Monday, 19 May 2025
TheStatesTimes

‘น้องฉัตร’ สะบัดแปรง แปลงโฉม ‘น้องยี่หวา’ แม่ค้าไก่ทอด กลายเป็น ‘ลิซ่า Rockstar’ จนชาวเน็ตยกนิ้ว!! ฝาแฝดชัดๆ

(3 ก.ค.67) หลังจากโซเชียลแห่แชร์ภาพแม่ค้าไก่ทอด ‘น้องยี่หวา’ จนกลายเป็นไวรัลดังข้ามคืน เพราะหน้าตาไปละม้ายคล้ายคลึงกับนักร้องดังระดับโลก ‘ลิซ่า BLACKPINK’ หรือ ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ เป็นอย่างมาก

ล่าสุดทางด้านเมคอัพอาร์ทิสต์ชื่อดัง ‘น้องฉัตร ฉัตรชัย เพียงอภิชาติ’ ไม่รีรอคว้าตัว ‘น้องยี่หวา’ มาสะบัดแปรง แปลงโฉม กลายเป็นสาว Rockstar ตามรอย ‘ลิซ่า’ พร้อมเขียนข้อความว่า ‘จากแม่ค้าไก่ทอด สู่การเปลี่ยนลุคเป็นน้องลิซ่า น้องยี่หวา @yx_07kw Makeup and hair by Nongchat’

ซึ่งหลังจากที่ภาพเซตดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ออกไป ก็มีคนในวงการบันเทิงและแฟนคลับแห่เข้ามากดไลก์และคอมเมนต์ชมกันยกใหญ่ อาทิ เหมือนมากกกก / แฝดเลยค่ะ / เหมือนเกิ๊นน เหมือนมากก / เต็ม 100 ไม่มีหักค่ะ

‘นายกฯ’ สั่ง!! เร่งแก้ปัญหา ‘เด็ก-เยาวชน’ หลุดระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ ผ่านมาตรการ ‘ค้นหา-ช่วยเหลือ-ส่งต่อ-ดูแล’ ทุกจังหวัดเริ่มดำเนินการ ก.ค.นี้

เมื่อวานนี้ (2 ก.ค.67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากกรณีที่นายสมพงษ์ จิตระดับ กรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ระบุว่า สถานการณ์เด็กออกกลางคัน หรือเด็กหลุดระบบการศึกษาในปัจจุบันหนักหน่วง โดยมีตัวเลขเด็กออกกลางคันเมื่อปี 2566 ประมาณ 1 ล้านคน จากเดิมปีละ 5 แสนคน เนื่องจากหลายปัจจัย ทั้งจากปัญหาสังคม การเมือง และเศรษฐกิจนั้น ด้วยความห่วงใยของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ต่ออนาคตของเยาวชน ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมบูรณาการการทำงาน แก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา ค้นหาช่วยเหลือเยาวชน อายุ 3-18 ปี ที่ไม่พบข้อมูลในระบบการศึกษา และดูแลช่วยเหลือเยาวชนที่อยู่นอกระบบการศึกษาให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา ตามมาตรการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ โดยเริ่มปฏิบัติการค้นหาช่วยเหลือเยาวชนนอกระบบการศึกษาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้ในทุกจังหวัด เพื่อพัฒนาทุนมนุษย์ของไทย และเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

นายชัยกล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบมาตรการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ ได้แสดงถึงความห่วงกังวลที่รัฐบาลมีต่อเด็กและเยาวชนนอกระบบ จัดให้เป็นวาระแห่งชาติ ประกอบด้วย 4 มาตรการสำคัญคือ 

1.มาตรการค้นหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาผ่านการบูรณาการ และเชื่อมโยงข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีเป้าหมายเพื่อนำไปสู่การค้นพบเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา

2.มาตรการติดตาม ช่วยเหลือ ส่งต่อ และดูแลเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา โดยบูรณาการ การทำงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ มีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือเด็กและเยาวชนแต่ละรายอย่างเหมาะสม ทั้งด้านการศึกษา สุขภาวะ สภาพความเป็นอยู่ และสภาพสังคม 

3.มาตรการจัดการศึกษาและเรียนรู้แบบยืดหยุ่น มีคุณภาพ และเหมาะสม กับศักยภาพของเด็กและเยาวชนแต่ละราย มีเป้าหมายให้เด็กและเยาวชนได้รับการศึกษา และการพัฒนาเต็มศักยภาพของตนเอง 

4.มาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการภาคเอกชนให้เข้ามาร่วมจัดการศึกษา หรือเรียนรู้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้ผู้ประกอบการเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา หรือการเรียนรู้ในลักษณะ Learn to Earn โดยตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้ให้ทุกจังหวัดคิกออฟกระบวนการค้นหา และช่วยเหลือเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาทั้งประเทศ ใช้ Application Thai Zero Dropout สนับสนุนภารกิจ สำรวจค้นหา วางแผน ช่วยเหลือ และเชื่อมโยง ส่งต่อการช่วยเหลือทั้งระดับพื้นที่และระดับประเทศ รวมถึงติดตามความก้าวหน้า

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า ศธ.ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาเด็กออกกลางคันอย่างมาก โดยเร่งแก้ไขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ในการทำนโยบาย ไทยแลนด์ซีโร่ดร็อปเอาต์ การขยายโมเดล 1 โรงเรียน 3 ระบบ ที่เอื้อให้เกิดการจัดการศึกษา 3 รูปแบบ ได้แก่ 

1.การศึกษาในระบบ 

2.การศึกษานอกระบบที่ยืดหยุ่นด้วยเนื้อหา หลักสูตรที่สอดคล้องกับปัญหา และความต้องการของผู้เรียน

3.การศึกษาตามอัธยาศัย เรียนรู้ตามศักยภาพและความสนใจ 

เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กได้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาอีกครั้ง ยังมีเรื่องของชุดนักเรียน ซึ่ง พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการ ศธ. ได้ประกาศเรื่องการยกเว้น หรือผ่อนผัน

‘ผู้กำกับ 2475 Dawn of Revolution’ เผยความเห็นต่อการยุบพรรคก้าวไกล

📢ถามมา-ตอบไปกับ ‘วิวัธน์ จิโรจน์กุล’ ผู้กำกับภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชัน ‘2475 Dawn of Revolution รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’

🎤: คิดเห็นอย่างไรกับการยุบพรรคก้าวไกล?

🎥คุณวิวัธน์: กฎหมายยุบพรรคมันมีอยู่มาก่อน ถ้าพรรคก้าวไกลคิดว่าไม่ผิดก็สู้คดีกันไป แต่พรรคก้าวไกลเขาบอกตลอดเวลาว่า เขาไม่กลัวโดนยุบ เพราะยิ่งยุบก็ยิ่งโต ฝ่ายพรรคเพื่อไทยเองก็เคยผ่านการโดนยุบมา 3 ครั้ง (ไทยรักไทย / พลังประชาชน / ไทยรักษาชาติ) ทุกวันนี้พรรคเพื่อไทยก็ยังอยู่ ตอนอนาคตใหม่โดนยุบ เขาก็ย้ายมาพรรคก้าวไกล ถ้าโดนยุบอีก ก็แค่ตั้งพรรคใหม่แล้วสู้กันต่อ ดังนั้นต่อให้ยุบไป ก็ทำลายอุดมการณ์ก้าวไกลไม่ได้ 

แต่สิ่งเดียวที่จะทำลายพรรคก้าวไกล ก็คือ การไม่รับฟังความเห็นต่าง ไม่เอาคนเห็นต่าง เพราะ ประชาธิปไตย คือพื้นที่ให้คนเห็นต่างมาหาทางออกร่วมกัน การดื้อรั้นเอาแต่ความคิดตัวเองไม่สน ไม่ฟังคนอื่น แบบนั้นเป็นเผด็จการ ไม่ใช่ประชาธิปไตย

