Saturday, 31 May 2025
TheStatesTimes

‘วิว กุลวุฒิ วิทิตศานต์’ เอาชนะ ‘ลี ซี เจีย’ จากมาเลเซีย 2-0 เกม สร้างประวัติศาสตร์!! เข้าชิงชนะเลิศ แบดมินตันชายเดี่ยวโอลิมปิก

(4 ส.ค. 67) การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ปารีส 2024 ในกีฬาแบดมินตันประเภทชายเดี่ยว รอบรองชนะเลิศ หรือ รอบ 4 คนสุดท้าย ระหว่าง ‘วิว กุลวุฒิ วิทิตศานต์’ มืออันดับ 8 ของโลกของไทย ที่รอบก่อนรองชนะเลิศเอาชนะ ฉี ยู่ฉี มือ 1 ของโลกจากจีน พบกับ ลี ซี เจีย มืออันดับ 7 ของโลกจากมาเลเซีย 

สำหรับสถิติการพบกันของทั้งคู่รวม 7 ครั้งหลังสุด นักแบดไทย ชนะไป 4 ครั้ง โดยเกมล่าสุดที่พบกันในศึกอินโดนีเซีย โอเพ่น 2024 เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา วิว กุลวุฒิ เป็นฝ่ายชนะไป 2-0 เกม 

เริ่มเกมทั้งคู่อาศัยความนิ่งเข้าสู้ ทำให้รูปเกมออกมาสูสีเสมอกัน 7-7 ซึ่ง หลี่ ซื่อ เจี๋ย ไม่เข้าฟอร์ม ตรงข้ามกับ ‘วิว’ ที่เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมโดยเฉพาะความเหนียวในเกมรับ มีหลอกหน้าไม้ในเกมรุกจนเอาชนะไป 21-14

จากนั้นในเกมสองเป็นทาง ‘วิว’ ที่เล่นได้แน่นอนกว่ามีจังหวะที่ดีนำห่าง 11-6 และสุดท้าย ‘วิว’ ก็คุมสถานการณ์ไว้ได้หมดทำให้เอาชนะไป 2 เกมรวด 21-14 กับ 21-15

ทำให้ กุลวุฒิ วิทิตศานต์ สร้างประวัติศาสตร์เป็นคนไทยคนแรกที่ได้เข้าชิงเหรียญทองแบดมินตันโอลิมปิกและการันตีเหรียญรางวัลแน่นอนแล้ว

โดยจะเข้าไปรอผู้ชนะระหว่าง วิคเตอร์ แอ็กเซลเซน มือ 2 ของโลก จากเดนมาร์ก วัย 30 ปี แชมป์เก่าครั้งที่แล้ว กับ ลักยา เสน มือ 22 ของโลกจากอินเดีย รอบชิงจะมีขึ้นในวันที่ 5 ส.ค. เวลา 19.30 น.

'รัดเกล้า' ชี้!! บุหรี่ไฟฟ้าอันตรายไม่น้อยกว่าบุหรี่ทั่วไป แนะ!! ต้องป้องกันเด็ก-เยาวชน ให้ห่างไกลวงโคจรยาเสพติด

เมื่อวานนี้ (4 ส.ค. 67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้ร่วมเป็นองค์เสวนา ชื่อหัวข้อ 'เยาวชนความรู้เท่าทันเรื่องอะไรบ้างจึงป้องกันตัวเองได้' ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม 'โครงการเยาวชนรู้เท่าทัน ป้องกันตนเอง' ที่จัดขึ้น ณ ชุมชนบ้านปูนใต้สะพานพระราม 8 เขตบางพลัด กรุงเทพมหานครฯ ระหว่างเวลา 08:30 – 14:00 น. โดย นายกีรติ กีรติยุติ รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง และนางอิง ภาสกรนที ประธานผู้พิพากษาสมทบ ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ร่วมเป็นประธานในการเปิดงาน

ทั้งนี้ รองโฆษกรัฐบาล รัดเกล้า ได้กล่าวว่า นโยบายและแนวทางของรัฐบาลในการจัดการกับปัญหายาเสพติด ว่า ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากจะนำมาสู่ปัญหาอื่น ๆ อีกมากมายเช่น ปัญหาอาชญากรรมอื่น ปัญหาสังคม ปัญหาเศรษฐกิจ เป็นต้น ทางรัฐบาลได้ให้ทิศทางนโยบายโดยเน้นตัดต้นตอกระบวนการค้ายาเสพติด ด้วยการเน้นทำลายโครงสร้างการค้าและการเงินของกลุ่มผู้ค้ายาเสพติด ความน่ากังวลใจคือสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้รายงานว่าปัจจุบันมีการจับการค้ายาเสพติดได้จำนวนเพิ่มขึ้นถึง 4-5 เท่า ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ามีแพร่ระบาดของยาเป็นจำนวนมาก 

"ในสภาวะเช่นนี้หน่วยปฏิบัติต้องทำงานหนักมาก และต้องพบความเสี่ยงในการทำงานมากขึ้น ความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่สำคัญที่สุด เมื่อ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้มอบอุปกรณ์เพื่อใช้ในการป้องกัน และตอบโต้กลุ่มผู้ค้ายาเสพติด อาทิ กล้อง Night Vision โดรนตรวจการณ์ ระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ ANTI-DRONE และรถโฟร์วีล เป็นต้น" รองโฆษกฯ รัดเกล้า กล่าว

รองโฆษกฯ รัดเกล้า กล่าวอีกว่า "นอกจากนี้ การแก้ไขปัญหายาเสพติดที่ดีที่สุด คือ การป้องกันไม่ให้เด็กและเยาวชนเข้าสู่วงโคจรของยาเสพติด ที่เริ่มต้นจากผู้เสพ ซึ่งมีผลกระทบมากมาย อาทิ ปัญหาสุขภาพทั้งกายและใจ ปัญหาครอบครัว ปัญหาด้านเศรษฐกิจ จึงอยากแนะนำไปยังเด็กและเยาวชนว่า เรื่องของยาเสพติดต้องหลีกเลี่ยงตั้งแต่ต้น และยังได้แสดงความห่วงใยจากการที่เด็กและเยาวชนจะถูกหลอกลวงจากผู้ไม่หวังดีให้ขนย้ายยาเสพติด"

