Sunday, 1 June 2025
TheStatesTimes

'ปชป.' เตือนทูต 18 ประเทศ อย่าแทรกแซงศาลไทย คดี 'ยุบก้าวไกล' จี้!! กต.ออกโรง อย่าปล่อยให้ทูตประเทศต่างๆ รับข้อมูลด้านเดียว

(5 ส.ค. 67) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก อดีต สส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงท่าทีของทูต 18 ประเทศ ต่อการพิจารณาคดีพรรคก้าวไกลของศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 7 ส.ค.นี้ ว่า มีความหมิ่นเหม่เสมือนเป็นความพยายามแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า การพิจารณาคดีดังกล่าวตั้งอยู่บนข้อกฎหมายข้อเท็จจริงและพฤติกรรมอันเข้าข่ายผิดรัฐธรรมนูญ โดยพรรคก้าวไกลได้ดำเนินการต่อสู้คดีความตามวิถีของตนเองแล้ว และไม่มีกลไกใดเข้าขัดขวางการต่อสู้ดังกล่าว

“การแสดงออกของกลุ่มทูต 18 ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นท่าทีให้การสนับสนุน เห็นอกเห็นใจ รวมถึงการประกาศไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรคก้าวไกล ถือเป็นเรื่องผิดมารยาทอย่างมาก ทั้งนี้ ขอให้คณะผู้แทนประเทศเหล่านั้นตระหนักไว้ว่าสิ่งที่ได้ทำไปไม่ได้สร้างประโยชน์ต่อยอดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแต่อย่างใด ขณะที่ประเทศไทยไม่เคยเรียกร้องหรือแสดงออกทางใดทางหนึ่งที่เป็นการไม่เคารพกระบวนการยุติธรรมของประเทศอื่นเลย จึงเป็นเรื่องที่แต่ละประเทศจะต้องยึดถือให้ตรงกัน” น.ส.รัชดา ระบุ

น.ส.รัชดา ยังตั้งคำถามถึงการทำงานของกระทรวงการต่างประเทศว่าทำอะไรอยู่ ได้ดำเนินการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศบ้างไหม หรือปล่อยให้ทูตประเทศต่าง ๆ รับข้อมูลแต่เพียงด้านเดียวจึงเป็นเหตุให้แสดงท่าทีออกมาเสมือนคนไม่รู้เช่นนี้ จึงขอเรียกร้องให้กระทรวงการต่างประเทศแสดงบทบาทผู้ปกป้องกระบวนการยุติธรรมไทย กฎหมายไทย เพื่อหยุดยั้งท่าทีแทรกแซงประเทศของเรา หรือการยอมเป็นเหยื่อพรรคการเมือง ซึ่งสุดท้ายกระทบต่อความรู้สึกคนไทยอย่างแน่นอน

'อ.ไชยันต์' ถาม 'อานันท์' หากบางพรรคมองไม่ผิด ปม '112-พฤติกรรม สส.' แต่มีคนอื่นๆ เห็นว่าผิด ควรหาทางออกหรือให้ใครเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด

(5 ส.ค. 67) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กถึง นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุว่า...

กราบเรียนคุณอานันท์ ปันยารชุน ด้วยความเคารพอย่างสูง

ผมได้ชมคลิปที่ท่านให้สัมภาษณ์ล่าสุด (ที่มีการพูดถึงเรื่อง มาตรา 112) และทราบถึงความเห็นของท่านเกี่ยวกับการให้พรรคการเมืองจัดการดูแลพฤติกรรมของ สส. ในพรรค รวมถึงการให้สภาฯ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจาก สส. หรือพรรคการเมือง โดยไม่จำเป็นต้อง 'ใช้ศาล' โดยท่านได้ยกตัวอย่าง อังกฤษ และอเมริกา 

ผมเห็นด้วยครับว่า โดยเบื้องต้น พรรคและสภาฯควรหารือและหาทางออกด้วยตัวพรรคการเมืองเอง หรือโดยสภาฯ เพราะกฎหมายพรรคการเมืองปัจจุบันได้กำหนดไว้อยู่แล้วด้วย ดังนี้ครับ

มาตรา ๒๒ คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมือง มีหน้าที่ควบคุมและกำกับดูแลมิให้สมาชิกกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ข้อบังคับ รวมตลอดทั้งระเบียบ ประกาศ และคำสั่งของคณะกรรมการ

มาตรา ๔๕ ห้ามมิให้พรรคการเมืองหรือผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองกระทำการ หรือส่งเสริม สนับสนุนให้ผู้ใดกระทำการอันเป็นการก่อกวนหรือคุกคามความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี ของประชาชน หรือกระทำการอันเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ

คำถามหรือปัญหาคือ หากพรรคการเมืองไม่เห็นว่า สมาชิกของตนทำผิด มาตรา 22 และมาตรา 45   แต่มีคนอื่นๆ เห็นว่าผิด  

ผมจึงอยากจะกราบเรียนขอคำชี้แนะจากท่านว่า เราควรหาทางออกหรือหาหน่วยงานองค์กรใดเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดในเรื่องสำคัญที่เห็นต่างนี้ครับ ถ้า 'ไม่ใช้' ศาลอย่างที่ท่านกล่าวในการให้สัมภาษณ์

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาให้คำชี้แนะด้วยครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

ไชยันต์ ไชยพร

ป.ล. อนึ่ง ผมดีใจมากที่ท่านกล่าวให้ความรู้แก่สังคมในเรื่อง ความเที่ยงธรรม (equity) นอกเหนือจาก ความยุติธรรม (justice) ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ต้องอาศัย ความซื่อสัตย์ ซื่อตรงในตัวคนเป็นสำคัญโดยภาษาอังกฤษมีคำว่า honesty และ integrity ที่แปลไทยเหมือนกัน แต่จริงๆ มันไม่ได้เหมือนกันเป๊ะ