'คำผกา' โต้!! 'ด้อมส้ม' หยุดสร้างวาทกรรมติดคุกยุคเพื่อไทย ชี้!! เคยได้ประกันตัวแล้ว แต่ก็ยังทำผิดเงื่อนไขกันเอง

(3 ก.ค.67) นางสาวลักขณา ปันวิชัย หรือ แขก คำผกา กองเชียร์พรรคเพื่อไทย อดีตผู้ดำเนินรายการสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (VOICE TV) ปัจจุบัน เป็นผู้ดำเนิน รายการคุยคลายข่าว ออกอากาศผ่านสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) กรมประชาสัมพันธ์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

สร้างวาทกรรมภาพจำเหมารวมว่า ใครต่อใครติดคุกในรัฐบาลนี้ คนนั้นคนนี้ไม่ได้ประกันในรัฐบาลนี้ทั้ง ๆ ที่ข้อเท็จจริงคือ มีทั้งคนได้ประกันตัวและไม่ได้ประกันตัว

เมื่อมีข่าวคนได้ประกันตัว ดิฉันจึงต้องการย้ำว่า เวลามีคนได้ประกันตัว ก็ช่วย recognized ด้วยว่ามันมี เรื่องการตายของบุ้ง เป็นความผิดของรัฐบาลที่ตรงไหน? 

ได้ประกันตัวแล้วทำผิดเงื่อนไข และตั้งเจตจำนงเสรีต่อสู้ด้วยการอดอาหาร ซึ่งรบ. ก็เคารพเจตจำนงค์นั้น

ใช่ค่ะ ดิฉันเชียร์รัฐบาล แล้วดิฉันก็ยืนยันว่า มีจำนวนคนได้ประกันตัวมากกว่าที่ไม่ได้ประกัน สิ่งนี้เป็น fact ค่ะ

ส่วนที่ถอนประกันตัวเอง หรือทำผิดเงื่อนไข รบ. ก็น่าหนักใจค่ะ

ส่วนคนที่ยังอยู่ในคุกโดยไม่ได้รับความเป็นธรรมก็ต้องช่วยกันต่อสู้ ส่งเสียงต่อไปค่ะ แค่การมาตามด่าคำผกา ไม่ได้ช่วยให้ใครได้ความยุติธรรม และจำนวนนักโทษทางความคิดในคุกก็ช่วยให้บางองค์กรทำมาหากินกับประเด็นสิทธิมนุษยชนได้เรื่อย ๆ

ทั้งนี้สืบเนื่องจาก น.ส.เบนจา อะปัญ กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม หรือ กลุ่ม 3 นิ้ว โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Benja Apan ระบุว่า…

อย่าใช้โอกาสแบบนี้ พิมพ์แบบนี้ เพื่อยกเครดิตให้ร้าบานเลย เพราะ…

1 แปลว่าศาลไม่อิสระ? depend on ร้าบาน?

2 บุ้งเสียชีวิตในคุกก็ร้าบานนี้

3 อานนท์ ขนุน เก็ท ฯลฯ ก็ติดคุกในร้าบานนี้

4 การยกฟ้อง แปลว่าผลงานร้าบาน?

การพิมพ์แบบนี้ การเอาคดียิบย่อยมายกความดีความชอบแบบนี้เหมือนเอาใบบัวมาปิด ส่วนคดีที่มีปัญหาจริง เป็นปัญหามาหลายทศววรษ คดีที่คนติดคุกกันจริง คือคดี 112

ขอบคุณที่ยกฟ้องคดีค่ะ แต่อยากเห็นนิรโทษกรรมรวม 112 ในร้าบานนี้มากกว่า

เข้าใจว่าเชียร์ร้าบาน แต่การพูดแบบนี้ก็อย่าลืม **ดอกจัน** ตัวใหญ่ ๆ ว่ามันยังมีคนที่ติดคุกในร้าบานนี้เพราะคดีการเมืองเหมือนกัน

Please please please

‘ผู้กำกับ 2475 Dawn of Revolution’ เผย อยากให้ก้าวไกล-เพื่อไทยจัดต่อรัฐบาล หากรวมเสียงข้างมากได้

📢ถามมา-ตอบไปกับ ‘วิวัธน์ จิโรจน์กุล’ ผู้กำกับภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชัน ‘2475 Dawn of Revolution รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’

🎤: ลึก ๆ ในใจไม่อยากให้ก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ?

🎥คุณวิวัธน์: ส่วนตัวผมอยากให้ก้าวไกลกับเพื่อไทยรวมรัฐบาลกันได้ด้วยซ้ำ ผมไม่มีปัญหาอะไร ถ้าพรรคก้าวไกลรวมเสียงข้างมากในสภาได้ ก็ต้องได้เป็นรัฐบาล เพราะเสียงประชาชนส่วนใหญ่เลือกมาแบบนั้น แต่ผมก็รู้ว่า ‘พรรคเพื่อไทย’ เขามีทางเลือก ถ้าเขารวมกับก้าวไกล เขาก็เป็นผู้ตาม ได้แค่กระทรวงรอง ๆ แต่ถ้าเขาตั้งรัฐบาลเอง เขาก็จะเป็นผู้นำ และได้กระทรวงหลัก ๆ จริงไหมครับ 

และที่สำคัญ พรรคก้าวไกลเกือบได้เป็นรัฐบาลแล้วนะ เพราะพรรคภูมิใจไทยพร้อมจะยกมือให้ ขอแค่ถอยเรื่อง แก้ไข ม.112 นั่นคือ เงื่อนไข สว.จะไม่มีผลเลย เพราะเสียงคุณมากพอที่จะชนะในสภา 

แต่ พรรคก้าวไกลกลับดึงดันที่จะแก้ไข ม.112 ทั้ง ๆ ที่คนที่เลือกก้าวไกล ไม่ได้มีคนเลือกเพราะนโยบาย ม.112 เท่านั้น แต่ยังมีนโยบายเงินเดือนผู้สูงอายุ นโยบายแรงงานอื่น ๆ เมื่อพรรคก้าวไกลบอกว่าจะไม่ทรยศอุดมการณ์ ไม่ล้มเลิกแก้ ม.112 ผมว่าไม่เมกเซนส์เท่าไหร่ เพราะการแก้ ม.112 เนี่ย ได้ประโยชน์กันไม่กี่คนเองนะครับ คือถ้าผมเป็นพิธา ผมจะบอกฐานเสียงว่า… 

"การแก้ ม.112 เป็นอุปสรรคในการนำพานโยบายเพื่อประชาชนอื่น ๆ ไปทำให้เกิดผล ดังนั้น ผมจะขอถอยเรื่องแก้ ม.112 ไปก่อน เพื่อให้เราได้มีโอกาสในการบริหารบ้านเมือง เพราะยังมีปัญหาอีกหลายอย่างที่ประชาชนรอไม่ได้ ส่วนเรื่องความขัดแย้ง และนักโทษคดีการเมือง ผมขอให้คำมั่นว่า ผมจะหาทางใช้กลไกสภาในการเยียวยาแก้ไข" 

เท่านี้คุณก็หล่อ ฐานเสียงเข้าใจได้ เพราะเขาต้องมองว่า อย่างน้อยได้อำนาจมาก่อน อย่างอื่นไว้ขับเคลื่อนทีหลังได้ แต่คุณเลือกที่จะไม่ยอมไง พอคุณไม่ยอม เพื่อไทยเขาก็อ้างความชอบธรรมที่จะตั้งรัฐบาลแข่งได้เลย 

