Sunday, 18 May 2025
TheStatesTimes

'เนติบริกร' สะกิด!! 'บิ๊กโจ๊ก' ไม่ควรฟ้องนายกฯ ควรรอ 'ก.พ.ค.ตร.' ถ้าไม่พอใจค่อยไปศาลปกครอง

(25 มิ.ย.67) นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. จะยื่นฟ้อง ม.157 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี หากไม่เปลี่ยนแปลงคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ว่า มีสิทธิฟ้อง เพราะเป็นการฟ้องส่วนตัว แต่ไม่ควรฟ้อง ที่สำคัญ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ยังมีช่องทางที่จะบำบัดหรือได้รับการเยียวยาหลายช่องทาง ซึ่งควรจะไปใช้ช่องทางปกติ โดยสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ก็ยื่นฟ้องเช่นกัน เช่น ทางคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) ที่ได้เขียนเอาไว้ว่า หากใครได้รับความเดือดร้อนจากผู้บังคับบัญชาก็สามารถยื่นร้องทุกข์ได้ ต้องปล่อยให้หน้าที่ ก.พ.ค.ตร.ในการตัดสิน หากตัดสินอย่างไรให้เป็นไปตามนั้น เวลานี้เรื่องทั้งหมดอยู่ที่ ก.พ.ค.ตร. ฉะนั้น ที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ระบุว่า อนุ ก.ตร.ไม่เห็นด้วยกับคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็ต้องถูกส่งไป ก.พ.ค.ตร. เพื่อวินิจฉัยในเร็ววันนี้ 

ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ควรรอคำวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ตร.ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ทุกคนควรจะรอ เว้นแต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะไปแก้ไขเยียวยาเอง ส่วนจะนานหรือไม่นั้น มันนาน แต่ว่า ก.พ.ค.ตร.ได้รับเรื่องไว้นานแล้ว ฉะนั้น เวลาน่าจะเหลือจะประมาณ 1 เดือน เมื่อถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์มีการอ้างมติ ครม.ปี 2482 ว่า หน่วยงานใดที่หารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกา หน่วยงานนั้นต้องทำตามนั้น นายวิษณุ กล่าวว่า มีอยู่จริง ออกมาตั้งแต่สมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม และใช้ตั้งแต่นั้นมา 

เมื่อถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์จะยึดความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาในการต่อสู้ และมีสิทธิจะชนะใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ได้ชี้ถูกชี้ผิด ยิ่งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะเกี่ยวกับความขัดแย้งในเรื่องคดีของบุคลากรภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มีนายฉัตรชัย พรหมเลิศ เป็นประธาน ยิ่งไม่ได้ชี้ถูกชี้ผิด และในวันที่ตนแถลงข่าวก็ไม่ได้ชี้ถูกชี้ผิด แค่มาเล่าให้ฟังเท่านั้นว่าคณะกรรมการทั้งสองชุดว่าอย่างไร ซึ่งในวันนั้นมีผู้สื่อข่าวถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ยังเป็นแคนดิเดตผบ.ตร.ได้อยู่หรือไม่ ตนจึงตอบว่าใครก็ตามที่ดำรงตำแหน่ง พล.ต.อ. และเป็นรองผบ.ตร. ก็มีโอกาสทั้งนั้น แต่สุดท้ายจะได้เป็นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่าง ทั้งมติ ก.ตร. และอยู่ที่นายกฯจะเสนอชื่อใคร เหมือนเช่นตอนที่เสนอชื่อ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เมื่อถามว่า แต่เป็นเหตุผลที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์หยิบขึ้นมาอ้าง นายวิษณุ กล่าวว่า ทุกคนก็เอาสิ่งที่ตนได้ประโยชน์มาอ้าง ไม่มีใครอ้างในสิ่งที่เป็นโทษ 

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้กลายเป็นว่า มีการเอาผลสอบของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายฯ ที่มีนายฉัตรชัย เป็นประธาน ที่ทำท่าจะจบ แต่ไม่จบ เพราะมีการไปต่อยอด ฟ้องร้องกัน นายวิษณุ กล่าวว่า ก็เป็นคดีใหม่ ส่วนคดีเก่าคือ คดีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งเรื่องจบไปแล้วส่วนหนึ่ง ส่วนกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไปยื่นฟ้อง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รองผบ.ตร. และคนอื่น ๆ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นธรรมดาเหมือนคดีทั่วไป ที่จบอีกเรื่องก็มีอีกเรื่องหนึ่งขึ้นไป และถือเป็นเรื่องตัวบุคคล ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล ไม่เกี่ยวกับองค์กร ไม่เกี่ยวกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และขอย้ำประโยคนี้ว่า เขาออกแบบไว้ให้ ก.พ.ค.ตร.เป็นผู้ตัดสินปัญหา ก็ต้องใช้ช่องทางนี้ หากผลตัดสินของ ก.พ.ค.ตร.ไม่เป็นที่พอใจ ก็ไปร้องศาลปกครองได้อีก 

เมื่อถามว่า ตอนนี้ตกลง พล.ต.อ.สุรเชษ์ฐ สามารถกลับเข้ามาเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร.ได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ถ้าดูจากวันนี้เดี๋ยวนี้ตอบได้ว่ามี แต่ถ้าต่อไป อาจมีการแก้เกมอย่างอื่นจนไม่ได้เป็นก็ได้ เพราะมันยังมีช่องกฎหมายอีกเยอะ ซึ่งตามช่องที่คณะกรรมการกฤษฎีกาบอกว่ากระบวนการไม่ชอบ และเป็นเอกฉันท์ด้วย

เมื่อถามย้ำว่า กระบวนการทั้งหมดจะไม่สามารถดำเนินการได้หากยังไม่มีการนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ใช่หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ใช่ เมื่อถามอีกว่า มีโอกาสที่จะไม่นำขึ้นทูลเกล้าฯ ได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า เขาจะไม่นำขึ้นทูลเกล้าฯ แน่ เว้นแต่ ก.พ.ค.ตร.จะสั่งลงมา แต่คณะกรรมการกฤษฎีกาก็ไม่ได้บอกว่าไม่ให้นำขึ้นทูลเกล้าฯ แต่เขาบอกว่า หนังสือที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ นั้นมีข้อสังเกตว่า ควรจะถูกต้องตามกระบวนการ เพราะมีตัวอย่างมาแล้วนับ 10 เรื่องที่กระบวนการไม่ถูก แล้วถูกส่งกลับมาดังนั้น ต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้องก่อนที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ ก.พ.ค.ตร.และรัฐบาลเองก็ฟัง ก.พ.ค.ตร. จะเอาอย่างไรก็เอาตามนั้น

'สำนักข่าวอิศรา' ขุดเจอ 'อดีต ผอ.สำนัก กทม.' โพสต์ภาพลูกชายบวช แต่ซูมเสื้อเจอปักชื่อ บ.วาล็อคฯ คู่สัญญาขายเครื่องออกกำลังกายให้ 'กทม.'

