‘นักวิจารณ์หนัง’ แนะ!! 'เพจดัง' ควรใช้คำอื่นมากกว่า #ไม่ควรดูพากย์ไทย ชี้!! ทุกวันนี้ 'วงการพากย์ไทย' ไม่หยุดนิ่ง พัฒนาตนไม่ต่างกับงานแสดง

(25 มิ.ย.67) จากประเด็นดรามาในโลกโซเชียลขณะนี้ ทำเอาชาวเน็ตถกกันสนั่นจนเกิดแฮชแท็ก ‘#ไม่ควรดูพากย์ไทย’ โดยย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 67 เพจเฟซบุ๊กวิจารณ์ภาพยนตร์หนึ่ง ได้ออกมาโพสต์ข้อความระบุว่า “Ultraman Rising ควรดูเสียง Eng หรือ JP?” หรือแปลได้ว่า ‘Ultraman Rising ควรดูเสียงอังกฤษ หรือ เสียงญี่ปุ่น?’ 

ซึ่งในคอมเมนต์ก็มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันหลากหลายว่าควรฟังเสียงต้นฉบับ หรือ เสียงพากย์ ท่ามกลางคอมเมนต์ จนนำไปสู่ดรามา #ไม่ควรดูพากย์ไทย

ล่าสุด ดรามา #ไม่ควรดูพากย์ไทย ยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง จนสร้างความไม่พอใจให้กับนักพากย์ไทย และเหล่าคนชอบดูภาพยนตร์พากย์ไทย ทางเพจดังกล่าวจึงได้ออกมาโพสต์อีกครั้งว่า “มีอินบ็อกซ์แจ้งว่า คนในวงการนักพากย์ไทย ไม่พอใจในคอมเมนต์ที่บอกว่า #ไม่ควรดูพากย์ไทย”

“จึงอยากจะพูดอย่างเปิดอกว่า #ผมไม่มีปัญหาอะไรกับนักพากย์ไทย #ไม่มีปัญหาอะไรคนดูพากย์ไทย”

พร้อมเสริมว่า “แต่ถ้าถามว่า หนังฝรั่ง ญี่ปุ่น หรือหนังที่ไม่ได้พูดภาษาไทย ก็ยังคงต้องเน้นย้ำว่า #ไม่ควรดูพากย์ไทย ด้วยเหตุผล ภาพยนตร์ เสียงเองก็เป็นปัจจัยสำคัญ เช่นเดียวกับภาพ การได้รับฟังเสียงของต้นฉบับ ของนักแสดงที่เล่น ที่ผู้กำกับเลือกคัตนั้น คือการเสพงานแบบที่เต็มอรรถรสที่สุด”

“เช่นเดียวกับหนังไทย ต่อให้ได้ วาคีน ฟีนิกซ์ มาพากย์เสียงอังกฤษ ผมก็จะบอกว่าให้ดูเสียงต้นฉบับ #ไม่ควรดูพากย์อังกฤษ เพราะผมยึดถือว่าการดูในสิ่งที่ผู้สร้างต้องการนั้น คือที่สุด”

ล่าสุด ธนพัฒน์ วงษ์วิสิทธิ์ นักวิจารณ์ภาพยนตร์ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ‘Thanapat Wongwisit’ เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า “เห็นคนรอบตัวแชร์ #ไม่ควรดูพากย์ไทย จากเพจหนังเพจหนึ่ง พอเห็นแชร์มาก ๆ ก็รู้สึกอดคันปากไม่ได้จนต้องพิมพ์”

“ส่วนตัวในฐานะเป็นคนดูหนัง ถามว่า #พากย์ไทย มีความจำเป็นต้องฟังหรือไม่ ? เลยขอบันทึกคำตอบสำหรับตนเองก่อน”

พร้อมระบุเพิ่มเติมว่า…

1.การข้ามกำแพงทางด้านภาษา
ส่วนหนึ่งของการเกิดพากย์ไทยช่วงเวลาดังกล่าวมาจากช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่าง หนังเงียบอยู่ช่วงขาลง กับ หนังเสียงเข้ามาในสยาม

ตอนนั้นทางเจ้าของโรงภาพยนตร์พัฒนากรประสบปัญหาคนดูหนังลดน้อยลง นาย ต่วน ยาวะประภาษ ซึ่งตอนนั้นเป็นบรรณาธิการหนังสือภาพยนตร์รายเดือนในชื่อ ‘ภาพยนตร์สยาม’ (ซึ่งเป็นหนังสือภาพยนตร์รายเดือนเล่มแรกของสยาม)และเป็นหนังสือของเครือโรงหนัง

