Saturday, 3 May 2025
TheStatesTimes

‘อาจารย์อุ๋ย’ เตือน!! ‘ภูมิธรรม’ ถอนกำลังจาก ‘ตาเมือนธม’ ทำไทยเสี่ยงเสียดินแดนย้ำ!! เป็นของไทย 100 % ตามสนธิสัญญา ‘ไทย - ฝรั่งเศส’ พ.ศ.2447 - 2450

(3 พ.ค. 68) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายระหว่างประเทศ และอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก แสดงความเห็นว่า …

ผมเห็นข่าวคุณภูมิธรรมสั่งทหารไทยให้ถอยร่นออกจากปราสาทตาเมือนธม แล้วก็หวั่นใจว่าการกระทำเช่นนี้อาจเข้าข่ายเป็นการจงใจสละการครอบครองดินแดนซึ่งไทยมีอำนาจอธิปไตยอย่างชัดแจ้งตามสนธิสัญญา ไทย-ฝรั่งเศส ซึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงทำกับฝรั่งเศสซึ่งเป็นผู้มีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนกัมพูชาในช่วงปี พ.ศ. 2447-2450 ซึ่งกำหนดให้ใช้สันปันน้ำเป็นเขตแดน และชัดเจนว่า หากใช้สันปันน้ำเป็นเขตแดน ปราสาทตาเมือนธมก็อยู่ในเขตแดนอธิปไตยของไทย ส่วนเขตแดนตาม Google map นั้น ยังไม่เป็นที่ยอมรับให้ใช้เป็นหลักฐานในทางกฎหมายระหว่างประเทศได้  

นอกจากนี้ ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ การจะมีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนใดดินแดนหนึ่งโดยการครอบครองต้องประกอบด้วยหลัก 2 ประการ คือ 

1. จะต้องมีการควบคุมดินแดนอย่างมีประสิทธิภาพ หมายถึง  จะต้องควบคุมดินแดนนั้นอย่างเปิดเผยและมีความต่อเนื่องโดยมีเจตนาที่จะมีอำนาจอธิปไตย และมีการกระทำในลักษณะของการใช้อำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนนั้น และ 

2. จะต้องมีเจตจำนงที่จะใช้อำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนนั้นด้วย กล่าวคือ การครอบครองดินแดนของรัฐจะต้องเป็นไปเพื่อมีอำนาจอธิปไตย และใช้อำนาจอธิปไตยนั้นหรือดินแดนที่ครอบครอง โดยอาจจะพิจารณาที่การแสดงความเป็นเจ้าของดินแดนนั้นนั่นเอง

พูดง่าย ๆ ก็คือ แม้ยึดตามหลักสันปันน้ำแล้ว ปราสาทตาเมือนธมอยู่ในเขตแดนใดแน่นอน แต่หากรัฐไทยไม่ได้ทำการควบคุมพื้นที่บริเวณดังกล่าวโดยแสดงความเป็นเจ้าของอย่างจริงจัง แล้วมีทหารหรือแม้แต่พลเรือนกัมพูชามาทำการแสดงสัญลักษณ์ เช่น การร้องเพลงชาติกัมพูชา หรือถือธงกัมพูชาบ่อย ๆ พอวันเวลาผ่านไป นานวันเข้า กัมพูชาอาจได้ดินแดนมาโดยการครอบครองปรปักษ์ (Acquisitive Prescription) ซึ่งมีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ จะต้องมีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ 1. จะต้องเป็นการครอบครองโดยสงบ  ต่อเนื่องกัน 2. จะต้องมีเจตนาเป็นเจ้าของอธิปไตยเหนือดินแดนนั้น 3. จะต้องเป็นการครอบครองที่เปิดเผยต่อสาธารณะ 4. จะต้องเป็นการครอบครองที่คงทนในระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควรที่จะเห็นได้ว่ามีการครอบครองปรปักษ์มาอย่างต่อเนื่องคงทน

ดังนั้นสิ่งที่ไทยต้องทำโดยด่วนคือส่งกองกำลังทหารเข้าไปตรึงพื้นที่บริเวณปราสาทตาเมือนธมทั้งหมด เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของพื้นที่ และมีอธิปไตยเหนือพื้นที่ดังกล่าวโดยสมบูรณ์ มิเช่นนั้น ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบอาจต้องโทษถึงประหารชีวิต ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 119 ฐานทำให้ไทยเสียดินแดนครับ ด้วยความปรารถนาดี

บทเรียนราคาแพง จากไฟดับ ในทวีปยุโรป ไม่มีแสง ไร้สัญญาณอินเทอร์เน็ต ‘วิทยุ’ ที่เคยถูกมองว่าล้าสมัย!! กลับกลายเป็น ‘สิ่งจำเป็นในยามวิกฤต’

(3 พ.ค. 68) ในค่ำคืนที่ไฟฟ้าทั้งระบบดับลงพร้อมกันทั่วกรุงมาดริดและหลายเมืองใหญ่ในสเปนและโปรตุเกส—ไม่มีแสง ไม่มีสัญญาณ ไม่มีอินเทอร์เน็ต—สิ่งที่กลับถูกถามหามากที่สุดไม่ใช่โทรศัพท์รุ่นใหม่ ไม่ใช่แท็บเล็ต แต่คือ วิทยุ

“ยังมีวิทยุเหลือไหม?” เป็นคำถามที่ร้านขายของชำเล็ก ๆ ในมาดริดได้ยินถี่ที่สุดในช่วงไฟดับ ผู้คนพากันต่อคิวถามหาไฟฉาย แบตเตอรี่ เทียนไข และวิทยุทรานซิสเตอร์ ราวกับย้อนเวลากลับไปในยุคก่อนสมาร์ตโฟน

เรเยส พาแตร์นา แม่ลูกสองที่กำลังพาลูกกลับบ้านบอกว่า “ไม่มีอะไรใช้ได้เลย โทรศัพท์ก็เงียบ เรายังมีของใช้เด็กนิดหน่อย แต่ไม่รู้จะหาข่าวจากไหน เรามีเตาแคมป์ก็จริง แต่ไม่แน่ใจว่ากระป๋องแก๊สจะยังเหลือไหม”

บนถนนสายหนึ่งในย่านชุมชน คนขับรถจอดรถ เปิดกระจกรถ แล้วเปิดวิทยุดัง ๆ ให้คนอื่นมารวมตัวฟังข่าวด้วยกัน บางคนเอาเก้าอี้มานั่งฟัง สร้าง 'ชุมชนคลื่นเสียง' ขึ้นท่ามกลางความมืดมิด