(25 มิ.ย. 67) สำนักข่าวอิศรา เปิดเผยว่า บริษัท ชนะพัฒน์ คอนสตรัคชั่น แอนด์ ซัพพลาย จำกัด ธุรกิจแห่งที่ 2 ของ นายสรวิชญ์ ศรีรัตนพัฒน์ กรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด ที่ปรากฏชื่อเป็นคู่สัญญาขายเครื่องออกกำลังกาย ให้กับกรุงเทพมหานคร จำนวนหลายสัญญา มูลค่างานหลายสิบล้านบาท เพื่อขอสัมภาษณ์เป็นทางการ แต่ไม่สามารถติดต่อใครได้

ขณะที่ จากการสอบถามข้อมูลเพื่อนบ้านที่พักอาศัยในบริเวณใกล้เคียง หลายรายยืนยันตรงกันว่า ผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านหลังนี้ เป็นข้าราชการเกษียณอายุแล้ว เคยทำงานอยู่ที่กรุงเทพมหานคร

ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา ย้อนกลับไปตรวจสอบข้อมูลอดีตผู้บริหารสำนักแห่งหนึ่งของ กทม. ในช่วงปี 2564 ที่มีนามสกุล ศรีรัตนพัฒน์ เหมือน นายสรวิชญ์ ที่มีการตรวจสอบพบข้อมูลไปก่อนหน้านี้

โดยจากการใช้วิธีตามรอยข้อมูลบุคคลในโลกออนไลน์ หรือ Digital Footprint พบว่า มีผู้ใช้เฟซบุ๊ก ชื่อ และนามสกุล อดีตผู้บริหารสำนักแห่งหนึ่งของ กทม. รายนี้อยู่

เมื่อสืบค้นโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กดังกล่าว ย้อนหลัง ไปถึงเดือน ก.พ.2566 พบว่า มีการโพสต์ข้อความขอบพระคุณ ผู้ที่มีร่วมงานบวชลูกชาย พร้อมภาพจำนวนหนึ่งไว้

ในภาพมีผู้ชายคนหนึ่งใส่เสื้อสีขาว ถือพานเตรียมเข้าพิธีอุปสมบท แต่เมื่อสังเกตตัวอักษรที่ปักอยู่ตรงอกบนเสื้อสีขาว พบว่า มีการปักเป็นชื่อของบริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด เอาไว้

ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ได้พยายามติดต่อไปยังกรุงเทพมหานคร เพื่อขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่ออดีตผู้บริหารสำนักแห่งหนึ่งของ กทม. รายนี้ อีกครั้ง แต่ไม่มีใครให้ข้อมูลได้

ขณะที่ก่อนหน้านี้ ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา เคยติดต่อไปยังสำนักแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร ที่ปรากฏชื่อผู้บริหารรายที่มี นามสกุลเหมือนกับ นายสรวิชญ์ ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ว่า ผู้บริหารรายนี้เกษียณอายุราชการไป 2-3 ปีแล้ว และไม่สามารถติดต่อได้เช่นกัน

จึงทำให้ ยังไม่มีข้อมูลยืนยันชัดเจนว่า อดีตผู้บริหารสำนักแห่งหนึ่งของ กทม. รายนี้ มีความสัมพันธ์อย่างไร นายสรวิชญ์ ศรีรัตนพัฒน์? รวมไปถึงความสัมพันธ์กับผู้ชายในภาพ ที่ใส่เสื้อสีขาว ปักอักษรชื่อ บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด ตามข้อมูลที่ตรวจสอบพบล่าสุดด้วย

สำหรับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกรณีนี้ ที่สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบพบไปแล้ว สามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ

>> ข้อมูลบริษัท จำนวนโครงการฯ ที่ได้รับ

- นายสรวิชญ์ ศรีรัตนพัฒน์ เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด ที่ปรากฏชื่อเป็นคู่สัญญาขายเครื่องออกกำลังกาย ให้กับกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ช่วงปี 2564 - 2567 รวมจำนวน 9 โครงการ คิดเป็นวงเงินกว่า 65,394,600.00 บาท (เท่าที่ตรวจสอบพบ) และขายทุ่นลอยน้ำพร้อมอุปกรณ์ยึดต่อสำหรับเทียบเรือ จำนวน 2 ชุด วงเงิน 4,998,000 บาท กับ กทม.ในช่วงปี 2566 ด้วย

- นายสรวิชญ์ ศรีรัตนพัฒน์ ยังเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ชนะพัฒน์ คอนสตรัคชั่น แอนด์ ซัพพลาย จำกัด ที่ปรากฏชื่อเป็นคู่สัญญางานซ่อมแซม และขายครุภัณฑ์ตู้เสริมโครงสร้างสำหรับวางเครื่องออกกำลังกาย ให้กับ กทม. รวม 4 สัญญา เป็นเงินทั้งสิ้น 1,656,919.19 บาท ใช้วิธีเฉพาะเจาะจงทั้งหมด วงเงินจัดซื้อไม่เกิน 5 แสนบาท /โครงการ

>> ข้อสังเกตการณ์จัดซื้อจัดจ้าง

ขณะที่งานในส่วนของ บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด นั้น สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบพบข้อสังเกตสำคัญ คือ

- โครงการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายกลางแจ้งพร้อมติดตั้ง 2 ชุด โดยวิธีคัดเลือก วงเงินตามสัญญา 3,495,000 บาท ปีงบประมาณ 2565 กองการกีฬา สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กำหนดราคากลางจัดซื้อ เมื่อวันที่ 18 ต.ค.2564 ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังจากที่ บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 4 ต.ค.2564 หรือเป็นช่วงเวลาห่างกันเพียงแค่ 14 วันเท่านั้น ขณะที่ บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด เป็นหนึ่งในเอกชนที่ถูกใช้เป็นแหล่งสืบราคากลางด้วย

หลังจากนั้น บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด ก็ปรากฏชื่อเป็นคู่สัญญาขายเครื่องออกกำลังกาย ให้กับกรุงเทพมหานคร จนถึงปี 2567 รวมจำนวน 9 โครงการ คิดเป็นวงเงินกว่า 65,394,600.00 บาท

- ซื้อทุ่นลอยน้ำพร้อมอุปกรณ์ยึดต่อสำหรับเทียบเรือ กทม. สืบราคากลาง จากบริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด วันที่ 13 ก.ค.2566 ขณะที่ บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด แจ้งกรมพัฒนาธุรกิจการค้า แก้ไขวัตถุประสงค์ทำธุรกิจขายทุ่นลอยน้ำ เมื่อวันที่ 13 ก.พ.2566 หรือห่างกันประมาณ 5 เดือนเท่านั้น

>> ข้อมูลส่วนตัว

- จากการตรวจสอบพบว่า ในช่วงจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด เมื่อวันที่ 4 ต.ค.2564 แจ้งมีอายุ 28 ปี ระบุอาชีพเป็นนักธุรกิจ

- เมื่อตรวจสอบข้อมูลนามสกุล ‘ศรีรัตนพัฒน์’ ของ นายสรวิชญ์ พบว่า เหมือนกันนามสกุล ของอดีตผู้บริหารสำนักแห่งหนึ่งของ กทม. ในช่วงปี 2564

ส่วนข้อมูลเชิงลึกๆ อื่นหากตรวจสอบพบเพิ่มเติม จะนำมาเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบต่อไป
อย่างไรก็ดี เกี่ยวกับการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายของกทม. ปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานตรวจสอบ สรุปผลการตรวจสอบว่ามีการกระทำความผิดตามกฎหมายเกิดขึ้นแต่อย่างใด

ผู้เกี่ยวข้องทุกรายถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่

ถอดรหัสชีวิตที่ไม่สวยหรูของ ‘Elon Musk’  ชายผู้ร่ำรวยที่สุดในโลกประจำเดือนมิถุนายน 2567 