นายต่วนเคยเรียนที่ญี่ปุ่นและเห็นการพากย์ของญี่ปุ่นมาก่อน เขาจึงเสนอให้มีการพากย์เสียงทับหนังขึ้นมา ทางโรงหนังไม่มีทางเลือกอื่นจนต้องอนุญาตให้ลอง นายต่วนจัดการด้วยการเตรียมบทพากย์ เขาใส่นุ่งผ้าม่วง สวมเสื้อราชปะแตน ยืนบนเวทีข้างหน้าจอ ในมือมีไฟส่องบท 1 ดวงและโทรโข่ง 1 ตัว และเริ่มบรรยายบทพูดและบทสนทนาขึ้น

ทั้งนี้ยังรวมถึงการทำเสียงประกอบเองด้วย ถึงแม้นายต่วนจะไม่ใช่นักแสดง เสียงแข็งไร้อารมณ์ แต่ด้วยความแปลก เสียงตอบรับของคนไทยต่อการพากย์ก็ตอบสนองเป็นอย่างดี (การพากย์หนังเงียบญี่ปุ่นสามารถดูได้จาก Talking The Pictures หนังผู้กำกับ Shall We Dance)

สาเหตุที่ตอบรับเป็นอย่างดีมาจากภาพยนตร์เงียบในช่วงเวลาดังกล่าว เสียงในหนังที่เข้ามาในยุคแรกมีการพูดภาษาต่างประเทศจึงฟังไม่รู้เรื่องจนต้องมีการแปลเป็นบทขึ้นมา การกระทำของนายต่วนจึงเป็นปรากฎการณ์ต้นสายการพากย์หนังในไทย

ต่อมาในปี 2470 นาย สิน สีบุญเรือง (ทิดเขียว) เพื่อนนายต่วนและญาติโรงหนังดังกล่าว เห็นโอกาสในการทดลองพากย์เสียงไทย ด้วยความสามารถด้านการพากย์โขนสดก็ดัดแปลงใช้เป็นพากย์หนังสด ด้วยความที่ตนพากย์คนเดียวจึงรับบททุกวัย ทุกเพศ สัตว์ จนถึงเสียงประกอบ เช่น เสียงปืน เป็นต้น (จะบทเด็กชาย เด็กหญิง คนแก่ ไก่ หมา ก็เหมาหมด) ผลตอบรับกลายเป็นกระแสบวกอย่างล้นหลาม

ถัดมาในช่วงหลังสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 การพากย์ก็เกิดเป็นยุคทองอีกครั้งโดยนำโมเดลการพากย์แบบ นายสิน มาประกอบการพากย์ กลายเป็นยุคทองของหนังฟิล์ม 16 มม. ที่เป็นช่วงการฉายหนังกลางแปลงและนักพากย์เร่ (รวมถึงฉายหนังแบบรถขายยา ) ซึ่งค่านิยมของการพากย์ก็ยังเป็นที่นิยมและมีชื่อไม่แพ้ดาราในหนัง ซึ่งถ้าใครนึกไม่ออกให้นึกถึงหนังไทย ‘มนต์รักนักพากย์’ ฉะนั้นการพากย์ไทยจึงเป็นการข้ามกำแพงภาษาให้เข้าใจหนังมากขึ้นตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว

2.ลดช่องว่างระหว่างชนชั้น
จะเห็นได้ว่าการพากย์ไทยแรกเดิมมาจากสื่อสารที่เข้าถึงง่ายและสนุกกับลีลาของผู้พากย์ อีกทั้งการรับจ้างพากย์หนังกลางแปลง มันต้องการพื้นที่ใหญ่ในการฉาย เช่น วัด หรือ งานมงคล เป็นต้น

มันจึงเป็นการสร้างคอมมูนิตี้สำหรับชาวบ้านที่มานั่งดู (ซึ่งส่วนมากจะเป็นคนชนชั้นล่างและกลาง) ฉะนั้นการพากย์ไทยจึงเป็นการสร้างพื้นที่ประกอบการเรียกรายได้แก่ชุมชน (แม้ในระยะสั้น) อีกด้วย หากมองที่ช่องว่างระหว่างชนชั้น การพากย์เป็นการช่วยย่อยความเข้าใจของคนดูต่องานศิลปะ เช่น ภาพยนตร์ และ แอนิเมชัน ให้ดูเข้าใกล้ง่ายและแตะถึง

