Tuesday, 20 May 2025
TheStatesTimes

'กรมอุทยานฯ' เปิดรับฟังความเห็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การปรับปรุงแนวเขต 'อุทยานฯ ทับลาน' ตามมติ ครม.

ไม่นานมานี้ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ เปิดเผยว่า อุทยานแห่งชาติทับลาน จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดสระแก้ว เปิดรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย ชุมชนที่เกี่ยวข้อง และประชาชน ในการกำหนดพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดสระแก้ว ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566 

โดยการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 (One Map) พื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน (จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดปราจีนบุรี) แจ้งมติคณะทำงานพิจารณาปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการมาตราส่วน 1 : 4000 (One Map) ภายใต้คณะอนุกรรมการการปรับปรุงแผนที่ แนวเขตที่ดินของรัฐ (One Map) ครั้งที่ 4/2566 เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2566 เห็นชอบผลดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐฯ (One Map) ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน เพื่อให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบหมายกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นำเรื่องเสนอคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ พิจารณาดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566 

โดยให้ส่วนราชการดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบต่อไป สำหรับพื้นที่ป่าอุดมสมบูรณ์ที่จะผนวกเพิ่มประมาณ 110,000 ไร่ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสมต่อไป

โดยการกำหนดพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดสระแก้ว มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566 เห็นชอบแนวทางของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ใช้เส้นปรับปรุงการสำรวจแนวเขตปี พ.ศ. 2543 ในการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 (One Map) ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน

สำหรับอุทยานแห่งชาติทับลาน มีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอปักธงชัย อำเภอวังน้ำเขียว อำเภอครบุรี อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา และอำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี มีเนื้อที่ประมาณ 1,387,375 ไร่ หรือ 2,235.80 ตารางกิโลเมตร ซึ่งหากมีการปรับปรุงแนวเขตอุทยานแห่งชาติทับลานตามแนวเขตใหม่นี้ จะมีผลทำให้อุทยานแห่งชาติทับลานมีเนื้อที่ลดน้อยลงไปประมาณ 265,000 ไร่ และแม้จะมีการเสนอผนวกพื้นที่ทางตอนเหนือในท้องที่ตำบลจระเข้หิน อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา เพิ่มเข้ามาอีกประมาณ 80,000 ไร่ ก็ยังไม่สามารถที่จะยืนยันว่าจะผนวกเพิ่มได้หรือไม่ 

เนื่องจากพบว่ามีราษฎรถือครองที่ดินอยู่เป็นจำนวนมาก รวมทั้งยังอยู่ในขั้นตอนของการหาข้อยุติกับกรมป่าไม้ เนื่องจากมีแผนงานโครงการปลูกป่าที่มีงบประมาณต่อเนื่อง รวมทั้งมีการจัดตั้งป่าชุมชนไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว 

ทั้งนี้ ในการเพิกถอนอุทยานแห่งชาติ ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน จะต้องมีการรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของประชาชน ตามมาตรา 8 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ให้สงวน อนุรักษ์ คุ้มครอง และบำรุงรักษาอุทยานแห่งชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ให้เกิดประโยชน์อย่างสมดุลและยั่งยืน เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในพื้นที่อื่น ๆ ด้วย

อย่างไรก็ตาม ตามระเบียบในการกำหนดพื้นที่บริเวณใดเป็นอุทยานแห่งชาติ การขยายอุทยานแห่งชาติ หรือการเพิกถอนอุทยานแห่งชาติไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน จะต้องมีการรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย ชุมชนที่เกี่ยวข้อง และประชาชน เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาดำเนินการ จึงได้เปิดรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย ชุมชนที่เกี่ยวข้องและประชาชน ในการกำหนดพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดสระแก้ว จึงขอเชิญชวนแสดงความคิดเห็น ระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน - 12 กรกฎาคม 2567 ผ่านเว็บไซต์ https://portal.dnp.go.th/Content/nationalpark?contentId=37163 

สำหรับการรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย ชุมชนที่เกี่ยวข้อง และประชาชน ในการกำหนดพื้นที่ให้เป็นอุทยานแห่งชาติทับลาน จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดสระแก้ว (ปรับปรุงแนวเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน จากการสำรวจแนวเขตเมื่อปี พ.ศ. 2543 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566) สามารถอ่านรายละเอียดก่อนแสดงความคิดเห็นได้ทางลิงก์ด้านล่างนี้

*ข้อมูลประกอบการรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วม
https://drive.google.com/file/d/1-2KFhTMMbPkXii1qYcuIAOR1Jfz1bHty/view?usp=sharing

‘รัดเกล้า’ ประสานเหล่ากูรู จัดกิจกรรมให้ความรู้ ‘ทางการเงิน’ หวังเสริมสร้างภูมิปัญญา-ภูมิคุ้มกัน ให้แก่ชุมชนวัดไชยทิศ 

เมื่อวานนี้ (7 ก.ค.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ และอดีตผู้สมัคร สส.เขตบางพลัด-บางกอกน้อย ประสานนำ ‘กิจกรรมให้ความรู้ทางการเงินสำหรับชุมชน’ (Financial Literacy) ภายใต้หลักสูตร ‘หลักสูตรอภินิหารทางการเงิน’ มามอบให้ชุมชนวัดไชยทิศ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ในวันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม 2567 ระหว่างเวลา 09.00 – 12.00 น.

สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้จัดขึ้นโดย ธนาคารกรุงไทย ร่วมมือกับ กระทรวงการคลัง กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และ คลินิกแก้หนี้โดยบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) โดยมีคุณนวลศิริ ไวทยานุวัตติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย, ดร.ชาลิสา พุกกะรัตน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ส่วนส่งเสริมความรู้ทางการเงิน ฝ่ายคลินิกแก้หนี้ บริษัท บริหารสินทรัพย์ สุขุมวิท จำกัด และ คุณอภิชัย สายสดุดี ผู้อำนวยการกลุ่มงานกิจกรรมองค์กร กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เข้าร่วมด้วย

นางรัดเกล้า กล่าวต้อนรับผู้ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ว่า “ด้วยความตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง จึงได้ประสานความร่วมมือไปยัง ธนาคารกรุงไทย ซึ่งทางธนาคารกรุงไทย ได้มีโครงการที่ร่วมมือกับ กระทรวงการคลัง กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และ คลินิกแก้หนี้โดยบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) นั่นคือ ‘กิจกรรมให้ความรู้ทางการเงินสำหรับชุมชน’ (Financial Literacy) ภายใต้หลักสูตร ‘หลักสูตรอภินิหารทางการเงิน’ อยู่แล้ว จึงได้ประสานกิจกรรมดังกล่าวนี้ให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่

โดยการให้ความรู้ในครั้งนี้ ยึดหลักการพึ่งพาตนเอง ลดการพึ่งพิงภายนอก การคำนึงถึงศักยภาพ ทรัพยากร ภูมิปัญญา วิถีชีวิต วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นเป็นหลัก และสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ ในการสร้างชุมชนเข้มแข็ง น้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนา ให้เกิดความสมดุลมีความเข้มแข็งจากภายใน โดยคนในชุมชนได้มาร่วมกันคิด กำหนดแนวทาง และจัดกิจกรรมพัฒนาชุมชนต่อไป” 

นางรัดเกล้า กล่าวต่อไปว่า กิจกรรมในครั้งนี้ เป็นการเสริมองค์ความรู้ด้านการเงินเชิงรุก (pro-active) มุ่งหวังให้เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับพี่น้องประชาชนในพื้นที่จะได้เรียนรู้และเสริมสร้างภูมิปัญญาและภูมิคุ้มกันทางการเงิน สามารถนำไปใช้ในการบริหารจัดการ และแก้ไขปัญหาด้านการเงินของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ในเบื้องต้นโครงการนี้มีเป้าหมายที่จะจัดกิจกรรมทั้งสิ้น 18 ครั้ง ในปี 2567 มุ่งเป้าครอบคลุมที่พื้นที่ กทม. และปริมณฑล

'เปลวสีเงิน' เตือน!! ปลุกกระแส 'ถวายคืนพระราชอำนาจ' เพื่อขจัดรัฐบาล ไม่ต่างจากดึงสถาบันฯ มาเป็นคู่ขัดแย้งทาง 'การเมือง-ประชาชน'

(8 ก.ค.67) นักหนังสือพิมพ์และคอลัมนิสต์ชื่อดัง ได้นำเสนอบทความ ในหัวข้อ ‘ถวายคืนพระราชอำนาจ? #ผักกาดหอม’ ระบุว่า…

อย่าได้คิดทำครับ…

หลายวันมานี้มีการเผยแพร่ข้อความในโลกออนไลน์ ซึ่งอ่านแล้วรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง

นั่นคือ ข้อเสนอถวายคืนพระราชอำนาจ!

แม้จะไม่ชัดเจนว่า มีขอบเขตแค่ไหน แต่พอจับทางได้ว่าเพราะความไม่พอใจในการบริหารประเทศของรัฐบาลเศรษฐา

จึงอยากให้ถวายคืนพระราชอำนาจ

ถ้าเป็นแค่การเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา ก็ควรจะพูดกันให้ชัดเจน

จะได้ไม่สร้างความเข้าใจผิดในวงกว้าง

เพราะการยุบสภาผู้แทนราษฎรถือเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ซึ่งต้องกระทำโดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

นายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้นำความขึ้นกราบบังคมทูลและนำร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย

โดยนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

เรียกร้องแบบนี้เข้าใจได้ครับ

แต่ที่จับกระแสผ่านความเข้าใจในโซเชียล เป็นความเข้าใจคนละอย่าง

บางคนเลยเถิดถึงขั้นเรียกร้องให้รื้อฟื้นระบอบการปกครอง ‘สมบูรณาญาสิทธิราชย์’ ขึ้นใหม่

แบบนี้อันตรายมากครับ!