ในทุก ๆ วัน สื่ออย่าง Forbes จะมีการอัปเดตการจัดอันดับคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ซึ่งถ้าเข้าไปดูในหน้าเว็บไซต์จะเห็นการจัดอันดับความมั่งคั่งของบรรดามหาเศรษฐีทั่วโลกแบบ Real-Time รวมถึงเห็นตัวเลขความมั่งคั่งสุทธิของคน ๆ นั้นได้

และเดือนมิถุนายน 2567 นี้ ก็ได้มีการจัดอันดับเช่นเดียวกัน โดยคนที่รวยที่สุดของเดือนนี้ คือ Elon Musk ซึ่งเขามีทรัพย์สินอยู่ที่ราว ๆ 213 Billion Dollars (สองแสน-หนึ่งหมื่น-สามพันล้านเหรียญ) 

เงินจำนวนนี้เยอะขนาดไหน? ถ้าเทียบกับเครื่องบินลำใหญ่อย่าง Boeing 777 จำนวน 1 ลำที่มีราคา 300 ล้านเหรียญดอลลาร์แล้ว เงิน 213 Billion ก็จะทำให้ Elon เป็นเจ้าของเครื่องบินได้มากถึง 710 ลำค่ะ 

แล้วเขาเป็นใครทำไมถึงร่ำรวยเป็นที่ 1 ของโลก สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักเขา เดี๋ยววันนี้จะพาไปรู้จักคน ๆ นี้กันค่ะ

Elon Musk เป็นผู้ก่อตั้งและประธานบริหารของบริษัท SpaceX, Tesla, Inc., Neuralink, และ The Boring Company และถ้าเราจำกันได้เขาคือคนที่เอา Mini Submarine แคปซูลเคลื่อนย้ายมนุษย์ใต้น้ำเหมือนเรือดำน้ำขนาดเล็ก มาใช้ในการช่วยชีวิตของเด็ก ๆ ทีมนักฟุตบอล 13 หมูป่าที่ติดถ้ำหลวง จังหวัดเชียงราย ซึ่งตัวเขาก็ได้เดินทางมาถึงหน้าถ้ำจริง ๆ ด้วย แม้ว่าสุดท้ายเรือดำน้ำนั้นจะไม่ได้ถูกเอามาใช้ก็ตาม

Elon Musk เกิดที่เมือง Pretoria (พรีทอเรีย) ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งในแอฟริกาใต้ ก่อนจะย้ายมายังแคนาดา และมาศึกษาต่อที่สหรัฐฯ ด้วยความที่เขามีพ่อเป็นวิศวกร ส่วนเเม่เป็นนักโภชนาการ เขาเริ่มเรียนรู้เรื่องการเขียนโปรแกรมตั้งแต่อายุ 10 ขวบ และเขียนโค้ดขายวิดีโอเกมได้ในราคา 500 เหรียญ ตั้งแต่เขาอายุได้ 12 ปีเท่านั้น เขายังชอบอ่านหนังสือพวกนิยายวิทยาศาสตร์และสารานุกรม บางวันอ่านนานถึงวันละ 10 ชั่วโมง เพราะในวัยเด็กเขามักจะถูกเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนรังแก จนครั้งหนึ่งเขาถูกทำร้ายจนสลบ นั่นทำให้เขาเองชอบใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือเเทน 

โดยเขาได้ก่อตั้งบริษัทแรกขึ้นกับน้องชายในชื่อ Zip2 เป็นธุรกิจฐานข้อมูลและจัดหาข้อมูลให้กับสื่อสิ่งพิมพ์ชื่อดังเจ้าต่าง ๆ อย่างนิวยอร์กไทมส์ เป็นต้น (นึกถึงวันที่โลกยังไม่มี Google และต้องหาข้อมูล หาเบอร์คนต่าง ๆ จากสมุดหน้าหลือง) บริษัทประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วจนได้ขายบริษัทออกไปให้กับบริษัท Compaq ตอนเขาอายุ 28 ปี ด้วยมูลค่าถึง 307 ล้านดอลลาร์ หลังจากเขาปั้นบริษัทแห่งนี้มาได้แค่ 4 ปีเท่านั้น 

จากนั้นก็มีการก่อตั้งธนาคารออนไลน์ ที่ชื่อว่า X.com ก่อนจะถูกควบรวมเข้ากับบริษัทคอนฟินิตี ในปัจจุบันรู้จักกันในชื่อว่า Paypal มันประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล เขาได้รับคำเสนอซื้ออีกครั้งจาก Ebay และเขาตัดสินใจขายมัน นั่นทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีพันล้านในวัยเพียง 31 ปี

พอในปี 2002 เขาก็ได้เปิดบริษัทที่ให้บริการเกี่ยวกับการเดินทางในอวกาศ เขาฝันว่าวันหนึ่งการเดินทางท่องเที่ยวในอวกาศจะเป็นเทคโลโลยีที่ราคาไม่แพงและเป็นอะไรที่สามารถเข้าถึงได้ พอปี 2004 เขาเป็นผู้ลงทุนในบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเทสลามอเตอร์ส เขาเป็นทั้งประธานและสถาปนิกผลิตภัณฑ์ 

ในปี 2006 เขาช่วยสร้างโซลาร์ซิตีซึ่งเป็นบริษัทพลังงานแสงอาทิตย์ที่ต่อมาถูกซื้อโดยเทสลา และกลายเป็นเทสลาเอนเนอร์ยี 

ในปี ค.ศ. 2015 เขาได้ร่วมก่อตั้งบริษัทโอเพนเอไอ ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยปัญญาประดิษฐ์ที่ไม่แสวงหาผลกำไร 

ในปี 2016 เขาได้ร่วมก่อตั้งนิวรัลลิงก์ที่พัฒนาส่วนติดต่อระหว่างสมองกับคอมพิวเตอร์ ที่เคยทำการทดลองในลิงที่ถูกฝังชิปในสมองให้มีความสามารถในการเล่นเกมได้ และเดอะบอริงคอมพานี ซึ่งเป็นบริษัทก่อสร้างอุโมงค์ ทำไฮเปอร์ลูป โดยมีเเนวคิดในการส่งมนุษย์เดินทางผ่านท่อความเร็วสูงจากแรงลม ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริงเราจะเดินทางจากกรุงเทพไปเชียงใหม่ได้ในเวลาเพียงเเค่ 20 นาทีค่ะ เเละในปี ค.ศ. 2022 มัสก์ซื้อแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทวิตเตอร์ ด้วยมูลค่า 44 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

อันที่จริงชีวิตของ Elon ก็ไม่ได้มีแค่ด้านสวยหรูนะคะ เพราะเขาก็เคยถูกปฏิเสธเข้าทำงานจากบริษัท Netscape ซึ่งเป็นบริษัทคิดค้นเว็บเบราว์เซอร์ World Wide Web (WWW) ด้วยเหตุผลว่าเขาไม่มีประสบการณ์การทำงานมาก่อน และนั่นก็เป็นการจุดประกายให้เขาก่อตั้งบริษัทตัวเองค่ะ