ทำให้ผมมองว่า จริง ๆ แล้วก้าวไกลไม่อยากเป็นรัฐบาลในตอนนี้รึเปล่า เลยออกมามุมนี้

‘เกาหลีใต้’ จุดประเด็นถกเถียง ‘ผู้สูงอายุ’ ควรขับรถเองหรือไม่ หลัง ‘ชายวัย 68 ปี’ ขับรถชนคนเดินเท้า ดับ 9 ราย กลางกรุงโซล

(3 ก.ค. 67) นสพ.The Straits Times ของสิงคโปร์ เสนอรายงานพิเศษ Too old to drive? Deadly Seoul car crash reignites debate on elderly driving ระบุว่า เหตุการณ์ชายวัย 68 ปี ขับรถชนคนเดินเท้าเสียชีวิต 9 ราย และบาดเจ็บ 4 คน ที่กรุงโซลของเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2567 ที่ผ่านมา จุดประเด็นการถกเถียงในสังคมเกาหลีใต้ขึ้นมาว่า ผู้สูงอายุควรขับรถเองหรือไม่

ย้อนกลับไปในเดือน พ.ค. 2567 ทางการเกาหลีใต้ ได้เสนอแนวคิดเรื่องใบอนุญาตขับขี่แบบมีเงื่อนไขซึ่งจะจำกัดการเข้าถึงทางหลวงและการขับรถในเวลากลางคืนสำหรับผู้ที่อายุ 65 ปีขึ้นไป โดยขึ้นอยู่กับความสามารถในการขับขี่ ซึ่งสืบเนื่องมาจากอุบัติเหตุทางถนนที่เกี่ยวข้องกับผู้ขับขี่อายุ 65 ปีขึ้นไป ได้เพิ่มขึ้นทุกปีตั้งแต่ปี 2563 ทำลายสถิติสูงสุดที่ 39,614 กรณีในปี 2566 เพิ่มขึ้นจาก 31,072 ในปี 2563 เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.5

ในเวลานั้น กระแสต่อต้านอย่างรุนแรงเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติด้านอายุทำให้ทางการต้องชี้แจงว่านโยบายดังกล่าวไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ ‘ผู้ขับขี่อาวุโส’ ในกลุ่มอายุใดโดยเฉพาะ แต่มุ่งเป้าไปที่ ‘ผู้ขับขี่ที่มีความเสี่ยงสูง’ ซึ่งถือว่าก่อให้เกิดอันตรายจากการจราจรที่มากขึ้นเนื่องจาก ไปสู่สภาวะทางสติปัญญาและทางกายภาพที่ลดลง ซึ่งทางการให้คำมั่นที่จะทำการสำรวจสาธารณะอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจว่าจะดำเนินการตามแผนในปี 2568 หรือไม่

เนื่องจากเกาหลีใต้เข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว จึงคาดการณ์ว่าจำนวนผู้ขับขี่อาวุโสจะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 4.74 ล้านคนเป็น 7.25 ล้านคนภายในปี 2573 และอุบัติเหตุสะเทือนขวัญในวันที่ 1 ก.ค. 2567 เรื่องผู้สูงอายุกับการขับรถก็ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันอีกครั้ง บางคนเรียกร้องให้มีการตรวจสุขภาพอย่างละเอียดสำหรับผู้ขับขี่ที่มีอายุเกินกำหนด เพื่อพิจารณาความสามารถในการขับขี่ของพวกเขา ในขณะที่คนอื่น ๆ กล่าวว่ามีความจำเป็นต้องเข้มงวดแนวทางการตรวจสอบใบอนุญาตสำหรับผู้ขับขี่อาวุโส

ซุง ฮเย-จิน (Sung Hye-jin) หญิงวัย 36 ปี ซึ่งทำงานอยู่ใกล้ศาลาว่าการกรุงโซล กล่าวว่า อุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้ตนเห็นด้วยอย่างหนักแน่นขึ้นว่าควรมีแนวทางปฏิบัติที่เข้มงวดมากขึ้นสำหรับผู้ขับขี่อาวุโส โดยยกความเป็นห่วงพ่อของตนเอง ซึ่งมีอายุ 73 ปีแล้ว แต่ยังเดินทางด้วยการขับรถเองบนทางหลวงเป็นเวลา 40 นาที ซึ่งเกาหลีใต้เป็นประเทศที่เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว จึงต้องระมัดระวังกับผู้ที่ความสามารถในการขับขี่ลดลงตามอายุ นอกจากความปลอดภัยของผู้สูงอายุที่ขับรถเองแล้ว ตนก็ไม่อยากให้ใครได้รับบาดเจ็บอีกด้วย

บง ฮวา-จา (Bong Hwa-ja) หญิงชราวัย 80 ปี ซึ่งทำงานเป็นพนักงานล้างจานในร้านอาหารแห่งหนึ่งในบริเวณศาลาว่าการกรุงโซล กล่าวว่า บริเวณนี้เป็นที่นิยมมากในหมู่พนักงานออฟฟิศในช่วงเวลาอาหารกลางวันและอาหารเย็น แทนที่จะชี้นิ้ว ลองคิดดูว่าโชคดีแค่ไหนที่รถไม่ชนร้านอาหาร หากเป็นเช่นนั้น อาจมีผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น

แต่ในทางกลับกัน ฝ่ายที่คัดค้านก็ให้เหตุผลว่า ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ ผู้สูงวัยมีสุขภาพที่ดีขึ้น และอายุเป็นเพียงตัวเลข พวกเขาตั้งคำถามว่าผู้ที่มีอายุ 68 ปีถือเป็นผู้สูงอายุและทำอะไรไม่ถูกหรือไม่ อีกทั้งยังอ้างถึง ฮัน ด็อก-ซู (Han Duck-soo) นายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้ ในปี 2565 ที่เข้ารับตำแหน่งก็มีอายุ 72 ปีแล้ว และกำลังจะมีอายุครบ 75 ปี ในปี 2567 นี้ ทำให้กลายเป็นบุคคลที่อายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์เกาหลีใต้ ที่ได้รับตำแหน่งดังกล่าว

ในพื้นที่ออนไลน์ของเกาหลีใต้ ผู้ใช้ชื่อว่า แบ็ก ยอง-ดัม (Baek Yong-dam) แสดงความคิดเห็นว่า แม้จะเป็นเรื่องจริงที่ปฏิกิริยาตอบสนองอาจลดลงตามอายุ แต่ก็ไม่ยุติธรรมที่จะกล่าวหาผู้ขับขี่สูงอายุว่าขับรถไม่ดี และเสนอแนะให้บังคับใช้การตรวจสุขภาพโดยละเอียดสำหรับผู้ขับขี่ที่มีอายุมากกว่าที่กำหนด ขณะที่ ศ.ลี แจ-มิน (Prof.Lee Jae-min) นักวิชาการด้านกฎหมาย มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล กล่าวว่า 65 ปีถือเป็นสัญลักษณ์ตามธรรมเนียมในบริบทของสังคมเกาหลี

“เป็นเวลานานที่สุดแล้วที่คนเราจะถูกพิจารณาว่าเป็นผู้อาวุโส โดยสามารถนั่งรถไฟใต้ดินได้ฟรีและมีสิทธิได้รับเงินบำนาญ แต่ทุกวันนี้ เมื่อพิจารณาจากสภาวะสุขภาพที่ดีขึ้นของผู้สูงอายุแล้ว จึงมีการอภิปรายอย่างต่อเนื่องว่าควรจะเก็บ 65 ไว้เป็นเส้นแบ่ง หรือจะขยับขึ้นเป็น 70 หรือแม้แต่ 75 ทั้งนี้ การสอบสวนอุบัติเหตุดังกล่าวยังอยู่ระหว่างดำเนินการ หากอายุของผู้ขับขี่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุที่แท้จริง ก็มีแนวโน้มว่าจะเร่งความคืบหน้าในการจัดเตรียมใบอนุญาตขับขี่แบบมีเงื่อนไขสำหรับผู้ขับขี่ในช่วงอายุที่กำหนด” ศ.ลี กล่าว

รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ภายใต้หลักเกณฑ์ปัจจุบันของเกาหลีใต้ ผู้ขับขี่ที่มีอายุเกิน 75 ปีจะต้องผ่านรอบการต่ออายุใบอนุญาตขับขี่เป็นเวลา 3 ปี และจะต้องผ่านการทดสอบความสามารถทางปัญญาและการศึกษาด้านความปลอดภัยในการจราจร ณ เวลาที่ต่ออายุ นอกจากนี้ ผู้ขับขี่ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปยังได้รับการสนับสนุนให้ได้รับการศึกษาด้านความปลอดภัยในการจราจรอีกด้วย สิ่งจูงใจที่เป็นเงินสดมูลค่า 100,000-300,000 วอน (2,670-8,010 บาท) จะถูกห้อยไว้เหมือนแครอท เพื่อส่งเสริมให้ผู้ขับขี่สูงอายุคืนใบอนุญาตโดยสมัครใจ อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ไม่ได้รับความนิยม โดยมีผู้ขับขี่เพียงประมาณร้อยละ 2 เท่านั้นที่ทำเช่นนั้นในแต่ละปี

ในขณะที่ประเทศสิงคโปร์ ผู้ขับขี่รถยนต์ทุกคนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปจะต้องผ่านการตรวจสุขภาพและได้รับการรับรองความพร้อมในการขับขี่โดยผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ที่จดทะเบียนในสิงคโปร์ ก่อนจึงจะสามารถตรวจสอบใบขับขี่ของสิงคโปร์อีกครั้งได้ รอบการตรวจสอบซ้ำคือทุก ๆ 3 ปี โดยไม่จำกัดอายุสูงสุด

สำนักงานตำรวจแห่งชาติแถลงผลปฏิบัติการยุทธการ “พิทักษ์ประชาราษฎร์ 767” ปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และแก๊งอาชญากรรมทั่วประเทศ ค้น 183 จุดทั่วประเทศ

วันนี้ (3 กรกฎาคม 2567) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. และผู้แทนจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ตำรวจภูธรภาค 1-9 และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ร่วมแถลงผลปฏิบัติการปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และแก๊งอาชญากรรมทั่วประเทศ ตามยุทธการ “พิทักษ์ประชาราษฎร์ 767” ณ ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารประชาอารักษ์  กองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หลังจาก ผบ.ตร.ได้สั่งการให้ระดมกำลังตำรวจจาก บช.น. , ตำรวจภูธรภาค 1-9 และ บช.ก. กระจายกำลังเข้าตรวจค้น รวม 183 จุด ทั่วประเทศ เมื่อวานที่ผ่านมา (2 กรกฎาคม 2567) 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร., พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ท.จิรสันต์ แก้วแสงเอก ผบช.ภ.1, พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.2, พล.ต.ท.ฐากูร นัทธีศรี ผบช.ภ.3, พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4, พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5, พล.ต.ท.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผบช.ภ.6, พล.ต.ท.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบช.ภ.7, พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผบช.ภ.8 และ พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผบช.ภ.9

พฤติการณ์ ตามที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายการปฏิบัติงานให้ข้าราชการตำรวจ เพื่อให้มีผลการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งหนึ่งในนโยบายนั้น เป็นเรื่องการปราบปรามผู้มีอิทธิพล โดยมอบหมายให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. (รรท. ผบ.ตร.ในขณะนั้น) เร่งรัดดำเนินการ

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ รรท.ผบ.ตร ได้สั่งการและมอบหมายให้ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. /อนุกรรมการในการขับเคลื่อนการดำเนินการป้องกันและปราบปรามผู้มีอิทธิพล ดำเนินการประชุมวางแผน ทำลายเครือข่ายผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และผู้ร้ายสำคัญที่น่าจะก่ออาชญากรรมร้ายแรงในบ้านเมือง

พล.ต.ท.อัคราเดชฯ ได้มอบหมายให้ บช.ก. เป็นหน่วยงานหลัก ในการขับเคลื่อน มีการเรียกประชุมวางแผนกับ ภ.1 – 9 และ บช.น. มาโดยตลอด เพื่อรวบรวมประสานข้อมูล พร้อมคัดกรองเป้าหมาย ซึ่งก่อนที่จะมีปฏิบัติการในครั้งนี้ เมื่อวันที่ 20-24 มิ.ย.67 ตร.ได้มีการได้มีตรวจค้นอาวุธปืนทั่วประเทศในจุดสำคัญ 1,500 จุด เพื่อให้ได้อาวุธ และลดปัญหาการปะทะกันในปฏิบัติการครั้งนี้ และล่าสุดวานนี้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.จึงได้สั่งการออกแผนปฏิบัติการ ยุทธการ “พิทักษ์ประชาราษฎร์ 767” ในครั้งนี้ ซึ่งแบ่งเป็นเป้าหมายประเภท ผู้มีอิทธิพล 20 ราย, แก๊งอาชญากรรม 116 ราย, กลุ่มเงินกู้โหด 31 ราย, ฮั้วประมูล 19 ราย และ บุกรุกที่สาธารณะ 14 ราย รวมกว่า 200 ราย ตรวจค้น 183 จุดทั่วประเทศ ใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติการกว่า 2,500 นาย มีผลการปฏิบัติที่น่าสนใจ จำนวน 19 เป้าหมาย โดยแบ่งแยกเป็นกองบัญชาการ ดังนี้

บช.ก. จำนวน 6 เป้าหมาย ได้แก่

1. แก๊งฮั้วประมูล กำนันนก มีการดำเนินการทั้งหมด 11 โครงการ ซึ่งมี 2 โครงการ พบพยานหลักฐานว่า เครือข่ายกำนันนก มี บริษัทของผู้ใหญ่โยชน์ พ่อของกำนันนก ชนะการประมูล โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันอย่างเป็นธรรม โดยมีทีมฮั้วประมูล, ทีมซื้อขายรายชื่อ และ บริษัทที่สมยอม โดยบุคคลที่เกี่ยวข้องมากกว่า 70 คน 

ก่อนเกิดเหตุ บริษัท ป.รวีกนก ก่อสร้าง จำกัด และ บริษัท ป.พัฒนารุ่งโรจน์ก่อสร้าง จำกัด เป็นบริษัทในเครือของกำนันนก ก่อนปี 2558 มีรายได้น้อยกว่า 30 ล้านบาท/ปี  ต่อมาได้เข้าร่วมการประมูลโครงการรัฐบาลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ บริษัทดังกล่าวชนะโครงการ จำนวน 100-200 โครงการ/ปี ซึ่งมีผลประกอบการมากที่สุดใน จ.นครปฐม โดยเข้าร่วมประมูลเข้าร่วม 1,527 โครงการ ชนะ 1,327 โครงการ บริษัทที่แพ้และยื่นซองในโครงการส่วนใหญ่ จะเป็นบริษัทเดิมๆ ที่เคยเข้าประมูล มีการทำเป็นขบวนการ เห็นได้ว่าทั้งสองบริษัทมีพฤติการณ์ทุจริตฮั้วการประมูลโครงการของรัฐ จึงได้ทำการสืบสวน พบว่า 9 โครงการ มีมูลเหตุเชื่อว่าเป็น โครงการที่มีการฮั้วประมูล แต่พบว่า ปี 2564 มี 2 โครงการ ที่ บริษัท ป.พัฒนารุ่งโรจน์ก่อสร้าง จำกัด ชนะการประมูล โดยมีทีมฮั้วประมูล ซื้อรายชื่อ 1.2 % จากขบวนขายรายชื่อ และฮั้วไม่ให้บริษัทอื่นยื่นซองประมูล มีบริษัทที่เกี่ยวข้องกว่า 70 บริษัท และจากการตรวจค้นที่ผ่านมา มีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่า เกี่ยวข้องกับการฮั้วประมูล บริษัทของผู้ใหญ่โยชน์ พ่อกำนันนก มีทีมฮั้วประมูล, ทีมซื้อขายรายชื่อ และ บริษัทที่สมยอม ทั้งหมด 32 ราย เมื่อวันที่ 24 - 25  มิ.ย.67 พงส.ได้เรียกมาแจ้งข้อกล่าวหา แต่มารับทราบข้อกล่าวหา จำนวน 23 ราย ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ในส่วน 9 รายที่ยังไม่มาพบ อยู่ระหว่างประสานงาน ซึ่งคดีดังกล่าวได้มีการพิจารณาร่วมกับพนักงานอัยการ เนื่องจากเป็นคดีพิเศษ เพื่อดำเนินการต่อไป นอกจากเครือข่ายฮั้วการประมูลที่ จ.นครปฐมแล้ว ยังมีเครือข่าวฮั้วประมูล ในพื้นที่อื่นๆ ซึ่งอยู่ระหว่างตรวจสอบเพิ่มเติม 