คิดแบบนี้ในยุคสมัยนี้ ก็ไม่ต่างจากดึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองกับ นักการเมือง และประชาชน

ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์ เป็นศูนย์รวมของทุกอำนาจ

ทั้งการปกครอง การตุลาการ การทหาร

เป็นเจ้าชีวิตของประชาชนทั้งหมด

พระมหากษัตริย์ส่วนใหญ่ในอดีต นับแต่ราชอาณาจักรสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี รัตนโกสินทร์ ทรงใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ของอาณาประชาราษฎร์ ให้ร่มเย็นเป็นสุข

ในทางปฏิบัติ พระมหากษัตริย์ไม่อาจจะทรงปกครองบริหารราชอาณาจักรทั้งหมดด้วยพระองค์เองเพียงลำพัง จึงทรงมอบหมายให้บรรดาพระราชวงศ์เหล่าขุนนาง-ข้าราชการ ปฏิบัติหน้าที่ต่างพระเนตรพระกรรณ

แต่พระมหากษัตริย์จะทรงเรียกพระราชอำนาจคืนเมื่อไหร่ก็ได้

นั่นคืออดีต

ไม่เฉพาะไทย หรือสยาม หรือจะเรียกอะไรก็แล้วแต่…แต่ในอดีตกาลเป็นระบอบการปกครองที่ใช้กันแทบทุกแผ่นดินในโลกนี้

ปัจจุบันไม่อาจหวนกลับไปสู่ ‘สมบูรณาญาสิทธิราชย์’ ได้อีกแล้ว

แม้จะยังมีบางประเทศใช้อยู่ เช่น ซาอุดีอาระเบีย บรูไน แต่โดยบริบทของไทย คนไทย แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว

ปี ๒๔๗๕ ไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองกันอย่างทุลักทุเล

คณะราษฎรเองก็ใช่จะเข้าใจตรงกันทั้งหมดว่า เปลี่ยนแปลงการปกครองจาก ‘สมบูรณาญาสิทธิราชย์’ ไปสู่อะไร

สำหรับประชาชนยิ่งแล้วใหญ่

เกิดความเข้าใจในหมู่ประชาชนพื้นที่ห่างไกลว่า รัฐธรรมนูญเป็นลูกชายพระยาพหลฯ

กว่าจะเข้าที่เข้าทางได้ใช้เวลานานโข

แต่ยิ่งนานก็ยิ่งเกิดการแตกแยกในหมู่คณะราษฎร

จะเห็นว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของไทยนั้น ลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาตั้งแต่แรกเริ่ม

เริ่มจากคณะราษฎรชิงอำนาจกันเอง

เกิดการรัฐประหารบ่อยครั้ง

และนักการเมืองคอร์รัปชัน

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นอุปสรรคในการพัฒนาประชาธิปไตยทั้งสิ้น

การพัฒนาประชาธิปไตย หรือการแก้ปัญหาทางการเมือง ไม่ใช่การ ถวายคืนพระราชอำนาจ แต่เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่ต้องช่วยกันสร้าง

แม้จะต่างพรรค ต่างความเชื่อ แต่เมื่อจุดมุ่งหมายของทุกคนคือประชาธิปไตย เราจะผลักภาระไปให้พระองค์ท่านไม่ได้

ประชาชนต้องช่วยกันขจัดนักการเมืองคอร์รัปชัน แม้จะยากลำบากเพราะสังคมไทยเป็นสังคมอุปถัมภ์ แต่ไม่มีทางเลี่ยง หรือทางลัดอื่น หากประชาชนไม่ทำ การเมืองก็วนอยู่อย่างนี้

คอร์รัปชัน รัฐประหาร เลือกตั้ง วนไปไม่มีที่สิ้นสุด

สถานะของพระมหากษัตริย์ในปัจจุบัน ทรงอยู่เหนือการเมือง และอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแถลงพระบรมราชาธิบายแก้ไขการปกครองแผ่นดิน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระราชทานแจกเนื่องในงานทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสนองพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในวันตรงกับวันเสด็จสวรรคตที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๔๗๐ มีความดังต่อไปนี้

