Friday, 9 May 2025
TheStatesTimes

‘Elon Musk’ เรียกร้อง ให้ปิดสื่อของรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้ง ‘Radio Free Europe’ และ ‘Voice of America’

(16 มี.ค. 68) Elon Musk ผู้บริหารของสำนักงานเสริมสร้างประสิทธิภาพในภาครัฐ (D.O.G.E.) ระบุว่า ทั้ง 2 หน่วยงานนี้เป็นเพียง ‘กลุ่มคนหัวรุนแรงฝ่ายซ้ายที่วัน ๆ เอาแต่พูดกับตัวเอง’   

Elon Musk อภิมหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยีในฐานะผู้นำของ D.O.G.E. ได้เรียกร้องให้ปิดสถานีวิทยุของรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้ง Radio Free Europe/Radio Liberty (RFE/RL) และ Voice of America (VOA) เขากล่าวว่าสถานีวิทยุเหล่านี้ใช้เงินภาษีของประชาชนอย่างฟุ่มเฟือยและไม่ได้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับพันธกิจอีกด้วย

Radio Liberty (RL) เริ่มออกอากาศเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 1953 โดยมุ่งเป้าไปที่ผู้ชมในสหภาพโซเวียตโดยเฉพาะ ทั้งสององค์กรได้รวมกันเป็น RFE/RL ในปี 1976 โดยรวมการดำเนินงานของทั้งสองเข้าด้วยกัน

ส่วน VOA ก่อตั้งขึ้นในช่วงทศวรรษปี 1940 เพื่อต่อต้านการโฆษณาชวนเชื่อของนาซี และเปลี่ยนจุดเน้นมาที่สหภาพโซเวียตในปี 1947 ปัจจุบัน VOA ยังคงได้รับเงินทุนจากรัฐสภา และการบริหารจัดการอยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรงจากรัฐบาลสหรัฐฯ โดยหน่วยงานที่ชื่อว่า สำนักงานสื่อโลกของสหรัฐฯ (USAGM) ซึ่งดูแลทั้ง VOA และ RFE/RL เป็นหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ

Musk ตอบความคิดเห็นของ Richard Grenell ผู้แทนพิเศษของประธานาธิบดี Donald Trump  ของสหรัฐฯ ซึ่งได้วิจารณ์สื่อเหล่านี้ทางช่อง X “Radio Free Europe และ Voice of America เป็นสื่อที่จ่ายเงินโดยผู้เสียภาษีชาวอเมริกัน เป็นสื่อของรัฐ แต่สื่อเหล่านี้เต็มไปด้วยนักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายจัด ผมทำงานกับนักข่าวเหล่านี้มาหลายสิบปีแล้ว มันเป็นสิ่งตกค้างจากอดีต เราไม่ต้องการสื่อที่รัฐบาลต้องจ่ายเงินให้” Grenell กล่าว

Musk ตอบความคิดเห็นของ Richard Grenell กลับทางช่อง X โดยระบุว่า “ใช่ ปิดพวกเขาเลย ตอนนี้ยุโรปเป็นอิสระแล้ว (ไม่นับรวมบริหารรับบาลที่ยังกดขี่) ไม่มีใครฟังพวกเขาอีกแล้ว เพราะเป็นเพียงกลุ่มคนหัวรุนแรงฝ่ายซ้ายที่บ้าคลั่งพูดแต่กับตัวเอง ในขณะที่เผาเงินภาษีของประชาชนสหรัฐฯ มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ต่อปี”

เดิมที RFE/RL มีชื่อว่า ‘Radio Liberation from Bolshevism’ (การปลดปล่อยวิทยุจากลัทธิบอลเชวิค) ต่อมาสถานีดังกล่าวเปลี่ยนชื่อเป็น ‘Radio Liberation’ ในปี 1956 และต่อมาใช้ชื่อปัจจุบันคือ Radio Liberty หลังจากเปลี่ยนนโยบายที่เน้นที่ “การปล่อยให้เสรี” มากกว่าเพียง “การปลดปล่อย” ในปี 2020 รัสเซียกำหนดให้ RFE/RL เป็น “สื่อตัวแทนต่างชาติ” และสั่งห้ามในปี 2022 โดยอ้างถึง “การเผยแพร่สื่อที่มีข้อมูลเท็จ” เกี่ยวกับความขัดแย้งในยูเครน Current Time ซึ่งเป็นบริษัทในเครือร่วมกับ VOA ถูกขึ้นบัญชีดำในรัสเซียในปี 2024