เมื่อพูดถึงเรื่องของบุหรี่ไฟฟ้า รองโฆษกฯ รัดเกล้าแสดงความห่วงใยด้วยว่า “นอกจากปัญหายาเสพติดแล้ว ปัญหาของบุหรี่ไฟฟ้าเป็นปัญหาอีกปัญหาหนึ่งซึ่งแพร่ระบาดในเด็กและเยาวชนเป็นจำนวนมาก ซึ่งความอันตรายไม่ได้น้อยไปกว่าบุหรี่ มีผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อเข้าถึงเด็กโดยเฉพาะ และบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายของประเทศไทยด้วย” 

สำหรับการเสวนาในครั้งนี้นอกจากนางรัดเกล้า สุวรรณคีรี รองโฆษกรัฐบาลแล้ว ยังมีนางสาวนิชญา ปราณีจิตต์ เลขานุการศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง นายอุดมชัย โลหณุต ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดกรุงเทพมหานคร นายแพทย์ธนัช พจน์พิศุทธิพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและบำบัดการติดยาเสพติด สำนักอนามัยกรุงเทพมหานคร และร้อยตำรวจโทพิมดาว พวงพิลา รองสารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจบางยี่ขัน เข้าร่วมการเสวนาด้วย

ทั้งนี้ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางในฐานะผู้จัดงานเปิดเผยว่า การจัดงานครั้งนี้เป็นเพียงแค่การคิ๊กออฟโครงการ เป็นต้นแบบที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางมุ่งหวังจะเดินหน้าจัดในพื้นที่อื่นๆ ต่อไป เป้าหมายของศาลเยาวชนและครอบครัวกลางคือให้ความรู้ในเรื่องคดีต่างๆ ที่เด็กและเยาวชนควรมีความรู้ ความเข้าใจ โดยในเฟสแรกนี้จะมุ่งเป้าหาความร่วมมือกับคณะกรรมการชุมชนต่างๆ สำนักงานเขตต่างๆ ที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร และมีความพร้อม โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะครอบคลุมให้ได้มากถึง 4 ชุมชนต่อปี โดยงบประมาณหลักในการจัดงานนี้มาจากการระดมทุนของคนในศาลโดยมุ่งหวังสร้างภูมิคุ้มกันทางปัญญา ให้เยาวชนห่างไกลยาเสพติด และอยากเห็นเยาวชนไทยได้รับโอกาสที่ดีในชีวิต

ด้าน นายกีรติ ระบุว่า ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง และได้รับความร่วมมือกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจับกุม ปราบปราม และเยียวยา เยาวชนที่กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และเผชิญความเสี่ยงอื่นๆ เช่น ภัยจากการล่อลวง (เช่น การเปิดบัญชีม้า และการค้าประเวณี) ซึ่งท้ายสุดก็ทำให้กลุ่มเยาวชนเข้าไปอยู่ในวงจรสีเทาที่มีการค้าขายยาเสพติดสอดแทรกอยู่ในนั้น ซึ่งการจัดงานครั้งนี้เป็นเพียงแค่การคิกออฟโครงการ เป็นต้นแบบที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางมุ่งหวังจะเดินหน้าจัดในพื้นที่อื่นๆ ต่อไป  

สำหรับกิจกรรมภายในงาน มีกิจกรรมการแสดงความสามารถของเยาวชนในชุมชนเพื่อนบ้าน การแสดงกระบี่กระบอง จากชุมชนวัดฉัตรแก้ว ที่เป็นแบบที่ดีของชุมชนที่สร้างกิจกรรมดังกล่าวให้เยาวชนในพื้นที่ใช้เวลาว่างมาทำในสิ่งที่มีประโยชน์ สร้างรายได้เสริม และเสริมความเข้มแข็งให้กับชุมชน มีการแสดงรำร่ายไหว้ครูมวยไทย ชุดผู้ใหญ่และชุดเด็ก และการแสดงคีตะมวยไทย จากชุมชนเขตคลองเตย นอกจากนั้นในบริเวณรอบข้างยังมีการออกร้านให้ชุมชนรอบข้างนำของดีในพื้นที่มาวางขาย เพื่อให้ผู้ร่วมงานได้เพลิดเพลินและร่วมอุดหนุนสร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่อีกด้วย

‘หมอวรงค์’ ซัด!! ‘ก้าวไกล’ ยังแถลงบิดเบือนคดียุบพรรค พาดพิง 5 เรื่อง ‘เซาะบ่อน-กร่อนทำลาย’ สถาบันฯ

(5 ส.ค. 67) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘แถลงการณ์พรรคไทยภักดี’ โดยระบุว่า

ต่อกรณีคำแถลงของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พรรคก้าวไกล ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย คดียุบพรรคก้าวไกล ในวันที่ 7 สิงหาคมที่จะถึงนี้ พบว่ามีการปลุกปั่นบิดเบือน ให้ประชาชนเข้าใจผิดในหลาย ๆ กรณี พรรคไทยภักดีจึงมีความจำเป็น ที่ต้องนำข้อเท็จจริงมาอธิบายให้พี่น้องประชาชนได้เข้าใจ ต่อสิ่งบิดเบือนต่างๆ ที่เกิดขึ้นดังต่อไปนี้

1.การที่นายพิธากล่าวว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของแต่ละประเทศ ย่อมเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปตามวิวัฒนาการของสังคม ความพยายามทำให้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขมีลักษณะหยุดนิ่ง ตายตัว พัฒนาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ย่อมเป็นอันตรายต่อระบอบการปกครองของไทย

