‘เศรษฐา ทวีสิน’ นายกฯ ไทย ผู้มีสไตล์การทำงานเป็นของตัวเอง แต่ยังคงความนอบน้อมตามสมัยนิยม
✨ถือเป็น นายกฯ คนหนึ่ง ที่มีบุคลิกอ่อนน้อมตามสมัยนิยม แต่ก็มีสไตล์การทำงานและเข้าถึงประชาชนแบบที่เป็นตัวของตัวเอง

✨ถือเป็น นายกฯ คนหนึ่ง ที่มีบุคลิกอ่อนน้อมตามสมัยนิยม แต่ก็มีสไตล์การทำงานและเข้าถึงประชาชนแบบที่เป็นตัวของตัวเอง
👍แม้แต่วันที่ท่านสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักที่สุด ก็ยังอยู่ในหน้าที่และภารกิจ
(15 ส.ค. 67) ที่รัฐสภา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รักษาการรองนายกฯ และ รมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) พร้อมด้วยสมาชิกพรรค ร่วมกันแถลงภายหลังการประชุมพรรค โดยนายพีระพันธุ์ กล่าวว่า จุดยืนของพรรคขอสนับสนุนให้แคนดิเดตของพรรคเพื่อไทยเป็นนายกฯ อย่างไรก็ตาม พรรครวมไทยสร้างชาติยังยืนยันว่าต้องไม่มีนโยบายที่จะแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112
เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่จะให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี กลับมาเป็นนายกฯ? นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า "พล.อ.ประยุทธ์ คงไม่กลับมา เพราะเป็นองคมนตรีแล้ว อย่าเอาข่าวแบบนี้มาทำให้มีปัญหาเพราะองคมนตรีไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง อีกทั้งตามมารยาทแล้ว พรรครวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคร่วมรัฐบาลแต่แรก ก็ต้องให้สิทธิกับพรรคแกนนำรัฐบาลก่อน ทั้งนี้ การทำงานของรัฐบาลยังคงต่อเนื่อง เพียงแค่เปลี่ยนตัวนายกฯ เท่านั้น โดยโควตาของรัฐมนตรีเท่าที่ทราบมา ทุกพรรคก็ทำงานต่อเหมือนเดิม ส่วนความพึงพอใจนั้นพรรครวมไทยสร้างชาติก็พอใจการทำงานที่ผ่านมา ส่วนพรรคอื่นต้องไปถามเอาเอง"
เมื่อถามถึงความกังวลในด้านสุขภาพของนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทย? นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า "ตนก็ไม่ทราบเพราะจากข่าวก็ยังไม่มีการสรุปว่าแคนดิเดตจะเป็นนายชัยเกษม ซึ่งจากข่าวที่ออกมาก็ทราบเพิ่มว่าพรรคเพื่อไทยจะประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคอีกครั้งในช่วงบ่ายวันนี้ เรื่องโดยมารยาทต้องเป็นเรื่องของพรรคแกนนำ ส่วนเรื่องปัญหาก็ต้องให้พรรคหลักเป็นผู้จัดการ"
เมื่อถามว่าทางพรรคพร้อมที่จะสนับสนุนโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของพรรคเพื่อไทยต่อใช่หรือไม่? นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า "ในเรื่องของนโยบายยังยึดเช่นเดิม แม้ว่าก่อนหน้านี้พรรครวมไทยสร้างชาติจะกังวลว่านโยบายนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จนกระทั่งมีการชี้แจงจากคณะกรรมการกฤษฎีกา และกระทรวงการคลังว่าสามารถทำได้ อย่างไรก็ตาม ก็ต้องให้พรรคเพื่อไทยเป็นผู้ชี้แจงว่าจะมีปัญหาหรือทำต่อไปได้หรือไม่"