มาเรีย รามิเรซ นักข่าวจาก elDiario.es ซึ่งรายงานเหตุการณ์นี้ กล่าวว่า “สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดไม่ใช่แค่การฟื้นฟูไฟฟ้าใน 12 ชั่วโมง แต่คือความสงบและสามัญสำนึกของประชาชน—กับวิทยุเป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่ออีกครั้ง”

แต่ไม่ใช่ทุกคนจะอยู่ในภาวะสงบนิ่งเช่นนั้น แท็กซี่ตะโกนว่า “รับเฉพาะเงินสด!” และมีคนบางกลุ่มแซงคิวหญิงตั้งครรภ์ขึ้นรถ บ่งชี้ว่าเมื่อระบบล่ม ความเป็นระเบียบก็อาจล่มสลายตาม

มานูเอล ปาสเตอร์ วัย 72 ปี ส่ายหัวพลางลากรถเข็นใส่อาหารกระป๋องกลับบ้าน “เราหวังว่าทุกอย่างจะกลับมาภายในวันสองวัน ถ้าเกินกว่านั้นคนจะเริ่มตื่นตระหนก แล้วจะเกิดเรื่องเหมือนตอนโควิดอีก”

เหตุการณ์นี้ตอกย้ำข้อเท็จจริงอันเจ็บปวดว่า แม้ในโลกที่ก้าวหน้าที่สุด หากไร้ไฟฟ้าเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทุกสิ่งอาจหยุดชะงัก และสิ่งที่คนเคยหัวเราะเยาะว่า "ล้าสมัย" อย่างวิทยุ กลับกลายเป็นของมีค่าเหนือเทคโนโลยีใด ๆ

มันไม่ใช่แค่เครื่องส่งสัญญาณเสียง แต่มันคือสื่อกลางของความหวัง ความมั่นใจ และการเชื่อมโยงมนุษย์ในยามที่โลกดิจิทัลพังลง

ถึงเวลาหรือยังที่เราจะกลับไปมองสิ่งพื้นฐานด้วยความเคารพ ไม่ใช่เหยียดว่า “เชย”

เพราะในวันที่โลกไร้แสง สิ่งเดียวที่อาจยังพาเรากลับมาหากันได้ คือเสียงจากวิทยุเครื่องเก่า

3 วันแห่งสันติภาพ หรือ 3 วันแห่งกลยุทธ์ ปูติน ประกาศหยุดยิงชั่วคราวในสมรภูมิยูเครน วิเคราะห์!! วัตถุประสงค์การหยุดยิงของรัสเซียในช่วง ‘วันแห่งชัยชนะ’ ปี ค.ศ. 2025

เมื่อวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 2025 ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินประกาศหยุดยิงชั่วคราวในสมรภูมิยูเครนระหว่างวันที่ 8 ถึง 11 พฤษภาคม เพื่อรำลึกถึงวาระครบรอบ 80 ปีแห่งชัยชนะของสหภาพโซเวียตเหนือเยอรมนีนาซีในสงครามโลกครั้งที่สอง การหยุดยิงดังกล่าวมีนัยทางการเมืองที่สำคัญและชวนให้ตั้งคำถามว่า “นี่คือสัญญาณแห่งสันติภาพที่แท้จริง หรือเป็นเพียงช่วงเวลาพักรบเพื่อวัตถุประสงค์ทางยุทธศาสตร์?” แม้จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการจากรัสเซียว่าเป็น “การเคารพต่อประวัติศาสตร์และความเสียสละของผู้คน” ฝ่ายยูเครนกลับแสดงความระแวง โดยมองว่าหยุดยิงดังกล่าวอาจถูกใช้เป็นกลยุทธ์ในการจัดทัพใหม่ หยั่งเชิง หรือแม้แต่ขยายอิทธิพลในเชิงสัญลักษณ์ต่อสายตานานาชาติ การหยุดยิงที่กินระยะเวลาเพียงสามวันจึงไม่ใช่เพียงการ “ลดเสียงปืน” ชั่วคราว หากแต่เป็นจุดตัดของประวัติศาสตร์ การเมือง และยุทธศาสตร์—ที่ซึ่งอดีตถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือปั้นแต่งปัจจุบัน เพื่อเป้าหมายแห่งอนาคตที่อาจไม่จำเป็นต้องหมายถึงสันติภาพ บทความนี้จะวิเคราะห์การหยุดยิงดังกล่าวผ่านมุมมองของภูมิรัฐศาสตร์เชิงประวัติศาสตร์ (historical geopolitics) และ การเมืองของความทรงจำ (politics of memory) โดยพิจารณาความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังสัญลักษณ์อันยิ่งใหญ่อย่าง “Victory Day” และพฤติกรรมของรัฐที่มีผลต่อทั้งสนามรบและสนามการทูตในระดับโลก

“Victory Day” หรือ День Победы ในวันที่ 9 พฤษภาคม ไม่ได้เป็นเพียงวันหยุดราชการหรือการรำลึกถึงการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองเท่านั้น หากแต่เป็นหนึ่งใน “เสาหลัก” ของการประกอบสร้างอัตลักษณ์ชาติรัสเซียยุคใหม่ โดยเฉพาะในยุคของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินที่ใช้วันแห่งชัยชนะนี้เป็นเครื่องมือทางอุดมการณ์เพื่อย้ำภาพของรัสเซียในฐานะ “ผู้ปลดปล่อยยุโรปจากลัทธินาซี” และ “มหาอำนาจผู้เสียสละ”ในเวทีภายในประเทศ Victory Day กลายเป็นพิธีกรรมทางการเมืองที่ช่วยหล่อเลี้ยงความชอบธรรมของรัฐ ผ่านการจัดสวนสนามทางทหาร การเดินพาเหรด "ผู้ไม่ตาย" «Бессмертный полк» และสื่อสารถึงความต่อเนื่องของความยิ่งใหญ่จากอดีตสู่ปัจจุบัน ประชาชนได้รับการปลูกฝังให้ตระหนักถึงบทบาทของรัสเซียในประวัติศาสตร์โลก พร้อมกับเสริมสร้างความภูมิใจในชาติและ “ความรักต่อมาตุภูมิ” «патриотизм»  ซึ่งถูกยกขึ้นมาเป็นคุณค่าสูงสุดของพลเมืองรัสเซีย ในเวทีระหว่างประเทศ Victory Day ถูกใช้เป็น “ทุนทางสัญลักษณ์” ในการส่งสารทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะในบริบทของสงครามยูเครนการอ้างถึงชัยชนะเหนือฟาสซิสม์มักถูกใช้ในการเปรียบเทียบยูเครนหรือชาติตะวันตกว่าเป็น “ภัยคุกคามทางอุดมการณ์แบบเดียวกับในอดีต” สิ่งนี้ทำให้การเมืองของความทรงจำ (memory politics) กลายเป็นกลไกสำคัญที่รัสเซียใช้ในการสร้างกรอบการรับรู้ใหม่ ซึ่งผู้ฟังไม่ใช่เพียงประชาชนของตน แต่รวมถึงประชาคมระหว่างประเทศที่กำลังมองดูรัสเซียอย่างใกล้ชิด

