Friday, 23 May 2025
TheStatesTimes

สตม.จับยกแก๊งปล้นทรัพย์นักเทรดอังกฤษ ตามนโยบายของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม  ในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือ กลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด   

วันนี้ (16 ก.ค. 67) เวลา 11.00 น. ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชูวงษ์ อุทัยสาง ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.พิสิษฐ์ ศรีอ่อน ผกก.2 บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้  

สตม. จับยกแก๊งปล้นทรัพย์นักเทรดอังกฤษ กก.2 บก.สส.สตม. จับกุมผู้ต้องหาชาวต่างชาติ จำนวน 3 ราย ดังนี้
1. MR.ABDULLAHI (สงวนนามสกุล) อายุ 27 ปี สัญชาติเดนมาร์ก  
2. MR.MOHAMED (สงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี สัญชาติบริติช  
3. MR.SAEED (สงวนนามสกุล) อายุ 24 ปี สัญชาติบริติช  

ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญากรุงเทพใต้ กระทำความผิดฐาน “ปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธติดตัว, ร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ, ร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นโดยมีอาวุธให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจ โดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น, ร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น, ร่วมกันพาอาวุธติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร” นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม MR.ABDULLAHI จับที่หน้าโรงแรมในย่าน ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี MR.MOHAMED และ MR.SAEED จับที่ POOLVILLA ในย่านถนนเทพประสิทธิ์ 5 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี

จากกรณีได้มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.คลองตัน เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2567 เวลาประมาณ 02.00 น. ผู้เสียหายได้ถูก MR.ABDULLAHI พร้อมกับพวกรวม 5 คน ร่วมกันทำร้ายร่างกายและเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายไป ได้แก่ นาฬิกา ยี่ห้อ Audemars piguet 1 เรือน นาฬิกา ยี่ห้อ Rolex 1 เรือน และทรัพย์สินอื่น รวมมูลค่าประมาณ 3 ล้านบาท เหตุเกิดที่ ห้องพักในแมนชั่นย่าน ถนนพระราม 4 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพฯ เป็นเหตุให้ได้รับความเสียหาย ต่อมาศาลอาญากรุงเทพใต้ได้อนุมัติออกหมายจับ นาย MR.ABDULLAHI, MR.MOHAMED, MR.SAEED, MISS SUMYA (สงวนนามสกุล) อายุ 21 ปี สัญชาติบริติช และหญิงชาวต่างชาติไม่ทราบชื่อ กก.2 บก.สส.สตม. จึงได้นำข้อมูลผู้ต้องหาบันทึกไว้ในบัญชีเฝ้าดูในระบบสารสนเทศ ตม.  และทำการสืบสวนติดตามหาตัวผู้ต้องหาทั้ง 5 ราย จนทราบว่า MR.ABDULLAHI, MR.MOHAMED และ MR.SAEED หลังจากก่อเหตุได้หลบหนีไปพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ จว.ชลบุรี จึงได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่สืบสวน สน.คลองตัน ไปสืบสวนหาตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย จนกระทั่งทราบว่า MR.ABDULLAHI พักอาศัยที่โรงแรมในย่าน ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี และ MR.MOHAMED กับ MR. SAEED พักอาศัยที่ POOLVILLA ในย่านถนนเทพประสิทธิ์ 5 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี จึงเข้าทำการจับกุมดังกล่าว

นอกจากนี้ กก.สส.ปป.บก.ตม.2 ยังได้ตรวจพบว่า MISS SUMYA ผู้ต้องหาตามหมายจับจะเดินทางออกจากประเทศไทยไปยังกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย จากการตรวจค้นกระเป๋าเดินทางพบช่อดอกกัญชาบรรจุในถุงสุญญากาศ ขนาด 500 กรัม จำนวน 50 ห่อ น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้มประมาณ 25 กิโลกรัม จึงได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ศุลกากร และ ป.ป.ส. ประจำท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จับกุมในความผิดฐาน พยายามส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งสมุนไพรควบคุม (ช่อดอกกัญชา) โดยไม่ได้รับอนุญาต และพยายามส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งของที่ยังไม่ได้ผ่านพิธีการศุลกากร ตามกฎหมายศุลกากร มาตรา 242 มาตรา 166 มาตรา 167 และมาตรา 252 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560 นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดำเนินคดีตามกฎหมาย และพนักงานสอบสวน สน.คลองตัน จะได้ดำเนินการตามหมายจับต่อไป

‘สาว’ โพสต์ระบาย หลังซื้อกับข้าวร้านข้าวแกงย่านตลาดดัง อาหาร 3 อย่าง 820 บาท ชาวเน็ตช่วยยัน!! “เคยซื้อ แพงจริง”

(16 ก.ค. 67) ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านเพจ 'พวกเราคือผู้บริโภค' โดยเป็นภาพกับข้าว 3 อย่างที่ได้ไปชื้อครั้งแรกแบบคนไม่มีความรู้ในการเดินตลาดแห่งนี้ พร้อมระบุข้อความว่า 

"ไปชื้อครั้งแรกแบบคนไม่มีความรู้ในการเดินตลาดแห่งนี้ เพราะไปแค่ปีละครั้ง เดิน ๆ ๆ เข้าไปเจอร้านขายแกงร้านหนึ่ง น่ากินมากและมีหลากหลาย ด้วยความเห็นมีแต่ของน่ากิน เดินเข้าไปชื้อทันทีโดยที่เราก็ผิดเองที่ไม่ถามราคาก่อน เพราะในหัวคิดว่ารู้ว่าตลาดนี้ขายของแพงกว่าตลาดอื่นมาก 

“แต่ไม่คิดว่าจะแพงเท่านี้ สั่งไป 3 อย่าง ตามรูปเลย ถามราคาเท่าไรค่ะ ตอนจ่ายเงิน 820 บาท ห๊ะ ถามย้ำว่าเท่าไร 820 ปลาทูต้ม 2 ตัว 380 กุ้งทอดกระเทียม 400 อีกอย่างคือปลาดุกผัดพริก โอเคทำไงสั่งแล้วต้องจ่าย เค 820 เดินออกมาด้วยความยังงงว่ามันแพงขนาดนี้เลยอ่อ ฝากเป็นความรู้สำหรับคนที่อาจจะไม่เคยเดินตลาดแถวจตุจักรด้วย ว่าโปรดสอบถามราคาก่อนชื้อ !!!!!!!”