(15 ส.ค.67) บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ - ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ได้รับเกียรติจาก นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รักษาการรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม, นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบการควบคุมทางสรรพสามิต และ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) พร้อมคณะและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมเปิดไลน์การผลิตรถไฮบริดรุ่นล่าสุด ALL NEW MG3 HYBRID+ ก่อนเปิดตัวและประกาศราคาอย่างเป็นทางการในไทย วันที่ 20 สิงหาคม นี้ พร้อมเยี่ยมชมฐานการผลิตรถยนต์เอ็มจีในไทย ที่ครอบคลุมการผลิตรถยนต์ในทุกรูปแบบการขับเคลื่อน ทั้งรถยนต์สันดาปภายใน รถยนต์พลังงานทางเลือก และรถยนต์พลังงานไฟฟ้า รวมถึงโรงงานประกอบแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าแห่งแรก ในประเทศไทย พร้อมแสดงศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ที่ครอบคลุม
สำหรับ โรงงานผลิตรถยนต์แบบครบวงจรของ เอ็มจี ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 2 (WHA ESIE 2) จังหวัดชลบุรี บนพื้นที่ทั้งหมด 437.5 ไร่ พัฒนาขึ้นภายใต้งบการลงทุนที่สูงถึงกว่า 30,000 ล้านบาท ซึ่ง เอ็มจี ถือเป็นแบรนด์รถยนต์จีนที่มีการลงทุนตั้งฐานการผลิตในไทยสูงเป็นอันดับต้น ๆ กับจุดเด่นของโรงงานที่สามารถผลิตและประกอบรถยนต์ครอบคลุมทุกรูปแบบการขับเคลื่อนด้วยกำลังการผลิตสูงสุด 100,000 คันต่อปี
โดยมีพื้นที่ของโรงประกอบตัวถัง (Body Shop) โรงพ่นสีรถยนต์ (Paint Shop) โรงประกอบรถ (General Assembly Shop) ครอบคลุม ไปถึงส่วนของคลังจัดเก็บอะไหล่เพื่อรองรับรถยนต์ของเอ็มจีทุกรุ่น รวมถึงพื้นที่ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK ซึ่งประกอบด้วย โรงประกอบแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน
ส่วนภายในโรงงานมีการจัดสรรพื้นที่เป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ ได้แก่ ส่วนการประกอบแบตเตอรี่ ประกอบด้วยสายการผลิตอัตโนมัติที่ทันสมัยอย่างการนำหุ่นยนต์ (Robotic) เข้ามาช่วยในการผลิตเพื่อให้ได้มาตรฐานที่แม่นยำสามารถประกอบแบตเตอรี่ Cell-To Pack ได้สูงสุดมากกว่า 50,000 แพ็คต่อปี
ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยกว่า 10 ปี เอ็มจี ยังคงพัฒนาแบรนด์อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยอย่างครอบคลุม ในฐานะผู้บุกเบิกยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ โดย เอ็มจี ได้มีพัฒนาและขยาย MG EV ECOSYSTEM เพื่อรองรับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต พร้อมทั้ง ให้ความร่วมมือกับภาครัฐในนโยบายส่งเสริมต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายให้คนไทยได้ใช้ยานยนต์คุณภาพในราคา ที่เข้าถึงได้ ซึ่งล่าสุด เอ็มจี ได้เริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ เริ่มต้นด้วยโกลบอลโมเดลอย่าง NEW MG4 ELECTRIC
นอกจากนี้ เอ็มจี ยังสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานทางเลือกอย่างยั่งยืน ด้วยการขยายไลน์การผลิตเพื่อรองรับการผลิตรถไฮบริดอย่าง ALL NEW MG3 HYBRID+ ซึ่งการดำเนินการเหล่านี้ ตอกย้ำให้เห็นถึงเทคโนโลยียานยนต์ที่ผสมผสานทั้งระบบเครื่องยนต์สันดาปภายใน และระบบไฟฟ้า เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ ให้สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสอดรับกับทิศทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นอีกหนึ่งเซ็กเมนต์ ที่ไทยมีโอกาสเป็นฐานการผลิตระดับโลกได้ต่อไป