นักวิชาการรัสเซียจำนวนมากให้ความสนใจต่อบทบาทของ Victory Day ในฐานะ "เครื่องจักรแห่งความทรงจำของชาติ" ที่รัฐใช้เพื่อควบคุมการตีความอดีต ตัวอย่างเช่น นิโคไล มิทโรฟานอฟ (Nikolai Mitrofanov) นักประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยรัฐมอสโกชี้ว่า "ชัยชนะในสงครามมหาบูรพาคือปัจจัยหลักที่หล่อหลอมภาพลักษณ์ความเป็นมหาอำนาจของรัสเซียหลังยุคโซเวียต" โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศกำลังเผชิญความท้าทายจากภายนอกขณะเดียวกัน นักรัฐศาสตร์สายภูมิรัฐศาสตร์อย่าง อันเดรย์ ซูซดาลเซฟ «Андрей Иванович Суздальцев» มองว่า Victory Day ไม่ได้เป็นเพียง “ความทรงจำร่วมของประชาชน” แต่เป็น “เครื่องมือของรัฐในการจัดเรียงลำดับศัตรู-มิตรใหม่” โดยเฉพาะในยุคสงครามยูเครน ที่ความทรงจำเกี่ยวกับชัยชนะถูกนำมาใช้เพื่อเปรียบเทียบยูเครนกับลัทธินาซีในอดีต นักคิดชาตินิยมคนสำคัญอย่างอเล็กซานเดอร์ 

ดูกิน (Alexander Dugin) ยังกล่าวไว้อย่างตรงไปตรงมาว่า "Victory Day เป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ทางการเมืองที่เชื่อมรัสเซียเข้ากับโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ของยุโรปและโลก" สำหรับดูกินการหยุดยิงในช่วงดังกล่าวจึงเป็น “พิธีกรรมของรัฐ” «государственный ритуал»  มากกว่าจะเป็นการเปิดทางสู่การเจรจาทางสันติ ด้วยเหตุนี้ บริบทของ Victory Day ในสายตานักวิชาการรัสเซียจึงมีความลึกและซับซ้อนมากกว่าการเฉลิมฉลองทั่วไป เพราะมันคือการแสดงออกของ “รัฐในฐานะผู้ควบคุมอดีต” (state as memory manager) และใช้สัญลักษณ์แห่งชัยชนะมาเป็นเครื่องมือกำหนดยุทธศาสตร์ในปัจจุบัน ดังนั้นการประกาศหยุดยิงในช่วง Victory Day ปี ค.ศ. 2025 จึงไม่อาจแยกขาดจากบริบทนี้ เพราะมันคือการใช้สัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์เพื่อห่อหุ้มพฤติกรรมทางยุทธศาสตร์ สันติภาพที่ถูกนำเสนอในครั้งนี้จึงมีความเป็น “พิธีกรรม” มากพอ ๆ กับความเป็น “นโยบาย”

แม้การประกาศหยุดยิงของรัสเซียในช่วงวันแห่งชัยชนะหรือ Victory Day ปี ค.ศ. 2025 จะถูกเสนอในนามของ “สันติภาพ” และ “เกียรติยศแห่งความทรงจำ” ฝ่ายยูเครนกลับปฏิเสธที่จะตอบรับหรือประกาศหยุดยิงตอบโดยอ้างเหตุผลหลักสองประการคือ 1) ความไม่ไว้วางใจในเจตนารมณ์ของรัสเซีย และ 2) ความกลัวต่อการใช้ช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อวัตถุประสงค์ทางยุทธศาสตร์ สำหรับยูเครน Victory Day ไม่ใช่สัญลักษณ์ของการปลดปล่อยหากแต่เป็นร่องรอยของอิทธิพลโซเวียตที่ยังหลงเหลืออยู่ในโครงสร้างอำนาจปัจจุบันของรัสเซีย ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีได้ปรับเปลี่ยนวันที่ระลึกชัยชนะให้ตรงกับวันที่ 8 พฤษภาคมตามแบบสากลและยกเลิกการจัดขบวนพาเหรดทางทหารเพื่อ “ตัดขาดจากวาทกรรมชัยชนะของมอสโก” จึงไม่น่าแปลกใจที่การหยุดยิงโดยใช้ Victory Day เป็นกรอบความชอบธรรมจะถูกมองว่าเป็นการ “ครอบงำเชิงสัญลักษณ์” มากกว่าจะเป็นการแสดงความจริงใจทางการทูต ในทางยุทธศาสตร์ยูเครนมีประสบการณ์ตรงจากช่วงปี ค.ศ. 2022–2023 ที่การหยุดยิงเฉพาะกิจในบางพื้นที่กลับกลายเป็นโอกาสให้กองทัพรัสเซียจัดแนวรบใหม่หรือเสริมกำลังอย่างเงียบ ๆ ตัวอย่างเช่นในช่วง “หยุดยิงคริสต์มาส” เดือนมกราคม ค.ศ. 2023 ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่ารัสเซียใช้ช่วงเวลาดังกล่าวในการเคลื่อนพลและเสริมเสบียงจึงเป็นเหตุให้รัฐบาลยูเครนในปี ค.ศ. 2025 ปฏิเสธที่จะ “ลดการระวังภัย” แม้ในช่วงเวลาที่ถูกนำเสนอว่าเป็น “โอกาสทองแห่งการรำลึกและคืนดี”นอกจากนี้ ยูเครนยังมองว่า รัสเซียกำลังใช้การหยุดยิงเป็นเครื่องมือในการ “ตีกรอบทางจริยธรรม” (moral framing) โดยวาดภาพฝ่ายตรงข้ามว่า “ปฏิเสธสันติภาพ” หากไม่ตอบรับข้อเสนอของรัสเซีย สิ่งนี้อาจสร้างความกดดันต่อยูเครนในสายตาประชาคมระหว่างประเทศโดยเฉพาะประเทศที่เริ่มลังเลต่อความยืดเยื้อของสงครามในบริบทเช่นนี้ความไม่ไว้วางใจจึงไม่ใช่เพียงปฏิกิริยาเชิงอารมณ์แต่คือกลยุทธ์ในการปกป้องอธิปไตยและการเล่าเรื่อง (narrative) ของตนเอง ซึ่งยูเครนพยายามอย่างหนักที่จะควบคุมในเวทีระหว่างประเทศ