ผมจึงอยากขอความกรุณาให้ท่านช่วยให้ความรู้แก่สังคมถึงความหมายที่เหมือนและต่างกันของ honesty และ integrity ด้วยครับ

‘อนุทิน’ แจง เหตุปล่อยน้ำ ‘เขื่อนขุนด่านปราการชล’ กะทันหัน ยัน!! ไม่ถึงขั้นภัยพิบัติ ส่วนผู้ว่าทุกจังหวัดมีแผนรองรับอุทกภัยอยู่แล้ว

(5 ส.ค. 67) ที่กรมชลประทานนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการปล่อยน้ำในเขื่อนขุนด่านปราการชล จ.นครนายก อย่างกะทันหัน ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างกำลังดำเนินการ โดยสถานการณ์ดังกล่าวยังไม่ถือเป็นภัยพิบัติ พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบก็ลดลง

เมื่อถามว่าหลังจากนี้จะมีการกำชับอย่างไรเนื่องจากเข้าสู่ฤดูฝน โดยเฉพาะเรื่องการเตือนภัยประชาชน นายอนุทิน กล่าวว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกคนก็ต้องตื่นตัวตลอดเวลา ซึ่งสถานการณ์ที่จังหวัดนครนายก เมื่อคืนวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมาน้ำมาตอนกลางคืน และมีฝนตกฉับพลัน ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ขอให้ไปฟังรายงานที่กระทรวงก่อน

เมื่อถามต่อว่าจะต้องกำชับไปในพื้นที่เสี่ยงภัยหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า จริง ๆ แล้วไม่ต้องกำชับ เพราะเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติในช่วงเวลานี้อยู่แล้ว

เมื่อถามถึงกรณีที่เกิดขึ้นเป็นการปล่อยน้ำแบบฉุกเฉิน โดยไม่แจ้งคนที่อยู่ท้ายเขื่อนจะต้องกำชับอะไรหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ยัง ไม่ได้เป็นแบบที่ผู้สื่อข่าวถาม ซึ่งหลังจากนี้จะนำไปประเมิน ซึ่งเมื่อมีเหตุการณ์แบบนี้ก็ต้องดำเนินการตามแผน อาจมีอะไรที่นอกเหนือแผนบ้าง ซึ่งตรงนี้อาจต้องตัดสินใจแบบเร่งด่วน ดังนั้นต้องไปดูว่าอะไรที่ตัดสินใจกะทันหันแล้วมันดีหรือไม่ดี แต่ตนเองขอความเห็นใจว่าผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้ว่าราชการจังหวัดทุกคนต้องมีแผนรองรับอุทกภัยอยู่แล้ว ไม่ต้องไปบอกหรือกำชับ เขาต้องเตรียมแผนอยู่แล้ว

FDI 101 เปิดอีกด้าน!! เงินลงทุนจากต่างประเทศใน 'จีน-อาเซียน' ตัวเลขสะสมจีนยังใหญ่กว่าอาเซียน 20 เท่า ส่วน ศก.ใหญ่กว่า 5 เท่า

(5 ส.ค. 67) จากเฟซบุ๊ก 'Sompob Pordi' ของ นายสมภพ พอดี นิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ 'FDI 101' ระบุว่า...

FDI ย่อมาจาก Foreign Direct Investment ซึ่งคือ เงินลงทุนจากต่างประเทศในภาคเศรษฐกิจจริง เช่น สร้างโรงกลั่นนํ้ามัน โรงไฟฟ้า โรงงานอาหารกระป๋อง ฯลฯ

ถ้าบังเอิญไปเห็นข้อความในภาพปลากรอบ (https://www.facebook.com/share/p/Kb79wYUJj1FeA7AT/?mibextid=oFDknk) ที่ปั่นให้คนอ่านเข้าใจผิดว่า 'เศรษฐกิจจีนแย่แล้ว' ไม่มีใครสนใจหอบเงินไปลงทุนแล้ว จากตรงนี้ไปคือข้อเท็จจริงครับ

เป็นความจริงที่ ในปี 2022 กับ 2023 FDI ของอาเซียนพุ่งกระฉูดเป็น $229 bn ในขณะที่ของจีนลดลงจากที่พีคในปี 2021 ที่ $344 bn เหลือ $100+ ใน 2022 กะ 2023

แต่ถ้าเราเอาตัวเลข FDI สะสมของจีน กะ อาเซียน มาวางเทียบกัน จะตื่นตาตื่นใจเพราะ ตัวเลขของจีนใหญ่กว่าอาเซียนกว่า 20 เท่า 

ส่วนที่ว่าจะเติบโตนำจีนใน 10 ปี ผมไม่รู้จริงว่าเขาหมายถึงอะไร เพราะปัจจุบันเศรษฐกิจจีนใหญ่กว่าอาเซียนเกือบ 5 เท่า คาดว่าเขาฝันไปมากกว่า

สิ่งที่ภาพปลากรอบบอกเรา ไม่ได้แปลกอะไรเพราะ...