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทั้ง Musk และ Grenell ต่างก็แสดงความไม่เห็นด้วยกับเงินทุนของรัฐบาลที่มอบให้กับองค์กรสื่อ โดยให้เหตุผลว่าไม่ควรใช้เงินภาษีของประชาชนเพื่อสนับสนุนองค์กรเหล่านี้ Musk ได้วิพากษ์วิจารณ์การจ่ายเงินของรัฐบาลกลางให้กับองค์กรสื่อต่าง ๆ เช่น Politico, Associated Press และ New York Times โดยมองว่าเป็นการใช้เงินภาษีของประชาชนอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ทีมงานของ Musk กำลังดำเนินการเพื่อยกเลิกการจ่ายเงินเหล่านี้ ตามคำกล่าวของ Karoline Leavitt โฆษกทำเนียบขาว รัฐบาลจ่ายเงินมากกว่า 8 ล้านดอลลาร์ในการอุดหนุน Politico

ในทำนองเดียวกัน Grenell ได้ประณามการใช้จ่ายของรัฐบาลในการอุดหนุนสื่อต่าง ๆ โดยสะท้อนจุดยืนของ Musk ที่ว่าควรยุติการระดมทุนนี้ทันที Grenell โพสต์บน X ว่า “รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องหยุดจ่ายเงินสำหรับการอุดหนุนสื่อ เดี๋ยวนี้”

VOA มีงบประมาณ 267.5 ล้านดอลลาร์สำหรับปี 2024 ในขณะที่ RFE/RL ดำเนินงานด้วยเงิน 142.2 ล้านดอลลาร์ สำหรับปี 2025 USAGM ขอเงินทุนทั้งหมด 950 ล้านดอลลาร์ โดยอ้างว่าเข้าถึงผู้ชมรายสัปดาห์ 427 ล้านคนใน 64 ภาษาในกว่า 100 ประเทศ

อ่าน: รู้จัก ‘สำนักงานเสริมสร้างประสิทธิภาพในภาครัฐ (D.O.G.E.)’ หน่วยงานระดับกระทรวงล่าสุดภายใต้รัฐบาล Trump ชุดใหม่ https://thestatestimes.com/post/2024122102

รัฐบาลไทย วอน!! นานาประเทศเข้าใจ การแก้ไขปัญหา ส่ง ‘อุยกูร์’ กลับ ขอให้มั่นใจ ทำตามสิทธิมนุษยชนเต็มที่

(16 มี.ค. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตนพร้อมด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พล.ต.อ. ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมคณะสื่อมวลชน 9 คนจากหลากหลายสำนักทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์ รวมทั้งสื่อโซเชียลมีเดีย รวมทั้งคณะ 25 คน มีกำหนดการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันอังคารที่ 18 - 20 มีนาคม 2568 ที่มณฑลซินเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน

โดยในวันอังคารที่ 18 มีนาคม 2568 เวลา 23.30 น. คณะจะออกเดินทางจากกองบิน 6 ท่าอากาศยานดอนเมือง ไปยังท่าอากาศยานเมืองคาซือ มณฑลซินเจียง โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 ชั่วโมงบินโดยจะถึงเมืองคาซือ ในวันพุธที่ 19 มีนาคม เวลาประมาณ 07.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งเร็วกว่าเวลาประเทศไทย 1 ชั่วโมง คณะมีกำหนดการเดินทางไปเยี่ยมชาวจีน อุยกูร์ ที่เมืองคาซือ มณฑลซินเจียง และร่วมรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันพร้อมกับผู้นำท้องถิ่นในช่วงเช้าและบ่าย

สำหรับในวันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม 2568 คณะจะเดินทางไปมณฑลซินเจียงที่อยู่ห่างไกล และจะเดินทางไปเยี่ยมชมศูนย์บังคับใช้กฎหมายและการจัดการคดีของสำนักงานความมั่นคงสาธารณะ ที่เมืองคาซือ มณฑลซินเจียง จากนั้นคณะจะเดินทางไปที่มัสยิดอิดกะฮ์ (Id Kah) พูดคุยสนทนากับผู้นำศาสนา และร่วมรับประทานอาหารค่ำกับตัวแทนผู้นำศาสนาในท้องถิ่น ก่อนที่รองนายกรัฐมนตรีและคณะจะออกเดินทางจากท่าอากาศยานเมืองคาซือ มณฑลซินเจียง ในเวลาประมาณ 20.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น โดยจะเดินทางถึงประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ 21 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 01.00 น. ณ กองบิน 6 ท่าอากาศยานดอนเมือง