“…อนึ่ง พระบรมเดชานุภาพของพระเจ้าแผ่นดินกรุงสยามนี้ ไม่ได้มีปรากฏในกฎหมายอันหนึ่งอันใดด้วยเหตุถือว่าเป็นที่ล้นพ้น ไม่ข้อสิ่งอันใด หรือผู้ใดจะเป็นผู้บังคับขัดขวางได้

แต่เมื่อว่าตามความที่เป็นจริงแล้ว เพราะเหตุฉะนั้นข้าพเจ้าไม่มีความรังเกียจอันใดเลยซึ่งจะมีกฎหมายกำหนดพระบรมเดชานุภาพของพระเจ้าแผ่นดิน…”

รัฐธรรมนูญทุกฉบับบัญญัติ “องค์พระมหากษัตริย์ ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้” แสดงให้เห็นถึงฐานะของพระมหากษัตริย์ ทรงดำรงอยู่ในฐานะสูงสุดของประเทศและเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนเสมอมา

ผู้ใดจะทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทมิได้

และการใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ทรงใช้ผ่านฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ

โดยมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

จะเห็นว่าพระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญนั้นมีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องถวายคืน

ที่พยายามประโคมว่าถวายคืนพระราชอำนาจเพื่อขจัดรัฐบาล แบบนี้ไม่เรียกว่าถวายคืนพระราชอำนาจ แต่เป็นการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมือง

ฉะนั้นใครก็ตามที่คิดแบบนี้ กรุณาหยุดเสีย

หยุดทำเรื่องระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท

ไฟไหม้อาคาร 4 ชั้น ย่านดอนเมือง เจ้าเหมียวหนีไม่ทัน ตายเกลื่อน 21 ชีวิต

เมื่อวานนี้ (7 ก.ค. 67) เกิดเหตุไฟไหม้อาคาร 4 ชั้น ย่านดอนเมือง โดยกล้องวงจรปิดได้บันทึกเหตุการณ์ขณะที่ประชาชนกำลังใช้สายยางฉีดน้ำ เพื่อหวังจะดับเพลิงที่กำลังลุกไหม้อาคารสูง 4 ชั้น ในการเคหะดอนเมือง ซอยช่างอากาศอุทิศ 15 เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ เมื่อเวลาประมาณ 22:13 น. 

ต่อมาชาวบ้านเห็นท่าไม่ดี ไฟโหมลุกไหม้หนักขึ้น จึงรีบโทรศัพท์แจ้งตำรวจ สน.ดอนเมือง และเจ้าหน้าที่ดับเพลิง เข้าระงับเหตุ

ที่เกิดเหตุพบเป็นอาคารในการเคหะดอนเมือง สูง 4 ชั้น พบกลุ่มควัน และแสงเพลิงบริเวณด้านหลังชั้น 1 เจ้าหน้าที่เร่งใช้น้ำฉีดประมาณ 10 นาที เพลิงจึงสงบลง จากการตรวจสอบเบื้องต้น ไม่พบผู้ติดค้าง และผู้บาดเจ็บ แต่พบแมวนอนตายเกลื่อนที่ด้านหลังห้องชั้น 1 จำนวน 21 ตัว และยังมีแมวอีก 5 ตัว ที่ลำลักควันไฟ เจ้าหน้าที่จึงให้ออกซิเจนช่วยเหลือ ก่อนนำส่งโรงพยาบาลสัตว์

สำหรับห้องที่เกิดเหตุนั้น พบมีผู้พักอาศัยอยู่เพียงคนเดียว เป็นผู้หญิงวัย 56 ปี ระหว่างเกิดเหตุเจ้าตัวไม่ได้อยู่ในห้องพัก ซึ่งทันทีที่มาถึง หญิงเจ้าของห้องพักมีท่าทีตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ร่ำไห้ร้องตะโกน พร้อมเร่งเข้าไปโผกอดแมวที่รอดชีวิต สำหรับศพของแมวทั้ง 21 ตัว เจ้าหน้าที่กู้ภัยได้นำไปไว้ที่วัดบางพลีใหญ่กลาง

เบื้องต้น ตำรวจได้เข้าตรวจสอบในที่เกิดเหตุ พร้อมทั้งเชิญตัวเจ้าของห้องพักไปสอบสวน ส่วนสาเหตุเพลิงไหม้คาดว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร หลังจากนี้จะประสานเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป

‘กองถ่ายต่างชาติ’ เลือก ‘ไทย’ ยกกองถ่ายหนัง 49 จังหวัด กรุงเทพฯ ขึ้นแท่นอันดับ 1 ‘เยาวราช-โรงหนังเก่าออสการ์’ ก็มา!!