1. ตอนนี้จีนมีทุนของตัวเองมากมหาศาลแล้ว ไม่ได้พยายามดึงเอา FDI เข้าประเทศ แถมตัดสิทธิประโยชน์ทางภาษีเรียบ ไม่เหลืออะไรแล้ว

2. จีนถูกฝรั่งควํ่าบาตร/กีดกันทางการค้าสารพัด แล้วทุนข้ามชาติที่ไหนจะขนเงินเข้าไปลงทุนสร้างโรงงานโน่นนี่อย่างในอดีต

ถ้าผมเป็นสื่อเพื่อแสวงหากำไร ผมคงหากินกับคนโง่เหมือนกันเพราะง่ายดี 

แต่คงไม่สนุกเพราะจะทำให้ผมโง่ลง ๆ ทุกวัน 5555

‘นายกฯ’ สั่ง ‘สทนช.’ ทำแผนบริหารจัดการน้ำ 3 ปี จ่อชงครม.ภายในเดือนนี้ ยัน!! ไม่ซ้ำรอยน้ำท่วมปี 54

(5 ส.ค. 67) ที่ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) ชั้น 3 อาคาร 99 ปี หม่อมหลวงชูชาติ กำภู กรมชลประทาน ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหารือการบริหารจัดการน้ำ โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายชูชาติ รักจิตร อธิบดีกรมชลประทาน และคณะผู้บริหาร จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 

เมื่อมาถึงนายกฯ รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ จากอธิบดีกรมชลประทาน โดยภาพรวมสถานการณ์ฝนในปีนี้ ณ ขณะนี้อยู่ที่ 56% ซึ่งมากกว่าปีที่แล้วในช่วงเดียวกันที่ 4% ขณะที่นายกฯ กำชับให้ทางกรมชลประทานบริหารจัดการน้ำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยง และคาดการณ์ว่าจะเกิดน้ำท่วมให้ดูแลลงรายละเอียดเป็นรายอำเภอ 

นอกจากนี้อธิบดีกรมชลประทาน ยังรายงานถึงสถานการณ์ที่เขื่อนขุนด่านปราการชล จ.นครนายก มีการระบายน้ำ ตั้งแต่วันที่ 1-5 ส.ค.ในระดับคงที่ แต่เนื่องจากมีฝนตกลงมาท้ายเขื่อนจำนวนมาก จึงทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วม แต่ขณะนี้ได้ปิดการระบายน้ำที่เขื่อนขุนด่านปราการชลแล้ว

ภายหลังการรับฟังบรรยายสรุป นายกฯ ได้กำชับนายอนุทินว่า อยากฝากเรื่องของแม่น้ำโก-ลก จ.นราธิวาส หลังจากลงพื้นที่ร่วมกับ ดาโตะ เซอรี อันวาร์ บิน อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย พบว่าจำเป็นจะต้องมีการขุดลอกคลองเพื่อไม่ให้คลองตื้นเขินและระบายน้ำได้เร็วขึ้น ซึ่งขณะนี้ยังพอมีเวลาอยู่ เนื่องจากฤดูฝนของภาคใต้จะมาช้ากว่าภาคอื่น ๆ ประมาณ พ.ย. 

ขณะที่นายอนุทิน รายงานว่า เรื่องนี้มีแผนและอยู่ในแนวของผังเมือง ซึ่งกรมโยธาธิการจะประสานไปทางมาเลเซีย ทั้งนี้นายกฯ ยังได้เน้นย้ำ และกำชับอีกว่า ให้ดำเนินการโดยเร็วแม้ฝนจะมาช้าก็ตาม จะต้องดำเนินการให้เสร็จก่อนฝนจะมา เพราะทางมาเลเซียเดือดร้อน เนื่องจากมีพื้นที่ต่ำกว่าประเทศไทย แต่ฝ่ายเราก็เดือดร้อนด้วยเช่นกัน อย่างปีที่แล้วก็เกิดปัญหาน้ำท่วมที่ จ.นราธิวาส หากดำเนินการตรงนี้ได้ก็จะบรรเทาความเดือดร้อนลงไปได้

จากนั้นนายกฯ เป็นประธานการประชุมหารือการบริหารจัดการน้ำ พร้อมมอบนโยบายว่า เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วปัญหาเรื่องน้ำเราเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่ประเทศไทยต้องเผชิญทุกปี ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง และน้ำไม่ได้คุณภาพ ซึ่งตนมีความตั้งใจที่จะแก้ปัญหานี้โดยเร่งด่วน เพราะส่งผลต่อความเสียหายอย่างหาค่ามิได้ต่อประชาชนคนไทยทุกคน ตนได้มอบหมายให้กระทรวงและหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องน้ำบูรณาการทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อจะทำแผนงานและโครงการที่สามารถเร่งรัดดำเนินการในระยะเวลา 3 ปี และตลอดจนการพิจารณาโครงการสำคัญระยะยาว เพื่อให้น้ำถึงไร่นา น้ำสะอาดทุกหมู่บ้าน แก้ไขปัญหาภัยพิบัติน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ขอเน้นการเสริมประสิทธิภาพของโครงการที่มีอยู่เดิมให้สามารถใช้ประโยชน์ได้สูงสุด ก่อนพิจารณาก่อสร้างโครงข่ายการบริหารจัดการน้ำ และระบบการกระจายน้ำเพิ่มเติมเพื่อการใช้งบประมาณแผ่นดินเป็นไปได้อย่างเหมาะสม โดยในช่วงฤดูฝนนี้ตนมอบหมายให้กรมชลประทานและสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA นำเสนอพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากและแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

จากนั้น เวลา 10.08 น. นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมหารือการบริหารจัดการน้ำ ว่า ปัญหาเรื่องน้ำเป็นปัญหาเร่งด่วนของประเทศไทยที่จะต้องแก้ไขให้ดียิ่งขึ้นภายในรัฐบาลนี้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง และคุณภาพน้ำ น้ำดื่ม น้ำใช้น้ำบริโภค ตนได้มอบหมายให้หน่วยงานเรื่องน้ำเร่งทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อจัดทำแผนงานด้านน้ำระยะ 3 ปี และแผนงานสำคัญระยะยาวเพื่อให้ “น้ำถึงไร่นา น้ำสะอาดทุกหมู่บ้าน แก้ปัญหาภัยพิบัติด้านน้ำ” อย่างยั่งยืน 