2. นายณัฐกิตติ์ฯ (ผู้มีอิทธิพล จ.นครปฐม) ฉายา ส.อบต.นายณัฐกิตติ์ฯ
นายณัฐกิตติ์ฯ สมาชิก อบต.ห้วยขวาง เป็นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น เคยต้องคดีอาญาในความผิดฐาน “ฆ่าผู้อื่น” ของ สภ.กำแพงแสน ซึ่งมีพฤติการณ์ในคดีเป็นการใช้อาวุธปืนยิงคู่กรณีเสียชีวิต เนื่องจากผู้ตายยืมเงินแล้วไม่คืน อย่างไรก็ตามหลังจากเกิดเหตุในคดี “ฆ่าผู้อื่น” นายณัฐกิตติ์ฯ ยังสามารถซื้ออาวุธซึ่งมีใบอนุญาตตามกฎหมายได้อีกจำนวนมากถึง 14 กระบอก จากการสืบสวนพบว่านายณัฐกิตติ์ฯ มีการทำธุรกรรมสีเทาทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น ปล่อยกู้ดอกเบี้ยเกินอัตรา และการพนันรูปแบบต่างๆ

3. นายเฉลิมพงศ์ฯ (ผู้มีอิทธิพล จ.ปราจีนบุรี) ฉายา คิกคาปู้ ปราจีน อดีตลูกน้อง สจ.โต้ง ขาใหญ่เมืองปราจีน มีประวัติทำร้ายร่างกาย, ครอบครองอาวุธปืน และยาเสพติดจำนวนมาก ถือเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ เป็นที่เกรงกลัวของชาวบ้านจนมีการกล่าวกันว่า “ตำรวจไม่สามารถทำอะไรมันได้” ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.67 มีพฤติกรรมก่อเหตุทำร้ายร่างกายหน้าสถานบันเทิงชื่อดังใน จ.ปราจีนบุรี จนมีผู้เสียหายโพสต์ร้องเรียนพฤติกรรมไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายของนายเฉลิมพงศ์ฯ ลงโซเชียล ถึงรายการโหนกระแส และสายไหมต้องรอด

4. บุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่สลิด-ป่าโปร่งแดง 
ผู้ต้องหาซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่มีพฤติกรรมบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ประมาณ 10 ไร่ จากการตรวจสอบพบมีร่องรอยการนำรถแบ็คโฮเข้ามาปรับพื้นที่ เปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าธรรมชาติ ตัดต้นไม้ทั่วบริเวณมีร่องรอยการจุดไฟเผาซากตอไม้จำนวนมาก ลักษณะเป็นการจับจองพื้นที่เพื่อทำการเกษตรในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ อันเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างร้ายแรง

5. นายเพ็ญเพชรฯ (แก๊งอาชญากรรม จ.สุพรรณบุรี) ฉายา “เพชร ภูธร” มีพฤติกรรมเป็นนักเลงอันธพาล ชอบความรุนแรง มีการใช้และสะสมอาวุธปืนผิดกฎหมาย โพสต์ภาพตนเองพร้อมอาวุธปืนข่มขู่ผู้อื่นทางโซเชียล แอบอ้างสนิทสนมบุคคลสำคัญ และหน่วยงานรัฐต่างๆ

6. นายอภินันท์ฯ หลาน ศักดิ์ ปากรอ (แก๊งอาชญากรรม จ.สงขลา) หลาน "ศักดิ์ ปากรอ" อดีตฆาตกรโหดคดีดังฆ่ายกครัว 5 ศพ เหตุเกิดในพื้นที่ สภ.สิงหนคร จ.สงขลา ซึ่งต่อมานายอภินันท์ฯ ถูกจับกุมตัวพร้อมอาวุธปืนสงคราม จำนวน 2 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนเกือบ 100 นัด จากการตรวจสอบอาวุธปืนที่ตรวจพบที่นายอภินันท์ฯ พบเคยถูกใช้ยิงถล่มรองนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบาลนาสีทอง เสียชีวิตในพื้นที่ อ.รัตภูมิ จ.สงขลา ปมเหตุจากการขัดแย้งเรื่องการเมืองท้องถิ่น ภ.1 จำนวน 2 เป้าหมาย ได้แก่

1. นายภีรวัฒน์ฯ (หัวหน้าแก๊งหนองไทร จ.สระบุรี) มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับการจำหน่ายยาเสพติดและความรุนแรง มีความอาจเสี่ยงที่จะก่ออาชญากรรมในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.67 แก๊งหนองไทรได้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงถล่มหน้าบ้านคู่อริแต่ลูกกระสุนไปถูกชาวบ้านที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ปมเหตุขัดแย้งระหว่างแก๊ง จากการตรวจสอบพบมีประวัติการต้องคดีในข้อหา ครอบครองอาวุธปืน, ยาเสพติด และ ทำร้ายร่างกายหลายคดี

2. แก๊งยาเสพติดเครือข่ายจิ๊บไผ่เขียว จ.พระนครศรีอยุธยาแก๊งยาเสพติดเครือข่ายจิ๊บไผ่เขียว ถือเป็นกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดรายสำคัญ ซึ่งเจ้าหน้าที่สืบทราบว่ากลุ่มดังกล่าวมีการนำยาเสพติดไปซุกซ่อนในพื้นที่ อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี จึงขยายผลจับกุมเพิ่มเติมจนกระทั่งสามารถตรวจยึดยาเสพติดได้รวมกว่า 7 ล้านเม็ด ถือเป็นการปราบปรามแก๊งยาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่

ภ.2 จำนวน 1 เป้าหมาย ได้แก่

1. นายศุภกฤชฯ (เงินกู้โหด จ.จันทบุรี) 
หัวหน้าแก๊งปล่อยเงินกู้ตัวตึงตัวแรงในพื้นที่ จ.จันทบุรี แนววัยรุ่นสร้างตัว มีการใช้โซเชียล ข่มขู่ คุกคาม ผู้อื่น, ทำร้ายร่างกาย, ทวงหนี้ มีประวัติคดีการพนัน จำนวน 2 ครั้ง, ลักทรัพย์จำนวน 3 ครั้ง นอกจากนี้ยังทำธุรกิจสีเทาปล่อยเงินกู้นอกระบบดอกเบี้ยสูง มีพฤติการณ์ทวงหนี้โหด ทำร้ายร่างกายลูกหนี้บาดเจ็บหลายราย  