งานนี้ชาวเน็ตต่างเข้ามาคอมเมนต์ถึงปริมาณอาหารที่ได้เมื่อเทียบกับราคาที่ต้องจ่ายกันยกใหญ่ พร้อมทั้งพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "แพงจริง" ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กบางท่านก็บอกว่า “เคยซื้อแล้ว ตลาดนี้แพงจริง”

'ฮวาง ฮี-ชาน' หัวหอกวูล์ฟ โดนนักเตะ 'เซเรีย อา' เหยียดในเกมอุ่นเครื่อง ด้านเพื่อนร่วมทีมเดือดแทน หวดปากนักเหยียดคู่แข่ง-รับใบแดงเป็นรางวัล

(16 ก.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ฮวาง ฮี-ชาน กองหน้าชาวเกาหลีใต้ ของ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส สโมสรจากพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ถูกนักเตะโคโม่ ทีมจากเซเรีย อา อิตาลี ใช้คำพูดเหยียดใส่ ระหว่างเกมอุ่นเครื่องที่ วูล์ฟแฮมป์ตัน เอาชนะ โคโม ทีมน้องใหม่ของเซเรีย อา อิตาลี ไป 1-0 ในการแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตร เมื่อวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามในเกมดังกล่าว ทาง แกรี โอนีล กุนซือของวูล์ฟแฮมป์ตัน ออกมาเปิดเผยว่า ฮวาง ฮี-ชาน กองหน้าชาวเกาหลีใต้ถูกแข้งฝ่ายตรงคำใช้คำพูดที่เป็นการเหยียดเชื้อชาติใส่ และเขาได้ถามกองหน้าวัย 28 ปีรายนี้ว่า ต้องการจะออกจากแมตช์นี้ไหม แต่เขาปฏิเสธและยังเดินหน้าช่วยทีมต่อระหว่างเข้าแคมป์เก็บตัวที่สเปน

แกรี โอนีล เผยถึงเรื่องนี้ ว่า "ชานนี่ได้ยินคำพูดที่เป็นการเหยียดเชื้อชาติ ซึ่งมันน่าผิดหวังจริงๆ"

"มันน่าผิดหวังมากที่มันเกิดขึ้น เราจำเป็นต้องพูดคุยเกี่ยวกับมัน และมันมีผลต่อเกม มันไม่ใช่ความคิดหรือสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นเลย"

"เขา (ฮวาง ฮี-ชาน) ผิดหวังมาก แน่นอน และมันเข้าใจได้ ซึ่งผมภูมิใจกับความจริงที่เขาต้องการจะเดินหน้าเล่นต่อไป และให้ความสำคัญกับทีมก่อน แม้ต้องเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบากก็ตาม"

"ชานนี่จะโอเค เขาจะได้รับการสนับสนุนจากเราอย่างเต็มที่ และเราไปรับเขาเมื่อเช้านี้ และทำให้แน่ใจว่าเขาไม่มีปัญหาอะไร"

อย่างไรก็ตาม อีกด้านของเกมนี้ ทาง 'ดาเนี่ยล โพเดนซ์' ปีกวูล์ฟแฮมป์ตัน เพื่อนร่วมทีมของ ฮวาง ฮี-ชาน ก็เดือดแทน และได้เข้าต่อยกองหลังคนหนึ่งของ โคโม่ ระหว่างเกมที่ทั้ง 2 ทีมนัดซ้อมกันเป็นกรณีพิเศษ หลังจากแข้งของ โคโม่ พูดจาเชิงเหยียดผิวหรือเหยียดชาติพันธุ์ใส่กองหน้าชาวเกาหลีใต้

ทว่า ไม่มีการเปิดเผยว่าแนวรับของ โคโม่ ที่ว่าคือใคร แต่เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ โพเดนซ์ โดนใบแดงไล่ออกจากสนามทันที ก่อนที่สุดท้ายแล้ว วูล์ฟส์ จะชนะทีมน้องใหม่ของ กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ไป 1-0 และสุดท้ายเกมนี้ ก็ไม่ได้ถูกระบุให้เป็นเกมอุ่นเครื่องอย่างเป็นทางการของทั้ง 2 ทีมแต่อย่างใด

ส่อง 15 อันดับ ‘เมืองท่องเที่ยวสุดโปรดในเอเชีย 2024’

ในแต่ละปี Travel + Leisure สื่อท่องเที่ยวยอดนิยมเบอร์ต้น ๆ ของโลก จะทำการสำรวจรางวัลยอดนิยมจากการผู้อ่าน โดยแชร์ประสบการณ์การเดินทางทั่วโลกและจัดทำโหวตตามเกณฑ์ตัดสินในปัจจัยด้านต่าง ๆ ล่าสุด ผลโหวต 15 เมืองท่องเที่ยวสุดโปรดในเอเชียประจำปี 2024  เผยผลการจัดอันดับที่น่าสนใจ ผู้อ่าน Travel + Leisure ยกให้ประเทศอินเดียเป็นอันดับ 1 โดยมีเมืองที่ติดอันดับ 4 เมือง

Travel + Leisure  ระบุว่า ผู้อ่านต่างชื่นชอบความหลากหลายของเอเชียในการเลือกเมืองโปรด ตั้งแต่มหานครอันทันสมัยไปจนถึงเมืองหลวงโบราณ เมืองที่ได้รับคะแนนสูงเหล่านี้ ล้วนมีเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้กลับมาเยือนอีกครั้งด้วยวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และอาหารอันยอดเยี่ยม

การสำรวจรางวัลยอดเยี่ยมแห่งโลกในทุกปี  T+L ขอให้ผู้อ่านร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประสบการณ์การเดินทางทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม รีสอร์ท เมือง เกาะ เรือสำราญ สปา สายการบิน และอื่นๆ อีกมากมาย  ผู้อ่าน T+L มากกว่า 186,000 คน เข้าร่วมการสำรวจประจำปี 2024 โดยมีการโหวตมากกว่า 700,000 ครั้ง ครอบคลุมสถานที่ต่างๆ (โรงแรม เมือง สายการเดินเรือ ฯลฯ) มากกว่า 8,700 แห่ง โดยมีเกณฑ์การตัดสินเมืองพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่

1. สถานที่ท่องเที่ยว/แลนด์มาร์ค
2. วัฒนธรรม
3. อาหาร
4. ความเป็นมิตร
5. การช้อปปิ้ง
6. ความคุ้มค่า

>> จัดอันดับ 15 เมืองท่องเที่ยวสุดโปรดในเอเชียประจำปี 2024

1. อุทัยปุระ, อินเดีย (คะแนนผู้อ่าน: 91.75)
2. เกียวโต, ญี่ปุ่น (ได้รับเกียรติยศ WBA Hall of Fame, คะแนนผู้อ่าน: 91.49)
3. ฮอยอัน, เวียดนาม (คะแนนผู้อ่าน: 90.67)
4. เชียงใหม่, ไทย (คะแนนผู้อ่าน: 90.64)
5. กรุงเทพ, ไทย (คะแนนผู้อ่าน: 90.27)
6. โตเกียว, ญี่ปุ่น (คะแนนผู้อ่าน: 90.04)
7. จูบุด, อินโดนีเซีย (คะแนนผู้อ่าน: 90.00)
8. โกลกาตา, อินเดีย (คะแนนผู้อ่าน: 88.60)
9. ชัยปุระ, อินเดีย (คะแนนผู้อ่าน: 88.23)
10. โซล, เกาหลีใต้ (คะแนนผู้อ่าน: 87.85)
11. เสียมราฐ, กัมพูชา (คะแนนผู้อ่าน: 87.31)
12. เซียงไฮ้, จีน (คะแนนผู้อ่าน: 87.30)
13. สิงคโปร์ (คะแนนผู้อ่าน: 87.21)
14. มุมไบ, อินเดีย (คะแนนผู้อ่าน: 87.18)
15. ไทเป, ไต้หวัน (คะแนนผู้อ่าน: 86.86)

‘บิณฑ์’ ปลื้มใจ!! ดญ. 8 ขวบยอมอดขนม เอาเงินช่วยตาจ่ายค่าไฟ อาสามอบเงินสมทบช่วยเหลือ เพื่อเป็นกำลังใจให้เด็กกตัญญู