ซึ่งตนเน้นย้ำให้ปรับปรุงโครงการที่มีอยู่เดิมให้สามารถใช้ประโยชน์ได้สูงสุด ตลอดจนก่อสร้างโครงข่ายการบริหารจัดการน้ำเพิ่มเติม โดยพิจารณาถึงความเร่งด่วนและความเหมาะสมในการใช้จ่ายงบประมาณเป็นสำคัญ โดยที่ประชุมหารือการบริหารจัดการน้ำได้พิจารณาและเห็นชอบแผน 3 ปี ด้านทรัพยากรน้ำและโครงการสำคัญ เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำกินน้ำใช้ ปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม ตลอดจนภัยพิบัติด้านน้ำอื่น ๆ ซึ่งจะเกิดประโยชน์กับประชาชน 6.22 ล้านครัวเรือน มีพื้นที่รับประโยชน์ 24.19 ล้านไร่ โดยประกอบด้วยแผนงาน 5 ด้าน ดังนี้ 1.การเพิ่มน้ำอุปโภคบริโภค 2.การปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพแหล่งน้ำเดิมและพัฒนาระบบกระจายน้ำ 3.การพัฒนาพื้นที่เกษตรน้ำฝน 4.การพัฒนาพื้นที่น้ำท่วมและป้องกันพื้นที่ชุมชนเมือง และ 5.การพัฒนาพื้นที่ต้นน้ำ

นายกฯ กล่าวต่อว่า ตนและรัฐบาลมีนโยบายสำคัญในการแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำให้กับพี่น้องประชาชน โดยตนได้สั่งการให้ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เร่งจัดทำแผนงานด้านน้ำและเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาภายในเดือนส.ค.นี้ และตนได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานบริหารจัดการน้ำ โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกับประชาชน เน้นการสื่อสารและแจ้งเตือนล่วงหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)  หรือ GISTDA ประเมินภาพถ่ายในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากร่วมกับกรมชลประทาน และมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ สทนช. ร่วมกัน ติดตาม เฝ้าระวังสถานการณ์ บริหารจัดการและแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ตลอดจนแจ้งเตือนประชาชน เพื่อให้เกิดผลกระทบกับพี่น้องประชาชนน้อยที่สุด

เมื่อถามว่าแผนระยะ 3 ปี ใช้งบประมาณเท่าไหร่ นายกฯ กล่าวว่า ขอให้คอยถึงสิ้นเดือนส.ค.ดีกว่า ให้สทนช. เตรียมเรื่องให้ครบก่อนวันนี้เป็นวันคลิกออฟ แล้วสิ้นเดือนส.ค.จะมีการแถลงใหญ่

เมื่อถามต่อว่ามีพื้นที่ไหนที่น่าเป็นห่วงเป็นพิเศษ นายกฯ กล่าวว่า เท่าที่ดูรายงานก็มีภาคตะวันออก ที่กำลังประสบปัญหาอยู่และภาคอีสานบางจุด ก็มีการสั่งการแล้วว่าให้เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ให้มีการปรับแผนตลอดเวลา ควบคู่ไปกับการรายงานผลของ GISTDA 

เมื่อถามอีกว่ามีการแจ้งเตือนประชาชนได้มีการพัฒนาอย่างไรบ้าง  นายกฯ กล่าวว่า ให้ GISTDA  ทำงานร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมชลประทานและกระทรวงมหาดไทย 

เมื่อถามต่อว่านายกฯเป็นห่วงและเน้นย้ำอะไรเป็นพิเศษหรือไม่  นายกฯ กล่าวต่อว่า ตนเรียนอย่างนี้อาชีพกษตรเป็นอาชีพหลักของเราหลาย 10 ล้านคน เรื่องของน้ำดื่มน้ำใช้ พวกเราในกรุงเทพฯมีน้ำใช้กันอย่างเต็มที่ แต่ถ้าลงไปต่างจังหวัดมีอีกหลายพื้นที่ที่น้ำใช้อุปโภคและบริโภคยังไม่มี และทุกปีเราใช้งบประมาณในการชดเชย เรื่องการช่วยเหลือจุนเจือเป็นปลายเหตุ ถ้าเราบริหารจัดการไม่ให้มีน้ำท่วมน้ำแล้ง ตนเชื่อว่าความเดือดร้อนของประชาชนจะหายไปเยอะ รวมถึงผลกระทบในเชิงบวกที่จะก่อให้เกิดผลผลิตทางด้านการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเราเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางอาหารสูง การที่เมืองโลกร้อนระอุ มีเรื่องการแย่งอาหารเยอะมาก จะทำให้ประเทศไทยมีจุดเด่นทางด้านนี้มาก เรื่องน้ำมีอยู่ 3-4 เรื่อง คือ น้ำในระบบนิเวศ น้ำอุปโภคบริโภคและน้ำที่ใช้ในการเกษตร และเรื่องสุดท้ายพูดกันน้อย คือ น้ำที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ต้องการน้ำเยอะ การที่เราไปเชิญต่างชาติให้เขามาลงทุน และให้มาตรการด้านภาษีสนับสนุน เขามาแล้วน้ำขาดก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งเรื่องนี้เราต้องบูรณาการครบทุกภาคส่วน ผู้บริหารทุกท่านเห็นพ้องต้องการ ถ้าเราบริหารจัดการน้ำได้ดีประเทศไทยก็เดินไปข้างหน้าได้

