ถือเป็นอีกมุมมองที่พอจะทำให้เห็นถึงความเจริญของ ‘ประเทศไทย’ ในสายตาต่างชาติได้มากขึ้น ภายหลังจาก ‘แมน’ ฤกษ์อารี นานา ทายาทของ ‘นายไกรฤกษ์ นานา’ นักประวัติศาสตร์ชื่อดังของประเทศไทย ได้บอกกล่าวภาพรวมของประเทศในยุโรป โดยเฉพาะในฝรั่งเศส ที่ครั้งหนึ่งเจ้าตัวได้เห็นความเจริญของประเทศแห่งนี้จากการไปเรียนต่ออยู่หลายปี ผ่านช่องยูทูบ ‘UTN Today’ ในช่วงหนึ่งของเนื้อหาคลิปที่ชื่อว่า ‘เรียนต่างประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย 'ซ้ำชั้น 2 รอบ' แต่ใจสู้ | UTN World กับ แมน นานา EP.1’ โดยเจ้าตัวเผยคำสั้น ๆ เมืองไทย ‘ศิวิไลซ์’ แล้วจริง ๆ
คุณแมน เล่าให้ฟังว่า ตนอยู่ฝรั่งเศสตั้งแต่อายุ 15 ถึง 25 โดยช่วงอายุประมาณ 13 ปี คุณแม่ของคุณแมนได้ส่งไปเรียนต่อที่ประเทศฝรั่งเศส โดยมีญาติอยู่ที่นั่น แต่ด้วยความที่ไปคนเดียว ก็จะมีความรู้สึกที่เหงาอยู่บ้าง และการไปอยู่ที่นั่น เรื่องภาษาก็เป็นเรื่องที่ยากพอสมควร เพราะเขาจะใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก ไม่ใช้ภาษาอังกฤษเลย ตนจึงต้องเรียนรู้ภาษาฝรั่งเศสแบบจริงจัง
“ตอนนั้นผมไปแบบนักเรียนไทยธรรมดา ๆ ไปอยู่หออยู่ ซึ่งหอก็เป็นหอชายล้วน และโดยสภาพแวดล้อมก็บังคับให้เราต้องตั้งใจเรียนอย่างหนัก โดยเฉพาะภาษาฝรั่งเศส เพราะถ้าไม่ได้ภาษาที่นั่นก็แทบจะทำอะไรไม่ได้เลย เนื่องจากคนที่นั่นเขาไม่ใช้ภาษาอังกฤษ มันเป็นการปรับตัวที่ยากพอสมควร...
“อย่างไรก็ตาม แม้ผมจะเป็นคนไทยคนเดียวในโรงเรียนที่ได้ไปอยู่ ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนที่เป็นคาทอลิก แต่ผมก็เป็นคนที่ค่อนข้างเปิดรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ สังคมใหม่ ๆ ชอบทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ ๆ จะเรียกว่าเป็นคน Extrovert ก็ได้ เพราะพื้นฐานเดิมของผมเป็นคนที่ชอบทำกิจกรรม จึงเข้ากับสังคมได้ง่าย แต่แน่นอนว่าถ้าหากใครที่เป็นคนเก็บตัวประมาณหนึ่ง (Introvert) หรือไม่กล้าแสดงออก ก็อาจจะอยู่ในกรอบเซฟโซน”
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เป็นคนเรียนรู้เร็ว ทั้งเรื่องภาษา (พื้นฐานภาษาอังกฤษดีตั้งแต่อยู่เมืองไทย) และด้านวิชาการต่าง ๆ ทำให้คุณแมน ค่อนข้างจะได้รับการยอมรับจากครูและเพื่อนร่วมชั้นอย่างมาก สวนทางกับมุมมองของคนที่นั่นที่มักจะมองว่าคนเอเชียไม่เก่ง เพราะมาจากประเทศที่ล้าหลัง
“เอาจริง ๆ แล้วสมัยที่ผมไปเรียนช่วงนั้น ผมมองว่าระบบการศึกษาที่ฝรั่งเศส ก็มีความคล้ายคลึงกับในไทย คือ เน้นท่องจำ เน้นทฤษฎีซะส่วนใหญ่ ซึ่งผมก็โอเคกับมันเพราะว่าผมก็ค่อนข้างชอบทฤษฎีอยู่แล้ว แต่จะต่างกันตรงเด็กส่วนใหญ่จะมีเป้าหมายในการคะแนนที่แข่งกับตัวเองอย่างมาก เช่น ต้องทำคะแนนให้ได้ดีขึ้นกว่าเดิม ต้องทำคะแนนให้ได้ดีกว่าเพื่อน ต้องทำคะแนนให้ได้ดีในระดับโรงเรียน และถึงขั้นต้องทำคะแนนให้ได้ดีกว่าเด็กโรงเรียนอื่นด้วย โดยที่ฝรั่งเศสเขาจะวัดคะแนนเป็นเต็ม 20 คะแนน แต่ถ้าเมืองไทยจะเป็นเกรด 1-2-3-4 ซึ่งถ้าอยู่ที่ฝรั่งเศสคะแนนเต็ม 20 หากทำได้สัก 15 ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว แล้วมันมีช่วงหนึ่งที่ผมไปสอบวิชาเศรษฐศาสตร์ (เทียบระดับพอ ๆ กับ ม.6 ของไทย) ผมทำคะแนนได้ 19 คุณครูกับเพื่อน ๆ ก็ตกใจอย่างมาก”