เมื่อวานนี้ (15 ก.ค. 67) นับเป็นเรื่องราวที่แสนประทับใจให้กับทาง บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ และ เกศรา น้องสาว พร้อมชาวคณะที่ได้รับรู้จากปากของเด็กหญิง ป.2 คนหนึ่งที่มาเข้าแถวต่อคิวรอรับค่าขนมจาก บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ หลังจากที่เด็กนักเรียนของโรงเรียนบ้านคลองบง ในตำบลวังน้ำเขียว อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา เลิกเรียนและกำลังพากันกลับบ้าน 

แต่ในระหว่างทางที่ บิณฑ์ ผ่านทางมาเจอเด็ก ๆ จึงจอดรถเรียกเด็กนักเรียนทั้งหมดมาต่อแถวรับค่าขนมคนละ 100 บาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับเด็ก ๆ รวมถึงการแบ่งเบาภาระค่าขนมแก่ผู้ปกครอง

บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ได้ถามเด็ก ๆ ที่ได้รับเงินว่าจะเอาเงินไปทำอะไรกัน บางคนบอกไปซื้อขนม บางคนบอกไปให้พ่อแม่ แต่มีเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งชื่อว่า ‘น้องโยโย่’ อายุ 8 ขวบ นักเรียน ป.2 ของโรงเรียนแห่งนี้ น้องตอบด้วยเสียงและสีหน้าดีใจว่า "จะเอาเงิน 100 บาทที่ได้จากคุณบิณฑ์ ไปให้กับคุณตาคุณยายที่บ้าน เพื่อเอาไว้จ่ายค่าไฟของทางบ้าน" 

ซึ่งคำตอบของน้อง ทำให้หลายคนถึงกับอึ้งในความคิดที่เด็กหญิงคนนี้ จึงเอ่ยปากถามกลับน้องว่า "ค่าไฟที่บ้านกี่บาท" น้องตอบว่า "ไม่รู้ แต่รู้ว่า ตากับยายกำลังเดือดร้อนจากค่าไฟที่ไม่มีจ่ายจึงจะเอาเงิน 100 บาทไปช่วยตากับยายจ่ายค่าไฟ"  

พอ บิณฑ์ ได้ฟังแบบนั้นก็ควักเงินเพิ่มให้ค่าไฟไป 600 บาท และให้ค่าขนมกับน้องอีก 100 แยกจากค่าไฟ สร้างความดีใจให้กับเด็กคนนี้เป็นอย่างมาก

ต่อมาทีมข่าวได้พบกับคุณตาของ น้องโยโย่ ซึ่งคุณตา ได้มารับน้องกลับบ้านพอดี คุณตาชื่อว่า นายแฉล้ม จงรวยกลาง อายุ 62 ปี มีอาชีพรับจ้างทำสวนทั่วไปในพื้นที่ ยอมรับว่าที่ผ่านมามีความเดือดร้อนเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้านเพราะรับจ้างรายวัน เงินที่ได้มาก็ใช้จ่ายในบ้านรายวันรวมถึงค่าขนมน้องไปเรียน ทำให้ที่ผ่านมาจะเกิดความทุกข์ใจเรื่องค่าไฟในบ้านบ่อยครั้ง ซึ่งน้องโยโย่ ก็ทราบดีและจะคอยประหยัดค่าขนมเพื่อเก็บเงินช่วยค่าไฟ เช่นกัน พอน้องได้เงินครั้งนี้ก็รีบมาบอกตนว่าได้เงินค่าไฟแล้ว เอาเงินมาให้ตน ทางตนก็ดีใจที่มีเงินจ่ายค่าไฟแล้ว ส่วนค่าไฟที่ใช้ก็ตกเดือนละประมาณ 5-6 ร้อยบาท

ด้าน บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ บอกว่า สำหรับการมอบเงินค่าขนมให้กับเด็ก ๆ แบบนี้ ตนชอบให้และให้เป็นประจำเวลาไปต่างจังหวัด พอเจอเด็ก ๆ ระหว่างทางก็จะจอดรถมอบเงินไว้ให้ค่าขนม ซึ่งครั้งนี้ระหว่างทางที่กลับมาจากวัดที่ตนและมูลนิธิร่วมกตัญญูไปถวายเทียนพรรษา ก็เห็นว่าเด็กนักเรียนเลิกเรียนกำลังพากันกลับบ้าน จึงจอดรถลงมาพูดคุยและมอบเงินค่าขนามให้กว่า 30 คน แต่มีคนหนึ่งที่ตนรู้สึกอึ้งในความกตัญญูและความคิดของน้องโยโย่ ที่มีความคิดว่าจะเอาเงินค่าขนมนี้ไปช่วยตาจ่ายค่าไฟ ซึ่งถือว่าเด็กในวัย 8 ขวบนี้มีความคิดกตัญญูและเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเยาวชน ที่จะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในบ้าน 

"อันนี้ขอชื่นชมน้องโยโย่จากใจ ซึ่งนอกจากจะมอบเงินค่าขนมให้กับเด็กแล้ว ผมยังมอบเงินจำนวนหนึ่งให้กับสองตายายที่บ้านอยู่ข้างโรงเรียนเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจสำหรับคุณตาและคุณยายทั้งสองท่านอีกด้วย" บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ กล่าว

'โซเชียล' ยกย่อง ‘ลุงเจี๊ยบใจดี’ ให้โอกาสคนทุกข์ยากทำงาน-สร้างรายได้ หวังให้พวกเขามีชีวิตใหม่และสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ในสังคม

(16 ก.ค.67) รายงานข่าวระบุว่า ผู้ใช้ติ๊กต็อกชื่อ ‘putonyourhair’ หรือ ‘ลุงเจี๊ยบ คับผม’ เป็นเจ้าของร้านอาหารชื่อ ‘ครัวลุงเจี๊ยบ’ ตั้งอยู่ที่ถนนบ้านสวน ซอย 11 ต.หนองข้างคอก อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี ได้โพสต์คลิปช่วยชายรายหนึ่งที่มาขอข้าว ของานทำ เพื่อจะได้มีเงินไว้ซื้อข้าวกิน หรือทำงานเพื่อแลกข้าว

อย่างไรก็ตาม หากใครที่ติดตามลุงเจี๊ยบจะรู้ว่าลุงเป็นคนจิตใจดี มีเมตตา ให้ข้าวคนไม่มีจะกิน ให้โอกาสคนยากไร้ คนเร่ร่อนได้มีงานทำ จนมีชีวิตที่ดีขึ้นมาแล้วหลายคน 

ล่าสุด ได้ให้โอกาสกับ ‘น้องเอก’ เหตุเพราะอยู่ลำพังคนเดียว ที่บ้านพักคนพิการที่ทรุดโทรม เนื่องจากพ่อกับแม่เสียชีวิตไปหมดแล้ว เห็นชีวิตกำลังลำบาก จึงมอบโอกาสให้ได้มาทำงานที่ร้านอาหารของตัวเอง มีข้าวกินทุกมื้อ มีชีวิตที่ดีขึ้น หน้าตาสดใสขึ้น ได้กินอิ่ม ได้นอนหลับ นอกจากให้งานทำที่ร้าน ยังพาไปตัดผมอีกด้วย ซื้อข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้า รองเท้าให้ และให้เงินค่าแรง