(8 ก.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Salika’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

รายงานข่าวแจ้งว่า คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ กระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า ในช่วง 6 เดือนแรก (ม.ค.-มิ.ย. 2567) มีภาพยนตร์ต่างประเทศได้รับอนุญาตถ่ายทำในประเทศไทย จำนวน 238 เรื่อง ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2566 จำนวน 6 เรื่อง แต่มีงบประมาณการถ่ายทำในประเทศไทยมากกว่า 3,588 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 1,332 ล้านบาท คิดเป็น 59.33%

โดยกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศเดินทางมาจาก 31 ประเทศทั่วโลก ประเทศและดินแดนที่งบประมาณการถ่ายทำสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ฮ่องกง อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และเยอรมนี

สำหรับสถานที่ถ่ายทำมี 49 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศนิยมถ่ายทำมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่

อันดับ 1 กรุงเทพมหานคร 156 เรื่อง เช่น ถนนเยาวราช สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) โรงหนังเก่าออสการ์ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เป็นต้น

อันดับ 2 ปทุมธานี 45 เรื่อง อาทิ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มหาวิทยาลัยรังสิต ACTS Studio

อันดับ 3 ชลบุรี 33 เรื่อง อาทิ เกาะล้าน ถนนเลียบชายหาดพัทยา ปราสาทสัจธรรม

อันดับ 4 นนทบุรี 22 เรื่อง อาทิ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี

อันดับ 5 สมุทรปราการ และภูเก็ต 21 เรื่องเท่ากัน โดยจังหวัดสมุทรปราการ อาทิ เมืองโบราณ ฟาร์มจระเข้สมุทรปราการ The Studio Park และจังหวัดภูเก็ต อาทิ เขตเมืองเก่าภูเก็ต หาดพาราไดซ์ พระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรี เป็นต้น

'เจือ-รวมไทยสร้างชาติ' แก้ปัญหา 'แหลมสมิหลา-หาดชลาทัศน์' ไร้สุขา ช่วยเหลือ 'พี่น้องประชาชน-นักท่องเที่ยว' ได้แบบเร่งด่วน

(8 ก.ค. 67) จากกรณี นายเจือ ราชสีห์ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ส่งเรื่องร้องเรียนไปยังจังหวัดสงขลา เพื่อเป็นตัวแทนพี่น้องประชาชนในพื้นที่ จังหวัดสงขลา และนักท่องเที่ยวที่มาพักผ่อนหย่อนใจชมชายหาดและเล่นน้ำทะเลบริเวณหาดชลาทัศน์ ที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนไม่มีห้องอาบน้ำและห้องสุขาสาธารณะให้บริการ ต้องซื้อน้ำถังอาบ และเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและนักท่องเที่ยว จึงขอความอนุเคราะห์ให้สำนักงานโยธาธิการและผังเมือง จังหวัดสงขลาเร่งดำเนินการก่อสร้างห้องอาบน้ำและห้องสุขาสาธารณะบริเวณหาดชลาทัศน์ที่สะอาด ถูกหลักสุขอนามัยเหมาะสมกับพื้นที่อย่างเพียงพอ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว

ล่าสุด นายเจือ ราชสีห์ ได้รายงานความคืบหน้าต่อกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า…

“🔵คืบหน้าแล้ว ได้รับแจ้งจากจังหวัดสงขลา กรณี ที่ได้ทำหนังสือขอความอนุเคราะห์แก้ปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยว ซึ่งไม่ได้รับความสะดวกเมื่อมาเที่ยวแหลมสมิหลา - หาดชลาทัศน์ อำเภอเมืองสงขลา เนื่องจากไม่มีห้องน้ำสาธารณะ (ห้องอาบน้ำ-ล้างตัว, ห้องสุขา) ให้บริการ 🚻”

นายเจือกล่าวว่า “วันนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาได้มอบหมายให้สำนักงานโยธาธิการและผังเมือง เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยว อย่างเร่งด่วน ครับ”

“ผมขอขอบคุณ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา และโยธาธิการและผังเมือง จ.สงขลา อีกครั้งหนึ่ง ครับ” นายเจือกล่าว

'สมโภชน์ อาหุนัย' แจงขายหุ้น EA 14.6 ล้านหุ้น เป็นการปรับโครงสร้างภายในกลุ่ม ไม่ได้ถูก Forced Sell

(8 ก.ค. 67) นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ชี้แจงข้อเท็จจริงตามที่ได้มีข้อมูลเปิดเผยถึงการจำหน่ายหุ้นในบริษัทฯ ของตนออกไปเมื่อวันที่ 1 ก.ค.67 จำนวน 14,690,000 หุ้น ที่ราคา 12.60 บาท และเกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นการ Forced Sell นั้น โดยระบุว่า…

1. เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 67 Sotus & Faith #1 Limited ได้ทำการขายหุ้นจำนวน 14,690,000 หุ้น ในช่วง ณ ราคาปิดตลาด (ATC) ให้กับ 1.นายชัยวิทย์ อรุณเนตรทอง และ 2.นางสิริลักษณ์ อรุณเนตรทอง โดยเป็นการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นภายในกลุ่มเดียวกัน ซึ่งไม่กระทบการถือครองหุ้นโดยรวมของตน และตนยังคงถือหุ้นรวมในสัดส่วนเท่าเดิม