ภ.3 จำนวน 3 เป้าหมาย ได้แก่

1. นายอำนาจฯ (แก๊งอาชญากรรม จ.ชัยภูมิ)
มีพฤติการณ์ลักลอบผลิตอาวุธปืนเถื่อนส่งขายทั่วประเทศ มีอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบอาวุธปืน เช่น ลำกล้องปืน, ด้ามปืน และอุปกรณ์อื่นๆมากมาย ตั้งตัวเป็นแก๊งมอมเมาเยาวชนมั่วสุมเสพยาเสพติด มักยิงปืนโดยไม่มีเหตุอันควร สร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านในพื้นที่เป็นอย่างมาก
 
2. นายยุรนันท์ฯ (แก๊งอาชญากรรม จ.ศรีสะเกษ)
มีพฤติการณ์เป็นกลุ่มลำเลียงยาเสพติดในพื้นที่ เพื่อส่งให้ลูกค้าตามอำเภอต่างๆใน จ.ศรีสะเกษ ทำให้เกิดผู้ค้ารายย่อย และ ผู้เสพยาเสพติดเกิดขึ้นจำนวนมาก ถือเป็นภัยต่อสังคมอย่างสูง นอกจากนี้ยังมีประวัติการใช้อาวุธปืนข่มขู่บุคคลที่ติดค้างหนี้ยาเสพติด และคดีสมคบจำหน่ายยาเสพติดอีกด้วย 

3. นายสุทธิชัยฯ (แก๊งอาชญากรรม จ.สุรินทร์)
กลุ่มเครือข่ายขายอาวุธปืนออนไลน์ผ่านกลุ่มไลน์ ชื่อ “บาร์เหล้า .01” เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ได้ทำการล่อซื้ออาวุธปืนไทยประดิษฐ์ชนิดหักลำ จึงได้สืบสวนติดตามจับกุมตัว พบนายโชติธนภัทร์ฯ เป็นผู้จัดส่งอาวุธปืน จึงได้มีการขยายผลเข้าตรวจค้นในพื้นที่ ภาค 3 และ ภาค 6 จนนำไปสู่การจับกุมผู้กระทำความผิดและยึดของกลางอีกจำนวนหลายรายการ ซึ่งถือเป็นการทลายแหล่งผลิตและจำหน่ายอาวุธปืนสำคัญในย่านภาคตะวันออกเฉียงเหนือและพื้นที่ใกล้เคียงได้ในที่สุด

ภ.4 จำนวน 2 เป้าหมาย ได้แก่

1. นายกานี หรือ มืด (แก๊งอาชญากรรม จ.สกลนคร)
เป็นแก๊งจำหน่ายยาเสพติดที่มีพฤติกรรมอุกอาจ รุนแรง มักใช้อาวุธปืนในการข่มขู่ชาวบ้าน มีประวัติยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่ขณะทำการล่อซื้อยาเสพติดจนหลบหนีการจับกุมไปได้ นอกจากนี้สมาชิกแก๊งของนายกานีฯ 
ยังประวัติคดีจำหน่ายยาเสพติด, ต่อสู้ขัดขวางเจ้าหน้าที่, มีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง และ พกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะหลายคดี

2. นายณัฐวุฒิ (แก๊งอาชญากรรม จ.บึงกาฬ)
เป็นตัวการทำอาวุธปืน ประกอบ ซ่อมแซม ขายอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ จากการตรวจสอบพบมีประวัติคดีโชกโชน ไม่ว่าจะเป็น คดีเสพยาเสพติด, ครอบครองปืนไม่มีทะเบียน, ทำ อาวุธปืน หรือเครื่องกระสุนปืน และสำหรับผลิตอาวุธปืนเพื่อการค้า โดยไม่ได้รับอนุญาต จากการตรวจค้นที่พักพบอาวุธปืน, เครื่องกระสุนปืน และ สิ่งของผิดกฎหมายหลายรายการ 

ภ.5 จำนวน 1 เป้าหมาย ได้แก่

1. นายภาณุ หรือซิว (แก๊งอาชญากรรม จ.เชียงใหม่)
เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สืบทราบว่า นายภาณุฯ มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย พบมีการนำปืนหลากหลายชนิดมายิงเล่นภายในพื้นที่ฟาร์มกัญชา ในพื้นที่ อ.แม่ออน จ.เชียงใหม

สตม. รวบคู่รักแสบ จีน-คาซัค นำนาฬิกาปลอมหรูเกรด A+ หลอกขายร้านนาฬิกาแบรนด์ดัง ความเสียหายกว่า 12 ล้านบาท

กก.4 บก.สส.สตม. จับกุมคนต่างด้าว จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นายอัลคัส (นามสมมติ) อายุ 32 ปี สัญชาติคาซัคสถาน ตามหมายจับของศาลแขวงพระนครใต้ ที่ จ.163/2567 ลงวันที่ 21 พ.ค.2567 ความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง” 

2. นางสาวบิลลี่ (นามสมมติ) อายุ 38 ปี สัญชาติจีน ตามหมายจับของศาลแขวงพระนครใต้ ที่ จ.164/2567 ลงวันที่ 21 พ.ค.2567 ความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง” นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม คอนโดมิเนียมภายใน ซ.สุขุมวิท 32 ถ.สุขุมวิท แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพฯ

จากกรณีที่นายอัลคัส และนางสาวบิลลี่ ผู้ต้องหาได้ร่วมกันหลอกให้นายหน้านำนาฬิกายี่ห้อ Patek Philippe ของผู้ต้องหา โดยแจ้งกับผู้เป็นนายหน้าซื้อขายว่าจะจ่ายเงินค่าตอบแทนในการนำไปขายให้ เรือนละ 800 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อนายหน้าตกลง ผู้ต้องหาได้นำนาฬิกายี่ห้อ Patek Philippe พร้อมเอกสารจากร้านที่รับตรวจสอบนาฬิกาที่มีชื่อเสียง โดยอ้างว่าเป็นเอกสารรับรองของจริง เมื่อนายหน้าได้นำนาฬิกาไปขายให้กับร้านนาฬิกาชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งเป็นผู้เสียหาย จากนั้นนายหน้าได้โอนเงินให้กับผู้ต้องหาจากการขายนาฬิกาจำนวนหลายครั้ง เมื่อเจ้าของร้านนาฬิกาผู้เสียหาย ได้ทำการตรวจสอบพบว่านาฬิกาและเอกสารรับรองนาฬิกาเป็นของปลอม รวมมูลค่าการซื้อขายกว่า 12 ล้านบาท ผู้เสียหายจึงได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้เป็นนายหน้าและได้มีการเจรจายอมความกันโดยนายหน้ายินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้เสียหาย และได้แจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ให้ดำเนินคดีกับนายอัลคัส นางสาวบิลลี่ ซึ่งต่อมาศาลแขวงพระนครใต้ได้ออกหมายจับนายอัลคัส นางสาวบิลลี่ ความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง” นั้น 

กก.4 บก.สส.สตม. ได้รับแจ้งจากสายลับว่าพบเห็นนายอัลคัส นางสาวบิลลี่ ได้หลบหนีมาพักอาศัยอยู่ในห้องพักของคอนโดมิเนียมภายใน ซ.สุขุมวิท 32 ถ.สุขุมวิท แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพฯ จึงได้สืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอหมายค้นต่อศาลแขวงพระนครใต้เข้าทำการตรวจค้นห้องพักดังกล่าว ผลการตรวจค้นพบนายอัลคัส และนางสาวบิลลี่ จึงได้จับกุมนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

'Forbes' เผย!! 50 อันดับ มหาเศรษฐีไทยปี 2567 ชี้!! ความมั่งคั่งรวมลดลง 12% เหตุการเมืองฉุด ศก.