โดยมีคลิปหนึ่งที่ลุงเจี๊ยบได้ลงไว้ตอนที่ น้องเอกได้เข้าไปขอข้าวของานทำ จึงทำให้ลุงตัดสินใจรับน้องมาทำงาน และก่อนหน้านี้ลุงก็ได้ให้งานน้องอีกคนทำชื่อน้องแบงค์ ซึ่งน้องตั้งใจทำงานและขยันมาก ๆ ส่วนน้องเอกนั้น น้องได้เลี้ยงไก่ไว้ด้วย ทำให้ชาวเน็ตเห็นถึงความขยันและแววตาที่มุ่งมั่นของน้อง ทั้งนี้ ยังเข้ามาชื่นชมลุงเจี๊ยบที่ให้โอกาสทั้ง 2 คน เหมือนได้มีชีวิตใหม่และสามารถใช้ชีวิตได้ในสังคม

‘สีจิ้นผิง’ นักปฏิรูปของจีน เดินหน้าส่งเสริมสร้างความทันสมัย แม้รู้ซึ้งภารกิจยากเย็นเพียงใด แต่ยึดมั่นเพื่อการพัฒนาประเทศ

เมื่อวานนี้ (15 ก.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ผู้นำจีน ‘สีจิ้นผิง’ ได้ทยอยเปิดเผยมาตรการปฏิรูปชุดใหม่ ซึ่งจะกำหนดทิศทางการเติบโตของประเทศจีนที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดอันดับสองของโลก ขณะคณะผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) เริ่มต้นการประชุมนโยบาย ระยะ 4 วัน ณ กรุงปักกิ่ง ในวันจันทร์ (15 ก.ค.) ณ พิธีเปิดการประชุมเต็มคณะ ครั้งที่ 3 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชุดที่ 20 

สีจิ้นผิงในฐานะเลขาธิการใหญ่คณะกรรมการกลางพรรคฯ ได้นำเสนอรายงานการปฏิบัติงานในนามกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคฯ และแจกแจงร่างมติเกี่ยวกับการปฏิรูปรอบด้านอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นและการเดินหน้าการสร้างความทันสมัยของจีน

การประชุมครั้งนี้มีความสำคัญเทียบเท่า ‘การประชุมเต็มคณะ ครั้งที่ 3’ ครั้งอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ เช่น การประชุมในปี 1978 ที่เติ้งเสี่ยวผิงเริ่มต้นความพยายามปฏิรูปและเปิดกว้างของจีน

ช่วงก่อนการประชุมเต็มคณะครั้งปัจจุบัน สีจิ้นผิงได้ส่งเสริมการปฏิรูป กระตุ้นความพยายาม ‘ปลดปล่อยความคิดยิ่งขึ้น ปลดแอกและพัฒนาพลังการผลิตทางสังคม ปลดเปลื้องและเพิ่มพูนพลังความมีชีวิตชีวาของสังคม’ เพื่อ ‘มอบแรงกระตุ้นอันแข็งแกร่งและหลักประกันเชิงระบบสำหรับการสร้างความทันสมัยของจีน’

สิ่งนี้สร้างความคาดหวังการปฏิรูปอย่างลึกซึ้งรอบใหม่ พร้อมขจัดข้อวิตกกังวลว่าการปฏิรูปของจีนจะ ‘หยุดนิ่ง’ หรือเศรษฐกิจของจีนจะ ‘สูญสิ้นพละกำลัง’

ตั้งแต่สีจิ้นผิงเข้าดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดเมื่อกว่าทศวรรษก่อน จีนได้ก้าวเข้าสู่ ‘ยุคใหม่’ โดยมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและเกียรติภูมิบนเวทีนานาชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะการปฏิรูปเป็นจุดเด่นของยุคใหม่นี้

อย่างไรก็ดี จีนในวันนี้ได้อยู่ในห้วงยามสำคัญของการเร่งรัดการปฏิรูป ท่ามกลางการเผชิญหน้ากับความท้าทายทั้งเก่าและใหม่นานัปการเดินหน้าปฏิรูป เปิดกว้างต่อเนื่อง

สีจิ้นผิงถือเป็นนักปฏิรูปที่โดดเด่นอีกคนหนึ่งของจีนต่อจากเติ้งเสี่ยวผิง โดยผู้นำทั้งสองมีภารกิจเดียวกันคือการสร้างความทันสมัยของประเทศ แต่อยู่ภายใต้บริบทที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

เมื่อครั้งเติ้งเสี่ยวผิงเริ่มต้นการปฏิรูปและเปิดกว้างช่วงปลายทศวรรษ 1970 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ต่อหัวของจีนน้อยกว่า 200 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7,300 บาท) ทำให้ความพยายามปฏิรูปและเปิดกว้างของเขาเริ่มต้นจากเกือบศูนย์

ทว่าเมื่อครั้งสีจิ้นผิงได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปี 2012 จีนเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดอันดับสองของโลกด้วยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวสูงกว่า 6,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.19 แสนบาท) แต่การเติบโตได้ปรับเปลี่ยนความเร็วจากเดิม และข้อได้เปรียบหลายประการ เช่น ต้นทุนแรงงานที่ต่ำ ได้เริ่มลดน้อยถอยลง

แทนที่จะหยุดพักอยู่กับความสำเร็จของบรรดาผู้นำรุ่นก่อนหน้า สีจิ้นผิงกลับมุ่งมั่นเดินหน้าการปฏิรูป แม้รับรู้ดีว่าภารกิจนี้ยากเย็นเพียงไร โดยเขากล่าวว่าทำส่วนที่ง่ายของภารกิจนี้เสร็จสิ้นจนเป็นที่พึงพอใจของทุกคนแล้ว ส่วนที่เหลือนั้นเป็นงานยากเหมือนกระดูกแข็งที่ต้องออกแรงเคี้ยว

ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จีนได้ออกมาตรการปฏิรูปมากกว่า 2,000 รายการ ซึ่งช่วยให้ประเทศสามารถขจัดความยากจนขั้นรุนแรง ส่งเสริมการพัฒนาเมือง-ชนบทเชิงบูรณาการ ต่อสู้กับการทุจริตคดโกง สนับสนุนการประกอบธุรกิจ กระตุ้นการสร้างสรรค์นวัตกรรม และผลักดัน ‘การปฏิวัติเขียว’

เนื่องด้วยมาตรการปฏิรูปเหล่านี้ เศรษฐกิจจีนเติบโตแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องและเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่านับตั้งแต่ปี 2012 ซึ่งเสริมสร้างสถานะของจีนในการเป็นผู้มีส่วนส่งเสริมการเติบโตรายสำคัญของโลก

ปัจจุบันจีนต้องเพิ่มความพยายามเป็นพิเศษ ยามเผชิญกับความต้องการมีชีวิตที่ดียิ่งขึ้นของประชาชนและความท้าทายใหญ่ต่าง ๆ เช่น แรงกดดันจากเศรษฐกิจขาลงหลังจากการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) กอปรกับความเสี่ยงจากภาคอสังหาริมทรัพย์ หนี้สินของรัฐบาลท้องถิ่น และสถาบันการเงินขนาดเล็ก-ขนาดกลางบางส่วน

เพื่อแสวงหาอนาคตที่ดียิ่งขึ้นของประชาชนและประเทศชาติ สีจิ้นผิงเน้นย้ำว่าการปฏิรูปและเปิดกว้างเป็น ‘วิธีการสำคัญ’ สู่การบรรลุการสร้างความทันสมัยของจีนและสานต่อปาฏิหาริย์ทางการพัฒนาของประเทศ