ทั้งนี้ คุณแมน มองว่า การที่คนที่นั่นรู้สึกตกใจในสิ่งที่คนเอเชีย ซึ่งเป็นคนไทย คนที่พวกเขาคิดว่ามาจากประเทศด้อยพัฒนาทำได้จากคะแนนที่สูงเช่นนั้น ส่วนสำคัญเพราะ หากการพัฒนาของประเทศไทย จะเป็นการพัฒนาทุก ๆ เรื่องไปตามการพัฒนาของประเทศ ซึ่งนั่นก็หมายรวมถึงความสามารถด้านการศึกษา แต่กลับกันกับฝรั่งเศสหรืออาจจะหมายรวมถึงยุโรปด้วยนั้น จะยังคงความเป็นอนุรักษ์นิยมค่อนข้างสูง
ตรงนี้หมายถึงอะไร? ก็หมายถึงพวกเขายังชื่นชมในประวัติศาสตร์ของประเทศตน ทวีปตน ที่เคยยิ่งใหญ่ล้ำหน้าใครในโลก เรียนรู้เร็ว เจริญเร็ว แต่วันนี้พวกเขาเริ่มหยุดเจริญแล้ว และความเจริญที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็ล้วนมาจากบุญเก่า สังเกตได้ที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งปัจจุบันกำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ แต่ยังอยู่ได้เพราะชื่อเสียงด้านการศึกษา ทำให้มีนักเรียนต่างชาติเข้ามาเรียนมากมายในลอนดอน ซึ่งหากถ้าไม่มีนักเรียนต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนเอเชียด้วยแล้ว ก็นึกภาพอนาคตของประเทศนี้ไม่ออกเช่นกัน เพราะนักเรียนที่ไปเรียนต่อ ล้วนแล้วแต่ไปสร้างรายได้ให้กับประเทศของเขาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ค่าเรียนต่อ ค่าเช่าบ้าน ค่าร้านอาหาร ค่า Shopping และอื่น ๆ … ความขลังของบุญเก่ายังมีผลอยู่
เฉกเช่นเดียวกันกับความขลังในเรื่องของแบรนด์เนม เช่น ฝรั่งเศส กับ Hermès หรือ Louis Vuitton ที่ผู้คนยังพร้อมที่จ่ายให้ประวัติศาสตร์ที่มีความขลังนี้ และทุกวันนี้ประเทศที่ว่ามา ก็ยังใช้บุญเก่านี้ทำมาหากินได้อยู่ไปเรื่อย ๆ
คุณแมน เผยต่อว่า จากมูลเหตุเหล่านี้ จึงทำให้ประเทศในยุโรป (ฝรั่งเศส) ยังกระหยิ่มยิ้มย่อง และทำให้เขามองว่าเอเชียอย่างเรา ยังไงก็ยังล้าหลัง
“เวลาเขามองประเทศไทยวันนี้ เขายังรู้สึกว่าเหมือนมองเมืองไทยในยุคเลย 20 ปีที่แล้วไปอีกไกล คนไทยขี่ช้างอยู่ คนไทยขี่เกวียนอยู่ จนกระทั่งวันที่เพื่อนของผมที่เป็นคนฝรั่งเศสได้มาไทย ก็ตกใจกันอย่างมาก เพราะเมืองไทยมีการใช้จ่ายผ่านการสแกนคิวอาร์โค้ด ใช้จ่ายกันตั้งแต่ร้านค้าใหญ่ ๆ ไปจนถึงร้านค้าเล็ก ๆ เมืองไทยมีรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดิน ที่ไม่มีความสกปรก ไม่มีขอทาน รถไฟฟ้าไม่มีกลิ่นฉี่ ดูดีมาก แต่ในปารีสกลับมีหนู มีคนปัสสาวะเรี่ยราด มีขอทาน แล้วก็มีคนเล่นยาด้วยในรถไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งคนฝรั่งเศสคนไหนที่ได้มาเปิดหูเปิดตาในไทยตอนนี้ พูดได้แค่คำเดียวว่า ‘ศิวิไลซ์’ มาก ๆ...
“ไม่เพียงเท่านี้ เขายังมองอีกว่า บ้านเราอารยะ มีมารยาทสูง เอาแค่ในรถไฟฟ้าของไทย ผู้คนจะมีมารยาทในการใช้งาน ไม่โวยวาย ไม่คุยเสียงดัง เข้า-ออก ตามคิวอย่างเป็นระเบียบ และยังเอื้อเฟื้อต่อเด็ก, สตรีมีครรภ์ และ คนชรา ได้นั่งก่อน กลับกันในรถไฟฟ้าที่ยุโรป เช่น ในฝรั่งเศส ใครจะโทรศัพท์หาใคร จะตะโกนยังไงก็ได้ เพราะเขามองว่ามันก็เป็นสิทธิ์ของเขา หนักข้อคือจะกินข้าวเลอะเทอะยังไงก็ได้ ซึ่งตรงนี้ในมุมมองคนฝรั่งเศสที่ได้มาไทย เขายอมรับเลยว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่เจริญแล้ว”
“และนั่น จึงไม่ใช่แปลกเลย ที่วันนี้เราจะเห็นฝรั่งเขาพร้อมใจกันทำคลิปเรื่องดี ๆ ของไทยในแง่มุมต่าง ๆ ไปนำเสนอให้คนประเทศเขาได้เห็นถึงความเจริญในเมืองไทยมากขึ้น” คุณแมน ทิ้งท้าย
อย่างไรก็ตาม สามารถติดตามบทสัมภาษณ์เวอร์ชันเต็มได้ที่ >> https://youtu.be/Jy0PmsZ1xK0?si=SIhOj4b39yOhh8Pn