มีความเสี่ยงสูง ต่อการก่อความรุนแรง และการฆ่าตัวตาย  รวมทั้ง เน้นให้เห็นความสำคัญของครอบครัว เพื่อลดความรุนแรง รวมทั้งเพื่อให้ได้แนวทางและขั้นตอนในการให้ความช่วยเหลือคนพิการทางจิตอย่างถูกวิธี ตามพระราชบัญญัติสุขภาพจิต และพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
 
นางวัลยา ลามะ ประธานเครือข่ายสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย สาขาภาคใต้ กล่าวว่า โครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายการให้ความช่วยเหลือคนพิการทางจิต และการบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน มีวัตถุประสงค์ของเพื่อให้เกิดแกนนำเครือข่ายภาคปฏิบัติ ที่มีความรู้ความเข้าใจขั้นตอนการให้ความช่วยเหลือคนพิการทางจิตเมื่ออยู่ในภาวะต่างๆได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และทันเหตุการณ์ เพื่อให้ได้แนวทาง และขั้นตอนในการให้ความช่วยเหลือคนพิการทางจิตอย่างถูกวิธี ตามพระราชบัญญัติสุขภาพจิต และ พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ จากการทำแผนงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในพื้นที่และส่วนกลาง

สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย ก่อตั้งเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2546 จนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลา 21 ปี การจัดโครงการฯในวันนี้ จะดำเนินการระหว่างวันที่  15 – 17 สิงหาคม 2567 โดยจะมีการจัดกิจกรรมทั้งหมดจำนวน 5 รุ่น แบ่งเป็น รุ่นที่ 1 ภาคเหนือ จำนวน 140 คน รุ่นที่ 2 ภาคกลาง จำนวน 139 คน รุ่นที่ 3 ภาคอีสาน จำนวน 154 คน รุ่นที่ 4 ภาคใต้ จำนวน 117 คน และรุ่นที่ 5 ภาคตะวันออก จำนวน 76 คน รวมกลุ่มเป้าหมายทั้งโครงการจำนวน 626 คน 

กลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการในรุ่นที่ 4 ภาคใต้ ประกอบด้วยคณะกรรมการภาคใต้หรือผู้แทน คณะกรรมการและกรรมการที่ปรึกษาสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทยหรือผู้แทน ที่ปรึกษาสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย ผู้แทนตำตรวจภูธรภาค 8 และภาค 9 ผู้แทนหน่วยงานสาธารณสุขในเขตพื้นที่ภาคใต้ ผู้แทนจากกรมสุขภาพจิต ผู้แทนสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งภาคใต้จังหวัดนครศรีธรรมราช (บ้านสิชล) ผู้สังเกตการณ์ วิทยากรและคณะทำงาน รวมจำนวน 117 คน  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top