สีจิ้นผิงเน้นย้ำความสำคัญของการปฏิรูปในการประชุมของกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคฯ เมื่อเดือนมกราคม และสำทับถึงความจำเป็นในการปฏิรูปภาคส่วนต่าง ๆ อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นในการประชุมประจำปีของสภานิติบัญญัติและหน่วยงานที่ปรึกษาทางการเมืองระดับสูงสุดของชาติในไม่กี่สัปดาห์ถัดมา

‘การปฏิรูปเป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนา’ สีจิ้นผิงกล่าวระหว่างตรวจเยี่ยมมณฑลซานตงทางตะวันออกของจีนเมื่อเดือนพฤษภาคม โดยสีจิ้นผิงยังจัดการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มผู้นำทางธุรกิจและนักวิชาการเกี่ยวกับวิธีการปฏิรูปอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

หวงฮั่นเฉวียน ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเศรษฐกิจมหภาคแห่งชาติจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการประชุมข้างต้น กล่าวว่า สีจิ้นผิงให้ความสำคัญกับการปฏิรูปอย่างมากและมีความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการปฏิรูปทั้งหมดเป็นอย่างดี

ก่อนหน้านี้สีจิ้นผิงกล่าวกับสมาชิกชุมชนธุรกิจ ยุทธศาสตร์ และวิชาการของสหรัฐฯ ที่เยือนกรุงปักกิ่งในฤดูใบไม้ผลินี้ว่าจีนกำลังวางแผนและดำเนินการตาม ‘ขั้นตอนสำคัญของการปฏิรูปรอบด้านอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น’ โดยจีนจะเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มุ่งเน้นตลาด อ้างอิงกฎหมาย และเป็นสากลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเพิ่มพื้นที่การพัฒนาแก่ธุรกิจของสหรัฐฯ และนานาชาติ

ทั้งนี้ ความมุ่งมั่นปฏิรูปของสีจิ้นผิงยังคงเหมือนเดิมตลอดมา ปี 1969 เมื่อครั้งสีจิ้นผิงอายุ 15 ย่าง 16 ปี เขาถูกส่งตัวไปยังหมู่บ้านเหลียงเจียเหอในมณฑลส่านซีทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีนเพื่อใช้แรงงานในพื้นที่เกษตรกรรม ที่ซึ่งทำให้เขาได้รู้จักกับความหิวโหย โดยปณิธานของสีจิ้นผิงวัยหนุ่มตอนนั้นคือทำให้สหายร่วมหมู่บ้านมีข้าวปลาอาหารกินอย่างเพียงพอ

การสนับสนุนการปฏิรูปอย่างแรงกล้าของสีจิ้นผิงยังมาจากความปรารถนามีชีวิตที่ดียิ่งขึ้นของประชาชน โดยมาตรการปฏิรูปต่าง ๆ ที่สีจิ้นผิงดำเนินการในหมู่บ้านเหลียงเจียเหอในฐานะเลขาธิการพรรคฯ ประจำหมู่บ้านเหลียงเจียเหอ ทั้งการใช้ก๊าซชีวภาพ ตั้งร้านตีเหล็ก และเปิดร้านขายของชำ ล้วนมุ่งยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน

ความมุ่งมั่นปฏิรูปของสีจิ้นผิงยังได้รับอิทธิพลจากผู้เป็นพ่ออย่างสีจ้งซวิน นักปฏิวัติเก่าและผู้สนับสนุนการปฏิรูปและเปิดกว้าง โดยปี 1978 สีจ้งซวินได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าหน้าที่คนสำคัญของมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ทางตอนใต้ของจีน และช่วยสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษชุดแรกของจีน ซึ่งประกอบด้วยเซินเจิ้น จูไห่ และซ่านโถว

ปีเดียวกันนั้นสีจ้งซวินมอบหมายให้สีจิ้นผิง ซึ่งกำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยชิงหัว ดำเนินการวิจัยภาคสนามเกี่ยวกับระบบความรับผิดชอบตามสัญญาครัวเรือนในมณฑลอันฮุยทางตะวันออกของจีน โดยสีจิ้นผิงบันทึกข้อมูลจนเต็มสมุดที่ยังคงถูกเก็บไว้จนถึงทุกวันนี้ชื่อเสียงของสีจิ้นผิงในฐานะนักปฏิรูปเพิ่มพูนตามความก้าวหน้าบนเส้นทางอาชีพทางการเมืองของเขา

ช่วงต้นทศวรรษ 1980 สีจิ้นผิงริเริ่มการทดลองปฏิรูปในอำเภอเจิ้งติ้ง ซึ่งเป็นอำเภอยากจนในมณฑลเหอเป่ยทางตอนเหนือของจีน โดยเขาทดลองจัดทำสัญญาที่ดินในชนบท ทำให้อำเภอเจิ้งติ้งเป็นพื้นที่แรกของเหอเป่ยที่ปรับใช้แนวทางดังกล่าว

บทความที่เผยแพร่ผ่านนิตยสารไชน่า ยูธ (China Youth) ในปี 1985 บรรยายรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงของอำเภอเจิ้งติ้งโดยอ้างอิงคำบอกเล่าของเลขาธิการพรรคฯ ระดับอำเภอจากมณฑลใกล้เคียงที่เยือนอำเภอเจิ้งติ้งที่ว่าการปฏิรูปเกิดขึ้นทุกที่จนประชาชนท้องถิ่นไม่ต้องร้องขอ

"หากมองย้อนกลับไปตอนนั้น สิ่งหนึ่งที่ทำสำเร็จคือการปลดปล่อยความคิด" สีจิ้นผิงกล่าวถึงการปฏิรูปในอำเภอเจิ้งติ้ง

ต่อจากอำเภอเจิ้งติ้ง สีจิ้นผิงได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานที่นครเซี่ยเหมิน ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษในมณฑลฝูเจี้ยนทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ที่ซึ่งเขาเป็นผู้นำการจัดตั้งธนาคารร่วมทุนแห่งแรกของจีนอย่างเซี่ยเหมิน อินเตอร์เนชันแนล แบงก์ (Xiamen International Bank) และหลังจากก้าวสู่ตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลฝูเจี้ยน สีจิ้นผิงเป็นผู้นำการปฏิรูปการครอบครองป่าไม้ร่วมกัน ซึ่งถูกปรับใช้ในพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของประเทศในเวลาต่อมา โดยแผนริเริ่มนี้เป็นที่รู้จักในฐานะอีกหนึ่งขั้นตอนการปฏิวัติพื้นที่ชนบทของจีน ต่อจากระบบความรับผิดชอบตามสัญญาครัวเรือน

ช่วงดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคฯ ประจำมณฑลเจ้อเจียง สีจิ้นผิงนำเสนอแผนริเริ่มเพื่อส่งเสริมการพัฒนาผ่านการยกระดับอุตสาหกรรม โดยเขาสนับสนุนธุรกิจเอกชนอย่างแข็งขันและกระตุ้นนักธุรกิจ ‘ติดต่อโดยตรง’ ที่สำนักงานของเขาเพื่อขอความช่วยเหลือ รวมถึงขยายการปฏิรูปนอกเหนือจากเรื่องเศรษฐกิจและการเมืองไปยังเรื่องสังคม วัฒนธรรม และระบบนิเวศด้วย

การขึ้นชื่อเป็นนักปฏิรูปของสีจิ้นผิงสร้างความประทับใจแก่บุคคลสำคัญระดับนานาชาติ โดยเดือนกันยายน 2006 เฮนรี พอลสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ในเวลานั้น ได้เดินทางเยือนจีนและเลือกนครหางโจว เมืองเอกของมณฑลเจ้อเจียง เป็นจุดหมายแรก