โดยรวมแล้วชีวิตเขาก็ไม่ได้ราบรื่นมาตลอด พ่อแม่หย่าร้างกัน แถมยังมีช่วงที่เขาขาดสภาพคล่องจนต้องหาแหล่งเงินทุนมาช่วยธุรกิจเขา / เขาเคยไปขอให้ Apple เข้ามาซื้อกิจการแต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ / ถูกหักหลัง / ถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้บริหาร / ลูกชายคนแรกเสียชีวิตหลังคลอดได้ 10 เดือน / ถูกฟ้องหย่า 

แต่ท้ายที่สุดแล้ว ด้วยความที่เขาเป็นคนไม่ยอมแพ้ มุ่งมั่น และมีความพยายามที่จะเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา และไม่เคยย่อท้อ ไม่ว่าจะเจอกับอุปสรรคอะไร อย่างเช่นการทดลองจรวด แม้จะโดนดูถูก เยาะเย้ย แต่เขาเองไม่เคยใส่ใจ ต่อให้การทดลองจะล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ทุก ๆ ครั้งเขาจะกลับมาและทำให้มันดีขึ้นกว่าเดิม

และนั่นจึงทำให้เขาเป็น 'มหาเศรษฐีอันดับหนึ่ง' ของโลกค่ะ 

ที่สำคัญตอนนี้พวกเราคนไทยเอง ก็สามารถซื้อหุ้นของ Elon Musk ผ่านทางโบรกเกอร์ที่มีบริการซื้อหุ้นต่างประเทศได้ด้วยนะคะ

ก.แรงงานอัพสกิลผู้ฝึกสอนมวยไทย รองรับการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ เพิ่มทักษะให้เป็นมืออาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ ให้ชุมชนในท้องถิ่น

วันที่ 25 มิถุนายน 2567 นางสาวบุปผา เรืองสุด อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงานภายใต้การนำของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้แนวคิด “ทักษะดี มีงานทำ หลักประกันสังคมเด่น เน้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” กรมพัฒนาฝีมือแรงงานเล็งเห็นความสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพบุคลากรสำหรับการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sport Tourism) เพื่อรองรับการให้บริการนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งมวยไทยเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก นับเป็นศิลปะการต่อสู้แขนงหนึ่งที่สร้างความภาคภูมิใจของประเทศไทย ด้วยเป็นกีฬาที่มีรูปแบบการต่อสู้ที่สวยงาม มีความโดดเด่น ด้านเทคนิคการกอดคอต่อสู้ ซึ่งเป็นการใช้ทั้งกายและใจ สำหรับการต่อสู้ที่ใช้ร่างกายเป็นอาวุธ โดยเป็นที่รู้จักว่าเป็นนวอาวุธ ซึ่งประกอบด้วย การโจมตีจากร่างกาย ทั้ง หมัด ศอด เข่า และเท้า ในมวยไทย ก่อให้เกิดอาวุธที่มีอานุภาพ  รูปแบบการไหว้ครูที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ท่วงท่าซึ่งประกอบไปด้วยแม่ไม้มวยไทยที่มีความหลากหลายและน่าตื่นตาตื่นใจ ด้วยเหตุผลเหล่านี้ มวยไทยจึงเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในชาวต่างชาติในฐานะกีฬาและสื่อทางวัฒนธรรมที่สำคัญ โดยเหตุผลเหล่านี้อาชีพนักกีฬามวยไทยจริงสามารถสร้างอาชีพ และรายได้ด้านการท่องเที่ยวเข้าสู่ตลาดแรงงานเป็นจำนวนมาก ส่งผลดีต่อการขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจ ในเขตพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีศิลปะการต่อสู้ประเภทมวยไทยที่มีชื่อเสียงโดนเด่นสวยงามในนาม “มวยไชยา” มีเอกลักษณ์พิเศษ 7 ด้าน คือ 1) การตั้งท่ามวยหรือการจดมวย 2) ท่าครูหรือท่าย่างสามขุม 3) การว่ายครูร่ายรำ 4) การคาดเชือก จะพันมือด้วยเชือกด้ายดิบหรือเชือกหลักแจวตั้งแต่ข้อมือจนถึงสันหมัด 5) การแต่งกาย 6) การฝึกซ้อมมวยไชยา 7) แม่ไม้มวยไชยา กรมพัฒนาฝีมือแรงงานจึงเร่งพัฒนาหลักสูตรสำหรับการฝึกอบรมยกระดับฝีมือ สาขาผู้ฝึกสอนมวยไทย ระดับ 1 เพื่อเพิ่มทักษะ (Up Skill) เสริมสร้างความรู้ พัฒนาการให้บริการ สร้างงานสร้างรายได้

นางสาวสุขศรี ไล่กสิกรรม ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 11 สุราษฎร์ธานี กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้เล็งเห็นศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นที่ตั้งของผู้ให้บริการสนามมวยที่มีจำนวนมากและมีความสามารถในการให้บริการที่มีชื่อเสียงประดับประเทศทั้งพื้นที่เกาะสมุย และอำเภอไชยา อีกทั้งยังมีเอกลักษณ์มวยไทยไชยาที่มีความโด่ดเด่น จึงมอบหมายให้สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 11 สุราษฎร์ธานีดำเนินการจัดฝึกอบรมหลักสูตร ผู้ฝึกสอนมวยไทย ระดับ 1 จำนวน 30 ชั่วโมง กำหนดการจัดฝึกอบรมระหว่าง 22 – 26 มิถุนายน 2567 ณ วิทยาลัยการอาชีพไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยวิทยากรวีรบุรุษเหรียญเงินโอลิมปิกเกมส์ สาขามวยสากลสมัครเล่น ชาวสุราษฎร์ธานี ร้อยตรีวรพจ เพชรขุ้ม ทำหน้าที่วิทยากร ผู้เข้ารับการฝึกอบรมจะได้รับความรู้และพัฒนาทักษะ ด้านการสอนมวยไทย วิทยาศาสตร์การกีฬาสำหรับมวยไทย การสอนทักษะมวยไทย และองค์ความรู้เรื่องมวยไทยและแนวทางการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ สาขาผู้ฝึกสอนมวยไทย เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ ส่งเสริมให้แรงงานในท้องถิ่นเป็นแรงงานฝีมือ สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ฝึกกีฬามวยไทยและนักท่องเที่ยว

‘อัครเดช-รวมไทยสร้างชาติ’ ไม่เห็นด้วยตัด สส.ปาร์ตี้ลิสต์ทิ้ง ชี้!! สส. 2 ระบบดีอยู่แล้ว ช่วยกันดูแล ปชช. เชิงนโยบาย-ลงพื้นที่

(25 มิ.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวเกี่ยวกับการจะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ยกเลิก สส.ระบบบัญชีรายชื่อ เหลือเพียง สส.ระบบแบ่งเขต ว่า การมี สส.ทั้ง 2 ระบบเป็นสิ่งที่ดีที่สุดอยู่แล้ว และเป็นระบบที่อยู่กับการเมืองไทยมายาวนาน ถือว่าเป็นพัฒนาการทางการเมือง 

ซึ่ง สส.ระบบบัญชีก็มีข้อดีอย่างหนึ่งในการทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนในภาพรวมเชิงนโยบาย โดยไม่จำเป็นต้องลงพื้นที่หนักในเชิงลึกแต่ทำพื้นที่ในภาพกว้าง ส่วน สส.แบ่งเขตก็มีข้อดีอีกอย่างหนึ่ง มีความใกล้ชิดพี่น้องประชาชน นำปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่มาสะท้อนให้ฝ่ายบริหารได้เร่งแก้ปัญหา นอกจากทำหน้าที่นิติบัญญัติ ดังนั้น สส.เขตจึงต้องทำพื้นที่อย่างหนักในการเข้าถึงพี่น้องประชาชนในพื้นที่นั้น ๆ