(3 ก.ค. 67) นิตยสารฟอร์บส์ (Forbes) เปิดเผยผลการจัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีไทยประจำปี 2567 หรือ Thailand’s 50 Richest 2024 ว่า ปีนี้มหาเศรษฐีเบอร์ 1 ของไทยมีการ ‘เปลี่ยนแชมป์’ จาก ‘พี่น้องเจียรวนนท์’ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ที่ครองอันดับ 1 มานานเกือบสิบปี ไปเป็น ‘เฉลิม อยู่วิทยา และครอบครัว’ จากธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง Red Bull ด้วยทรัพย์สิน 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1.32 ล้านล้านบาท)

ฟอร์บส์ระบุว่าหลังจากเข้ารับตำแหน่งได้ไม่ถึงปี อนาคตทางการเมืองของนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน อดีตนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ก็เริ่มไม่มั่นคง เช่นเดียวกับเศรษฐกิจไทยที่ถูกการเมืองบั่นทอนความมั่นใจของนักลงทุน ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นตกลงถึง 15% นับตั้งแต่ปีที่แล้ว และยังถูกซ้ำเติมด้วยค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง จนฉุดความมั่งคั่งโดยรวมของมหาเศรษฐีเมืองไทยให้ลดลงถึงเกือบ 12% เหลือเพียง 1.53 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 5.6 ล้านล้านบาท) จากเดิม 1.73 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2566 มหาเศรษฐีไทยส่วนใหญ่ 39 คนจากการจัดอันดับปีนี้มีทรัพย์สินลดลง โดยมีเพียงแค่ ‘7 คน’ เท่านั้นที่ ‘รวยขึ้น’ สวนกระแสได้อย่างท้าทาย

ปีนี้ ‘เฉลิม อยู่วิทยา และครอบครัว’ แซงขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1.32 ล้านล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 2.6 พันล้านดอลลาร์ จากอานิสงส์รายได้ของธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง Red Bull ที่เติบโตกว่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2566 โดยสามารถขายได้ทะลุ 1.2 หมื่นล้านกระป๋องทั่วโลก 

ขณะที่ ‘พี่น้องเจียรวนนท์’ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ที่ครองอันดับ 1 ติดต่อกันมานานเกือบสิบปี ถูกโค่นลงมาอยู่อันดับ2 ในปีนี้ โดยมีมูลค่าทรัพย์สิน 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1.06 ล้านล้านบาท) หรือลดลงจากปีที่แล้ว 5 พันล้านดอลลาร์ โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาหุ้นที่ตกลงของบริษัท ‘ผิงอัน อินชัวรันซ์’ (Ping An Insurance) ในประเทศจีน ทำให้ขาดทุน 2.7 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว

สำหรับมหาเศรษฐีคนอื่น ๆ ใน 5 อันดับแรกของไทยยังคงไม่เปลี่ยนแปลงในแง่ของอันดับ มีเพียงความมั่งคั่งเท่านั้นที่ปรับตัวลดลง ‘เจริญ สิริวัฒนภักดี’ แห่งบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด อยู่ในอันดับ 3 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 1 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 3.68 หมื่นล้านบาท) หรือลดลงจากปีก่อนถึงกว่า 1 ใน 4 
ส่วนอันดับ 4 ที่ตามมาติด ๆ คือ ‘ครอบครัวจิราธิวัฒน์’ ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สิน 9.9 พันล้านดอลลาร์ (3.64 แสนล้านบาท) หรือลดลง 20% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยกลุ่มเซ็นทรัลเพิ่งกลายมาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของห้างสรรพสินค้า Selfridges ในกรุงลอนดอน เมื่อเดือนพ.ย. 2567

ขณะที่ ‘สารัชถ์ รัตนาวะดี’ อยู่ในอันดับ 5 โดยมหาเศรษฐีธุรกิจพลังงานและโทรคมนาคมรายนี้เคยสร้างความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่ปรากฏชื่อในทำเนียบของฟอร์บส์เมื่อ 6 ปีก่อน แต่ล่าสุดในปีนี้ ถือเป็นปีแรกที่ความมั่งคั่งตกลงเหลือเพียง  9.2 พันล้านดอลลาร์ (ราว 3.38 แสนล้านบาท) ลดลงจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 1.13 หมื่นล้านดอลลาร์

สำหรับมหาเศรษฐีคนอื่นๆ ที่มีความมั่งคั่งลดลงมากในปีนี้ ได้แก่ ‘สมโภชน์ อาหุนัย’ จาก Energy Absolute ซึ่งมีความมั่งคั่งลดลงถึง 2 ใน 3 ทำให้อันดับตกลงจากอันดับ 9 ในปีที่แล้ว มาอยู่อันดับ 32 ในปีนี้ ท่ามกลางราคาหุ้นที่ร่วงลงหนักเนื่องจากความกังวลเรื่องหนี้สินจากการขยายธุรกิจไปยังตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่

ขณะที่ ‘อาลก โลเฮีย’ แห่ง Indorama Ventures มีความมั่งคั่งลดลง 310 ล้านดอลลาร์ เหลือ 1.2 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ โดยเป็นผลจากความต้องการผลิตภัณฑ์ด้านปิโตรเคมีในจีนและยุโรปที่หดตัวลง
สำหรับ 10 อันดับมหาเศรษฐีไทย 2567 มีดังต่อไปนี้

1.เฉลิม อยู่วิทยา และครอบครัว 
- ทรัพย์สิน 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1.32 ล้านล้านบาท)
  เพิ่มขึ้น 2.6 พันล้านดอลลาร์

2.พี่น้องเจียรวนนท์ 
- ทรัพย์สิน 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1.06 ล้านล้านบาท)
  ลดลง 5 พันล้านดอลลาร์

3.เจริญ สิริวัฒนภักดี 
- ทรัพย์สิน 1 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 3.68 หมื่นล้านบาท)
  ลดลง 3.6 พันล้านดอลลาร์

4.ครอบครัวจิราธิวัฒน์ 
- ทรัพย์สิน 9.9 พันล้านดอลลาร์ (ราว 3.64 แสนล้านบาท)
  ลดลง 2.5 พันล้านดอลลาร์

5.สารัชถ์ รัตนาวะดี 
- ทรัพย์สิน 9.2 พันล้านดอลลาร์ (ราว 3.38 แสนล้านบาท)
  ลดลง 2.1 พันล้านดอลลาร์

6.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ 
- ทรัพย์สิน 3.8 พันล้านดอลลาร์ (ราว 1.39 แสนล้านบาท)
  เท่ากับปีที่แล้ว

7.อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา และครอบครัว 
- ทรัพย์สิน 3.6 พันล้านดอลลาร์ (ราว 1.32 แสนล้านบาท)
  เพิ่มขึ้น 100 ล้านดอลลาร์

8.วานิช ไชยวรรณ 
- ทรัพย์สิน 3.3 พันล้านดอลลาร์ (ราว 1.21 แสนล้านบาท)
  ลดลง 600 ล้านดอลลาร์

9.ครอบครัวโอสถานุเคราะห์ 
- ทรัพย์สิน 2.2 พันล้านดอลลาร์ (ราว 8.10 หมื่นล้านบาท)
  ลดลง 300 ล้านดอลลาร์

10.ประยุทธ มหากิจศิริ 
- ทรัพย์สิน 2.15 พันล้านดอลลาร์ (ราว 7.91 หมื่นล้านบาท)
  (ไม่มีข้อมูล)

หมายเหตุ: เทียบกับ 50 อันดับเศรษฐีไทยปี 2566

‘ภูมิธรรม’ หนุน ’คนรุ่นใหม่เมืองย่าโม‘ ยก โคราชโมเดลธุรกิจครบวงจร เตรียมยกระดับสินค้าชุมชนผ่าน E-Commerce Alibaba