เมื่อถามย้ำว่ามั่นใจการบริหารจัดการน้ำจะไม่ซ้ำรอยน้ำท่วมปี 2554 ใช่หรือไม่ นายกฯ ยิ้มก่อนกล่าวว่า "ครับ"

มือเศรษฐกิจรุ่นใหม่ ดีกรี วิศวะ-เศรษฐศาสตร์-บริหาร อ๊อกซฟอร์ด

นาทีนี้ สื่อดังหลายสำนักตีข่าวไปในทางเดียวกันว่า คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้ทำหนังสือถึงนายกฯ แสดงเจตจำนงว่า สำหรับโควตารัฐมนตรีของพรรค รทสช.ที่ว่างอยู่ 1 ตำแหน่งนั้น หากมีการปรับ ครม.พรรคขอเสนอชื่อของ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ในฐานะเลขาธิการพรรค เข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลว่า คุณขิงได้ทำผลงานในการเลือกตั้ง และงานสภาฯ ได้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด 

ถ้าข่าวนี้เป็นจริง ถือว่ารัฐบาลจะได้ รัฐมนตรี ที่เป็นคนรุ่นใหม่และมีคุณภาพคนหนึ่งมาร่วมทำงานเพื่อขับเคลื่อนประเทศได้อย่างมากเลยทีเดียว

สำหรับ 'ขิง-เอกนัฏ พร้อมพันธุ์' นักการเมืองหนุ่มไฟแรงวัยแค่ 38 ปี ตำแหน่งปัจจุบันเป็นเลขาธิการพรรค 'รวมไทยสร้างชาติ' จนถูกเรียกติดปากว่า 'เลขาขิง' มีดีกรีเป็นหนุ่มนักเรียนนอก จบปริญญาตรี ควบปริญญาโท ปริญญาตรี ควบปริญญาโทใน 2 สาขา EEM (Engineering, Economics and Management)จาก มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด (University of Oxford) ประเทศอังกฤษ ซึ่งมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของโลก ตามการจัดอันดับปีล่าสุด 2024 ของ Times Higher Education (THE) World University Ranking

ทั้งนี้ หากพิจารณาถึงเส้นทางการเมืองของ 'เอกนัฏ' จะพบว่า เจ้าตัวเป็นคนที่ชอบติดตามการเมือง มีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักการเมืองตั้งแต่เด็กชั้นประถม พูดง่าย ๆ คือ หากเปรียบชีวิตการเมือง ก็เหมือนเป็นสิ่งหนึ่งที่อยู่ในสายเลือดไปแล้ว เพราะตอนเป็นเด็ก เจ้าตัวชอบไปยืนเกาะข้างเวทีปราศรัย ชอบคุยแต่เรื่องการเมืองกับแม่ และนั่นจึงเป็นเหตุผลตัดสินใจไปศึกษาต่อที่ 'อ๊อกซฟอร์ด' ประเทศอังกฤษ เพราะเป็นสถาบันที่ผลิตนักการเมืองมาเยอะ 

หลักจากเรียนจบ 'เอกนัฏ' เข้ามาสู่เส้นทางการเมืองเต็มตัว จากคำชักชวน ของ 'อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ' อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เปรียบเป็นรุ่นพี่ที่จบจากสถาบันเดียวกัน (อ๊อกซฟอร์ด) ชวนให้มาช่วยงานที่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลขณะนั้น และเข้าไปช่วยงานรัฐบาลในตำแหน่ง เลขานุการส่วนตัวของ 'สุเทพ เทือกสุบรรณ' รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง

เอกนัฏ เล่าว่า สมัยที่เข้าไปช่วยงานพรรคประชาธิปัตย์ ทำทุกหน้าที่ ประสานงานทั้งคนในพรรค ทั้งคนในรัฐบาล และงานความมั่นคง เก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านการเมือง กระทั่งเมื่อปี 2554 ลงสมัครรับเลือกตั้ง และชนะการเลือกตั้ง มีโอกาสได้เป็น สส.กทม. เขตทวีวัฒนา เมื่อตอนอายุ 25 ปี ถือว่าเป็น สส. ที่มีอายุน้อยที่สุดในสภาขณะนั้น 

สำหรับการปักธงการเมืองไปกับ พรรครวมไทยสร้างชาติ นั้น เพราะเขามองว่าพรรคนี้ มุ่งมั่นที่จะให้โอกาสกับคนรุ่นใหม่ เช่น ตนเองได้มาเป็นเลขาธิการพรรค ดังนั้นจะพิสูจน์ฝีมือทำให้ได้ เปิดพื้นที่ให้กับทุกคน ไม่แบ่งเพศ ไม่แบ่งรุ่น เอาคนที่ประสงค์ดีมาทำงาน มองการเมืองคือการแข่งขัน เพื่อเอาชนะใจของประชาชน แพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดา ชีวิตต้องสู้ ศัตรูคือยาชูกำลัง  

เอกนัฏ เล่าอีกว่า ที่มาที่ไปของพรรค 'รวมไทยสร้างชาติ' เกิดจากการรวมกลุ่มของผู้ที่มีอุดมการณ์เดียวกันต้องการให้มีพรรคการเมือง มีการเปลี่ยนแปลง ใกล้ชิดประชาชน มีความยืดหยุ่นตอบสนองความต้องการประชาชน เป็นพรรคการเมืองที่ไม่ยึดติดกับความแย้ง ในอดีต ไม่เอาความขัดแย้งมาเป็นอุปสรรคในการทำงาน จึงเป็นที่มาในการตั้งพรรค 

ส่วนชื่อ 'รวมไทยสร้างชาติ' เกิดจาก 'นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค' หัวหน้าพรรค เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ที่เคยได้ยินประโยคนี้บ่อย ๆ และคำว่า 'รวมไทยสร้างชาติ' มีทั้งความหมายและฟังแล้วติดหู จึงนำมาตั้งเป็นชื่อพรรค    

เมื่อพูดถึง 'นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค' ก็อดไม่ได้ที่ต้องขยายความช่วงหนึ่งของ รทสช. ที่มีกระแสข่าวว่าเกิดปัญหาภายในพรรค ซึ่งเรื่องนี้ เอกนัฏ ย้ำชัดอีกรอบ ว่า...