“การมี สส.ทั้ง 2 ระบบ มีความสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว ผมไม่เห็นด้วยที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เหลือระบบเดียว แต่ทั้งนี้พรรครวมไทยสร้างชาติก็พร้อมที่จะสู้กับทุกกติกาที่รัฐธรรมนูญกำหนด ภายใต้การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ ยุติธรรม“ นายอัครเดช กล่าว

โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวต่ออีกว่า การที่มีการออกมาให้ข่าวลักษณะนี้ส่งผลกระทบกับพรรคการเมืองที่มีอยู่ ทำให้เป็นประเด็นการเมือง ตนไม่อยากให้มีข่าวลักษณะแบบนี้เกิดขึ้น เพราะเป็นข่าวที่ไม่มีมูลเหตุ และขณะนี้ไม่ได้อยู่ในช่วงที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะกำลังทำกฎหมายประชามติอยู่ในวาระ 2 ทำให้เกิดความสับสนทางการเมือง และยังจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ การเมือง จึงอยากขอให้ทุกฝ่ายได้หยุดประเด็นทางการเมือง ช่วยกันทำให้การเมืองนิ่ง เพื่อให้รัฐบาลได้เดินหน้าแก้ปัญหาความเดือดร้อนเศรษฐกิจปากท้องให้กับประชาชน

มุมมอง 'คนรุ่นใหม่' หลังรับชม '2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ'  ในหลวงของปวงชนทุกยุคสมัย ล้วนทำเพื่อคนไทยทั้งสิ้น

(25 มิ.ย.67) จากกรณีพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้จัดกิจกรรมดูภาพยนตร์แอนิเมชัน เรื่อง '2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ' ณ โรงภาพยนตร์พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ทั้ง 2 โรง คือ โรงที่ 9 และโรงที่ 13 เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 67 ที่ผ่านมา ล่าสุดจากช่องติ๊กต็อก ‘modernizationnetwork’ ได้สอบถามความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่ 2 ราย หลังจากที่ได้รับชมแล้วว่ารู้สึกกันอย่างไรบ้าง

โดยท่านแรก ชื่อว่า ‘น้องหนุงหนิง’ ได้เปิดเผยว่า ตนรู้สึกประทับใจมาก และได้รู้อะไรหลาย ๆ อย่างที่ในหนังสือเราไม่เคยได้รู้มาก่อน พร้อมบอกอีกว่า ภูมิใจในพระมหากษัตริย์ของเรา ไม่ว่าจะพระองค์ไหน ซึ่งเรารู้อยู่แล้วว่าท่านเต็มที่มาก ไม่ว่าจะสมัยไหน จึงอยากจะเชิญชวนทุกคนให้ไปเรียนรู้และรับชมกันเยอะ ๆ จะได้รู้อะไรที่เราไม่เคยรู้ในหนังสือ ซึ่งเราสามารถดูได้จากที่นี่ และภูมิใจไปด้วยกัน

ถัดมาท่านที่สอง ชื่อว่า ‘น้องเปา’ อายุ 23 ปี ได้เปิดเผยว่า ตนรู้สึกประทับใจเรื่องราวในประวัติศาสตร์ไทย ได้รู้ในความเป็นมาว่ากว่าจะมาเป็นทุกวันนี้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง พร้อมย้ำว่ารู้สึกประทับใจในหลาย ๆ ฉาก ที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เพราะตนก็ไม่ค่อยมาดูหนังแนวแอนิเมชันที่เป็นประวัติศาสตร์ และเผยสาเหตุที่มาดูนั้น มาดูเพราะในฐานะที่เป็นแฟนคลับลุงตู่และอาจารย์พีระพันธุ์ พรรครวมไทยสร้างชาติ โดยบอกอีกว่า ตนติดตามผลงานของลุงตู่มาโดยตลอด และชื่นชอบเพราะตั้งใจทำงานเพื่อประชาชนจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการคอร์รัปชัน หรือพวกโครงสร้างพื้นฐาน คมนาคม ก่อสร้างมาดีมาก ๆ จึงรู้สึกประทับใจที่ประเทศไทยเรามีนายกฯ อย่างลุงตู่ ที่อยู่มา 8-9 ปี สร้างผลงานให้กับประชาชนมาให้เห็นมากมาย โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่ง หรือเราชนะ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งถือว่าเป็นโครงการที่ช่วยเหลือประชาชนชาวรากหญ้า ที่สามารถซื้อข้าวกินได้ในราคาประหยัดขึ้นโดยให้รัฐบาลช่วยออก จึงถือเป็นโครงการที่น่าประทับใจอย่างมาก ส่วนอาจารย์พีระพันธุ์ ตนรู้สึกชื่นชอบในผลงานอย่างการแก้ปัญหาลดราคาน้ำมันให้กับประชาชน

นอกจากนี้ น้องเปา ยังได้ระบุเพิ่มเติมว่า ถ้าหากเอาโครงการที่รัฐบาลช่วยออกครึ่งหนึ่ง ประชาชนช่วยออกครึ่งหนึ่งแบบลุงตู่ น่าจะมีประโยชน์ร่วมกันกับพ่อค้าแม่ค้า รัฐบาล และประเทศชาติ ส่วนพรรคก้าวไกลตนคิดว่า ขออย่างเดียว ถ้าพรรคก้าวไกลไม่มีการแตะต้องสถาบันจะเป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ เพราะคนรุ่นใหม่ โดนปลูกฝังมากับพรรคก้าวไกลเรื่องเกี่ยวกับ ม.112 กันเยอะมาก ซึ่งคิดว่าถ้าพรรคก้าวไกลถอยเรื่อง ม.112 ได้จะดีมาก ๆ

ทั้งนี้ แม้ตนจะเกิดไม่ทัน ในหลวง ร.9 และ ในหลวง ร.10 ในการทรงงาน แต่ตนเคยไปรับเสด็จเพราะคุณพ่อเคยพาไปที่สนามหลวง และวันที่ในหลวง ร.9 สวรรคต ก็ได้มีโอกาสไปไหว้ และรับเสด็จในหลวง ร.10 มาแล้วหลาย ๆ ครั้ง

‘ทนายอนันต์ชัย’ นำทัพ บุกแจ้งความ ‘กลุ่มเชื่อมจิต’ เอาผิดอีก 6 ข้อหา หลังไลฟ์ขู่!! จะเอาพวกตนติดคุก

(25 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงาน ความคืบหน้าล่าสุด ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม พร้อมด้วย นางชลิดา พะละมาตย์ ประธานมูลนิธิเป็นหนึ่ง และนายแทนคุณ จิตต์อิสระ ได้เดินทางเข้ามาเพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มเชื่อมจิตเพิ่มเติม โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มประกอบด้วย 1.เด็กเชื่อมจิต 2.กลุ่มแอดมิน จำนวน 60 คน และ 3.ทนายธรรมราช สาระปัญญา ทนายความของกลุ่มเชื่อมจิต