การประกาศหยุดยิงในช่วง Victory Day ของรัสเซียไม่เพียงแค่มีผลต่อฝ่ายสงครามในสนามรบหากแต่ยังส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อยุทธศาสตร์ทางการทูตและภาพลักษณ์ของรัสเซียในระดับโลก การหยุดยิงในช่วงเวลาดังกล่าวทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการควบคุมการรับรู้ของประชาคมระหว่างประเทศโดยเฉพาะในแง่การสร้างภาพลักษณ์ของรัสเซียในฐานะรัฐที่มีความรับผิดชอบและเคารพต่อ “สันติภาพ” ที่ถูกเน้นย้ำในวาระครบรอบการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง การหยุดยิงในวันดังกล่าวสามารถมองได้ว่าเป็นความพยายามของรัสเซียในการส่งสัญญาณถึงสหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกว่ารัสเซียเปิดทางให้การเจรจาทางการทูตแม้ในขณะที่ความขัดแย้งในยูเครนยังดำเนินต่อไป สัญญาณนี้อาจมีจุดประสงค์ในการบีบให้ฝ่ายตะวันตกแสดงท่าทีเกี่ยวกับการหาทางออกสงครามหรือแม้แต่เสนอทางเลือกในการเจรจาที่เป็นมิตรกับผลประโยชน์ของรัสเซีย ซึ่งในทางการทูตถือเป็นการ "เคลื่อนไหวเชิงภาพลักษณ์" ที่มีเป้าหมายในการสร้างความเชื่อมั่นและขยายการยอมรับจากประเทศต่างๆ ในขณะเดียวกัน การประกาศหยุดยิงยังเป็นเครื่องมือในการสร้างแรงกดดันทางสัญลักษณ์ต่อประเทศที่ยังคงให้การสนับสนุนยูเครน โดยเฉพาะประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้าใกล้ชิดกับรัสเซีย เช่น จีน อินเดีย และบางประเทศในอาเซียน การแสดงออกเช่นนี้ทำให้ความสัมพันธ์ทางการทูตของรัสเซียกับประเทศเหล่านี้ดูดีขึ้นในสายตาของสาธารณชน โดยการส่งสัญญาณว่า "รัสเซียพร้อมที่จะยุติสงคราม หากฝ่ายอื่นยินดีที่จะหารือ"

เมื่อเปรียบเทียบกับกลยุทธ์ในอดีตการหยุดยิงในช่วง Victory Day ยังสะท้อนให้เห็นถึงการใช้กลยุทธ์ทางการทูตในลักษณะคล้ายคลึงกับที่รัสเซียใช้ในช่วงสงครามเย็น ในช่วงเวลานั้นสหภาพโซเวียตใช้การหยุดยิงหรือข้อตกลงทางการทูตในช่วงเวลาสำคัญเพื่อทำลายความเป็นเอกภาพของฝ่ายตะวันตกและสร้างแรงกดดันให้เกิดความลังเลในการสนับสนุนประเทศที่เป็นคู่ขัดแย้ง ในกรณีนี้รัสเซียอาจพยายามสร้างภาพลักษณ์ที่ทำให้ชาติตะวันตกและยูเครนต้องตัดสินใจเลือกว่าจะทำตามข้อเรียกร้องของรัสเซียหรือไม่โดยเฉพาะในช่วงที่ความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้น นอกจากนี้การหยุดยิงครั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้รัสเซียแสดงบทบาทในฐานะ “ผู้เสนอทางออก” ต่อความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซีย ซึ่งในทางการทูตถือเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่รัสเซียสามารถชูขึ้นมา เป็นรัฐที่ไม่เพียงแค่เป็นผู้โจมตีหากแต่เป็น “ตัวกลาง” ที่ช่วยลดความรุนแรงในระดับสากล แม้ในความเป็นจริงการหยุดยิงนี้ยังไม่สามารถสะท้อนถึงความตั้งใจในการยุติความขัดแย้งอย่างถาวร ในแง่การเมืองภายในรัสเซียอาจมองว่าการประกาศหยุดยิงนี้จะช่วยเพิ่มความชอบธรรมในสายตาของประชาชนและชดเชยความสูญเสียในระยะยาวของสงครามขณะที่ยังคงรักษาสถานะของตนในฐานะมหาอำนาจที่มีบทบาทในเวทีโลก

คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นจากการประกาศหยุดยิงในช่วง Victory Day ของรัสเซียคือ “มันจะนำไปสู่การเจรจาสันติภาพที่แท้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงกลยุทธ์ทางการทูตที่ใช้สร้างภาพลวงตา?” ในขณะที่รัสเซียเสนอการหยุดยิงเพื่อรำลึกถึงชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่สอง ฝ่ายยูเครนและหลายประเทศในประชาคมระหว่างประเทศต่างตั้งคำถามถึงความจริงใจและวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของรัสเซีย การหยุดยิงในช่วงนี้ถูกมองว่าเป็นโอกาสในการปูทางสู่การเจรจาสันติภาพ หากฝ่ายต่างๆ พร้อมที่จะกลับมาร่วมโต๊ะเจรจา หลังจากการต่อสู้ที่ยืดเยื้อมาเกือบสองปี อย่างไรก็ตามความเป็นไปได้ของการเจรจาที่ยั่งยืนนั้นยังคงอยู่ในความสงสัย รัสเซียเองไม่ได้แสดงท่าทีที่ชัดเจนในการลดความเข้มข้นของการปฏิบัติการทางทหารหรือให้สัญญาที่เป็นรูปธรรมในการยุติสงคราม

