(3 พ.ค. 68) ท่ามกลางความต้องการบริโภคเนื้อวัวของจีนที่พุ่งสูงในปี 2566 ถึงเกือบ 11 ล้านตัน ในขณะที่จีนผลิตได้เพียง 7.5 ล้านตัน ทำให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศทั้งทางตรงและทางเลี่ยงผ่านเครือข่ายลักลอบจากลุ่มแม่น้ำโขง โดยเฉพาะผ่านมณฑลยูนนานและกว่างซีจ้วงที่ติดกับเมียนมา ลาว และเวียดนาม
วัวทะลักเข้าไทย: แรงดันจากความต้องการระดับภูมิภาค
การศึกษาหลายชิ้นระบุว่า จีนเคยลักลอบนำเข้าวัวจากเมียนมาผ่านไทยมากถึง 4,000 ตัวต่อวันในช่วงก่อนโควิด และยังมีข้อมูลระบุว่า ในปีเดียว (2561) วัวมากกว่า 150,000 ตัว ถูกขนผ่านเส้นทางเมียนมา–ไทย–ลาว เพื่อส่งต่อไปยังจีน
จากสถิติด่านศุลกากรแม่สอดเพียงแห่งเดียว พบว่ามีวัวและกระบือมีชีวิตนำเข้าถูกกฎหมายจากเมียนมาถึง 97,324 ตัวในปี 2565 มูลค่ารวมกว่า 1,200 ล้านบาท ขณะที่จำนวนวัวลักลอบซึ่งไม่อยู่ในระบบการควบคุมโรค อาจสูงกว่านี้หลายเท่าตัว โดยมีการประเมินว่า จุดลักลอบใน จ.ตาก เพียงจุดเดียว อาจมีวัวเล็ดลอดเข้าไทยไม่ต่ำกว่าหลายพันตัวต่อปี จากการสืบข่าว พบว่าระหว่างปี 2565 ถึงกลางปี 2566 มีรายงานการจับวัวลักลอบในไทยราว 23 ครั้ง รวมวัวของกลาง 1,182 ตัว — แต่จำนวนนี้อาจเป็นเพียงเศษเสี้ยวของวัวลักลอบจริงที่เข้าสู่ไทยในแต่ละปี
วัวเถื่อนเร่รอน: อาศัยในป่าอนุรักษ์จำนวนมากกว่าชาวบ้านในหมู่บ้าน
วัวลักลอบจำนวนมากไม่ได้เข้าสู่ระบบอย่างถูกต้อง แต่ถูกเลี้ยงกระจายอยู่ตามแนวชายแดน — โดยเฉพาะในเขตที่อยู่ติดป่าอนุรักษ์ เช่น ป่าสงวนแห่งชาติ อุทยาน และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พื้นที่เหล่านี้มักไม่ได้รับการควบคุมที่เข้มงวดจากการขาดทั้งจำนวนเจ้าหน้าที่และงบประมาณ และถูกใช้เลี้ยงวัวแบบเร่ร่อนเพื่อประหยัดต้นทุน โดยเฉพาะในฤดูแล้งเมื่อหญ้าแห้งตาย
การเผาหญ้า: กลไกที่จุดไฟป่าแบบตั้งใจและซ้ำซาก
ก่อนฤดูฝนในแต่ละปี ผู้เลี้ยงวัวเหล่านี้มักจุดไฟเผาพื้นป่าเพื่อเร่งให้หญ้าแตกใบใหม่ หรือที่เรียกว่า 'หญ้าระบัด' ซึ่งเป็นอาหารวัวคุณภาพดีในช่วงต้นฤดูฝน แม้การเผาจะเป็นวิธีดั้งเดิมที่ใช้กันมานาน แต่การกระทำในพื้นที่อนุรักษ์จำนวนมากและพร้อมกันทั่วแนวชายแดน ได้ก่อให้เกิดไฟป่าขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถควบคุมได้กระจายไปทั่วป่าในภาคเหนือและภาคตะวันตก
แม้การเผาหญ้าเพื่อเลี้ยงวัวจะดูเป็นวิธีดั้งเดิมและมีเป้าหมายจำกัด แต่เมื่อวัวหลายหมื่นตัวถูกปล่อยเลี้ยงในป่าอนุรักษ์ทั่วแนวชายแดน การจุดไฟพร้อมกันในพื้นที่เหล่านี้จึงกลายเป็น มรสุมไฟป่าเถื่อน ที่ไม่มีใครควบคุมได้
• พื้นที่ป่าถูกทำลายซ้ำ ๆ ทุกปีจนสูญเสียความสามารถในการฟื้นตัว
• สัตว์ป่าถูกเผาตายหรือไร้ที่อยู่อาศัย
• ดินกลายเป็นดินเสื่อมสภาพและไม่ซึมน้ำ เกิดโคลนถล่มเมื่อฝนมา
• ควันพิษ PM2.5 จากการเผา ลอยเข้าสู่เมืองใหญ่ในภาคเหนือ สร้างวิกฤตสุขภาพเรื้อรังแก่ประชาชน
ฝากเลี้ยงในป่าแล้วแบ่งผลประโยชน์
ชาวบ้านที่รับเลี้ยงวัวในป่าจะได้รับผลประโยชน์เป็นลูกวัวที่เกิดใหม่ในป่าครึ่งหนึ่ง ตัวอย่างเช่นหากฝูงวัวที่ฝากเลี้ยงเป็นเวลา 2 ปีนั้นคลอดลูกใหม่ 30 ตัว ชาวบ้านก็จะได้รับลูกวัวฟรีๆ 15 ตัว และหากขุนลูกวัวเหล่านี้ในป่าไปจนโตก็จะขายได้เงินราวตัวละ 4,000 บาท ทั้งหมดคิดเป็นรายได้ระดับครึ่งแสน