ซึ่งในความเป็นจริง สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยเรามีการปรับตัวมาตลอด และมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องในแต่ละยุคสมัย จนเป็นที่ยอมรับของประชาชนถึงปัจจุบัน การที่จงใจกล่าวให้ร้าย เซาะกร่อนบ่อนทำลาย และนำไปสู่การยกเลิกมาตรา 112 จึงไม่ใช่วิวัฒนาการเชิงสร้างสรรค์ต่อสถาบันฯ แต่ทำให้สถาบันฯ นำไปสู่การชำรุด ทรุดโทรม และ อ่อนแอ

2.กรณีที่กล่าวว่า การปกปักรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข จึงไม่สามารถบรรลุได้ด้วยการใช้อำนาจกดปราบ ไม่ว่าจะด้วยกำลัง ในนามของกฎหมาย

ซึ่งในข้อเท็จจริง การปกครองระบอบประชาธิปไตยในทุกประเทศ ต้องอยู่บนพื้นฐานหลักการของกฎหมาย ทุกฝ่ายแม้แต่พรรคการเมือง ต้องเคารพกฎหมาย ถ้าไม่มีการกระทำผิดกฎหมาย ก็จะไม่สามารถไปดำเนินคดีใดๆ ได้เลย ดังนั้นพรรคก้าวไกลต้องตระหนักความจริงเหล่านี้ นั่นคือถ้าไม่ทำผิดกฎหมายก็จะไม่มีใครดำเนินคดีได้

3.การนำประเด็นเกี่ยวกับความจงรักภักดีมากล่าวหาโจมตีกันในทางการเมือง นำไปสนับสนุนหรือเกี่ยวพันกับการทำรัฐประหาร

ซึ่งต้องยอมรับความจริงว่า การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ในยุคปัจจุบัน และนำไปสู่การรัฐประหาร มีมูลเหตุหลักมาจาก การทุจริตคอร์รัปชัน และใช้อำนาจไม่ชอบ ไม่ใช่นำมูลเหตุเรื่องความจงรักภักดีมาเป็นเหตุผล แต่สิ่งที่น่าแปลกใจ นักการเมืองที่สร้างภาพว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย กลับไม่เคยสนใจปัญหาการทุจริตเหล่านี้

4.การอ้างว่า มีการบังคับใช้มาตรา 112 ในลักษณะเข้มงวดรุนแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ทั้ง ๆ ที่การบังคับใช้กฎหมายมาตรา112 ก็ล้วนเกิดจากการยุยงปลุกปั่น ให้เยาวชนจงใจจาบจ้วง ให้ร้ายสถาบันเบื้องสูง โดยพรรคการเมืองบางพรรค ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่มีผู้จงใจกระทำผิด จะต้องถูกดำเนินคดี ไม่ใช่มีการบังคับใช้อย่างเข้มงวดตามที่อ้าง สิ่งที่น่าสังเกตในช่วงปัจจุบัน การยุยงเยาวชนทำผิดลดน้อยลง การดำเนินคดี ตามมาตรา112 ก็จะลดน้อยลง

5.การที่อ้างว่า เล็งเห็นความจำเป็นที่จะเสนอให้ปรับปรุงแก้ไขมาตรา 112 ด้วยเจตนาที่จะฟื้นฟูสายสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนกับสถาบันพระมหากษัตริย์

สิ่งที่นายพิธากล่าวมา เกี่ยวกับการแก้ไขมาตรา112 เพื่อฟื้นฟูสายสัมพันธ์อันดี ระหว่างประชาชนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมของพรรคก้าวไกล ที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยไว้แล้ว นั่นคือผลที่เกิดขึ้น ทำให้มีการแยกสถาบันฯ กับความเป็นชาติไทย มุ่งลดสถานะการคุ้มครองพระมหากษัตริย์ ใช้สถาบันกษัตริย์หวังผลคะแนนเสียงเลือกตั้ง สุดท้ายนำไปสู่การเซาะกร่อน บ่อนทำลาย ชำรุด ทรุดโทรม เสื่อมทราม อ่อนแอ และการล้มล้างการปกครองฯ ได้ในที่สุด

พรรคไทยภักดีจึงขอเรียกร้อง พรรคก้าวไกล ที่อ้างว่าเป็นพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย หยุดบิดเบือน ให้ร้ายในสิ่งที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง และไม่ว่าผลคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ จะออกมาเป็นคุณหรือเป็นโทษต่อพรรคก้าวไกล ขอให้พรรคก้าวไกลเคารพคำตัดสินของศาล เพื่อให้บ้านเมืองสงบสุข และระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเดินหน้าต่อไปได้

‘เครือข่ายบ้านใหญ่’ กวาดเรียบ!! สนามเลือกตั้ง ‘นายก อบจ.’ 3 จังหวัด ‘อยุธยา-ชัยนาท-พะเยา’ ทิ้งห่าง ‘ก้าวไกล’ ขาดลอย

(5 ส.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานภาพรวมผลการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) ใน 3 จังหวัด คือ จ.พระนครศรีอยุธยา , พะเยา และชัยนาท เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม ที่ผ่านมา พบว่า ผู้สมัครในเครือข่ายบ้านใหญ่ทั้ง 3 จังหวัดกวาดชัยชนะทั้งหมด โดยเอาชนะผู้สมัครนายก อบจ. ที่แม้จะไม่ได้ลงสมัครในนามพรรคก้าวไกล หรือคณะก้าวหน้าอย่างเป็นทางการ แต่พบว่าบางคนเป็นอดีตผู้สมัคร สส. เขต พรรคก้าวไกล และบางคนได้รับการสนับสนุนจาก สส. เขตของพรรคก้าวไกล