"สําหรับพรรครวมไทยสร้างชาติ ท่านหัวหน้าพรรคพีระพันธุ์กับผมยืนยันมาตลอดว่า คนสําคัญที่สุด ก็คือ โหวตเตอร์ของพรรค ไม่มีใครสำคัญกว่าประชาชนอีกแล้ว ฉะนั้นเมื่อมีกรณีที่พยายามสั่นสะเทือนความมั่นคงของพรรค โดยเอาประเด็นมาโยง เราก็ต้องเรียนตรง ๆ ว่ามันไม่มีอะไรเชื่อมมาถึงปัญหาในพรรคเลย เพราะพรรคก็ต้องเดินหน้าทำงานเพื่อประชาชนต่อไป ความสัมพันธ์ของพวกเราก็ยังดีเช่นเดิม โทรหากันเช่นเดิม...

"...ฉะนั้นกับกระแสที่เกิดขึ้น ผมจึงมองว่าไร้สาระมาก และจริง ๆ แล้ว ตัวผมเองก็เป็นแฟนคลับส่วนตัวของท่านด้วย แต่ก็ดันมีการจับแพะชนแกะกันเก่ง ถึงขนาดที่ว่า ผมไปนั่งคุยกับท่านหัวหน้าพีระพันธุ์ ด้วยระยะเวลาประมาณชั่วโมงนึง ก็เสี้ยมกันออกมาว่า หัวหน้ากับผมแตกกัน มันไร้สาระมาก ... ถามหน่อยว่าผมไปที่ทําเนียบ ต้องพูดคุยข้อราชการกับท่านหัวหน้า จะให้ผมคุยกี่นาที ถึงจะไม่ประเด็นหรือไม่เกิดสัญญาณความขัดแย้ง เพราะในความเป็นจริง เราคุยกันตลอดครับเราคุยกันตลอดไม่ใช่แค่ที่ทําเนียบ ผมกับท่านมีการโทรศัพท์ปรึกษากันแทบทั้งวัน เพื่อตกผลึกประเด็นต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว"

เอกนัฏ กล่าวอีกว่า "ท่านหัวหน้ากับผมร่วมกันสร้างรวมไทยสร้างชาติมากันสองคนตั้งแต่ไม่มีอะไร แล้วผมเองก็เป็นแฟนคลับส่วนตัวของท่านด้วย ฉะนั้นเมื่อช่วงแรกที่ผมพูดตลอดเหมือนเสื่อผืนหมอนไป วันนั้นก็มีกันอยู่สองคน แล้วเมื่อมีคนเห็นความตั้งใจของเรา ก็มาร่วมงานอยู่เป็นจํานวนมาก จนเราสร้างระบบรากฐานให้พรรคได้อย่างมั่นคงถึงตอนนี้...

"หัวหน้ากับผมมีความตั้งใจมีความแน่วแน่ที่จะไม่ทําให้ประชาชนต้องผิดหวัง โดยการทำงานของเราสองคน เป็นการทำงานแบบแบ่งหน้าที่กัน ท่านหัวหน้าซึ่งเป็นผู้นํา ก็ต้องสร้างกระแสให้กับพรรค สร้างความเชื่อมั่นให้กับพรรค ส่วนผมก็เป็นแม่บ้านคอยเก็บกวาด คอยดูแลเอาใจใส่ สส. และเรื่องของประเด็นภายในต่าง ๆ เราแบ่งหน้าที่กันตามที่ประสาชาวบ้านเรียกว่า 'แบ่งบทกันเล่น'"

เมื่อถามว่า รทสช. ยังต้องมี 'บิ๊กตู่-ท่านพีและขิง เอกนัฏ' อยู่ด้วยกันแน่นอน? เอกนัฏ ยืนยันว่า "แน่นอนครับ ไม่ว่าวันไหนก็อยู่ด้วยกันครับ ถ้ามีหัวหน้าพีระพันธุ์ ก็ต้องมีเลขาฯ เอกนัฏ ที่ผมกล่าวเช่นนี้ เพราะท่านหัวหน้าเป็นคนดีมาก ท่านเป็นคนซื่อสัตย์สุจริตแล้วก็มีความแน่วแน่ในการทํางาน ผมเชื่อว่าประเทศจะได้ประโยชน์จากการมีผู้นําแบบท่านพีระพันธุ์ อย่างบทบาทของท่านในกระทรวงพลังงานวันนี้ ท่านกำลังทําในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เราทุกคนต่างก็ให้กําลังใจแล้วก็ซัพพอร์ตท่านเต็มที่"

เมื่อถามถึงบริบทของคำว่า 'นักการเมือง'? เอกนัฏ มักพูดเสมอว่า ไม่อยากให้มองว่า อาชีพนักการเมืองมีแต่คนเลว ไม่ควรดูถูกอาชีพนักการเมือง ขอให้คนรุ่นใหม่ปรับมุมมอง อยากให้คนรุ่นใหม่สนใจอาชีพการเมือง เข้ามาลองทำอาชีพนี้ ช่วยทำการเมืองให้สร้างสรรค์ เปิดโอกาสให้คนดีๆ มีความสามารถ เข้ามาช่วยทำการเมืองให้มันดี ตามที่ใจเราต้องการ แล้วมาช่วยกันพัฒนาประเทศ เชื่อว่าคนรุ่นใหม่สามารถแยกแยะ เหตุและผลตามข้อเท็จจริงได้