พอลสันยกให้สีจิ้นผิงเป็น ‘ตัวเลือกอันสมบูรณ์แบบ’ สำหรับการประชุมครั้งแรกของเขาในจีน พร้อมบรรยายว่าสีจิ้นผิงเป็น ‘คนที่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรให้บรรลุเป้าหมาย’ และต่อมาพอลสันที่พบปะหารือกับสีจิ้นผิงอีกครั้งในปี 2014 เล่าว่าผู้นำจีนคนนี้เผยว่าสิ่งที่เขาให้ความสำคัญคือการปฏิรูปและประเด็นที่เกี่ยวข้อง

ปี 2007 ขณะดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคฯ ประจำนครเซี่ยงไฮ้ สีจิ้นผิงเล็งเห็นความจำเป็นของการปฏิรูปเพื่อเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจเซี่ยงไฮ้สู่การพัฒนาที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เพิ่มพูนความสามารถทางการแข่งขันในฐานะศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศ และเสริมสร้างบทบาทของเซี่ยงไฮ้ในฐานะผู้นำการปฏิรูปและเปิดกว้าง

หลังจากเข้าดำรงตำแหน่งสูงสุดของพรรคฯ ในปี 2012 สีจิ้นผิงตรวจเยี่ยมนครเซินเจิ้นเป็นแห่งแรกตามรอยผู้เป็นพ่อ ที่ซึ่งเขาได้วางกระเช้าดอกไม้ ณ รูปปั้นสัมฤทธิ์ของเติ้งเสี่ยวผิงในสวนสาธารณะเหลียนฮวาซาน เพื่อแสดงความมุ่งมั่นปฏิรูปอย่างแรงกล้า ‘เดินหน้าปฏิรูป เปิดกว้างต่อเนื่อง!’

การประชุมเต็มคณะ ครั้งที่ 3 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชุดที่ 18 ในปี 2013 ภายใต้การนำของสีจิ้นผิง ถือเป็นหมุดหมายสำคัญเหมือนการประชุมเต็มคณะ ครั้งที่ 3 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชุดที่ 11 ในปี 1978 ซึ่งเปิดฉากยุคสมัยแห่งการปฏิรูป โดยการประชุมในปี 2013 เปรียบดังรุ่งอรุณของยุคสมัยใหม่แห่งการปฏิรูป

การประชุมเต็มคณะฯ ในปี 2013 สีจิ้นผิงแจกแจงความท้าทายต่าง ๆ ที่จีนเผชิญระหว่างการพัฒนา ทั้งการทุจริตคดโกง การพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน และปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยสีจิ้นผิงตอกย้ำว่า ‘กุญแจสำคัญของการแก้ไขปัญหาเหล่านี้อยู่ที่การปฏิรูปอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น’

ที่ประชุมข้างต้น ได้ตัดสินใจในประเด็นสำคัญต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการปฏิรูปรอบด้านอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งหนังสือพิมพ์ของสเปนแสดงความคิดเห็นว่าสีจิ้นผิงได้ริเริ่มการปฏิรูปเศรษฐกิจ สังคม และการบริหารของจีนอย่างลึกซึ้งมากที่สุดในรอบกว่า 30 ปี

หนึ่งเดือนถัดจากนั้น จีนประกาศจัดตั้งกลุ่มผู้นำส่วนกลางเพื่อการปฏิรูปรอบด้านอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น (Central Leading Group for Comprehensively Deepening Reform) โดยมีสีจิ้นผิงชี้นำด้วยตนเอง ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์พรรคฯ ที่มีการจัดตั้งหน่วยงานผู้นำในส่วนกลางเพื่อการปฏิรูปโดยเฉพาะ โดยกลุ่มผู้นำฯ พัฒนาเป็นคณะกรรมาธิการกลางเพื่อการปฏิรูปรอบด้านอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น (Central Commission for Comprehensively Deepening Reform) ในเวลาต่อมา โดยมีสีจิ้นผิงเป็นผู้อำนวยการ

บุคคลผู้ใกล้ชิดกับกระบวนการตัดสินใจเผยว่า สีจิ้นผิงเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายในการปฏิรูปที่สำคัญและยากลำบาก และสีจิ้นผิงพิจารณาทบทวนร่างแผนการปฏิรูปที่สำคัญแต่ละร่างอย่างละเอียดถี่ถ้วนชนิดแก้ไขคำต่อคำ

'อ.ธรณ์' ชี้!! 'ปลาหมอคางดำ' เข้าไปอยู่ในธรรมชาติแล้ว แนะ!! เร่งคุมระบาดสู่แหล่งเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้ได้มากที่สุด

(16 ก.ค. 67) รายงานข่าวระบุว่า ผู้ช่วยศาสตราจารย์ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวถึงการกำจัดปลาหมอคางดำซึ่งเป็น Alien Species โดยระบุว่า เมื่อสัตว์น้ำรุกรานต่างถิ่นเข้าไปอยู่ในธรรมชาติถึงระดับหนึ่งแล้ว การจัดการให้หมดเป็นเรื่องที่เป็นไปแทบไม่ได้ พร้อมยกตัวอย่างปลาซักเกอร์ที่ยังมีอยู่ในแหล่งน้ำของไทยหรือปลาช่อนในสหรัฐอเมริกา

การจัดการด้านพื้นที่คือ คุมการระบาดให้มากที่สุด โดยแบ่งพื้นที่เป็นเขต 3 เขตได้แก่ เขตหลักคือ อ่าวไทย ตัวก. เขตรองซึ่งพบการระบาดเป็นพื้นที่ กระจายออกไปทั้งในแผ่นดินและในทะเล และเขตที่ปลายากไปถึงเช่น เกาะต่าง ๆ แหล่งน้ำที่ไม่เชื่อมต่อกับแหล่งอื่น

สำหรับเขตหลักต้องเน้นการลดจำนวนปลาหมอ เขตรองต้องคุมไม่ให้ขยายออกไปข้าง ๆ เพิ่มขึ้น ส่วนเขตไม่มีปลาไปถึงตามธรรมชาติต้องคุมไว้ให้ได้

เมื่อการกำจัดการปลาหมอคางดำให้หมดเป็นไปได้ยากนั้น จึงต้องพยายามลดผลกระทบให้มากสุดทั้งต่อระบบนิเวศ รวมถึงการประกอบอาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและทำประมงเนื่องจากปลาหมอคางดำที่เข้าไปในระบบนิเวศจะกินสัตว์น้ำอื่นส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพอย่างรุนแรง เมื่อเข้าไปแหล่งเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจะไปกินสัตว์น้ำที่เพาะเลี้ยง หากเข้าไปในแหล่งประมง ทำให้สัตว์น้ำเศรษฐกิจหายไป ชาวประมงพื้นบ้านจับได้แต่ปลาหมอราคาต่ำโดยในการลดจำนวนปลาหมอคางดำคือ จับเท่าที่ทำได้แล้วนำมาใช้ประโยชน์ต่าง ๆ เช่น เป็นอาหารคน อาหารสัตว์ โดยคณะประมงคิดค้นเมนูกู้แหล่งน้ำทั้งปรุงสดและผลิตภัณฑ์ โดยต้องหาแนวทางนำมาใช้ประโยชน์อื่น ๆ อีก