ทั้งนี้ ในส่วนของ จ.พระนครศรีอยุธยา ชัยชนะตกเป็นของ ‘ซ้อสมทรง’ หรือนางสมทรง พันธ์เจริญวรกุล อดีตนายก อบจ.พระนครศรีอยุธยา 5 สมัย โดยชนะ ‘นายกอุ๊’ หรือนายวัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒน์ อดีตนายก อบต.บ้านใหม่ ที่ลงสมัครในนามกลุ่มก้าวใหม่อยุธยาแบบขาดลอย โดยผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการในช่วงค่ำวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา นางสมทรง ได้คะแนน 245,457 คะแนน ทิ้งห่างคู่แข่งนายวัชรพงศ์ ที่ได้แค่ 114,063 คะแนน โดยในการหาเสียงที่ผ่านมา นายวัชรพงศ์ ใช้สัญลักษณ์สีส้มในการหาเสียง

ส่วน จ.ชัยนาท ชัยชนะตกเป็นของ นางจิตร์ธนา ยิ่งทวีลาภา อดีตประธานสโมสรชัยนาท ฮอร์นบิล ที่บ้านใหญ่ตระกูลนาคาศัยเป็นเจ้าของ โดยเป็นพี่สาวนายอนุชา นาคาศัย สส.ชัยนาท อดีตรมช.เกษตรและสหกรณ์ จากพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยนางจิตร์ธนา เอาชนะ นายสุทธิพจน์ เชื้ออภัยวงษ์ อดีตผู้สมัคร สส.ชัยนาท เขต 2 พรรคก้าวไกล โดยผลเลือกตั้งออกมาอย่างไม่เป็นทางการ นางจิตร์ธนา คว้าชัยชนะได้คะแนนรวม 62,860 คะแนน ส่วนอันดับ 2 คือ นายสุทธิพจน์ เชื้ออภัยวงษ์ ที่ได้ 44,690 คะแนน

ขณะที่ทางด้าน จ.พะเยา พื้นที่การเมืองสำคัญของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โดยนายธวัช สุทธวงค์ คนสนิทของนายอัครา พรหมเผ่า น้องชายของ ร.อ.ธรรมนัส ชนะเลือกตั้งแบบขาดลอย

ทั้งนี้ คะแนน ณ เวลา 23.02 น.วันที่ 4 ส.ค.67 พบว่า นายธวัช ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ในสายของ ร.อ.ธรรมนัส มีคะแนนสูงสุด 174,669 คว้าชัยชนะตามคาด ส่วนคู่แข่ง คือ นายชัยประพันธ์ สิงห์ชัย ตัวแทนจากพรรคก้าวไกล มีเพียง 35,172 คะแนน 

‘ลูกบ้านดอนเมือง’ ทำบุญล้างซวย นิมนต์พระสงฆ์จำนวน 9 รูป หลัง ‘เอก สายเต๊าะ’ ถูกจับ หลายคนบอก!! หลับสนิทไร้กังวล

เมื่อวานนี้ (4 ส.ค. 67) ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง (ขอสงวนชื่อ) ซอยเทิดราชัน 17 ถนนเทิดราชัน แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ ชาวบ้านดังกล่าวที่ประกอบด้วยนิติบุคคลและลูกบ้านได้จัดพิธีทำบุญใหญ่หมู่บ้าน หลังจากที่นายเอกรัฐ ขุนพรม หรือเอก สายเต๊าะ อายุ 42 ปี ถูกตำรวจสืบสวนนครบาล และ สน.ดอนเมือง จับกุมไปเมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา และยังไม่ได้รับการประกันตัว โดยมีนายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ กัน จอมพลัง และ พ.ต.ท.อำนาจ ฉ่ำชะเอม รอง ผกก.สืบสวน สน.ดอนเมือง เป็นประธานในพิธี โดยมีการนิมนต์พระสงฆ์จำนวน 9 รูปมาทำพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนถวายชุดสังฆทานให้พระสงฆ์ บรรยากาศเป็นไปด้วยความชื่นมื่น ลูกบ้านมีความสุข หลายคนบอกว่าหลับได้สนิทไร้ความกังวล

ด้าน กัน จอมพลัง เปิดเผยว่า วันนี้ตนได้รับเชิญมาเป็นเกียรติในงาน เป็นการทำบุญปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกจากหมู่บ้าน และรับสิ่งดี ๆ เข้ามา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้คนในหมู่บ้านรักกัน พร้อมใจกันจริง ๆ ตอนนี้สามารถกลับมามีชีวิตกันอย่างปกติ ถือเป็นการประกาศว่าหลังจากนี้จะมีเเต่สิ่งดี ๆ เข้ามาในหมู่บ้าน ส่วนความคืบหน้าทางคดี เท่าที่ทราบตอนนี้นายเอกยังอยู่ในคุก ยังไม่ได้ประกันตัวออกมา และจากการสอบถามชาวบ้านทราบว่า ครอบครัวของนายเอกมีการคุยกันว่าวันที่ 1 ส.ค. ครอบครัวเขาจะกลับมาเป็นครอบครัวด้วยกัน แต่ผ่านมาก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงคาดว่ายังไม่มีการประกันตัวออกมา

ก่อนหน้านี้ชาวบ้านดังกล่าวได้ร้องเรียนว่า เอก สายเต๊าะ มีพฤติกรรมสร้างความเดือดร้อนรำคาญ ก่อกวนคนในหมู่บ้าน จอดรถยนต์กีดขวางทางเข้าออกหมู่บ้าน และไลฟ์สดก่อกวนผู้อื่น โชว์อาวุธปืนและมีดผ่านสื่อสังคมออนไลน์ รวมทั้งมีการพิมพ์ก่อกวนสมาชิกในกลุ่มไลน์ และใช้ถ้อยคำหยาบคาย ทำให้ลูกบ้านเกิดความหวาดกลัว ลูกบ้านบางคนถึงกับประกาศขายบ้านด่วนเพราะทนกับพฤติกรรมของนายเอกไม่ไหว จากการตรวจค้นพบอาวุธปืนยาวบีบีกัน มีดยาวหัวตัด และกระเป๋าของ รปภ.หมู่บ้าน ที่นายเอกได้หยิบไป ภายในมีกระเป๋าสตางค์ บัตรประชาชน สมุดธนาคาร เล่มรถจักรยานยนต์ ก่อนนำส่ง สน.ดอนเมือง