สำหรับคติประจำใจในการทำงานการเมืองของ 'เอกนัฏ' นั้น เจ้าตัวบอกว่า ต้อง 'ขยัน-อึด-อดทน' ซึ่งแม้จะเป็นคำที่ฟังดูแล้วพื้น ๆ แต่มีความหมายใช้เตือนตัวเองอยู่ตลอดในการทำอาชีพนักการเมือง   

>> ขยัน คือ ทำแค่นี้ยังไม่พอ ต้องให้มากกว่าเดิม ต้องทำให้ละเอียดมากกว่านี้  
>> อึด คือ ต้องแข็งแรง แข็งแกร่ง ไม่ว่าเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนต้องก้าวต่อไปให้ได้
>> อดทน คือ อาชีพนักการเมือง ต้องรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ถูกคำสบประมาท ถูกคำด่าทอ สาดเสียเทเสีย แต่ต้องผ่านไปให้ได้เพื่อนำไปปรับปรุงตัวเอง

ก็คงต้องรอติดตามกันต่อไปว่า ในห้วงเวลาจากนี้ ชื่อของ 'เอกนัฏ พร้อมพันธุ์' จะถูกบรรจุเข้าสู่ทำเนียบรัฐมนตรีเลือดใหม่ของรัฐบาลนี้เมื่อใด และหากไม่มีอะไรผิดพลาด ก็คงต้องแสดงความยินดีล่วงหน้ามา ณ ที่นี้

10 สิงหาคม พ.ศ. 2435 ถือกำเนิด ‘ผู้ใหญ่บ้าน’ ครั้งแรก ที่บ้านเกาะ อ.บางปะอิน จ.อยุธยา พระยารัตนกุลอดุลยภักดี (จำรัส รัตนกุล) คือบุคคลแรกที่ถูกเลือก

ทุกวันที่ 10 สิงหาคม ถือเป็น ‘วันกำนันผู้ใหญ่บ้าน’ เพื่อเป็นการน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงจัดระเบียบการการปกครองท้องที่ ในระดับตำบลหมู่บ้านขึ้นใหม่ โดยให้ราษฎรทำการเลือกผู้ใหญ่บ้านเป็นครั้งแรกที่บ้านเกาะ อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2435

โดยกำนันผู้ใหญ่บ้านคนแรกคือ พระยารัตนกุลอดุลยภักดี (จำรัส รัตนกุล)

“ต่อมาถึง พ.ศ. 2437 ทรงพระกรุณาโปรดฯ ให้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาล กรมขุนมรุพงศ์ศิริพัฒน์ ได้ทรงเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลอยุธยา เมื่อลงมือจัดการปกครองท้องที่ พวกราษฎรชาวบางปะอินเลือกพระยารัตนกุลฯ เปนผู้ใหญ่บ้าน แล้วเลือกเป็นกำนันด้วยอีกชั้น…” (พระยารัตนกุลอดุยภักดี (จำรัส รัตนกุล) ใน “คำนำ โดยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ” หนังสือลำดับสกุลเก่าบางสกุล ภาคที่ 2, พ.ศ. 2465)

ส่วนประวัติของ พระยารัตนกุลอดุลยภักดี หรือ นายจำรัส รัตนกุล (พ.ศ. 2402-65)) ผู้ใหญ่บ้านและกำนันคนแรกของประเทศไทย เกิดในรัชกาลที่ 4 ตรงกับวันอังคารที่ 22 พ.ศ. 2402 ปีมะแม เป็นบุตรหลวงพิเศษสุวรรณกิจ (ชื่น) รับราชการตำแหน่งสุดท้ายเป็นสมุหเทศาภิบาล จนเมื่อ พ.ศ. 2452 ก็กราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากสุขภาพไม่แข็งแรง

และในวันที่ 10 สิงหาคม ของทุกปี จึงถือเป็น ‘วันกำนันผู้ใหญ่บ้าน’

ปูด 'ลุงป้อม' เตรียมดัน 'สามารถ' นั่งหัวหน้าพรรคพลังมหาชน ปั้นเกมรบตามทฤษฎีแตกแบงก์พัน รวมพลังรุ่นใหม่สู้ก้าวไกล

(5 ส.ค. 67) นายบุญรวี ยมจินดา หัวหน้าพรรครวมใจไทย (ร.จ.ท.) เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เตรียมตั้งพรรคคู่ขนานชื่อว่าพรรคพลังมหาชน โดยจะให้นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นหัวหน้าพรรค เตรียมพร้อมที่จะสู้กับพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล ซึ่งเป็นพรรคสำรองที่พรรคก้าวไกลไปเทกโอเวอร์มา หากในวันพุธที่ 7 ส.ค.ศาลรัฐธรรมนูญมีมติยุบพรรคก้าวไกล

นายบุญรวี กล่าวต่อว่า เรื่องของพรรคพลังประชารัฐหรือ พล.อ.ประวิตร เป็นเรื่องสำคัญของการเมืองในระยะนี้ ตอนนี้ พล.อ.ประวิตรไม่อยู่ไปดูกีฬาโอลิมปิกที่ประเทศฝรั่งเศส ก็เกิดศึกภายในพรรคระหว่างซีก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค กับนายสามารถ คนสนิทของพล.อ.ประวิตร จึงเป็นที่มาว่าจะมีการตั้งพรรครองรับคนรุ่นใหม่ที่นายสามารถ จะประสานเข้ามาร่วมพรรค ส่วนพล.อ.ประวิตร ก็จะอยู่ที่พรรคพลังประชารัฐต่อไป