เมื่อวานนี้ (14 ส.ค. 67) ที่กระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีมติ 5:4 ถอดถอนนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า ตกใจ และขอส่งกำลังใจ จากกระทรวงมหาดไทยให้กับ นายเศรษฐา ทวีสิน จากข้าราชการกระทรวงมหาดไทยทุกคน
ผู้สื่อข่าวถามว่าส่วนกรณี ครม. ที่จะต้องพ้นตำแหน่งไปด้วย จากนี้การเมืองจะต้องไปพูดคุยกับพรรคแกนนำเพื่อไทยหรือไม่ นายอนุทินระบุว่า ขออย่าพึ่งพูดเรื่องนี้ คำวินิจฉัยเพิ่งออกมาไม่ถึงชั่วโมง ตอนนี้ต่างฝ่ายต่างต้องไปหารือกัน แต่ดีที่สุด คือทุกคนต้องเคารพกติกา แบบที่ตนพูดถึงมาเสมอในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
ผู้สื่อข่าวถามย้ำอีกว่า ตอนนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า แสงสปอตไลต์ส่องไปที่นายอนุทิน พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายอนุทิน ระบุว่า ยืนยันว่าเราเคารพกติกา มันมีแนวทางปฏิบัติอยู่แล้ว ดังนั้นการเคารพกติกาเป็นสิ่งที่ดีที่สุด การจะไปอยู่ตำแหน่งใดนั้น ไปอยู่แล้วไม่เกิดประโยชน์สูงสุดแก่บ้านเมือง ได้ประโยชน์คนเดียว กลุ่มเดียว บางทีเราอยู่ช่วยเหลือคนอื่น ทำให้รัฐนาวา ลอยพ้นพายุนี้ไปได้ มันอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ทั้งนี้ยืนยันว่าพรรคร่วมรัฐบาลยังเหนียวแน่น วันนี้ตนเห็นใจท่านนายกฯ ตอนนี้ขอส่งกำลังใจให้ท่านก่อน ซึ่งตอนแรกตั้งใจจะไปส่งที่ทำเนียบ แต่ไม่ทันเพราะนายกรัฐมนตรีกลับไปแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามต่อในส่วนของพรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน เป็นแคนดิเดต มีความพร้อมเป็นอย่างไร นายอนุทิน ยืนยันว่าไม่คิดถึงเรื่องอะไรทั้งสิ้นในตอนนี้ เพราะรัฐบาลก็ยังรักษาการอยู่ ที่อาจจะเป็นนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกฯ เพราะฉะนั้นเราต้องเคารพกติกา มารยาท ที่พรรคเพื่อไทยยังเป็นแกนนำ เมื่อถามย้ำว่าตกใจใช่หรือไม่ นายอนุทิน ระบุว่าเห็นใจ
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการเรียกประชุมพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ก็คงต้องให้เกียรติพรรคเพื่อไทยก่อน ที่มีแคนดิเดตนายกฯ สองคน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับภารกิจของนายอนุทิน ซึ่งตามกำหนดจะมีภารกิจลงพื้นที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ระหว่างวันที่ 15 สิงหาคม ซึ่งเป็นการปฏิบัติภารกิจในส่วนของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) แต่ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วยทั้งคณะ โดยอยู่ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทำให้นายอนุทินได้ยกเลิกภารกิจที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ทันที
พลันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5 : 4 เสียง มีคำสั่งให้นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกฯ จากกรณีการเสนอชื่อนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ
หลังนายเศรษฐา ทำงานในตำแหน่งนายกฯ ได้ 358 วัน หรือเกือบ 1 ปี ผลงานภายใต้การบริหารงานของ ‘นายกฯ นิด’ มีหลายนโยบายที่ผลักดันสำเร็จ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ที่ถือว่าเป็นมาตรการเร่งด่วนของรัฐบาล ได้แก่…
1.นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ด้วยการให้วีซ่าฟรีนักท่องเที่ยวทั้งจีน , คาซัคสถาน, อินเดีย, ไต้หวัน, และรัสเซีย
2.การปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ วุฒิปริญญาตรี เงินเดือน 18,150 บ.โดยจะปรับขึ้นในอัตรา 10% เป็นระยะเวลา 2 ปี ในปีงบประมาณ 2567 - 2568 การปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุ ทยอยปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุตามคุณวุฒิเพิ่มขึ้น (ทุกคุณวุฒิ) ในอัตราร้อยละ 10 ภายใน 2 ปี
3.การขยายเวลาให้สถานบริการใน 5 จังหวัด/พื้นที่ ประกอบด้วย สถานบริการในท้องที่ กรุงเทพมหานคร, จ.ภูเก็ต, จ.ชลบุรี, จ.เชียงใหม่ และ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี รวมถึงสถานบริการที่ตั้งที่อยู่ในสถานที่ตั้งโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรมทั่วประเทศ ให้เปิดบริการได้ถึงเวลา 4.00 น. ของวันรุ่งขึ้นได้
4.การประกาศแก้ปัญหาหนี้เป็นวาระแห่งชาติ โดยเดินหน้านโยบายพักหนี้เกษตรกรเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2566 และการเดินหน้าแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ
5.การปรับลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสาย โดยเริ่มต้นจากรถไฟฟ้า 2 สาย คือ รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง (ตลิ่งชัน-บางซื่อ-รังสิต) และรถไฟฟ้าสายสีม่วง (คลองบางไผ่-เตาปูน) และเตรียมขยายต่อในเส้นทางอื่น ๆ
6.เปิดการเดินทางระหว่าง 2 ประเทศ คือ ไทยและลาว ด้วยการโดยให้บริการรถไฟจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ไปยังสถานีเวียงจันทน์ (คำสะหวาด) ประเทศลาว
7.การลดภาระค่าครองชีพ ด้วยการปรับลดราคาค่าไฟฟ้า ปรับลดราคาน้ำมัน และตรึงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้ม LPG เพื่อช่วยเหลือประชาชน
8.ปรับแก้กฎหมายให้ชาวต่างชาติเช่าที่ดินได้นานขึ้นจาก 50 ปีเป็น 99 ปี และการถือกรรมสิทธิ์ห้องชุด เพิ่มสัดส่วนจาก 49% เป็น 75%
9.ขายข้าวเก่า 10 ปี จากโครงการรับจำนำข้าวล็อตสุดท้าย ปริมาณ 15,000 ตัน ถือเป็นการปิดฉากมหากาพย์โครงการรับจำนำข้าว โดยสามารถนำเงินส่งเข้าคลังได้กว่า 270 ล้านบาท
10.การเปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนดที่ดินเพื่อการเกษตร เป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2567 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 15 ม.ค.2567 ที่ผ่านมา
11.แก้ไขกฎกระทรวง สธ.กำหนดให้ครอบครองยาบ้า 1 เม็ด และ ยาไอซ์ 100 มก.โดยยึดหลักการผู้เสพเป็นผู้ป่วย โดยแก้ไขกฎกระทรวงใหม่จากครอบครองยาบ้า 5 เม็ด และยาไอซ์ 500 มก.