3.การพากย์ไทยเป็นการย่อยสารให้ง่าย เหมาะกับทุกวัย
ผู้เขียนมั่นใจว่าคนไทยส่วนใหญ่เติบโตมากับงานพากย์ไทยจากแอนิเมชั่น ( ดิสนีย์ ) หรืออนิเมะญี่ปุ่น เป็นสำคัญ ซึ่งไม่ว่ากี่รุ่นก็ต้องผ่านมือบ้างเนื่องจากความง่ายในการสื่อสารแบบย่อยง่าย (โดยเฉพาะภาษาที่สองอย่างภาษาอังกฤษ) เพื่อให้เด็กเข้าถึงงานได้ง่ายเนื่องจากเป็นการช่วยลดระยะจากตัวอักษรให้มองภาพได้มากขึ้น

อีกส่วนคือคนไทยมีพฤติกรรมทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกัน เหมือนกับแม่บ้านช่วงยุคละครสบู่ยุค 50 พากย์ไทยจึงเป็นโอกาสในการลดการมองจากภาพ ถึงทำกิจกรรมได้ด้วยก็สามารถรู้เนื้อหาของสิ่งที่ดูได้ หรือย่อยสิ่งที่ยากเพื่อสื่อสารให้ง่ายขึ้น เช่น รายการแนววิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เป็นต้น หรือช่วยบุคคลที่นึกภาพไม่ออกให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น (เช่น คนตาบอด หรือ สายตาสั้น)

ทั้งนี้จากทั้งหมด 3 อย่างก็พึงถึงประโยชน์ของงานพากย์ไทยได้ทั้งเชิงอรรถรสและความสำคัญของงานศิลปะ

ในระยะหลังของทีมพากย์อินทรี และ พันธมิตร (ซึ่งจะคุ้นเคยผ่านงานฝรั่งและเอเชีย ผ่านมีเดียตั้งแต่วิดีโอเทป ซีดี ดีวีดี ช่องทีวี และเคเบิล) แม้ทีมพากย์จะแตกตัวจากกลุ่มเป็นอิสระ แต่การสื่อสารเท่าต้นฉบับและความสนุกของการดูก็ยังคงผ่านสายตาของคนดูชาวไทยไม่มากก็น้อย

ยิ่งนับวันมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากการปั้นตัวละครเป็นการแสดงมากขึ้น เพื่อยกระดับให้เท่าสากล การพากย์จึงเป็นงานเชิงศิลปะผ่านการใช้เสียงที่มีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนหน้าตาไม่แพ้การแสดงผ่านร่างกายเลย

ถึงแม้เรื่องอรรถรสส่วนบุคคลจะเป็นเรื่องเชิงปัจเจก เป็นเรื่องปกติที่มนุษย์ชอบต้องมีคนไม่ชอบบ้างด้วยเหตุผลส่วนตัว แต่ในแง่ความเป็น ‘สื่อ’ โดยเฉพาะงานศิลปะ มันต้องเปิดใจให้กว้างเพื่อตอบรับคำวิจารณ์หรือวาดลวดลายทางอารมณ์อย่างเข้าอกเข้าใจ

ฉะนั้นการเข้าใจความหลากหลายจึงสำคัญมาก โดยเฉพาะคำว่า ‘ไม่ควร’ นอกจากเป็นการตัดตัวเลือกในเชิง ‘ติ’ มันยังส่อความโดยนัยถึงความ ‘ไม่งาม’ ด้วย ทางเพจดังกล่าวจึงควรใช้คำที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่ #ไม่ควรดูพากย์ไทย (ถ้าเป็นผู้เขียนจะใช้คำว่า ‘ไม่สันทัด’ เพื่อลดเรื่องการแนะนำ และ เปิดโอกาสให้คนดูได้เลือกมากขึ้น)

ฉะนั้นลองปิดตาสักข้าง หรือตีลังกาดูอีกสักรอบ เผื่อเห็นความงามของศิลปะที่เรียกว่า ‘เสียง’ เผื่อจะเห็นสุนทรียะของการฟังเสียงไทยมากขึ้นนะครับ พร้อมติดแฮชแท็ก #เป็นกำลังใจให้นักพากย์ไทย ครับ


ที่มา : Khaosod