“พล.ประวิตร มองว่านายสามารถ คือคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ และจะนำพาคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมงานกับพรรคใหม่ได้แบบที่พานายวัน อยู่บำรุง อดีต สส.พรรคเพื่อไทยเข้ามาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ จึงทำให้เกิดทฤษฎีแตกแบงก์พันของ พล.อ.ประวิตร โดยหวังว่าจะเป็นพรรคตัวแทนของคนรุ่นใหม่เพื่อไปแข่งกับพรรคก้าวไกล ท่ามกลางกระแสข่าวว่านายทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่ของพรรคเพื่อไทย เตรียมเขี่ยพรรคพลังประชารัฐของพล.อ.ประวิตร พ้นจากพรรคร่วมรัฐบาล”ซึ่งความเป็นจริงแล้วนายทักษิณ ชินวัตร รู้ดีว่าถ้าเขี่ยพลังประชารัฐออกจากรัฐบาลนั้นจะยิ่งทำให้บ้านเมืองวุ่นวายถึงขั้นอาจมีการรัฐประหารอีกครั้งก็เป็นได้

'อัครเดช' ชี้!! 'รวมไทยสร้างชาติ' หนุน ‘เอกนัฏ’ นั่งโควตารัฐมนตรี ยัน!! เป็นคนทำงานทุ่มเท คุณสมบัติพร้อม แง้ม!! เจ้าตัวยังไม่ทราบเรื่อง

(5 ส.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีกระแสข่าวว่า นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค รทสช. ได้ส่งหนังสือไปยังนายกรัฐมนตรี แสดงเจตจำนงให้นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรค รทสช. เป็นรัฐมนตรีแทนโควตาของพรรคที่ว่างอยู่ว่า นายเอกนัฏ ยังไม่ทราบเรื่องหนังสือ แต่เป็นไปได้ว่าหัวหน้าพรรค จะส่งหนังสือไปยังนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ยังไม่มีการพูดคุยกับหัวหน้าพรรค เนื่องจากติดประชุม

ผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนหน้านี้ทางพรรคได้พูดคุยเรื่องการเสนอชื่อคนที่จะเป็นรัฐมนตรีหรือไม่? นายอัครเดช กล่าวว่า ทางพรรคยังเหลือโควตารัฐมนตรีอีกหนึ่งตำแหน่ง ดังนั้นข่าวที่ออกมาว่าจะเป็นนายเอกนัฏ ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะหลุดจากคดีความแล้ว และมีคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรี 

ฉะนั้น กรรมการบริหารพรรค และ สส.ของพรรค คงไม่มีใครปฏิเสธ เนื่องจากนายเอกนัฏ ทำงานด้วยความทุ่มเท และที่ผ่านมาทั้งในช่วงหาเสียงและงานในสภาก็มีผลงานที่ชัดเจน ยืนยันว่า ทุกคนพร้อมสนับสนุนให้นายเอกนัฏ ไปนั่งเป็นรัฐมนตรีในโควตาของพรรค รทสช. ดังนั้นหนังสือไม่ใช่ใจความสำคัญ อย่างไรก็ตาม อำนาจการตัดสินใจสุดท้าย อยู่ที่นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค

ส่อง 5 ประเทศผู้นำในการส่งออกข้าวของโลก ประจำปี 2024

จากข้อมูลของ USDA Foreign Agricultural Service ได้เก็บข้อมูลการส่งออกข้าวจากประเทศต่าง ๆของปี 2024 และมีการคาดว่าประเทศผู้ส่งออกข้าวจะสามารถส่งออกข้าวได้เยอะกว่าปีที่แล้ว คือจาก 53.29 ล้านตันในปี 2023 ขยับมาเป็น 55.13 ล้านตันในปี 2024 โดย 5 ประเทศผู้นำที่ส่งออกข้าวมากที่สุดสามารถเรียงตามลำดับได้ดังนี้...

1.อินเดีย เป็นประเทศผู้ส่งออกอันดับหนึ่งของโลก โดยส่งออกสัดส่วนมากถึง 37% ของโลก และคาดการณ์ว่าปีนี้จะส่งออกได้ 17 ล้านตัน ซึ่งน้อยลงกว่าปีที่แล้วที่ส่งออกได้ถึง 17.73 ล้านตัน

2.ไทย ประเทศไทยครองสัดส่วน 16% ของโลก โดยไทยส่งออกข้าว 8.5 ล้านตันโดยลดลงจากปีที่แล้วที่ 8.74 ล้านตัน

3.เวียดนาม มีการเติบโตแบบมีนัยสำคัญจนพลิกมาเป็นอันดับ 2 ตอนปี 2023 โดยมีลูกค้าเป็น ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย และหลายประเทศในแอฟริกา จะสามารถส่งออกข้าวเพิ่มได้จาก 8.23 ล้านตันเป็น 8.3 ล้านตัน

4.ปากีสถาน ส่งออกข้าวประมาณ 4.53 ล้านตันในปีที่แล้ว และจะขยับขึ้นมาเป็น 6.10 ล้านตันในปี 2024 คิดเป็น 7% ของโลก

5.สหรัฐอเมริกา ที่ปีที่แล้วอยู่อันดับ 6 แต่ในปีนี้สามารถแซงหน้ากัมพูชาขึ้นมาได้ โดยมีตัวเลขส่งออกข้าวที่เพิ่มขึ้นจาก 2.40 ล้านตันไปเป็น 3.13 ล้านตัน ในปีนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top