ทนายอนันต์ชัย กล่าวว่า สำหรับวันนี้ที่ตนเดินทางมาเพราะต้องการแจ้งความเอาผิดกับเด็กเชื่อมจิต, ทนายธรรมราชและแอดมิน 60 คน โดยที่ผ่านมาไม่เคยมีใครแจ้ง แต่เมื่อวานนี้ทางเด็ก เชื่อมจิตได้มีการไลฟ์สดเปิดหน้า และได้มีการขู่ว่าจะแจ้งความดำเนินคดีและให้พวกเราติดคุก ในวันนี้ตนจึงนำหลักฐานต่าง ๆ มาเอาผิดทางกลุ่มเชื่อมจิตรวมทั้งสิ้น 6 ข้อหา คือ ตามพ.ร.บ.คอมฯ / ประมวลกฎหมายอาญา ม.341,343,83,84,86,90,91 / พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน / พ.ร.บ. ควบคุมการเรี่ยไร มาตรา 5 และมาตรา 8 / พ.ร.บ. ควบคุมการขอทาน มาตรา 13 / และประมวลกฎหมายรัษฎากร มาตรา 40 (8), 37 ทวิ / เอาผิดเด็กเชื่อมจิต ทั้งหมด 19 กรรม

‘ทั้งนี้แม้กฎหมายระบุว่าเด็กกระทำผิดไม่ต้องรับโทษ แต่หากมีการตรวจสอบและพบว่าพ่อแม่ของเด็กกระทำผิด ก็จะต้องมีหน่วยงานเข้ามาควบคุมและแยกตัวของผู้ปกครองออกจากเด็ก โดยจะต้องอยู่ในการควบคุมดูแลของเจ้าหน้าที่ พม.’

พลพรรค ‘สีน้ำเงิน-แดง’ พาเหรดยึดสภาสูง บางส่วนออกอาการวงแตก - ‘บ้านในป่า’ ส้มหล่น

ไม่ต้องรอ 2 ก.ค. 2567…เย็น ๆ ค่ำ ๆ 26 มิ.ย. ก็รู้กันแล้วว่า ใครคือ 200 ว่าที่สมาชิกวุฒิสภา ชุดใหม่..ชุดที่ 13 ของประเทศไทย ซึ่งแม้จะไม่มีอำนาจโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี แต่อำนาจอย่างอื่นในฐานะสภาสูง...เพียบ!! ขีดเส้นทางเดิน ชี้เป็นชี้ตายประเทศได้เหมือนกัน

โดยสรุป...เหนือจากการกลั่นกรองกฎหมาย และมีบทบาทในการจัดทำ-แก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว ยังมีบทบาทในการควบคุมการเลือกสรรบุคคลองค์กรอิสระ ที่จะครบวาระภายในปี 2567 จำนวนมาก

ใครอยากรู้รายละเอียด วัน ว. เวลา น. จะเลือกอะไรบ้าง ว่าง ๆ ก็แวะไปไถเฟซบุ๊ก สว. ตัวตึง สมชาย แสวงการ ดูได้ แต่ตรงนี้ ‘เล็ก เลียบด่วน’ รวบรัดว่าเฉพาะหน้า สว.ชุดใหม่จะมาพิจารณาให้ความเห็นชอบ…หรือไม่เห็นชอบ…ดังนี้

>> ว่าที่ประธานศาลปกครองสูงสุด คนใหม่ นายประสิทธิศักดิ์ มีลาภ (วุฒิสภาชุดปัจจุบันตั้งกมธ.วิสามัญสอบประวัติ เมื่อ 18 มิ.ย. 2567)

>> ว่าที่อัยการสูงสุด นายไพรัช พรสมบูรณ์ศิริ (วุฒิสภาชุดปัจจุบันตั้งกมธ.วิสามัญสอบประวัติเมื่อ 18 มิ.ย. 2567)

>> ประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการรัฐธรรมนูญที่จะครบวาระ 2 คน

>> กรรมการ ปปช. 5 คน

>> กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน 6 คน

>> ผู้ตรวจการแผ่นดิน 1 คน

บางตำแหน่งข้างต้นต้องใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวน สว. บางตำแหน่งใช้เสียงข้างมากธรรมดา...หลับตาดูว่า สว.ชุดใหม่ ที่น่าจะมีที่มาหลากหลาย แต่คุณภาพในการกรองจะคับแก้วหรือเปล่า ก็ยังไม่อยากจะดูถูกดูแคลน แต่ก็อดที่จะห่วงใยไม่ได้...

จะอย่างไรก็ตาม ‘เล็ก เลียบด่วน’ ได้ฟันธงล่วงหน้าไปแล้วเมื่อคราวก่อนว่า สว.ชุดใหม่ จะออกอาการสีม่วง ๆ คือมาจากเครือข่ายพรรคสีน้ำเงินกับสีแดง เป็นส่วนใหญ่  ตัวเลขที่เขาทำกันไว้เล็งเป้าไปที่ 150 จาก 200 แต่นาทีสุดท้ายสายข่าวแจ้งว่า  พลพรรคสีน้ำเงิน-สีแดงบางส่วน ที่เข้ารอบประเทศเพิ่งมาทราบเอาตอนเข้าค่ายที่โรงแรมในกรุงเทพฯ ว่า ตัวเองเป็นแค่ ‘โหวตเตอร์’ เท่านั้น ก็เลยเกิดอาการวงแตกกันหลายจังหวัด...หลายคนหนีไปหาซุ้ม ‘บ้านในป่า’

‘ผู้กอง’ คนดังก็เลยรับส้มหล่นไป แต่จะแปรเป็นคะแนน เป็น สว. ได้มากน้อยก็ยากจะคาดเดา…

สรุปว่า…ก็คงต้องทำใจเผื่อกับหน้าตา-คุณภาพของ สว.ชุดใหม่ เอาไว้ส่วนหนึ่ง กฎกติกาและคนคุมกฎกติกาคือ กกต. เป็นอย่างที่เห็น ผลลัพท์ที่ออกมาต้องเป็นเช่นนั้น...อนาคตจะออกแบบ สว. กันแบบไหน อย่างไร ก็ค่อยว่ากันอีกที…

แถมท้าย เป็นเคียงข่าวเพื่อการติดตามการเลือก สว. รอบประเทศสั้น ๆ...การเลือกระดับประเทศจะมีสองรอบ เหมือนระดับอำเภอ-จังหวัด

-รอบแรก ผู้ผ่านรอบจังหวัด 20 กลุ่มอาชีพ 3,000 คน จะเลือกกันเองในแต่ละอาชีพ  หนึ่งคนจะเลือกได้ไม่เกิน 10 ชื่อ (รวมทั้งเลือกตัวเอง) จะคัดคนคะแนนดีที่สุดในแต่ละอาชีพ 40 คนเข้ารอบสอง รวม 20 อาชีพจะเป็น 800 คน

-รอบสอง จาก 800 คน 20 กลุ่มอาชีพ จะแบ่งเป็น 4 สาย ๆ ละ 5 กลุ่มอาชีพ ให้เลือกไขว้คือห้ามเลือกคนในอาชีพเดียวกัน แต่ต้องไปเลือกอาชีพอื่นในสายเดียวกันได้ อาชีพละไม่เกิน 5 คน (รวมทั้งหมดเลือกได้ไม่เกิน 20 คน) นับคะแนนผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด 10 อันดับแรกในแต่ละอาชีพเป็นว่าที่ สว. (10x20 อาชีพ = 200 คน) และสำรองไว้อาชีพละ 5 คน

อาเมน.