แม้การหยุดยิงจะถูกนำเสนอว่าเป็น “จุดเริ่มต้น” สำหรับการเจรจาแต่หลายฝ่ายมองว่ามันเป็นเพียงแค่กลยุทธ์ที่รัสเซียใช้ในการสร้างกรอบการเจรจาที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศตนเอง และอาจถูกใช้เพื่อเพิ่มแรงกดดันให้ฝ่ายยูเครนยอมรับเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรมในอนาคต ยูเครนและพันธมิตรตะวันตกยืนยันว่าพวกเขาจะไม่ยอมรับการเจรจาที่ไม่คำนึงถึงอธิปไตยและดินแดนของยูเครนโดยเฉพาะเมื่อรัสเซียยังคงยืนยันในข้อเสนอที่เป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศและหลักการสากลในการรักษาเสถียรภาพในภูมิภาค ยิ่งไปกว่านั้น ความไม่มั่นใจในความจริงใจของรัสเซียในการหยุดยิงครั้งนี้สะท้อนจากการกระทำในอดีตเมื่อครั้งที่รัสเซียเคยละเมิดข้อตกลงทางการทูตหลายครั้งในช่วงสงคราม การหยุดยิงในกรอบเวลานี้อาจถูกมองว่าเป็นเพียงการใช้ช่วงเวลาที่มีความสำคัญทางสัญลักษณ์เพื่อเจรจาในเงื่อนไขที่รัสเซียจะได้ประโยชน์มากขึ้นในระยะยาว มากกว่าการจริงจังในการหาทางออกที่แท้จริง ข้อเสนอการหยุดยิงในช่วงวัน Victory Day ยังสร้างความสงสัยในหลายประเทศโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของรัสเซียในสงครามยูเครน อย่างไรก็ตามยังมีมุมมองบางประการที่เชื่อว่าการประกาศหยุดยิงในช่วงวันสำคัญเช่นนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเปิดการเจรจาระหว่างรัสเซียและยูเครนโดยเฉพาะหากมีการสร้างความเชื่อมั่นจากทั้งสองฝ่ายว่าการเจรจาจะไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือในการสร้างภาพลวงตา หากแต่เป็นการจริงจังที่จะยุติสงคราม สุดท้ายนี้ การหยุดยิงในช่วงวัน Victory Day จึงเป็นการทดสอบที่สำคัญสำหรับประชาคมระหว่างประเทศและทั้งสองฝ่ายในสงครามหากการหยุดยิงนี้นำไปสู่การเจรจาที่แท้จริงก็จะถือเป็นสัญญาณของความพร้อมในการยุติสงคราม แต่หากเป็นเพียงกลยุทธ์ในการสร้างความสงบเพื่อเตรียมการรุกทหารใหม่ก็จะยิ่งเพิ่มความไม่มั่นใจและการต่อต้านจากทั้งยูเครนและพันธมิตรของพวกเขา

บทสรุป การประกาศหยุดยิงของรัสเซียในช่วงวันครบรอบ 80 ปีแห่งชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งกำหนดระหว่างวันที่ 8–11 พฤษภาคม ค.ศ. 2025 เป็นการแสดงออกที่มีความหมายทางการทูตและการเมืองอย่างลึกซึ้ง สำหรับรัสเซียการหยุดยิงนี้ไม่ได้เพียงแค่เป็นการรำลึกถึงความสำเร็จทางทหารในอดีตแต่ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ในฐานะประเทศที่เปิดช่องทางสู่สันติภาพแม้ในขณะที่สงครามในยูเครนยังคงดำเนินอยู่อย่างไรก็ตามการหยุดยิงนี้ได้รับการตอบสนองที่แตกต่างกันจากฝ่ายต่าง ๆ โดยเฉพาะจากยูเครนและพันธมิตรตะวันตกซึ่งมองว่าเป็นการใช้ช่วงเวลาสัญลักษณ์เพื่อบรรลุเป้าหมายทางยุทธศาสตร์มากกว่าจะเป็นการยุติสงครามที่แท้จริง ยูเครนไม่เชื่อมั่นในความจริงใจของรัสเซียและมีความกังวลว่ารัสเซียอาจใช้การหยุดยิงนี้เพื่อเสริมกำลังและจัดการแนวรบใหม่ในขณะเดียวกัน แม้บางฝ่ายจะมองว่าการหยุดยิงในช่วงนี้อาจเป็นการเปิดโอกาสให้เริ่มต้นการเจรจาสันติภาพแต่ยังคงมีคำถามถึงความจริงใจของรัสเซียและความพร้อมในการยุติสงครามอย่างถาวร ในขณะที่ยูเครนยืนยันถึงความจำเป็นที่จะต้องรักษาอธิปไตยและความสมบูรณ์ของดินแดนท้ายที่สุดการหยุดยิงนี้อาจเป็นเพียงภาพลวงตาที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างแรงกดดันต่อฝ่ายยูเครนและพันธมิตรของพวกเขาหรืออาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการเจรจาสันติภาพขึ้นอยู่กับการตอบสนองและท่าทีของทั้งสองฝ่ายในอนาคต การจับตาและวิเคราะห์การดำเนินการในช่วงเวลาเหล่านี้จะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางของสงครามและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในอนาคต

‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เสนอขอ!! งบประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ สำหรับการป้องกันประเทศ โดยให้หั่นงบประมาณ!! ‘การดูแลสุขภาพ – การดูแลเด็ก – ที่อยู่อาศัย – พลังงานสะอาด’

(3 พ.ค. 68)  เพจเฟซบุ๊ก ‘Jaroensook Limbanchongkit Pone’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

ปธน.ทรัมป์ #สหรัฐฯ เสนอแผนงบประมาณใหม่โดยของบประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์สำหรับการป้องกันประเทศ - ตามรายงานของ #MorePerfectUnion

ทรัมป์ขอให้รัฐสภาเพิ่มงบประมาณกลาโหมในปีงบประมาณหน้าเป็น 1.01 ล้านล้านดอลลาร์ โดยทำเนียบขาวได้ประกาศอย่างเป็นทางการแล้ว
ข้อเสนอประกอบด้วย 

- การตัดงบประมาณด้านการดูแลสุขภาพ การดูแลเด็ก การศึกษา ที่อยู่อาศัย การวิจัย พลังงานสะอาด ธนาคารอาหาร และอื่นๆ มูลค่า 163,000 ล้านดอลลาร์

- 1.01 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับการป้องกันประเทศและความมั่นคงภายในประเทศ

6 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ สีหบัญชร พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท

ย้อนไปในห้วงเวลาแห่งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 และในวันที่  6 พฤษภาคม 2568 พระองค์ท่าน และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินีพร้อมด้วย พระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จออก ณ สีหบัญชร พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท 

ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล พร้อมทั้งเสด็จออก ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ให้คณะทูตานุทูตและกงสุลต่างประเทศ เฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวโรกาสเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ สืบราชสันตติวงศ์ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 แห่งพระมหาจักรีบรมราชวงศ์ 

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม 2568

"การพนัน ทำให้เกิดความโลภ"
ความโลภเป็นกิเลสของ โลภะ
"การพนัน ทำให้หลงเพลิดเพลิน"
ความหลงเป็นกิเลสของโมหะ
"พอเสียเงินเสียทอง"
อารมณ์หงุดหงิดก็เกิดขึ้น
ทำให้โกรธ ความโกรธเป็นกิเลสของ โทสะ
นี่ยกตัวอย่างแค่การพนันนะ

พระอาจารย์โนรี ปิยธมฺโม

รศ.ดร.อักษรศรี แนะ!! จีนเปิดตลาดให้กว้างขึ้น เป็นเพื่อนบ้านที่พึ่งพาได้ ของอาเซียน

(3 พ.ค. 68)  รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Aksornsri Phanishsarn เกี่ยวกับ ‘จีน’ โดยมีใจความว่า ...