ตำรวจตั้งข้อหาฐานชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธ เอาไปเสียซึ่งเอกสารใดของผู้อื่นในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ทำให้เสียทรัพย์ พาอาวุธ (มีด) ไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร ทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญ และเมื่อวันที่ 21 ก.ค. ศาลอาญา รัชดาภิเษก ไม่อนุญาตให้ประกันตัวนายเอกรัฐ ตามที่พนักงานสอบสวน สน.ดอนเมือง ขอคัดค้านการปล่อยชั่วคราว เนื่องจากเกรงว่าจะออกมายุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานประกอบกับมีผู้เสียหายเข้ายื่นคัดค้านการประกันตัว ขณะนี้ถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

‘ดร.อักษรศรี’ ชี้ สงคราม ‘E-Commerce’ ในโลกทุนนิยม เน้นแข่งกันทำ Price War

(5 ส.ค. 67) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

"สงคราม E-Commerce ในโลกทุนนิยม นำทัพโดยชาติคอมมิวนิสต์!! เน้นแข่งกันทำ Price War เพื่อฆ่าคู่แข่ง? ภาครัฐจะทำไรได้บ้าง?"

พร้อมเผยอีกว่า เรื่องบางเรื่องถ้ารัฐจะยื่นมือเข้ามา ก็ต้องคิดให้รอบด้าน ก่อนลงมือทำ

#เกาไม่ถูกที่คัน 🇹🇭

'ดร.นิว' ติง!! 'พยานก้าวไกล' สอบตกตอนแก่ กระสันช่วยก้าวไกลพ้นยุบ ทั้งที่กฎหมายออกแบบมาในลักษณะป้องปราม ไม่ต้องรอ 'ยุยง-ล้มล้าง'

(5 ส.ค. 67) ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ 'ดร.นิว' นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ 'แนวทางกฎหมายวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกล' ระบุว่า...

การที่นายสุรพล นิติไกรพจน์ ออกหน้าเป็นพยาน โดยอ้างว่าการกระทำของพรรคก้าวไกลไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ถ้านายสุรพลไม่โฉดเขลาเบาปัญญา ก็กระสันที่จะช่วยพรรคก้าวไกลจนหางส้มโผล่ เกิดความดัดจริตทางกฎหมายโดยไม่แหกตาดูความระยำตำบอนที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง 

นอกจากนายสุรพลจะเพิกเฉยต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ซึ่งพรรคก้าวไกลใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง นายสุรพลยังอ่านและตีความกฎหมายไม่แตกฉาน เพราะเมื่ออ้างอิงถึงมาตรา 92 ของ พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง จะพบว่าเงื่อนไขการยุบพรรคการเมืองที่เกี่ยวเนื่องด้วยการล้มล้างการปกครอง มีอยู่ด้วยกัน 2 กรณี 

(1) กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 

(2) กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 

นับว่านายสุรพลมาสอบตกตอนแก่หมดสภาพศาสตราจารย์ทางกฎหมาย เพราะกฎหมายออกแบบมาในลักษณะป้องปราม ไม่จำเป็นต้องรอให้พรรคก้าวไกลยุยงปลุกปั่นมวลชนหรือใช้กำลังในการล้มล้างการปกครองเสียก่อนถึงจะสามารถยุบพรรคได้ แค่กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองก็เข้าข่ายยุบพรรคได้แล้ว 

แม้ว่าพรรคก้าวไกลอาจไม่ได้ใช้กำลังล้มล้างการปกครองโดยตรงตาม (1) แต่ทว่ากระทำการเซาะกร่อนบ่อนทำลายเคลื่อนไหวคู่ขนานกับม็อบสามนิ้วมาโดยตลอด อีกทั้งสมาชิกของพรรคจำนวนไม่น้อยยังเคยแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ มิหนำซ้ำหัวหน้าพรรคยังออกหน้าช่วยประกันตัว สส. ซึ่งกระทำผิด ม.112 อย่างชัดเจนอีกด้วย 

เห็นได้ชัดว่าทั้งเจตนาและพฤติการณ์ของพรรคก้าวไกลส่อไปในทาง (2) ทั้งสิ้น การกระทำของพรรคก้าวไกลอันใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง จึงเข้าข่ายกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคตามมาตรา 92 (2) ของ พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง 

อย่างไรก็ตามการวินิจฉัยยุบพรรคเป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ มิอาจก้าวล่วงได้ แต่ในฐานะประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการที่พรรคก้าวไกลใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความรุนแรงไปสู่อนาธิปไตยล้มล้างประชาธิปไตยเสียเองในที่สุด จึงขอแสดงจุดยืน 1 สิทธิ์ 1 เสียง สนับสนุนยุบพรรคก้าวไกล 

#1สิทธิ์1เสียงสนับสนุนยุบพรรคก้าวไกล 

‘บิ๊กป้อม’ จัดเลี้ยงอาหารค่ำแก่ ‘นักกีฬาไทย’ ศึกโอลิมปิก 2024 พร้อมขอบคุณ-ให้กำลังใจ หลังทำหน้าที่เพื่อชื่อเสียงประเทศชาติ

(5 ส.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานจากประเทศฝรั่งเศส วันที่ 4 สิงหาคม เวลา 18.30 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยฯ ได้จัดเลี้ยงอาหารค่ำให้แก่นักกีฬาทีมชาติไทย พร้อมเจ้าหน้าที่ สต๊าฟ โค้ช และสมาคมกีฬาที่เข้าร่วมการแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ปารีสเกมส์ 2024 ณ ทำเนียบเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยมี เอกอัครราชทูต ศรัณย์ เจริญสุวรรณ และภริยาให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