‘นักวิจารณ์หนัง’ แนะ!! 'เพจดัง' ควรใช้คำอื่นมากกว่า #ไม่ควรดูพากย์ไทย ชี้!! ทุกวันนี้ 'วงการพากย์ไทย' ไม่หยุดนิ่ง พัฒนาตนไม่ต่างกับงานแสดง

(25 มิ.ย.67) จากประเด็นดรามาในโลกโซเชียลขณะนี้ ทำเอาชาวเน็ตถกกันสนั่นจนเกิดแฮชแท็ก ‘#ไม่ควรดูพากย์ไทย’ โดยย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 67 เพจเฟซบุ๊กวิจารณ์ภาพยนตร์หนึ่ง ได้ออกมาโพสต์ข้อความระบุว่า “Ultraman Rising ควรดูเสียง Eng หรือ JP?” หรือแปลได้ว่า ‘Ultraman Rising ควรดูเสียงอังกฤษ หรือ เสียงญี่ปุ่น?’ 

ซึ่งในคอมเมนต์ก็มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันหลากหลายว่าควรฟังเสียงต้นฉบับ หรือ เสียงพากย์ ท่ามกลางคอมเมนต์ จนนำไปสู่ดรามา #ไม่ควรดูพากย์ไทย

ล่าสุด ดรามา #ไม่ควรดูพากย์ไทย ยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง จนสร้างความไม่พอใจให้กับนักพากย์ไทย และเหล่าคนชอบดูภาพยนตร์พากย์ไทย ทางเพจดังกล่าวจึงได้ออกมาโพสต์อีกครั้งว่า “มีอินบ็อกซ์แจ้งว่า คนในวงการนักพากย์ไทย ไม่พอใจในคอมเมนต์ที่บอกว่า #ไม่ควรดูพากย์ไทย”

“จึงอยากจะพูดอย่างเปิดอกว่า #ผมไม่มีปัญหาอะไรกับนักพากย์ไทย #ไม่มีปัญหาอะไรคนดูพากย์ไทย”

พร้อมเสริมว่า “แต่ถ้าถามว่า หนังฝรั่ง ญี่ปุ่น หรือหนังที่ไม่ได้พูดภาษาไทย ก็ยังคงต้องเน้นย้ำว่า #ไม่ควรดูพากย์ไทย ด้วยเหตุผล ภาพยนตร์ เสียงเองก็เป็นปัจจัยสำคัญ เช่นเดียวกับภาพ การได้รับฟังเสียงของต้นฉบับ ของนักแสดงที่เล่น ที่ผู้กำกับเลือกคัตนั้น คือการเสพงานแบบที่เต็มอรรถรสที่สุด”

“เช่นเดียวกับหนังไทย ต่อให้ได้ วาคีน ฟีนิกซ์ มาพากย์เสียงอังกฤษ ผมก็จะบอกว่าให้ดูเสียงต้นฉบับ #ไม่ควรดูพากย์อังกฤษ เพราะผมยึดถือว่าการดูในสิ่งที่ผู้สร้างต้องการนั้น คือที่สุด”

ล่าสุด ธนพัฒน์ วงษ์วิสิทธิ์ นักวิจารณ์ภาพยนตร์ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ‘Thanapat Wongwisit’ เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า “เห็นคนรอบตัวแชร์ #ไม่ควรดูพากย์ไทย จากเพจหนังเพจหนึ่ง พอเห็นแชร์มาก ๆ ก็รู้สึกอดคันปากไม่ได้จนต้องพิมพ์”

“ส่วนตัวในฐานะเป็นคนดูหนัง ถามว่า #พากย์ไทย มีความจำเป็นต้องฟังหรือไม่ ? เลยขอบันทึกคำตอบสำหรับตนเองก่อน”

พร้อมระบุเพิ่มเติมว่า…

1.การข้ามกำแพงทางด้านภาษา
ส่วนหนึ่งของการเกิดพากย์ไทยช่วงเวลาดังกล่าวมาจากช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่าง หนังเงียบอยู่ช่วงขาลง กับ หนังเสียงเข้ามาในสยาม

ตอนนั้นทางเจ้าของโรงภาพยนตร์พัฒนากรประสบปัญหาคนดูหนังลดน้อยลง นาย ต่วน ยาวะประภาษ ซึ่งตอนนั้นเป็นบรรณาธิการหนังสือภาพยนตร์รายเดือนในชื่อ ‘ภาพยนตร์สยาม’ (ซึ่งเป็นหนังสือภาพยนตร์รายเดือนเล่มแรกของสยาม)และเป็นหนังสือของเครือโรงหนัง

นายต่วนเคยเรียนที่ญี่ปุ่นและเห็นการพากย์ของญี่ปุ่นมาก่อน เขาจึงเสนอให้มีการพากย์เสียงทับหนังขึ้นมา ทางโรงหนังไม่มีทางเลือกอื่นจนต้องอนุญาตให้ลอง นายต่วนจัดการด้วยการเตรียมบทพากย์ เขาใส่นุ่งผ้าม่วง สวมเสื้อราชปะแตน ยืนบนเวทีข้างหน้าจอ ในมือมีไฟส่องบท 1 ดวงและโทรโข่ง 1 ตัว และเริ่มบรรยายบทพูดและบทสนทนาขึ้น

ทั้งนี้ยังรวมถึงการทำเสียงประกอบเองด้วย ถึงแม้นายต่วนจะไม่ใช่นักแสดง เสียงแข็งไร้อารมณ์ แต่ด้วยความแปลก เสียงตอบรับของคนไทยต่อการพากย์ก็ตอบสนองเป็นอย่างดี (การพากย์หนังเงียบญี่ปุ่นสามารถดูได้จาก Talking The Pictures หนังผู้กำกับ Shall We Dance)

สาเหตุที่ตอบรับเป็นอย่างดีมาจากภาพยนตร์เงียบในช่วงเวลาดังกล่าว เสียงในหนังที่เข้ามาในยุคแรกมีการพูดภาษาต่างประเทศจึงฟังไม่รู้เรื่องจนต้องมีการแปลเป็นบทขึ้นมา การกระทำของนายต่วนจึงเป็นปรากฎการณ์ต้นสายการพากย์หนังในไทย

ต่อมาในปี 2470 นาย สิน สีบุญเรือง (ทิดเขียว) เพื่อนนายต่วนและญาติโรงหนังดังกล่าว เห็นโอกาสในการทดลองพากย์เสียงไทย ด้วยความสามารถด้านการพากย์โขนสดก็ดัดแปลงใช้เป็นพากย์หนังสด ด้วยความที่ตนพากย์คนเดียวจึงรับบททุกวัย ทุกเพศ สัตว์ จนถึงเสียงประกอบ เช่น เสียงปืน เป็นต้น (จะบทเด็กชาย เด็กหญิง คนแก่ ไก่ หมา ก็เหมาหมด) ผลตอบรับกลายเป็นกระแสบวกอย่างล้นหลาม

ถัดมาในช่วงหลังสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 การพากย์ก็เกิดเป็นยุคทองอีกครั้งโดยนำโมเดลการพากย์แบบ นายสิน มาประกอบการพากย์ กลายเป็นยุคทองของหนังฟิล์ม 16 มม. ที่เป็นช่วงการฉายหนังกลางแปลงและนักพากย์เร่ (รวมถึงฉายหนังแบบรถขายยา ) ซึ่งค่านิยมของการพากย์ก็ยังเป็นที่นิยมและมีชื่อไม่แพ้ดาราในหนัง ซึ่งถ้าใครนึกไม่ออกให้นึกถึงหนังไทย ‘มนต์รักนักพากย์’ ฉะนั้นการพากย์ไทยจึงเป็นการข้ามกำแพงภาษาให้เข้าใจหนังมากขึ้นตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว

2.ลดช่องว่างระหว่างชนชั้น
จะเห็นได้ว่าการพากย์ไทยแรกเดิมมาจากสื่อสารที่เข้าถึงง่ายและสนุกกับลีลาของผู้พากย์ อีกทั้งการรับจ้างพากย์หนังกลางแปลง มันต้องการพื้นที่ใหญ่ในการฉาย เช่น วัด หรือ งานมงคล เป็นต้น

มันจึงเป็นการสร้างคอมมูนิตี้สำหรับชาวบ้านที่มานั่งดู (ซึ่งส่วนมากจะเป็นคนชนชั้นล่างและกลาง) ฉะนั้นการพากย์ไทยจึงเป็นการสร้างพื้นที่ประกอบการเรียกรายได้แก่ชุมชน (แม้ในระยะสั้น) อีกด้วย หากมองที่ช่องว่างระหว่างชนชั้น การพากย์เป็นการช่วยย่อยความเข้าใจของคนดูต่องานศิลปะ เช่น ภาพยนตร์ และ แอนิเมชัน ให้ดูเข้าใกล้ง่ายและแตะถึง

3.การพากย์ไทยเป็นการย่อยสารให้ง่าย เหมาะกับทุกวัย
ผู้เขียนมั่นใจว่าคนไทยส่วนใหญ่เติบโตมากับงานพากย์ไทยจากแอนิเมชั่น ( ดิสนีย์ ) หรืออนิเมะญี่ปุ่น เป็นสำคัญ ซึ่งไม่ว่ากี่รุ่นก็ต้องผ่านมือบ้างเนื่องจากความง่ายในการสื่อสารแบบย่อยง่าย (โดยเฉพาะภาษาที่สองอย่างภาษาอังกฤษ) เพื่อให้เด็กเข้าถึงงานได้ง่ายเนื่องจากเป็นการช่วยลดระยะจากตัวอักษรให้มองภาพได้มากขึ้น

อีกส่วนคือคนไทยมีพฤติกรรมทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกัน เหมือนกับแม่บ้านช่วงยุคละครสบู่ยุค 50 พากย์ไทยจึงเป็นโอกาสในการลดการมองจากภาพ ถึงทำกิจกรรมได้ด้วยก็สามารถรู้เนื้อหาของสิ่งที่ดูได้ หรือย่อยสิ่งที่ยากเพื่อสื่อสารให้ง่ายขึ้น เช่น รายการแนววิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เป็นต้น หรือช่วยบุคคลที่นึกภาพไม่ออกให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น (เช่น คนตาบอด หรือ สายตาสั้น)

ทั้งนี้จากทั้งหมด 3 อย่างก็พึงถึงประโยชน์ของงานพากย์ไทยได้ทั้งเชิงอรรถรสและความสำคัญของงานศิลปะ

ในระยะหลังของทีมพากย์อินทรี และ พันธมิตร (ซึ่งจะคุ้นเคยผ่านงานฝรั่งและเอเชีย ผ่านมีเดียตั้งแต่วิดีโอเทป ซีดี ดีวีดี ช่องทีวี และเคเบิล) แม้ทีมพากย์จะแตกตัวจากกลุ่มเป็นอิสระ แต่การสื่อสารเท่าต้นฉบับและความสนุกของการดูก็ยังคงผ่านสายตาของคนดูชาวไทยไม่มากก็น้อย

ยิ่งนับวันมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากการปั้นตัวละครเป็นการแสดงมากขึ้น เพื่อยกระดับให้เท่าสากล การพากย์จึงเป็นงานเชิงศิลปะผ่านการใช้เสียงที่มีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนหน้าตาไม่แพ้การแสดงผ่านร่างกายเลย

ถึงแม้เรื่องอรรถรสส่วนบุคคลจะเป็นเรื่องเชิงปัจเจก เป็นเรื่องปกติที่มนุษย์ชอบต้องมีคนไม่ชอบบ้างด้วยเหตุผลส่วนตัว แต่ในแง่ความเป็น ‘สื่อ’ โดยเฉพาะงานศิลปะ มันต้องเปิดใจให้กว้างเพื่อตอบรับคำวิจารณ์หรือวาดลวดลายทางอารมณ์อย่างเข้าอกเข้าใจ

ฉะนั้นการเข้าใจความหลากหลายจึงสำคัญมาก โดยเฉพาะคำว่า ‘ไม่ควร’ นอกจากเป็นการตัดตัวเลือกในเชิง ‘ติ’ มันยังส่อความโดยนัยถึงความ ‘ไม่งาม’ ด้วย ทางเพจดังกล่าวจึงควรใช้คำที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่ #ไม่ควรดูพากย์ไทย (ถ้าเป็นผู้เขียนจะใช้คำว่า ‘ไม่สันทัด’ เพื่อลดเรื่องการแนะนำ และ เปิดโอกาสให้คนดูได้เลือกมากขึ้น)

ฉะนั้นลองปิดตาสักข้าง หรือตีลังกาดูอีกสักรอบ เผื่อเห็นความงามของศิลปะที่เรียกว่า ‘เสียง’ เผื่อจะเห็นสุนทรียะของการฟังเสียงไทยมากขึ้นนะครับ พร้อมติดแฮชแท็ก #เป็นกำลังใจให้นักพากย์ไทย ครับ

สวนนงนุชพัทยาต้อนรับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ประจำประเทศไทยพร้อมคณะ ร่วมกันปลูกต้นไม้และเข้าเยี่ยมชม

วันนี้ นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ต้อนรับนายนอเศเรดดีน ไฮดารี ( H.E. Mr. Nassereddin Heidari) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านประจำประเทศไทย เยี่ยมชมสวนนงนุชพัทยาพร้อมปลูกพันธุ์ไม้เพื่อการอนุรักษ์ ณ สวนรุกขชาติ เชิงเขาบันไดกฤษ

โอกาสนี้ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ประจำประเทศไทย ได้ปลูกต้นกระท้อนซึ่งเป็นไม้ผลเขตร้อนยืนต้น ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในบริเวณ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผลกระท้อนมีสีสะดุดตา เป็นต้นไม้ที่ทนแล้งได้ดี หลังจากนั้นได้เยี่ยมชมสวนสวย บนเนื้อที่ 1,700 ไร่ หุบไดโนเสาร์ และเนริส์เชอร์รี่พันธุ์ไม้ต่างๆ ที่ทางสวนนงนุชพัทยาได้เก็บรวบรวมมากถึง18,000 ชนิด 

ทั้งนี้ทางสวนนงนุชพัทยาได้ขออนุญาติจากกรมป่าไม้เพื่อทำสวนรุกขชาติ ให้แก่ประเทศไทย จำนวนกว่า 43 ไร่ ซึ่งดำเนินโครงการรวบรวมพันธุ์ไม้และปลูกไม้ยืนต้นชนิดต่างๆที่มีมูลค่าและหายากจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งค่าใช้จ่ายและค่าดำเนินการในการรวบรวมและการปลูกพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ทั้งหมดอยู่ภายใต้การดูแลบำรุงรักษาโดยสวนนงนุชพัทยา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top