‘จีน’ เป็นทั้งความกังวลและความหวังของอาเซียน … ทำอย่างไรจีนจะเป็น #เพื่อนบ้านที่พึ่งพาได้ ของอาเซียน #China 🇨🇳 #ASEAN 

ถ้าจะแค่พูดว่า จีน-อาเซียนมี FTA กันแล้ว เช่น RCEP และ ACFTA แต่ยังทำเหมือนเดิมหรือทำแบบเดิม มันจะไม่เห็น #ผลประโยชน์เป็นรูปธรรมที่ฝ่ายอาเซียนจะได้รับ .. ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์กีดกันการค้าในยุคทรัมป์ป่วนโลก หากจีนต้องการสร้าง Trust - Building Diplomacy กับอาเซียน จีนก็ควรจะต้องเป็นผู้ให้มากกว่า  #จีนควรเปิดตลาดกว้างขึ้นและง่ายขึ้น เพื่อผ่อนคลายมาตรการการค้าให้กับสินค้าจากอาเซียน

นอกจากนี้ จีน - อาเซียนต่างก็ยึดมั่นในระบบ Multilateralism และกลไกระงับข้อพิพาทการค้าภายใต้ WTO ก็อาจจะยื่น joint trade dispute ร่วมกัน เพื่อฟ้องร้องพฤติกรรมกีดกันการค้าตามอำเภอใจ Unilateralism ของสหรัฐในยุคทรัมป์ 

หมายเหตุ : รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น ตอบคำถามนี้ในระหว่างประชุมหารือกับผู้บริหารและนักวิจัยของมหาวิทยาลัย China Foreign Affairs University #CFAU ซึ่งเป็นสถาบันฯชั้นนำของจีนในการผลิตนักการทูตจีน และผู้เชี่ยวชาญความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

‘ไทย’ ในห่วงโซ่ค้าวัวเถื่อนข้ามแดน ไร้การควบคุม เผาป่าสร้าง ‘หญ้าระบัด’ เป็นอาหาร เสี่ยง!! โรคระบาด จาก ‘วัวเถื่อน’ ที่ทะลักเข้าไทย ภัยเงียบต่อ ‘อุตสาหกรรมปศุสัตว์’

(3 พ.ค. 68) ท่ามกลางความต้องการบริโภคเนื้อวัวของจีนที่พุ่งสูงในปี 2566 ถึงเกือบ 11 ล้านตัน ในขณะที่จีนผลิตได้เพียง 7.5 ล้านตัน ทำให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศทั้งทางตรงและทางเลี่ยงผ่านเครือข่ายลักลอบจากลุ่มแม่น้ำโขง โดยเฉพาะผ่านมณฑลยูนนานและกว่างซีจ้วงที่ติดกับเมียนมา ลาว และเวียดนาม

วัวทะลักเข้าไทย: แรงดันจากความต้องการระดับภูมิภาค

การศึกษาหลายชิ้นระบุว่า จีนเคยลักลอบนำเข้าวัวจากเมียนมาผ่านไทยมากถึง 4,000 ตัวต่อวันในช่วงก่อนโควิด และยังมีข้อมูลระบุว่า ในปีเดียว (2561) วัวมากกว่า 150,000 ตัว ถูกขนผ่านเส้นทางเมียนมา–ไทย–ลาว เพื่อส่งต่อไปยังจีน

จากสถิติด่านศุลกากรแม่สอดเพียงแห่งเดียว พบว่ามีวัวและกระบือมีชีวิตนำเข้าถูกกฎหมายจากเมียนมาถึง 97,324 ตัวในปี 2565 มูลค่ารวมกว่า 1,200 ล้านบาท ขณะที่จำนวนวัวลักลอบซึ่งไม่อยู่ในระบบการควบคุมโรค อาจสูงกว่านี้หลายเท่าตัว โดยมีการประเมินว่า จุดลักลอบใน จ.ตาก เพียงจุดเดียว อาจมีวัวเล็ดลอดเข้าไทยไม่ต่ำกว่าหลายพันตัวต่อปี จากการสืบข่าว พบว่าระหว่างปี 2565 ถึงกลางปี 2566 มีรายงานการจับวัวลักลอบในไทยราว 23 ครั้ง รวมวัวของกลาง 1,182 ตัว — แต่จำนวนนี้อาจเป็นเพียงเศษเสี้ยวของวัวลักลอบจริงที่เข้าสู่ไทยในแต่ละปี

วัวเถื่อนเร่รอน: อาศัยในป่าอนุรักษ์จำนวนมากกว่าชาวบ้านในหมู่บ้าน 

วัวลักลอบจำนวนมากไม่ได้เข้าสู่ระบบอย่างถูกต้อง แต่ถูกเลี้ยงกระจายอยู่ตามแนวชายแดน — โดยเฉพาะในเขตที่อยู่ติดป่าอนุรักษ์ เช่น ป่าสงวนแห่งชาติ อุทยาน และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พื้นที่เหล่านี้มักไม่ได้รับการควบคุมที่เข้มงวดจากการขาดทั้งจำนวนเจ้าหน้าที่และงบประมาณ และถูกใช้เลี้ยงวัวแบบเร่ร่อนเพื่อประหยัดต้นทุน โดยเฉพาะในฤดูแล้งเมื่อหญ้าแห้งตาย

การเผาหญ้า: กลไกที่จุดไฟป่าแบบตั้งใจและซ้ำซาก

ก่อนฤดูฝนในแต่ละปี ผู้เลี้ยงวัวเหล่านี้มักจุดไฟเผาพื้นป่าเพื่อเร่งให้หญ้าแตกใบใหม่ หรือที่เรียกว่า 'หญ้าระบัด' ซึ่งเป็นอาหารวัวคุณภาพดีในช่วงต้นฤดูฝน แม้การเผาจะเป็นวิธีดั้งเดิมที่ใช้กันมานาน แต่การกระทำในพื้นที่อนุรักษ์จำนวนมากและพร้อมกันทั่วแนวชายแดน ได้ก่อให้เกิดไฟป่าขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถควบคุมได้กระจายไปทั่วป่าในภาคเหนือและภาคตะวันตก