ทั้งนี้ การดำเนินการปรับโครงสร้างการถือหุ้นในลักษณะนี้อาจเกิดขึ้นอีกได้ในอนาคต เพื่อความคล่องตัว และเหมาะสม

2. เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นในกระดานและกระทบต่อนักลงทุนรายย่อย การทำการซื้อขายจะทำผ่านกระดาน Biglot หรือราคา ATC เท่านั้น เพราะหากเป็นการถูก Force Sell จริง การขายหุ้นจะต้องทำผ่านระบบ Market Matching ไม่ใช่การทำ Big Lot ดังที่ได้ดำเนินการ

3. ในวันนี้ (วันจันทร์ที่ 8 ก.ค.67) จะดำเนินการแจ้งต่อสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้ตนเอง รวมถึง Sotus & Faith #1 Limited และ 1.นายชัยวิทย์ อรุณเนตรทอง และ 2.นางสิริลักษณ์ อรุณเนตรทอง เป็นบุคคลกลุ่มเดียวกันโดยสมัครใจ ซึ่งจะเหมือนเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ที่ได้โอนหุ้นของ EA จากชื่อของตนไปอยู่ภายใต้ชื่อ Sotus & Faith #1

4. ขอยืนยันว่ากระบวนการ Forced Sell ได้เสร็จสิ้นไปแล้วตามที่ได้มีการแถลงไปก่อนหน้านี้และไม่มีหุ้นที่มีความเสี่ยงที่จะโดน Force Sell เหลืออีกแล้ว และขอให้ผู้ถือหุ้นรายย่อย และนักลงทุน โปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลที่นำเสนอออกมาในลักษณะที่ส่อไปในทางที่จะสร้างความเข้าใจผิด และสร้างความสับสน

‘รฟท.’ ลุยติดแอร์รถไฟชั้น 3 ชุดแรก 130 คัน  ปักธง!! ‘รถไฟไทย’ ต้องไม่มีรถร้อนอีกต่อไป

(8 ก.ค.67) นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงการยกระดับบริการรถไฟว่า ขณะนี้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เตรียมอัปเกรดบริการในส่วนของรถไฟชั้น 3 โดยแนวคิดปรับปรุงรถไฟชั้น 3 เป็นรถปรับอากาศทั้งหมด รวมถึงปรับเบาะที่นั่งให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น 

ปัจจุบันพบว่าบริการรถไฟมีสัดส่วนที่นั่ง แบ่งเป็น รถบริการเชิงสังคม มีประมาณ 300-400 คัน มีขีดความสามารถบริการที่ 26 ล้านที่นั่ง/ปี แต่มีผู้ใช้บริการจริงเพียง 18.6 ล้านคนต่อปี ส่วนรถบริการเชิงพาณิชย์ มีจำนวนที่นั่งบริการได้เพียง 9 ล้านที่นั่งต่อปี จำนวนผู้ใช้บริการเต็มจำนวนและมีความต้องการเพิ่มอีกประมาณ 9 ล้านที่นั่ง

จะเห็นได้ว่าข้อมูลที่พบนี้ยังมีผู้ต้องการใช้บริการรถเชิงพาณิชย์รออีกเป็นจำนวนมากแต่ รฟท.ไม่มีรถบริการได้เพียงพอ ซึ่งนโยบายขณะนี้ได้ให้ รฟท. ยกระดับรถไฟชั้น 3 ทยอยปรับปรุงเป็นรถปรับอากาศทั้งหมด ส่วนราคาที่เพิ่มขึ้นตามระเบียบ การให้บริการรถเชิงพาณิชย์ ซึ่งรัฐบาลจะดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบางให้สามารถใช้บริการได้ตามปกติผ่านบัตรสวัสดิการ ในขณะที่ประชาชนได้รับบริการที่ดีขึ้น

“ที่ผ่านมาไม่เคยทำงานแบบเชิงวิเคราะห์ แต่ครั้งนี้มีการสำรวจและนำตัวเลขมาวิเคราะห์ ทำให้เห็นภาพว่ามีผู้ต้องการใช้บริการรถเชิงพาณิชย์อีกประมาณ 9 ล้านที่นั่งต่อปี ดังนั้น เป้าหมายที่ต้องการคือเพิ่มขบวนรถเชิงพาณิชย์ให้สามารถรองรับได้เพิ่มอีกประมาณ 9 ล้านที่นั่ง เพื่อตอบสนองผู้ที่ต้องการเดินทางในขณะนี้ก่อน ขณะที่เป้าหมายสุดท้ายคือรถไฟไทยจะไม่มีรถร้อนอีกต่อไป