12.การผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แพ่งและพาณิชย์ หรือ กฎหมายสมรสเท่าเทียม ผ่านการพิจารณาของ สส.และ สว.ซึ่งจะทำให้มีผลในช่วงปลายปีนี้
13.ยกระดับโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค โดยปรับเป็น ‘30 บาทรักษาทุกที่’ ซึ่งเป็นการยกระดับบริการของ สปสช. ตามนโยบายรัฐบาล ไม่ต้องขอใบส่งตัวอีกแล้ว โดยประชาชนที่มีสิทธิบัตรทอง 30 บาท หรือสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สามารถเข้ารักษาในสถานพยาบาลในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้ทุกแห่ง
14.การช่วยเหลือแรงงานที่ทำงานในประเทศอิสราเอล ที่เผชิญวิกฤตสงครามสู้รบระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ กลับสู่ประเทศไทยได้เกือบ 15,000 คน และนำร่างแรงงานผู้เสียชีวิตกลับสู่มาตุภูมิได้สำเร็จ
ขณะที่ โครงการเรือธงของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยทั้ง ‘โครงการดิจิทัลวอลเล็ต’ วงเงิน 10,000 บ.ที่เริ่มต้นเปิดให้ลงทะเบียนแล้ว ซึ่งแต่เดิมคาดหมายว่าจะเริ่มได้ช่วงปลายปีนี้หรือในช่วงปีหน้า หรือ ‘โครงการแลนด์บริดจ์’ และ ‘นโยบายซอฟต์พาวเวอร์’ จะมีอนาคตเป็นอย่างไร โดยนายเศรษฐาตอบคำถามสื่อมวลชน ว่าขึ้นอยู่กับ ‘นายกฯ คนใหม่’
(15 ส.ค. 67) นายอาเบล เติ้ง ประธานกรรมการ ฝ่ายขายกลุ่มธุรกิจเครือข่ายโทรคมนาคม ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ของ Huawei กล่าวในงาน Asia-Pacific ICT Summit 2024 ถึงศักยภาพของเทคโนโลยี 5.5G และบทบาทในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ว่าในขณะที่ 4G เคยสร้างรูปแบบธุรกิจใหม่และโอกาสในการทำงานของหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ 5G จะยิ่งเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในอุตสาหกรรมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก คาดว่าการเพิ่มขึ้นของการใช้งาน 5G ทุก ๆ 10% จะทำให้ GDP เติบโต 1% ถึง 1.8% และ 5G สามารถเพิ่มผลผลิตให้อุตสาหกรรมดั้งเดิมได้ 10% ถึง 20% สถิติเหล่านี้จึงสะท้อนทิศทางที่สดใสของตลาด 5.5G ในภูมิภาค
"เทอร์มินัลมากกว่า 30 ประเภทรองรับ 5.5G และผู้ให้บริการมากกว่า 60 รายได้เปิดตัว 5.5G ในเชิงพาณิชย์แล้ว โดยโอเปอเรเตอร์บางรายได้นำ 5.5G มาใช้ในเครือข่ายขนาดใหญ่ จึงชัดเจนว่าการผสมผสานระหว่าง AI และ 5.5G จะขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย ซึ่งในการจัดส่งสมาร์ทโฟน AI ทั่วโลกที่จะสูงถึง 170 ล้านเครื่องในปี 2024 ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอาจคิดเป็น 40-50% ของการจัดส่งเหล่านี้"
อาเบลย้ำว่าวันนี้มีโครงการ 5G B2B มากกว่า 13,000 โครงการทั่วโลก ทำให้บริการด้าน 5G รูปแบบใหม่กำลังเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด โอเปอเรเตอร์จึงเริ่มสร้างรายได้จากการมอบประสบการณ์ที่หลากหลายให้ผู้ใช้ ที่จะได้ใช้งานดิจิทัลแบบลื่นไหลบนความสามารถของ 5.5G ตั้งแต่การปรับปรุงความเร็วแบนด์วิดท์ การรองรับความหนาแน่นของการเชื่อมต่อได้มากขึ้น ความแม่นยำในการระบุตำแหน่งที่ทำให้เล่นเกมได้ดีขึ้น และประสิทธิภาพด้านพลังงานที่ประหยัดกว่าเมื่อเทียบกับ 5G