นอกจากนี้ ยังมีวิธีการส่งผู้ล่าลงไปจัดการ โดยผู้ล่าต้องมีคุณสมบัติ 3 ประการได้แก่ เป็นปลาท้องถิ่น มีประโยชน์ และหาได้ในจำนวนมาก ทั้งนี้จะไม่ส่งสัตว์น้ำต่างถิ่นไปกินสัตว์น้ำต่างถิ่นเพราะอาจเกิดปัญหารุนแรงขึ้น ประเด็นมีประโยชน์หมายถึง ต่อให้ไม่กินปลาหมอคางดำหรือกินได้ไม่เยอะ คนก็ยังจับมากินมาขายได้ ส่วนเรื่องหาได้เยอะหมายถึง ต้องรวบรวมพันธุ์ปลาได้มากพอซึ่งอาจเป็นที่มาของปล่อยปลากะพงกินปลาหมอคางดำเพราะปลากะพงขาวมีคุณสมบัติครบ

สำหรับเรื่องที่ต้องศึกษาเพิ่มเติมเช่น จะกินปลาอื่นไหม กินปลาหมอคางดำได้แค่ไหน ปลาผู้ล่าต้องไหนถึงเหมาะ จำนวนปลาหมอคางดำหนาแน่นแค่ไหนจึงสมควรปล่อยปลาผู้ล่า การปล่อยปลาจึงต้องระมัดระวังผลกระทบข้างเคียงและศึกษาพื้นที่ให้แน่ชัดว่า จะควบคุมได้ซึ่ง ถึงขั้นนี้ต้องยอมรับว่า ต้องหาทางอยู่ร่วมกับปลาหมอคางดำต่อไป และพยายามลดความเสียหายให้มากที่สุด

ซีรีส์ 'Alien' ถูกใจไทยแลนด์ ปักหมุดถ่ายทำ 123 วัน คาด!! สร้างเงินสะพัด 3,000 ล้านบาท จ้างงาน 1,600 คน

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เยี่ยมชมกองถ่ายทำภาพยนตร์ซีรีส์ ‘Alien’ จากสหรัฐอเมริกา พร้อมด้วย นายจิรวัฒน์ อรัณยกานนท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ดร.เพ็ญพิสุทธิ์ จินตโสภณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายภัทร ภมรมนตรี คณะที่ปรึกษารัฐมนตรี ดร.กิตพล เชิดชูกิจกุล คณะที่ปรึกษารัฐมนตรี นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว นายบุญเสริม ขันแก้ว รองอธิบดีกรมการท่องเที่ยว และคณะ

โดย Mr. Matt Magielnicki รองประธานบริษัท FX Network สหรัฐอเมริกา นายคริสโตเฟอร์ โลเวนสติน และนายอภินัทธ์ ศิริเจริญจิตต์ กรรมการบริษัท ลิฟวิ่ง ฟิล์ม จำกัด ให้การต้อนรับ ณ The Studio Park อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ

สำหรับการถ่ายทำซีรีส์ในประเทศไทยดังกล่าว มีจำนวนวันถ่ายทำกว่า 123 วัน มีสถานที่ถ่ายทำ อาทิ กรุงเทพมหานคร จังหวัดกระบี่ จังหวัดสมุทรปราการ เป็นต้น มีงบประมาณการลงทุนในประเทศไทยมากกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นภาพยนตร์ต่างประเทศที่มีงบประมาณการลงทุนสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย

ส่วนคณะถ่ายทำ ได้มีการเตรียมการถ่ายทำในประเทศไทยมากกว่า 2 ปี ใช้โรงถ่ายทำภาพยนตร์จำนวน 13 โรงถ่าย แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของสตูดิโอของประเทศไทยที่สามารถรองรับกองถ่ายทำขนาดใหญ่ได้ และยังมีการจ้างงานทีมงานชาวไทยมากกว่า 1,600 คน ซึ่งเป็นทีมงานที่กระจายไปทุกแผนกของกองถ่าย เช่น การสร้างฉาก การจัดหาสถานที่ถ่ายทำ เป็นการตอกย้ำถึงความสามารถของทีมงานชาวไทยเป็นที่ยอมรับของกองถ่ายต่างประเทศ

ตลอดระยะเวลาการถ่ายทำซีรีส์เรื่องนี้ ยังมีการใช้บริการโรงแรมเป็นที่พักให้กับทีมงานต่างประเทศและทีมงานชาวไทยมากกว่า 20 แห่ง ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด กระจายรายได้ไปสู่ภาคธุรกิจท่องเที่ยว

ทั้งนี้ กระทรวงฯ ได้ให้การสนับสนุนกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศเลือกประเทศไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ เพื่อสร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจของประเทศ กระจายรายได้ไปสู่ภาคธุรกิจภาพยนตร์ ธุรกิจท่องเที่ยว และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง

อีกทั้ง ช่วยประชาสัมพันธ์ประเทศไทยในการเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ระดับโลก และส่งผลให้เกิดการท่องเที่ยวตามรอยสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ต่อไป 

ไขข้อข้องใจ!! ทำไมชาวนายี้ ‘ปุ๋ยคนละครึ่ง’ ชี้!! ‘แจกไร่ละพัน’ ยุคลุงตู่ดูตอบโจทย์กว่า

(16 ก.ค. 67) นายชัชวาลย์ แพทยาไทย สส. จังหวัดร้อยเอ็ด และเลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย ให้สัมภาษณ์ผ่านระบบ Zoom กับรายการ ‘สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง’ ทางช่องยูทูบแนวหน้าออนไลน์ ในประเด็นโครงการ ‘ปุ๋ยคนละครึ่ง’ ว่า เป็นเรื่องน่าดีใจที่รัฐบาลยอมถอยโครงการดังกล่าว เพราะแม้ปุ๋ยคนละครึ่งจะเป็นโครงการที่ตั้งอยู่บนหลักคิดที่ดี แต่แนวปฏิบัติและห้วงเวลาที่เปิดตัวนโยบายออกมายังไม่เหมาะสม จึงทำให้เกษตรกรกังวลและส่งเสียงไปถึงรัฐบาล และยังดีที่รัฐบาลฟังและคิดทบทวน

ส่วนกรณีที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ออกมาบอกว่าโครงการมีปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากการเมืองท้องถิ่นและผลประโยชน์ ตนมองว่าไม่น่าจะจริง เพราะปุ๋ยคนละครึ่งเป็นโครงการที่เริ่มต้นเป็นปีแรก จึงยังมองไม่เห็นว่าใครจะเสียผลประโยชน์ แต่หากมองย้อนไปในปีก่อน ๆ ที่รัฐบาลมีโครงการช่วยเหลือเกษตรกร เช่น โครงการช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 20 ไร่ เป็นการมอบเงินโดยตรงถึงเกษตรกรเพื่อลดต้นทุนการผลิต ไม่ใช่โครงการจัดซื้อ-จัดหา จึงไม่น่าจะมีผลประโยชน์ต่างตอบแทน มีแต่ชาวบ้านจะได้ประโยชน์

“ทีนี้พอกลับมาถึงปีนี้ ซึ่งตอนต้นแว่วว่าโครงการไร่ละ 1,000 อาจจะไม่มีถ้ามีโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง ฉะนั้นคำพูดที่บอกว่าถ้ามีปุ๋ยคนละครึ่งแล้วจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งที่ได้รับประโยชน์เสียประโยชน์ ผมว่าคงไม่มีกลุ่มการเมืองที่ไหนที่ได้หรือเสีย มีแต่ชาวนาที่ได้เต็ม ๆ” นายชัชวาลย์ กล่าว