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หารือกับ กลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (Young Entrepreneurs Chamber of Commerce: YEC) กลุ่มผู้แทนเกษตรกรรุ่นใหม่จังหวัด(Young Smart Farmer: YSF) และเครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club ของจังหวัดนครราชสีมา หารือถึงปัญหาอุปสรรคในการทำธุรกิจ รวมไปถึงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับภาครัฐ สนับสนุนเอกชนทำรายได้ให้ประเทศ เตรียมจัดงาน Live E-Commerce ที่จะนำสินค้าของไทยทั่วทุกภาค ให้ทั่วโลกรู้จักผ่าน Influencer ระดับประเทศ

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังหารือกับกลุ่มผู้ประกอบการคนรุ่นใหม่ YEC กลุ่ม MOC Biz Club และกลุ่ม Young Smart Farmer ของจังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันอังคารที่ 2 กรกฎาคม 2567 ณ โรงแรม AISANA อำเภอเมืองจังหวัดนครราชสีมา โดยในการหารือมีนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายจิรพิสิษฐ์ รุจน์จริญ ประธาน YEC นครราชสีมา นายสุดที่รัก พันธุ์สายเชื้อ ประธานหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา นางสาวปุณยนุช เขียนนอก เลขานุการ YSF ผู้ประกอบการ Logistics นครราชสีมา คุณเจนจิรา กงทอง นายปราโมศวร์ ตัณฑเศณีวัฒน์ ประธานเครือข่ายธุรกิจ Moc Biz Club จังหวัดนครราชสีมา ร่วมด้วย

นายภูมิธรรม กล่าวว่า “ตนมีความสนใจและให้ความสำคัญกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ YEC YSF MOC Biz Club เพราะคนกลุ่มนี้มีพลัง มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจ มีโอกาส และมีพื้นฐานความรู้เรื่องโลกสมัยใหม่อยู่กับเทคโนโลยี เคยเห็นโลกกว้าง วันข้างหน้าจะเป็นโลกของคนรุ่นใหม่ อนาคตของจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งถือว่าเป็นจังหวัดใหญ่ ที่มีโอกาสอีกเยอะ ส่วนหนึ่งก็มาจากพวกท่าน ท่านนายกฯให้นโยบายภาครัฐเป็นรัฐสนับสนุนให้เอกชนเป็นทัพหน้าทำเงินเข้าประเทศ เรารอดูความสำเร็จ“

ด้านผู้ประกอบการจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า จังหวัดนครราชสีมา หรือโคราช มีทั้งสินค้าและสถานที่ที่พร้อมจะนำเสนอให้กับผู้ซื้อและนักท่องเที่ยว เพราะมีทั้งแหล่งวัฒนธรรม และ Soft Power มีความพร้อมที่อยากให้คนทั่วโลกได้สัมผัส โดยกระทรวงพาณิชย์ มีฑูตพาณิชย์ประจำประเทศต่างๆ อยู่แล้ว จึงอยากให้มีคนกลางไปช่วยโปรโมท ในตลาดต่างประเทศ รวมถึง การจัดกิจกรรม “Big Match ยกระดับเศรษฐกิจ@นครราชสีมา” ในวันที่ 16 สิงหาคม 2567 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลโคราช โดยรองนายกฯ ได้ให้การสนับสนุน และจะมีการจัดกิจกรรมคล้ายๆ โครงการYEN-D ของกรมการค้าต่างประเทศ โดยฟื้นกิจกรรมนี้มาเพื่อสร้างเครือข่ายในประเทศ ให้แนวคิดให้ “คิดให้ลึกและให้ทำต่อ” โดยจะทำคู่ขนานกันไปกับการสร้างความแข็งแรงให้กับผู้ประกอบการ

นอกจากนี้ ในส่วนของ YEC มีการร่วมกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครราชสีมา เฟ้นหาสินค้าชุมชน และนำพัฒนาจัดภาพลักษณ์ของสินค้า เนื่องจากสินค้าหลาย ๆ ตัว เป็นสินค้าที่ชุมชนผลิตออกมาได้ดีมาก แต่ยังขาดการจัดการ และการ promote ประชาสัมพันธ์ จึงต้องมีการนำเอกลักษณ์สินค้ามาพัฒนาเป็นคาแรกเตอร์ดีไซน์ ปัจจุบันเราได้มีกิจกรรม Koratmonogram  ซึ่งสินค้าที่ถูกพัฒนาภายใต้โครงการนี้เป็นสินค้าที่มีลายเป็นเอกลักษณ์ อย่างเช่นกางเกงแมว หรือ Art Toy รูปแมว ที่มีคาแรกเตอร์เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับจังหวัด โดยเราได้สร้างคาแรกเตอร์เฉพาะ คือ “แมวเมื่อย” และเราสร้าง story ให้กับสินค้า ในปัจจุบันนี้มีการเลือกสินค้ามาใช้กับคาแรกเตอร์ดังกล่าวประมาณ 40 สินค้า และปัจจุบันได้มีการศึกษาการร่วมมือระหว่างการท่องเที่ยวกับสินค้า อย่างเช่นที่ประเทศญี่ปุ่นมีตัว “คุมะมง” นำเที่ยวในเมืองคุมาโมโตะ ของประเทศญี่ปุ่น จึงอยากนำมาพัฒนากับไทยโดยสร้างคาแรกเตอร์ดีไซน์ขึ้นมาโดยถือว่าเป็น KOL สำหรับจังหวัดโคราชที่จะใช้กับสินค้าและสถานที่ต่างๆในจังหวัด

ในส่วนของการผลักดัน E-Commerce นายภูมิธรรมฯ กล่าวว่า “การจัดขายออนไลน์แพลตฟอร์ม E-Commerce กระทรวงพาณิชย์ได้จัดมาบ้างแล้ว หลังจากที่ผมได้เข้ามา ผมก็ได้เดินทางไปประเทศจีนเพื่อเจาะตลาดรายมณฑลจากที่ผมได้เดินทางไปเอง เกือบ 10 มณฑลแล้ว และขณะนี้ผมได้ตั้งทีมอินเดีย เพื่อเจาะตลาดรัฐของอินเดีย ซึ่งมีความต้องการสินค้าไทยสูง โดยในเดือนกันยายนนี้ จะมีการจัดมหกรรม Live E-Commerce จะเชิญอินฟลูเอนเซอร์ระดับTOP 3 ทั้งไทยและต่างประเทศ มาเลือกดูสินค้าของไทย โดยเฉพาะจะมีการเชิญ Alibaba ที่เป็นแพลตฟอร์มการขายสินค้าE-Commerce ของจีน เข้ามาดูสินค้าระดับพรีเมี่ยมของไทย และจะมีการคัดเลือกสินค้าจากทั่วทุกภาคในประเทศไทย ไปวางขายในแพลตฟอร์ม Alibaba ของจีน
และสร้างแบรนด์ไทย ให้ชาวโลกต้องการ”

“ทิศทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ต้องช่วย SME ที่เป็นฐานของเศรษฐกิจของประเทศได้มีโอกาสในตลาด โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศ  อีกอย่างคือ ผมฝากสินค้าตัวรอง ให้คนรุ่นใหม่นำมาดูตลาด เพราะต้นทุนราคาสินค้าต่ำ แต่มีโอกาสในตลาดมาก หากเข้าได้ถูกทางโดยการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีมาช่วย นโยบายของรัฐบาล คือช่วยคนตัวเล็ก อย่างเช่น SME ที่ถือเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตขึ้นให้ได้ เมื่อเศรษฐกิจพื้นฐานเติบโต กำลังซื้อเติบโตการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจจะดีขึ้น โดยการหมุนเวียนในห่วงโซ่เศรษฐกิจนี้ ต้องพึ่งพากัน” นายภูมิธรรม กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top