5.5G ของ Huawei จะรองรับแอปพลิเคชันใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี XR (extended reality) เสมือนจริง การส่งสัญญาณระบบภาพความละเอียดสูงพิเศษ และการเชื่อมต่อของอุปกรณ์ IoT ที่ทุกสิ่งล้วนต้องออนไลน์ ทั้งหมดนี้เป็นผลจากความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุด 10 กิกะบิตต่อวินาที (เร็วกว่า 5G ถึง 10 เท่า) ความหน่วงต่ำกว่า 1 มิลลิวินาทีจนผู้ให้บริการสามารถรับประกันคุณภาพหรือ SLA ได้แบบกำหนดเอง ที่สำคัญคือรองรับ AI และเครือข่ายอัตโนมัติดีกว่าเพราะประสิทธิภาพและการจัดการเครือข่ายที่ดีขึ้น
ในขณะที่ย้ำว่าเทคโนโลยี 5.5G ช่วยให้โอเปอเรเตอร์สามารถให้บริการแนวใหม่ เช่น Massive IoT ประสบการณ์ 3D/MR/XR การสื่อสาร V2X และแอปพลิเคชัน AI ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ Huawei ได้ส่งสัญญาณกำลังร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมและสถาบันการศึกษาเพื่อสร้างระบบนิเวศ 5.5G ที่แข็งแกร่งในประเทศไทย ทั้งเอไอเอสและทรูที่เข้าร่วมแสดงวิสัยทัศน์บนเวทีงานประชุมเมื่อวันที่ 14-15 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นงานที่จัดแสดงการใช้งานเทคโนโลยี 5G และ 5.5G ในรูปแบบต่าง ๆ ตั้งแต่โรงงานอัจฉริยะ รถแท็กซี่ไร้คนขับ และการชอปปิ้งด้วย AI
มาร์ก ชง ชิน กก (Mark Chong Chin Kok) รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส กล่าวว่าเครือข่าย 5G ของ AIS นั้นครอบคลุมพื้นที่ 95% ของไทย ทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีพื้นที่เครือข่าย 5G ครอบคลุมมากที่สุด และบริษัทจะยังคงขยายการลงทุนเพื่อให้ลูกค้ามั่นใจในศักยภาพของเครือข่าย ขณะที่ นายฮาว ริ เร็น (How Lih Ren) หัวหน้าสายงานการพาณิชย์ พันธมิตรเชิงกลยุทธ์และเทเลคอม-เทค บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทใช้ AI ในการพัฒนาบริการลูกค้าทั้งดีแทคและทรูอย่างเป็นเนื้อเดียว และในปี 2024 คนไทยจะได้เห็นบริการแชตบอตของบริษัทในรูปผู้ช่วยส่วนตัวชื่อมะลิ ซึ่งแม้ทั้งคู่จะไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดการลงทุน แต่ก็ถือเป็นสัญญาณการเปิดทางให้บริการและโอกาสทางธุรกิจใหม่ในไทยในช่วง 5 ปีที่ 6G จะยังไม่เกิด
สำหรับงาน Asia-Pacific ICT Summit 2024 นั้นเป็นงานแสดงโมเดลอัจฉริยะหลากหลายสำหรับชีวิตดิจิทัล ทั้งด้านการทำงาน การแพทย์ รวมถึงบ้านอัจฉริยะ Wi-Fi 7 และนวัตกรรมระดับอุตสาหกรรม ซึ่งส่วนใหญ่เปิดให้งานในหลายเมืองใหญ่ของจีนเรียบร้อย
เมื่อปลายเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา คอลูกหนังไทยต่างพุ่งความสนใจไปที่ศึกฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก รอบสอง กลุ่มซี ระหว่างทีมชาติไทย ปะทะ เกาหลีใต้ ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน แม้สกอร์จะจบลงที่ช้างศึกแพ้โสมขาว 0-3 แต่หนึ่งในแฟนพันธุ์แท้ (กิตติมศักดิ์) ฟุตบอลไทย ก็ยังส่งกำลังใจจากให้พลพรรคทีมชาติทั้งในสนามและผ่านบัญชี X.COM