นายชัชวาลย์ กล่าวต่อไปว่า ต้องยอมรับว่ามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ชาวนาพอใจมากที่สุดในห้วงที่ผ่านมาคือโครงการไร่ละ 1,000 บาท ที่รัฐบาลก่อนหน้านี้เขาเคยช่วยเหลือมาน่าจะสัก 4 หรือ 5 ปี ซึ่งการอุดหนุนไร่ละ 1,000 บาท เป็นโครงการที่ช่วยเหลือเกษตรได้มาก เพราะต้นทุนของเกษตรกรไม่ได้มีเฉพาะค่าปุ๋ย เช่น หากเป็นการทำนาหว่าน จะมีทั้งค่าไถ ค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าเคมีภัณฑ์ ค่าเกี่ยว ค่าปุ๋ย ค่าขนส่ง ยังไม่รวมค่าแรงของเจ้าของนา ดังนั้นการทำนาหว่าน ต้นทุนต่อไร่ถือว่าสูงมาก การเน้นไปแต่เรื่องปุ๋ยอย่างเดียวจึงไม่ตอบโจทย์เท่าใดนัก

ดังนั้นการมอบเงินโดยตรงเพื่ออุดหนุนชาวนาไร่ละ 1,000 บาท แต่ไม่เกิน 20 ไร่ รวมแล้วคือ 2 หมื่นบาท เกษตรกรสามารถนำเงินไปใช้จ่ายด้านต้นทุนต่าง ๆ ที่กล่าวมาได้ทั้งหมด แต่โครงการปุ๋ยคนละครึ่ง รัฐบาลกำหนดเงื่อนไขช่วยเหลือเกษตรกรไร่ละ 500 บาท ไม่เกิน 20 ไร่ หรือรวมแล้วคือ 1 หมื่นบาท และช่วยเฉพาะค่าปุ๋ยเท่านั้น อีกทั้งเกษตรกรต้องหาเงินอีกครึ่งหนึ่งมาสมทบเข้าบัญชีและผ่านแอปพลิเคชั่น จึงจะสามารถสั่งซื้อปุ๋ยได้ นั่นทำให้เกษตรกรตั้งคำถามว่าแล้วจะไปเอาเงินจากไหนมาสมทบ

ส่วนที่บอกว่าโครงการนี้มาไม่ถูกช่วงเวลา เพราะในเดือนกรกฎาคม เกษตรกรที่นำนาปีบางคนเขาหว่านปุ๋ยไปแล้ว 2 รอบ และรอบที่ 3 ที่เรียกว่าหว่านรับรวง จะอยู่ประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคม แต่โครงการปุ๋ยคนละครึ่งก็ยังไม่สะเด็ดน้ำ กำหนดการยังไม่ชัดเจนว่าจะออกมาตอนไหน ดังนั้นเกษตรกรบางส่วนจึงมองว่าต่อให้โครงการออกมาก็ไม่สามารถนำปู๋ยไปใช้ได้อย่างเต็มที่ ยังมีประเด็นข้อจำกัดเรื่องยี่ห้อปุ๋ยซึ่งเกษตรกรไม่สามารถเลือกได้ หากเกษตรกรเคยใช้ยี่ห้อที่ขายในท้องตลาดแล้วไม่มี ก็ต้องใช้ยี่ห้อที่รัฐบาลกำหนด

“สูตรปุ๋ยเลือกได้ แต่บางทีก็ต้องยอมรับว่าความมั่นใจในเรื่องของแบรนด์สินค้า อย่าลืมว่าครึ่งหนึ่งเป็นเงินของเขา เป็นเงินของชาวบ้าน แล้วรัฐบาลให้อีกครึ่งเดียว อีกครึ่งเขาหามา เขาไม่ได้มีสิทธิ์เลือกเลย ไม่มีสิทธิ์เลือกปุ๋ยยี่ห้ออะไร ยี่ห้อที่เขาเคยใช้มา เขามาใช้ยี่ห้อที่กรมวิชาการเกษตรรับรอง กรมการข้าวรับรอง ทั้ง ๆ เป็นยี่ห้อเกิดใหม่ เขาก็ไม่มีความมั่นใจ” นายชัชวาลย์ ระบุ

นายชัชวาลย์ ยังกล่าวอีกว่า ส่วนที่รัฐบาลบอกว่ามีผู้ประกอบการจำหน่ายปุ๋ยให้เลือกมาก 40-50 เจ้า ตนอธิบายว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับสูตรปุ๋ย แต่เท่าที่ถามเกษตรกร ส่วนใหญ่หากเคยใช้ยี่ห้อใดก็จะใช้ยี่ห้อนั้นต่อไป เกษตรกรจึงหนักใจว่ายี่ห้อใหม่ที่จะเข้ามาคือยี่ห้ออะไร ยี่ห้อที่ไม่เคยพบเคยเห็นหรือเปล่า อีกทั้งปัจจุบันก็ยังไม่มีการเปิดเผยยี่ห้อของปุ๋ยต่อสาธารณะ ขณะที่อีกเหตุผลหนึ่งที่รัฐบาลบอกว่าโครงการนี้จะช่วยเพิ่มผลผลิตด้วยการยิงตรงอย่างแม่นยำ ตนก็ต้องบอกว่า การเพิ่มผลผลิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับปุ๋ยเพียงอย่างเดียว

โดยการทำนามีปัจจัยสำคัญคือ 1.น้ำ แต่พื้นที่ที่ระบบชลประทานเข้าไม่ถึง ตนคาดว่าอยู่ที่ร้อยละ 60-70 ของประเทศ อย่างบริเวณที่ตนอยู่ คือทุ่งกุลาร้องไห้ ทำเกษตรโดยใช้น้ำฝนเพียงอย่างเดียว 2.ดิน 3.เมล็ดพันธุ์ ในขณะที่ปุ๋ยเป็นปัจจัยลำดับที่ 4 และต้องไม่ลืมว่าทางเลือกของเกษตรกรไม่ได้มีแต่ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยคอกจากมูลสัตว์ก็มีเกษตรกรที่ใช้อยู่แล้วเพื่อลดต้นทุน โดยนำมาใช้รองพื้น ขณะที่ปุ๋ยเคมีนำมาใช้เสริมในช่วงรับรวง 

ส่วนเรื่องเกษตรแม่นยำ ตนต้องถามรัฐบาลว่า ณ เวลานี้ หน่วยงานที่ถูกอ้างถึงบ่อย ๆ คือหมอดิน ที่เป็นอาสาสมัครในแต่ละพื้นที่ระดับหมู่บ้านหรือตำบล คนกลุ่มนี้มีความรู้และเครื่องมือเพียงพอมาก-น้อยเพียงใด อย่างเครื่องวัดค่ากรด-ด่าง (PH) ของดิน ซึ่งเป็นค่าที่เกษตรกรต้องรู้ก่อนตัดสินใจเลือกใช้ปุ๋ย เพื่อให้สูตรปุ๋ยที่ใช้เหมาะสมกับดินในแปลงของตนเอง หากอ้างเรื่องเกษตรแม่นยำ แต่คนในฟันเฟืองที่มีหน้าที่ผลักดันยังไม่มีเครื่องมือ ตนจึงมองว่าเรื่องนี้เป็นการกล่าวอ้างที่เกินไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top