ทั้งนี้ มีนักกีฬาทีมชาติไทย ที่เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 จำนวนทั้งสิ้น 51 คน 17 ชนิดกีฬา ซึ่งถือเป็นประวัติศาสตร์ที่มีนักกีฬาไทย ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้

สำหรับงานเลี้ยง ได้จัดอาหารบุฟเฟต์ บรรยากาศสบาย ๆ ชิล ๆ สไตล์คนไทย มีอาหารไทย เช่น ผัดกะเพราไก่, แกงเขียวหวานทะเล, ส้มตำไทย, ลาบหมู, ไก่ทอด และทอดมันกุ้ง เป็นต้น

นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตร ได้ถ่ายรูปร่วมกับคณะนักกีฬา และได้กล่าวแสดงความชื่นชม ขอบคุณ และให้กำลังใจนักกีฬาและผู้เกี่ยวข้องทุกคนที่มาร่วมงานในวันนี้ พร้อมขอให้ทุกคนได้มุ่งมั่นพยายามพัฒนาความสามารถของตนเองอย่างสม่ำเสมอ

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ที่ผ่านมานักกีฬาได้มีการเตรียมความพร้อมในการฝึกซ้อม และสามารถได้รับสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันในมหกรรมกีฬาระดับโลก คือ กีฬาโอลิมปิกปารีสเกมส์ 2024 ในครั้งนี้ นับเป็นความสำเร็จก้าวสำคัญที่มีนักกีฬาทีมชาติของไทยได้เข้าร่วมการแข่งขันจำนวนมาก และได้ทำผลงานอย่างยอดเยี่ยมหลายรายการ

“กีฬาย่อมมีแพ้ มีชนะเป็นเรื่องธรรมดา การรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัยเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง การเผยแพร่วัฒนธรรมไทย ผ่านการแข่งขันกีฬานั้นเป็นเรื่องที่น่ายกย่องสำหรับคนไทย จึงขอขอบคุณแทนคนไทย ที่นักกีฬาทุกคน ทุกสมาคม ได้ทุ่มเท ตั้งใจแข่งขันและทำหน้าที่ของตนด้วยดีและเรายังมีรายการแข่งขันอีก ซึ่งยังมีความหวังที่จะได้รับเหรียญ จึงขอให้นักกีฬาได้ทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เพื่อชื่อเสียงประเทศชาติและประชาชนชาวไทย ที่ตั้งตารอคอยความสำเร็จของนักกีฬาทีมชาติไทยในครั้งนี้ พร้อมทั้งขอขอบคุณท่านเอกอัครราชทูตและภริยาที่ให้การต้อนรับ และสนับสนุนทีมนักกีฬาทีมชาติไทยและเจ้าหน้าที่ทุกคนในโอกาสนี้ด้วย” พล.อ.ประวิตรกล่าว

‘ผู้พัฒนาแอปฯ ทางรัฐ’ ชี้!! แอปฯ ปลอดภัย-รักษาข้อมูลส่วนบุคคล ยืนยัน!! ใช้มาตรฐานระดับโลก-ตรวจเฝ้าระบบตลอด 24 ชั่วโมง

(5 ส.ค. 67) สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA แจ้งว่า แอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ เป็นแอปพลิเคชันของภาครัฐที่พัฒนาขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางบริการภาครัฐสำหรับประชาชนที่มีการเชื่อมข้อมูล และบริการจากส่วนราชการต่าง ๆ มาไว้ในที่เดียวกัน เพื่อให้ประชาชนในทุกช่วงวัยสามารถใช้บริการออนไลน์ของภาครัฐได้ในแอปฯ เดียวอย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย โปร่งใส และตรวจสอบได้ รวมถึงเป็นช่องทางในการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet

ดังนั้น การที่ประชาชนจะเข้าใช้งานแอปฯ ทางรัฐ จำเป็นต้องมีการพิสูจน์ว่าผู้ที่กำลังจะเข้าใช้งานแอปฯ ทางรัฐ เป็นประชาชนตัวจริงหรือไม่ โดยการให้ประชาชนผู้นั้นถ่ายภาพใบหน้า และภาพบัตรประจำตัวประชาชนของตนเอง เพื่อเอาไปเปรียบเทียบกับภาพใบหน้าและข้อมูลบัตรประชาชนของประชาชนผู้นั้นที่มีอยู่ในระบบของภาครัฐว่าตรงกันหรือไม่ หรือที่เรียกว่าการทำ KYC (Know Your Customer) เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้บุคคลอื่นเข้าถึงข้อมูลของประชาชนผู้นั้น หรือสวมสิทธิ์ ซึ่งเป็นมาตรการการป้องกันและรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือแบบเดียวกับที่ธนาคารในประเทศไทยใช้ (IAL 2.3) ตามประกาศของคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์

ในปัจจุบัน แอปฯ ทางรัฐเป็นเพียงช่องทางในการเชื่อมโยงข้อมูลและบริการจากหน่วยงานต้นทางโดยไม่ได้เก็บข้อมูลประชาชนจากหน่วยงานต้นทางมาไว้ที่แอปฯ ทางรัฐแต่อย่างใด และข้อมูลส่วนบุคคลที่แสดงในแอปฯ ทางรัฐสามารถเข้าถึงได้เฉพาะเจ้าของข้อมูล และผู้มีอำนาจตามกฎหมายในการเข้าถึงข้อมูลเท่านั้น