"...วันนี้ทีมชาติไทยทำเต็มที่แล้วครับ ตัวผมเป็นแฟนคลับที่ติดตามเชียร์ และส่งกำลังใจให้ทุกคน ในทุก ๆ แมตช์แน่นอน" นั่นคือข้อความจากใจนายกรัฐมนตรี 'เศรษฐา ทวีสิน' ผู้เชื่อมั่นในศักยภาพนักเตะไทย
ก่อนเกมเริ่ม 'นายกฯ นิด' ยังบอก “...ตั้งแต่ผมดูฟุตบอลไทยในบ้านเรา ไม่เคยเห็นคนเยอะขนาดนี้เลย ดีใจที่วันนี้ได้มาส่งกำลังใจ และส่งเสียงเชียร์แบบติดขอบสนาม ก่อนการแข่งขันผมจึงแวะมาให้กำลังใจนักกีฬาทุกคนที่ห้องพักนักกีฬาครับ”
ส่งใจสนับสนุนและพาบอลไทยไปบอลโลก
ช่วงปี ค.ศ. 1970 - 80 หรือยุค 70s ยุคซึ่งเรียกได้ว่าภาพยนตร์แนวตะวันตก (Western Movies) กำลังครองเมือง วัยรุ่นแปดศูนย์เต็มตัวอย่าง 'เศรษฐา ทวีสิน' ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงกระแสนิยมนี้เช่นกัน จากสไตล์การต่อสู้ด้วยปืนพกบนหลังม้า หรือภาพพระเอก 'หนึ่งรุมสิบ' เหล่านี้จึงหล่อหลอมให้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของไทย มีภาพพจน์การทำงานที่ 'เข้าถึงลูกถึงคน' มีอะไรก็เจรจามาตรง ๆ เสมือน 'ดวล' กันตัวต่อตัว ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการ 'ล้วงลูก' แต่อย่างใด
ประกอบกับรูปร่างอันสูงสง่า 'นายกฯ เศรษฐา' จึงเข้ากันได้ดีกับหมวกปีก เสื้อเชิ้ตพับแขน หรือกางเกงยีนส์ในวันสบาย ๆ สักตัว บวกกับรอยยิ้มเปิดเผย จริงใจ คาวบอยไทยคนนี้ที่พร้อมลุยทุกที่ ทุกปัญหา ไม่ว่าจะถาโถมเข้ามากันสักกี่คน กี่แก๊ง เศรษฐาก็พร้อมจะชนแม้ไม่มีม้าให้ควบสักตัวในทำเนียบ
การทำงานอย่างตรงไปตรงมาโดยยึดเอาความยุติธรรมเป็นที่ตั้ง ก็คืออีกหนึ่งนิยามของนายกรัฐมนตรีสไตล์คาวบอยที่ชื่อ 'เศรษฐา ทวีสิน'
ด้วยความที่มีพื้นฐานมาจากนักธุรกิจระดับหมื่นล้าน การพบปะชนชั้นนำทั่วโลกทั้งในงานสังคม การประชุม เสวนา ฯลฯ จึงเป็นที่มาของวิสัยทัศน์ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อ "คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก" จริง ๆ
แรกรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 'เศรษฐา ทวีสิน' จึงลงรายละเอียดทั้งในเชิงนโยบาย ทั้งการบริหารประเทศเพื่อพัฒนา 'ศักยภาพคนไทย' ชนิด 'ลงลึก' ทุกรายละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลักดันสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดยพัฒนา 'คน' ตั้งแต่ครั้งยังนั่งกุมบังเหียนบนตำแหน่งประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ แห่ง 'แสนสิริ' บ.อสังหาฯ เบอร์ต้นของประเทศ
อย่างที่เห็นจากสื่อ ภาพของนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศคนนี้ มักจะลงไปพบปะพูดคุยกับชาวบ้านตัวจริงยามลงพื้นที่เสมอ ๆ ด้วยความอยากรู้ถึงต้นตอปัญหาจากผู้อยู่ในพื้นที่ อีกประการก็คือ จะได้หยั่งถึง 'ภูมิปัญญา' อันพ่วงมากับ 'คำแนะนำ' จากประชาชนคนไทย
นั่นเพราะนายกฯ นิด 'เชื่อในศักยภาพคนไทย' ว่า 'ไม่แพ้ชาติใดในโลก'