แม้การเผาหญ้าเพื่อเลี้ยงวัวจะดูเป็นวิธีดั้งเดิมและมีเป้าหมายจำกัด แต่เมื่อวัวหลายหมื่นตัวถูกปล่อยเลี้ยงในป่าอนุรักษ์ทั่วแนวชายแดน การจุดไฟพร้อมกันในพื้นที่เหล่านี้จึงกลายเป็น มรสุมไฟป่าเถื่อน ที่ไม่มีใครควบคุมได้

• พื้นที่ป่าถูกทำลายซ้ำ ๆ ทุกปีจนสูญเสียความสามารถในการฟื้นตัว
• สัตว์ป่าถูกเผาตายหรือไร้ที่อยู่อาศัย
• ดินกลายเป็นดินเสื่อมสภาพและไม่ซึมน้ำ เกิดโคลนถล่มเมื่อฝนมา
• ควันพิษ PM2.5 จากการเผา ลอยเข้าสู่เมืองใหญ่ในภาคเหนือ สร้างวิกฤตสุขภาพเรื้อรังแก่ประชาชน

ฝากเลี้ยงในป่าแล้วแบ่งผลประโยชน์
ชาวบ้านที่รับเลี้ยงวัวในป่าจะได้รับผลประโยชน์เป็นลูกวัวที่เกิดใหม่ในป่าครึ่งหนึ่ง ตัวอย่างเช่นหากฝูงวัวที่ฝากเลี้ยงเป็นเวลา 2 ปีนั้นคลอดลูกใหม่ 30 ตัว ชาวบ้านก็จะได้รับลูกวัวฟรีๆ 15 ตัว และหากขุนลูกวัวเหล่านี้ในป่าไปจนโตก็จะขายได้เงินราวตัวละ 4,000 บาท ทั้งหมดคิดเป็นรายได้ระดับครึ่งแสน

เชื้อโรคข้ามพรมแดน: เมื่อระบบควบคุมโรคไม่ตามทัน

นอกจากไฟป่า ปัญหาวัวเถื่อนยังเชื่อมโยงกับโรคระบาดที่อาจทะลักเข้าประเทศ เช่น โรคปากและเท้าเปื่อย (FMD) และลัมปีสกิน (LSD) โดยวัวที่ไม่มีใบรับรองสุขภาพ ไม่เคยได้รับวัคซีน และไม่ได้ถูกกักตัว คือภัยเงียบต่ออุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทยมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท

วัวที่ลักลอบเข้าประเทศโดยไม่ผ่านการควบคุมโรคอย่างเข้มงวด อาจเป็นพาหะของโรคติดต่อร้ายแรงที่แพร่กระจายได้รวดเร็วในฝูงสัตว์ หนึ่งในนั้นคือ โรคปากและเท้าเปื่อย (Foot and Mouth Disease - FMD) ซึ่งเป็นโรคไวรัสที่ติดต่อได้ง่ายมากในสัตว์กีบคู่ เช่น วัว ควาย แพะ แกะ โดยติดต่อผ่านน้ำลาย ลมหายใจ หรือพื้นดินและน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ เมื่อระบาดจะทำให้สัตว์มีแผลพุพองในปาก เท้า เดินไม่ได้ กินอาหารไม่ได้ น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว และอัตราการเติบโตลดลง

ผลกระทบทางเศรษฐกิจมหาศาล เพราะฟาร์มต้องกักตัวสัตว์ ปิดตลาด และอาจต้องฆ่าทำลายฝูงวัวทั้งคอกเพื่อควบคุมโรค ขณะที่โรค ลัมปีสกิน (Lumpy Skin Disease - LSD) ซึ่งระบาดในเมียนมาตั้งแต่ปี 2563 ก็กำลังเป็นปัญหาใหม่ในไทย เกิดจากไวรัสในตระกูล Poxvirus ทำให้วัวมีตุ่มบวมทั่วตัว มีไข้ น้ำนมลด และแท้งลูกได้ง่าย

แม้โรคเหล่านี้จะไม่ติดต่อสู่คนโดยตรง แต่ 'ฟาร์มปิด–ตลาดแตก–รายได้หาย–ต้นทุนพุ่ง' คือผลกระทบต่อเกษตรกรไทยในวงกว้าง นอกจากนี้ วัวเถื่อนอาจเป็นพาหะของแบคทีเรียหรือไวรัสในระบบทางเดินหายใจ เช่น Brucellosis หรือ Tuberculosis ซึ่งในบางกรณีสามารถ 'ข้ามสปีชีส์' สู่คนได้ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น คนเลี้ยงวัว พนักงานโรงเชือด หรือคนที่บริโภคเนื้อวัวที่ปรุงไม่สุก

โรคเหล่านี้อาจเริ่มจากฝูงสัตว์ที่ไม่มีอาการชัดเจน แต่หากปล่อยให้แพร่ระบาด จะกลายเป็นโรคติดต่อสู่คนที่คุกคามทั้งสุขภาพและความมั่นคงทางอาหารในระดับประเทศ โดยเฉพาะในยุคที่ภาวะโลกร้อนกำลังเปลี่ยนพฤติกรรมของเชื้อโรคให้รุนแรงและหลากหลายมากขึ้นเรื่อย ๆ

หลังการรัฐประหารในเมียนมา ระบบควบคุมโรคในฝั่งนั้นแทบล่มสลาย เพราะรัฐบาลทหารทุ่มทรัพยากรทั้งหมดไปกับสงครามภายใน แทบไม่เหลือกำลังดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงหรือส่งออก

แม้ไทยจะมีแนวคิดเปิดนำเข้าวัวจากเมียนมาอย่างเป็นทางการเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลน แต่ยังคงเผชิญแรงต้านจากเกษตรกรและผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข เพราะเส้นทางนี้ยังเต็มไปด้วยช่องโหว่ ความไม่โปร่งใส และอันตรายต่อระบบนิเวศและสุขภาพคนไทยในระยะยาว

จากชายแดนสู่ระบบนิเวศ: วิกฤตที่ต้องมองเป็นหนึ่งเดียว

การแก้ปัญหา 'ไฟป่าชายแดน' จึงต้องไม่มองเพียงว่าเป็นปัญหาป่าไม้ แต่ต้องเข้าใจว่ามันเกิดจากโครงสร้างเศรษฐกิจลับของวัวเถื่อน การค้าไร้ใบอนุญาต และการบริหารชายแดนที่ยังไม่มีดุลยภาพระหว่างความมั่นคง เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ปัญหานี้จะไม่มีวันแก้ได้ หากรัฐมองแยก 'การค้า' ออกจาก 'สิ่งแวดล้อม' และ 'สาธารณสุข'