นอกจากนี้ แอปฯ ทางรัฐมีมาตรการในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบและข้อมูลต่าง ๆ ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ และพัฒนาระบบที่มีการเข้ารหัสข้อมูลและใช้เทคโนโลยีการยืนยันตัวตนที่ทันสมัยโดยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA ร่วมกับทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการพัฒนาระบบที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมาก โดยเน้นเรื่องความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลและระบบเป็นหลัก มีการตรวจสอบและทดสอบระบบอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการทดสอบเจาะระบบและแก้ไขช่องโหว่ต่าง ๆ ทั้งก่อนให้บริการและระหว่างการให้บริการเพื่อป้องกันการแฮกและการเข้าถึงข้อมูลและบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรฐานสากล อีกทั้งยังมีการใช้เทคโนโลยีป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ในระดับสูง (State-of-the-Art Cybersecurity Protection)

ตลอดจนการบริหารจัดการและจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลภายใต้แนวทางที่สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) กำหนด และเป็นไปตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 รวมถึงตามมาตรฐานที่ DGA ได้รับการรับรอง เช่น ISO 27001 (Security Management) เป็นต้น

นอกจากนี้แอปฯ ทางรัฐยังให้บริการอยู่ในระบบที่มีความน่าเชื่อถือ มีเสถียรภาพ อีกทั้งยังมีการตั้ง war room เฝ้าระวังระบบและภัยคุกคามทางไซเบอร์ด้วยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญของ DGA ร่วมกับ สกมช. และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมตลอด 24 ชั่วโมง

โดยสามารถพิสูจน์ได้จากวันแรกที่เปิดรับลงทะเบียนโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet ซึ่งมีผู้ไม่ประสงค์ดีพยายามโจมตีระบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างหนัก ตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่เปิดรับลงทะเบียน โดยเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนกดเข้าใช้งานแอปฯ ทางรัฐเป็นจำนวนมหาศาลเช่นเดียวกัน แต่แอปฯ ทางรัฐก็ยังสามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง โดยสามารถรองรับการลงทะเบียนฯ ได้ถึง 18.8 ล้านคนภายใน 24 ชั่วโมงโดยระบบไม่ล่มและไม่มีปัญหาเรื่องข้อมูลรั่วไหล

สำหรับประเด็นข้อสงสัยที่ว่า แอปทางรัฐเป็นระบบเปิดที่เชื่อมต่อไปถึงบัญชีธนาคารของทุกคนหรือไม่นั้น ในปัจจุบัน แอปทางรัฐ ยังไม่มีการเชื่อมกับบัญชีธนาคารและไม่มีการเก็บข้อมูลบัญชีธนาคารของประชาชนแต่อย่างใด

ทั้งนี้แอปฯ ทางรัฐ อนุญาตให้หน่วยงานของรัฐเชื่อมโยงข้อมูลและบริการของตนเข้าสู่แอปพลิเคชันทางรัฐเท่านั้น ภายใต้วิธีการเชื่อมต่อที่มีการควบคุมกำกับดูแล และมีความมั่นคงปลอดภัยสูง โดยไม่ได้เปิดให้บุคคลทั่วไป หรือภาคเอกชน หรือธนาคารเชื่อมโยงข้อมูลบัญชีและระบบบริการกับแอปฯ ทางรัฐแต่อย่างใด ซึ่งแอปฯ ของธนาคาร และผู้ให้บริการกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่เข้าร่วมโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet ต้องเชื่อมโยงและรับส่งข้อมูลกับแพลตฟอร์มการชําระเงินกลาง (Payment Platform) ของภาครัฐเพื่อรองรับการชำระเงินซึ่งเป็นคนละระบบกับแอปฯ ทางรัฐ

“ตำรวจ ปส. รวบ 2 ผู้ต้องหาขาโหดหลบหนีคดีฆ่าเผานั่งยางมาขนยา พร้อมอาวุธปืนและระเบิดมือเพียบ หวิดปะทะ! ”

วันนี้ (3 ส.ค. 67) เวลา 09.00 น.  พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส. พร้อม พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2 ได้เดินทางไปที่ศูนย์ปฏิบัติการยาเสพติดนครราชสีมา  อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา เพื่อไปติดตามการปฏิบัติหน้าที่และสอบสวนผู้ต้องหารายสำคัญจำนวน 2 คน ที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปส.2 ได้ร่วมกันจับกุมได้พร้อมยาเสพติดของกลาง พร้อมอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนและลูกระเบิดจำนวนมาก

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 6 มิ.ย.67 เวลา 01.45 น. ตำรวจ ได้จับกุม น.ส.ทิวาพร กับพวกรวม 3 คน พร้อมยาบ้า  1,200,000 เม็ด  บริเวณหน้าห้องน้ำ ปั๊มน้ำมัน ปตท. แยกพัฒนานิคมขาเข้า ต.ดีลัง อ.พัฒนานิคม จว.ลพบุรี  ก่อนจะสืบสวนขยายผลจากกลุ่มลำเลียงยาเสพติดดังกล่าว จนพบรถยนต์ต้องสงสัยของกลุ่มเครือข่ายที่อาจใช้ลักลอบลำเลียงยาเสพติด จึงได้ติดตามสืบสวนและเฝ้าระวังเรื่อยมา กระทั่ง วันที่ 2 ส.ค.67 ตำรวจ บก.ปส.2 ตรวจพบรถยนต์ทั้งสองคันมีความเคลื่อนไหวเข้าไปในพื้นที่ จว.เลย พื้นที่ขึ้นยาเสพติดจากฝั่งลาว  จึงได้จัดกำลังติดตาม และพบรถวิ่งอยู่บน ถนนสายสระบุรี-หล่มศักดิ์ (ถนนสาย 21) ในพื้นที่ อ.วิเชียรบุรี จว.เพชรบูรณ์ มาถึง อ.ศรีเทพ จว.เพชรบูรณ์ โดยรถกระบะ หมายเลขทะเบียน 3ฒฬ 86xx กรุงเทพฯ ได้เลี้ยวเข้าไปในใบทองธารารีสอร์ท และจอดบริเวณหน้าห้อง B1 โดยมีรถยนต์หมายเลขทะเบียน 1กษ 90xx กรุงเทพฯ จอดอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่คนขับรถกระบะจะลงจากรถ และเดินเข้าไปในห้องพัก ตำรวจจึงวางกำลังรอบห้องพัก B1 และแสดงตัวขอตรวจค้น แต่สงสัยทั้งสองไม่ยอมเปิดประตู  จึงได้แสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและใช้ยุทธวิธีเพื่อเข้าตรวจค้น จนสามารถควบคุมผู้ต้องหาได้ คือ 1.นายอนุชิต ทำหน้าที่ขับรถนำ
2.นายศักดิ์สิทธิ์ฯ ทำหน้าที่ขับรถกระะบะขนยาเสพติด ตรวจค้นในห้องพัก พบของกลางอาวุธปืนขนาด .45 ในลักษณะพร้อมใช้งาน 2 กระบอก และระเบิดลูกเกลี้ยง M 26 พร้อมใช้งาน  7 ลูก  และกระสุน 95 นัด ก่อนจะควบคุมตัวไปตรวจค้นที่รถกระบะ เบื้องต้นพบยาเสพติด เป็นยาบ้า 6,702,400 เม็ด, ยาอี 1,000 เม็ด, Erimin 5 จำนวน 1,400 เม็ด,  MDMA  (หัวเชื้อยาอี) 10 ก้อน น้ำหนักรวม 1,080 เม็ด