นายอวิรุทธ์ ทองเนตร รองผู้ว่าการ รฟท. กล่าวว่า รฟท.ได้กำหนดแผนปรับปรุงรถโดยสารชั้น 3 (พัดลม) และได้เริ่มทยอยดำเนินการแล้ว โดยอยู่ในขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อดำเนินการปรับปรุงประมาณ 40 คัน โดยใช้งบประมาณปี 2567 และปี 2568 จะทยอยเข้าปรับปรุงอีกประมาณ 90 คัน หรือรวมชุดแรกประมาณ 130 คัน เนื่องจากจะต้องถอนรถออกจากบริการในเส้นทางเพื่อนำมาเข้ากระบวนการปรับปรุง ซึ่งจะต้องไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการให้บริการประชาชน

หากสามารถปรับปรุงรถชั้น 3 มาเป็นขบวนรถไฟเชิงพาณิชย์จำนวน 130 คันนี้ คิดเป็นจำนวนที่นั่งเพิ่มอีกประมาณ 3.2 ล้านที่นั่งต่อปี โดยมีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงเปลี่ยนเบาะที่นั่งและติดระบบปรับอากาศเฉลี่ยประมาณ 6 ล้านบาทต่อคัน

'วิจัยโตเกียว’ เผย!! ครึ่งปีแรก บ.ญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะล้มละลายเกือบ 5 พันแห่ง เหตุ ‘เยนอ่อน' ดัน 'ต้นทุนสูง-เงินเฟ้อพุ่ง’ คาดทั้งปีเสี่ยงล้มแตะหมื่น

(8 ก.ค. 67) จากการสำรวจข้อมูลของบริษัทโตเกียว โชโก รีเสิร์ช ผู้ให้บริการด้านการจัดทำความน่าเชื่อถือด้านการเงินพบว่า บริษัทในญี่ปุ่นที่ประสบภาวะล้มละลายระหว่างเดือน ม.ค ถึง มิ.ย ปี 2024 มีจำนวนอยู่ที่ 4,931 ราย สูงขึ้น 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2023 และเป็นระดับสูงสุดที่ในรอบ 10 ปี และนับเป็นการเพิ่มขึ้นปีที่ 3 ติดต่อกันแล้ว

การล้มละลายดังกล่าวซึ่งรวมถึงกรณีการมีหนี้สินคงค้าง 10 ล้านเยนขึ้นไป หรือเกือบ 2.3 ล้านบาทมีสาเหตุหลัก ๆ จากเรื่องจากปัญหาขาดแคลนแรงงานและภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงในญี่ปุ่น

โดยมีบริษัทถึง 374 แห่งที่อ้างเหตุผลเรื่องราคาต้นทุนที่เพิ่มขึ้น หรือมากกว่าปีที่แล้ว 23.4% ส่วนบริษัทอีก 327 แห่งอ้างเหตุผลเรื่องไม่สามารถจ่ายคืนเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยภายใต้โครงการช่วยเหลือของรัฐบาลในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ส่วนบริษัทที่อ้างเหตุผลเรื่องการขาดแคลนแรงงานนั้น แม้จะมีจำนวนเพียง 145 บริษัท แต่ก็เป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และยังสูงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการสำรวจบริษัทล้มละลายตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา

นอกจากนี้ยังพบว่าการออกกฎควบคุมการทำงานนอกเวลา หรือ โอที ที่เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่เดือน เม.ย และราคาวัสดุก่อสร้างที่แพงขึ้นทำให้บริษัทในอุตสาหกรรมก่อสร้างล้มละลาย 947 แห่ง หรือเพิ่มขึ้น 20.6%

บริษัทที่ล้มละลายส่วนใหญ่ ประมาณ 88.4 เปอร์เซ็นต์ เป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กมีจำนวนพนักงานต่ำกว่า 10 คน โดยบริษัทโตเกียว โชโก รีเสิร์ช เตือนว่าตลอดทั้งปีนี้จำนวนบริษัทล้มละลายในญี่ปุ่นอาจเพิ่มขึ้นเกินกว่า 10,000 แห่ง หากค่าเงินเยนยังคงอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้นทุนต่าง ๆ สูงขึ้นอีก

‘Masoud Pezeshkian’ คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งอิหร่าน ก้าวสู่ตำแหน่ง ‘ประธานาธิบดี’ แห่งสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน

หลังจากอสัญกรรมของประธานาธิบดี Ebrahim Raisi ในเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ตกเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทางการอิหร่านจึงจัดให้มีการเลือกตั้ง โดยผู้สมัครสี่คนลงแข่งขันในรอบแรกของการเลือกตั้ง ซึ่ง ‘Masoud Pezeshkian’ ได้คะแนนมาเป็นอันดับหนึ่งด้วยคะแนนเสียง 44%, Saeed Jalili มาเป็นอันดับสองด้วยคะแนนเสียง 40%, Mohammad Bagher Ghalibaf ได้คะแนนเสียง 14% และ Mostafa Pourmohammadi ได้คะแนนเสียงน้อยกว่า 1% 