‘หมอวรงค์’ เปิด 9 ปม!! เคลือบแคลง ‘นักโทษชั้น 14’ น่าสงสัย ‘การส่งตัว - ห้องพัก - วิธีรักษา’ ชี้!! แค่ข้ออ้าง

(3 พ.ค. 68)  นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ 'ข้อสงสัยนักโทษชั้น14' ระบุว่า ช่วงนี้จะเห็นข่าว พวกนักวิชาการ นักกฎหมายที่ปกป้องนักโทษชั้น14 พยายามออกมาสื่อสารกับประชาชนว่า การที่นักโทษไปป่วยอยู่ชั้น 14 นานถึง 6 เดือนนั้น ถือว่าถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพ ซึ่งถือว่าถูกคุมขังแล้ว

แต่ประเด็นที่ประชาชนสงสัย ประชาชนเขาสงสัยว่า ถ้าป่วยทำไมไม่รักษาตัวที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เพราะโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีศักยภาพ ไม่แพ้รพ.จังหวัดทั่วประเทศ ขีดความสามารถ มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งมี CT scan ที่ทันสมัยมาก

ถ้าโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ไม่สามารถรักษาตัวนักโทษรายนี้ได้ แสดงว่าน่าจะป่วยวิกฤติ จึงต้องส่งตัวไปโรงพยาบาลตำรวจ สิ่งที่ประชาชนสงสัย มีการช่วยเหลือเพื่อให้นักโทษ ไปนอนเล่นสบายๆ ที่ชั้น14 รพ.ตำรวจหรือไม่ โดยใช้ข้ออ้างเจ็บป่วยหนัก เพราะ

1.ทำไมแพทย์เวรคืนนั้น ที่เป็นอายุรแพทย์ ถือว่าเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญรักษาโรค ความดัน หัวใจขาดเลือด ไม่ไปดูแล แต่ปล่อยให้พยาบาลเวรโทรไปปรึกษา และปล่อยให้พยาบาลเวรเป็นผู้ดูแล และเป็นผู้ส่งนักโทษต่อร.พ.ตำรวจ จึงเกิดข้อสงสัยว่าวางแผนกันไว้ก่อนหรือไม่ เพื่อไม่ให้ใครเข้ามาเกี่ยวข้องมาก

2.จริงหรือที่โรคเหล่านี้ที่อ้าง ทั้งหัวใจขาดเลือด ความดันสูง ปอดเรื้อรัง สันหลังเสื่อม ซึ่งเป็นโรคเรื้อรัง และมีประวัติการรักษามาแล้วจากต่างประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามาก สำหรับผู้สูงอายุ โรงพยาบาลราชทัณฑ์จะรักษาไม่ได้ และต้องส่งต่อโรงพยาบาลตำรวจ เพราะเกรงอันตรายต่อชีวิต

3.การส่งต่อแบบฉุกเฉินว่า เกรงอันตรายต่อชีวิต ด้วยหลักทางการแพทย์นั้น ต้องใช้รถ ambulance ส่งต่อไปรพ.ตำรวจ แต่ตามข่าวทำไมใช้รถของราชทัณฑ์

4.ด้วยหลักทางการแพทย์ การส่งต่อแบบฉุกเฉินเวลาดึก และเกรงว่าเกิดอันตรายต่อชีวิต ทำไมไม่ส่งนักโทษผ่าน ER ก่อน ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ไม่ได้ป่วยวิกฤติจริง

5.ด้วยหลักทางการแพทย์ การป่วยที่จะเป็นอันตรายต่อชีวิต โดยเฉพาะโรคหัวใจ หลังจากส่งมาถึงรพ.ตำรวจ ทำไมไม่ให้รักษาตัวที่ICU หรือ CCU แต่ให้ไปนอนที่ชั้น14 ซึ่งประชาชนรับรู้ว่านี่คือห้อง VVIP ซึ่งไม่ใช่สถานที่รักษาผู้ป่วยวิกฤติ

6.จากรายชื่อแพทย์ที่อ้างว่า เป็นแพทย์เจ้าของไข้ แพทย์ที่ทำการรักษา ที่ทางป.ป.ช.เรียกสอบ ล้วนเป็นทีมแพทย์ทางด้านศัลยกรรมเช่น ศัลยกรรมประสาท ศัลยกรรมกระดูกและข้อ ทำไมไม่ให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจเป็นผู้ดูแลหลัก

7.ด้วยหลักทางการแพทย์ ถ้าผู้ป่วยมีอาการวิกฤติ การผ่าตัดเอ็น ด้วยการใช้กล้องที่หัวไหล่ จะไม่ทำกันในผู้ป่วยวิกฤติ รวมทั้งการทำMRI

ที่ต้องถามต่อ หลังผ่าตัดทำไมจึงนำนักโทษไปพักที่ห้อง หลังผ่าตัดศัลยกรรมประสาท ไม่ไปพักที่ห้องหลังผ่าตัด ศัลยกรรมกระดูก เอ็นและข้อ (orthopedics) หรือเกรงว่าคนอื่นจะเห็นว่า ไม่ได้ป่วยวิกฤติ

8.โรคอะไรที่ต้องรักษานานถึง180 วัน อาการไม่ดีขึ้น ไม่สามารถย้ายตัวกลับมา รักษาต่อที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ แต่ครบ 180 ได้พักโทษอาการหายทันที หลักทางการแพทย์มีด้วยหรือ โรคประหลาดแบบนี้

9.นี่ยังไม่นับรวมข้อสงสัย ที่ป่วยวิกฤตินอนติดเตียง 180 วัน ทำไมแขนขาไม่ลีบลง เพราะผู้สูงอายุ เกิน70 ปี นอนติดเตียง1ถึง 2สัปดาห์ ล้วนสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ แขนขาจะลีบลง

จึงเกิดข้อสงสัยว่า แอบไปเดินเล่นที่อื่นหรือไม่ แขนขาจึงไม่ลีบ และที่แปลกใจมาก อาการป่วยวิกฤติ อันตรายต่อชีวิต ไม่มีข่าวว่า ครอบครัวไปนอนเฝ้าเลย

ความจริงยังมีอีกหลายประเด็นมาก ที่ควรไต่สวน เพื่อเอาความจริงออกมาให้ประชาชนทราบ ยกเว้นถ้าได้คำตอบว่า ไม่ได้ป่วยวิกฤติ แต่มีการช่วยเหลือ เพื่อจะได้ไม่ต้องอยู่เรือนจำ ถ้าผลออกมาแบบนี้ ก็อธิบายข้อสงสัยได้หมด ซึ่งเท่ากับว่ายังไม่ได้ติดคุก ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาล นี่ยังไม่นับรวมการขอศาลตามป.วิอาญามาตรา 246


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top