เบื้องต้นแจ้งข้อหาว่า  “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงประเภท ๑ (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนกฎหมายอันเป็นการกระทำเพื่อการค้า, ก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป”

จากการซักถามผู้ต้องหาทั้งสองให้การรับสารภาพ ว่าได้ร่วมกับลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ จ.เลย ไปส่ง จ.สระบุรี จริง  โดยนายอนุชิตฯทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมการลำเลียงและขับรถนำทางคอยเฝ้าระวัง และประสานงานกับผู้สั่งการฝั่งลาว  ส่วนนายศักดิ์สิทธิ์ฯ มีหน้าที่ขับรถกะบะบรรทุกยาเสพติด ด้าน นายศักดิ์สิทธิ์ฯ รับว่ารู้จักกับนายอนุชิตฯ จากเพื่อนที่ติดคุกด้วยกันในเรือนจำ  และนายอนุชิตฯ ชักชวนมาขนยาเสพติด โดยจะได้รับเงินค่าจ้างจากนายอนุชิตฯ 30,000  บาท   ส่วนนายอนุชิตฯ พบว่ามีประวัติโชกโชนทั้งคดียาเสพติดและคดีลักทรัพย์ในพื้นที่ จ.ลพบุรี และเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับคดีฆ่าและเผาอำพรางศพ ของ สภ.ชัยบาดาล เหตุเกิดเมื่อ 12 ก.ย.66 จากการซักถามนายอนุชิต ฯรับว่าตนได้ก่อเหตุฆ่าจริง ซึ่งมีสาเหตุจากการไปทวงหนี้ค่ายาเสพติดจากผู้ตายให้ผู้ค้าชาวลาว  และได้ลงมือฆ่าแล้วเผาด้วยยางรถยนต์  แล้วหลบหนีไปประเทศลาว จนไปรู้จักท้าวเสือ คนลาวซึ่งเป็นผู้สั่งการให้จัดหาทีมงานลำเลียงยาเสพติดในครั้งนี้  โดยจะได้ค่าจ้างกระสอบละ 40,000 บาท ครั้งนี้ถ้างานสำเร็จจะได้เงิน 520,000 บาท โดยตนเคยลักลอบลำเลียงให้ท้าวเสือมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ละครั้งจะแอบข้ามกลับมาประเทศไทยโดยนั่งเรือข้ามมา และนัดหมายพรรคพวกพร้อมรถยนต์มาร่วมกันลำเลียงยาเสพติด ส่วนลูกระเบิดและอาวุธปืนของกลางที่ตรวจพบ นายอนุชิตฯ อ้างว่าซื้อจากฝั่งลาวเพื่อไปขายให้พรรคพวกเป็นรายได้เสริม ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมตนได้ยินนายศักดิ์สิทธิ์ฯร้องไห้ตกใจ และเจ้าหน้าที่เข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว จึงยังไม่ได้ใช้อาวุธต่อสู้แต่อย่างใด
พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส.เผยว่า การจับกุมในครั้งนี้เป็นความพยายามของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปส.ในการสืบสวนและเฝ้าติดตามกลุ่มเครือข่ายนี้มาอย่างต่อเนื่องกว่าสองเดือน  จนนำมาสู่การจับกุมในครั้งนี้  ในครั้งนี้ผู้ต้องหามีอาวุธและวัตถุระเบิดจำนวนมากมาด้วย แต่เจ้าหน้าที่ของเราไม่ประมาทและได้ใช้ยุทธวิธีในการเข้าจับกุม จึงสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้โดยไม่เกิดการบาดเจ็บหรือสูญเสียชีวิต  และยาเสพติดของกลางที่พบเป็นยาบ้าจำนวนมากเช่นก่อนหน้า และพบ Erimin 5 จำนวน 1,400 เม็ด ,ยาอี 1,000 เม็ด และก้อนสารMDMA จำนวน 10 ก้อนซึ่งแทบไม่เคยพบเห็นมาก่อน ที่คาดว่าอาจใช้เป็นหัวเชื้อในการผลิตยาอีหรือสารเสพติดรูปแบบใหม่อื่นๆ ซึ่งจะต้องมีการสืบสวนขยายผลถึงวัตถุประสงค์ในการนำไปใช้ต่อไป ตำรวจ ปส.จะยังคงทำงานอย่างเข้มข้นในการสกัดกั้นและทำลายเครือข่ายยาเสพติดตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top