เชื้อโรคข้ามพรมแดน: เมื่อระบบควบคุมโรคไม่ตามทัน
นอกจากไฟป่า ปัญหาวัวเถื่อนยังเชื่อมโยงกับโรคระบาดที่อาจทะลักเข้าประเทศ เช่น โรคปากและเท้าเปื่อย (FMD) และลัมปีสกิน (LSD) โดยวัวที่ไม่มีใบรับรองสุขภาพ ไม่เคยได้รับวัคซีน และไม่ได้ถูกกักตัว คือภัยเงียบต่ออุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทยมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท
วัวที่ลักลอบเข้าประเทศโดยไม่ผ่านการควบคุมโรคอย่างเข้มงวด อาจเป็นพาหะของโรคติดต่อร้ายแรงที่แพร่กระจายได้รวดเร็วในฝูงสัตว์ หนึ่งในนั้นคือ โรคปากและเท้าเปื่อย (Foot and Mouth Disease - FMD) ซึ่งเป็นโรคไวรัสที่ติดต่อได้ง่ายมากในสัตว์กีบคู่ เช่น วัว ควาย แพะ แกะ โดยติดต่อผ่านน้ำลาย ลมหายใจ หรือพื้นดินและน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ เมื่อระบาดจะทำให้สัตว์มีแผลพุพองในปาก เท้า เดินไม่ได้ กินอาหารไม่ได้ น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว และอัตราการเติบโตลดลง
ผลกระทบทางเศรษฐกิจมหาศาล เพราะฟาร์มต้องกักตัวสัตว์ ปิดตลาด และอาจต้องฆ่าทำลายฝูงวัวทั้งคอกเพื่อควบคุมโรค ขณะที่โรค ลัมปีสกิน (Lumpy Skin Disease - LSD) ซึ่งระบาดในเมียนมาตั้งแต่ปี 2563 ก็กำลังเป็นปัญหาใหม่ในไทย เกิดจากไวรัสในตระกูล Poxvirus ทำให้วัวมีตุ่มบวมทั่วตัว มีไข้ น้ำนมลด และแท้งลูกได้ง่าย
แม้โรคเหล่านี้จะไม่ติดต่อสู่คนโดยตรง แต่ 'ฟาร์มปิด–ตลาดแตก–รายได้หาย–ต้นทุนพุ่ง' คือผลกระทบต่อเกษตรกรไทยในวงกว้าง นอกจากนี้ วัวเถื่อนอาจเป็นพาหะของแบคทีเรียหรือไวรัสในระบบทางเดินหายใจ เช่น Brucellosis หรือ Tuberculosis ซึ่งในบางกรณีสามารถ 'ข้ามสปีชีส์' สู่คนได้ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น คนเลี้ยงวัว พนักงานโรงเชือด หรือคนที่บริโภคเนื้อวัวที่ปรุงไม่สุก
โรคเหล่านี้อาจเริ่มจากฝูงสัตว์ที่ไม่มีอาการชัดเจน แต่หากปล่อยให้แพร่ระบาด จะกลายเป็นโรคติดต่อสู่คนที่คุกคามทั้งสุขภาพและความมั่นคงทางอาหารในระดับประเทศ โดยเฉพาะในยุคที่ภาวะโลกร้อนกำลังเปลี่ยนพฤติกรรมของเชื้อโรคให้รุนแรงและหลากหลายมากขึ้นเรื่อย ๆ
หลังการรัฐประหารในเมียนมา ระบบควบคุมโรคในฝั่งนั้นแทบล่มสลาย เพราะรัฐบาลทหารทุ่มทรัพยากรทั้งหมดไปกับสงครามภายใน แทบไม่เหลือกำลังดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงหรือส่งออก
แม้ไทยจะมีแนวคิดเปิดนำเข้าวัวจากเมียนมาอย่างเป็นทางการเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลน แต่ยังคงเผชิญแรงต้านจากเกษตรกรและผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข เพราะเส้นทางนี้ยังเต็มไปด้วยช่องโหว่ ความไม่โปร่งใส และอันตรายต่อระบบนิเวศและสุขภาพคนไทยในระยะยาว
จากชายแดนสู่ระบบนิเวศ: วิกฤตที่ต้องมองเป็นหนึ่งเดียว
การแก้ปัญหา 'ไฟป่าชายแดน' จึงต้องไม่มองเพียงว่าเป็นปัญหาป่าไม้ แต่ต้องเข้าใจว่ามันเกิดจากโครงสร้างเศรษฐกิจลับของวัวเถื่อน การค้าไร้ใบอนุญาต และการบริหารชายแดนที่ยังไม่มีดุลยภาพระหว่างความมั่นคง เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ปัญหานี้จะไม่มีวันแก้ได้ หากรัฐมองแยก 'การค้า' ออกจาก 'สิ่งแวดล้อม' และ 'สาธารณสุข'