Pezeshkian เป็นผู้สมัครแนวปฏิรูปเพียงคนเดียว เนื่องจากไม่มีผู้สมัครคนใดได้รับคะแนนเสียงข้างมาก (เกิน 50%) ในรอบแรก จึงต้องมีการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งรอบสองระหว่าง Jalili และ Pezeshkian ในวันที่ 5 กรกฎาคม ซึ่ง Masoud Pezeshkian ได้รับชัยชนะด้วยคะแนนเสียง 54.76% วันที่ 6 กรกฎาคม 2024 กระทรวงมหาดไทยอิหร่านประกาศว่า Pezeshkian เป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง โดย Jalili ได้ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ในเวลาต่อมาไม่นาน

ด้วยจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 39.93% ในการเลือกตั้งรอบแรกถือเป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่มีผู้เข้าร่วมน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน โดยจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งเพิ่มขึ้นเป็น 49.68% ในการเลือกตั้งในรอบที่สอง

Masoud Pezeshkian ว่าที่ประธานาธิบดีสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน เกิดเมื่อวันที่ 29 กันยายน 1954 เป็นศัลยแพทย์หัวใจและนักการเมืองสายปฏิรูป โดยก่อนหน้านี้ Pezeshkian เป็นผู้แทนของเขตเลือกตั้ง Tabriz, Osku และ Azarshahr ในรัฐสภาของอิหร่าน และยังดำรงตำแหน่งรองประธานสภานคนที่ 1 ตั้งแต่ปี 2016 ถึง 2020 เขาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและการศึกษาการแพทย์ระหว่างปี 2001 ถึง 2005 ในรัฐบาลของ Mohammad Khatami

Pezeshkian ได้รับเลือกเป็นผู้ว่าการเขต Piranshahr และ Naghadeh ในจังหวัดอาเซอร์ไบจานตะวันตกในช่วงทศวรรษ 1980 เขาลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2013 แต่ถอนตัว เขาลงสมัครอีกครั้งในการเลือกตั้งในปี 2021 แต่ถูกปฏิเสธ สำหรับการเลือกตั้งปี 2024 ชื่อของ Pezeshkian ได้รับการอนุมัติ และในวันที่ 5 กรกฎาคม เขาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2024 ด้วยคะแนนเสียงนิยม 54.76% กลายเป็นบุคคลที่มีอายุมากที่สุดที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของอิหร่านในวัย 69 ปี

Pezeshkian เป็นผู้สนับสนุนกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิสลาม (IRGC) และได้เรียกกองกำลังปัจจุบันว่า ‘แตกต่างจากอดีต’ Pezeshkian ได้วิพากษ์วิจารณ์ระบบของอิหร่านหลายครั้ง ระหว่างการประท้วงหลังการเลือกตั้งในปี 2009 ในสุนทรพจน์ที่วิพากษ์วิจารณ์วิธีการปฏิบัติต่อผู้ประท้วง เขากล่าวถึงคำพูดของอิหม่ามชีอะห์คนแรก [อาลี] ที่พูดกับมาลิก แอชตาร์ว่าไม่ควรปฏิบัติต่อผู้คน ‘เหมือนสัตว์ป่า’ เขาได้เน้นย้ำถึงสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ชาวอาเซอร์ไบจาน ชาวเคิร์ด และชาวบาลูจิ และระบุว่าสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ควรได้รับการคุ้มครอง

‘Pezeshkian’ สนับสนุนให้เริ่มการเจรจากับสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านอีกครั้ง โดยให้คำมั่นว่าจะรื้อฟื้นข้อตกลงที่ทำกับสหรัฐอเมริกาและมหาอำนาจโลกอื่น ๆ ในปี 2015 เพื่อแลกกับการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรระหว่างประเทศต่ออิหร่าน เขาสนับสนุนการสร้างความสัมพันธ์ฉันมิตรกับทุกประเทศ ยกเว้นอิสราเอล โดยระบุว่าอิหร่านจะยังคงสนับสนุน ‘แกนต่อต้าน’ ต่อต้านอิสราเอลต่อไป

ภรรยาของ Pezeshkian เป็นสูตินรีแพทย์ เธอเสียชีวิตพร้อมกับลูกชายคนเล็กในอุบัติเหตุทางรถยนต์ในปี 1993 เขาเลี้ยงดูลูกชาย 2 คนและลูกสาวอีกหนึ่งคนที่เหลือเพียงลำพังและไม่เคยแต่งงานใหม่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top