นายจิรายุ กล่าวว่า การเดินทางครั้งนี้เพื่อทำความจริงให้ปรากฏในข้อกังวลของนานาอารยประเทศ และให้เข้าใจประเทศไทยถึงการแก้ไขปัญหาซึ่งรัฐบาลไทยได้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาและมีข้อตกลงสำคัญต่อรัฐบาลของทั้งสองประเทศ ที่ต้องคืนชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีในยุคโลกปัจจุบัน ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและมีสิทธิเสรีภาพ ซึ่งถือว่ารัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมากถึงขั้นตอนการตรวจสอบรายละเอียดนานหลายเดือนก่อนจะส่ง ชาวจีนอุยกูร์ กลับสู่มาตุภูมิ เพื่อให้มั่นใจว่าการส่งชาวจีนกลับสู่บ้านเกิดจะต้องได้รับความปลอดภัยและเป็นไปตามสิทธิมนุษยชน ซึ่งการเดินทางครั้งนี้เป็นเพียงครั้งแรก โดยรัฐบาลไทยจะกำหนดการเดินทางเป็นระยะๆเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศต่อนานาอารยะประเทศต่อไป

‘ต.ตุลยากร’ เผย!! ‘มาร์โค รูบิโอ’ ออกนโยบายข้อจำกัดเกี่ยวกับ ‘วีซ่า’ บีบ!! ‘ประเทศไทย’ ให้ถอยห่างจาก ‘จีน’ ซึ่งเป็นศัตรูการค้า ของสหรัฐฯ

(16 มี.ค. 68) หลังจากทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ก็ได้แต่งตั้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มาร์โค รูบิโอ เป็นรักษาการผู้อำนวยการองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (United States Agency for International Development: USAID) เหตุผลคือ ทรัมป์มองว่า “เงินทุนของ USAID โดยส่วนใหญ่ไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์หลักแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา” [1]

ผลคือ รูบิโอ ตัดทิ้งโครงการช่วยเหลือกว่า 83% [2]

เหลือโครงการอีกประมาณ 17% ที่มีความสอดคล้องกับกรอบนโยบาย “America First” ของทรัมป์ และคาดว่าโครงการที่เหลือคงต้องดำเนินงานตามแนวทางของ รูบิโอ อย่างไม่มีบิดพริ้ว 

ถ้าไม่ทำตามก็ตัดเงินทุน ว่างั้นเถอะ

หลังจากเก็บกวาดหลังบ้านตัวเองเรียบร้อย จะเห็นว่าช่วงนี้สหรัฐฯและผองเพื่อนปล่อยหมัดใส่ไทยรัวๆเลย

หมัดแรก รัฐสภาอียูลงมติประณามไทยกรณีส่งกลับชาวอุยกูร์กลับประเทศจีนเมื่อปลายเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา

หมัดที่สอง องค์กร Freedom Houseในสหรัฐ ปรับลดสถานะของประเทศไทยจากประเทศมีเสรีภาพบางส่วน กลายเป็นประเทศไม่เสรีอีกครั้ง (ขณะที่ Freedom House กำหนดสถานะอิสราเอลเป็นประเทศที่เสรี)

หมัดที่สาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มาร์โค รูบิโอ ออกแถลงการณ์ว่าด้วยนโยบายข้อจำกัดเกี่ยวกับวีซ่าเพื่อตอบโต้กรณีผลักดันชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน

เข้าใจว่าเป็นการส่งสัญญาณบีบไทยให้ถอยห่างจากอิทธิพลของจีน ซึ่งสหรัฐฯกำลังทำสงครามการค้าด้วย

ข้อสังเกตุคือ ในปี 2023 Freedom House นั้นรับเงินอุดหนุนจาก USAID กว่า 63 ล้านเหรียญ [3]

ในขณะที่ทางยุโรปนั้น คณะกรรมาธิการยุโรปยอมรับว่าสหภาพยุโรปไม่สามารถเข้ามาแทนที่เงินทุน USAID ได้อย่างเต็มที่ [4]

ผมมองว่า โครงการ 17% ที่เหลือของ USAID นั้น จะช่วยให้ รูบิโอ สามารถกำหนดทิศทางของการดำเนินงานขององค์กรที่ได้รับเงินทุนได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น 

นั่นคงเป็นเหตุผลที่เห็นภาพหลายองค์กรหลายทิศทาง ออกมาขย่มไทยในแนวทางเดียวกัน ซึ่งสืบไปสืบมาก็คงไม่แคล้วไปเกี่ยวพันทางใดทางหนึ่ง กับ USAID ภายใต้การนำของ รูบิโอ

หันมาดูในส่วนขององค์กรภายในประเทศ ก็ได้แต่สงสัยว่า คนบางกลุ่มบางพวกที่ออกมาโจมตีประเทศของตัวเองในทิศทางที่สอดคล้องกับ “ผลประโยชน์หลักแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา”

คนพวกนี้มีความเกี่ยวพันกับ USAID อย่างไรบ้าง??

เราจะร่วมกันลดฝุ่นโรงงาน โรงไฟฟ้า ไฟป่า ไฟไร่ ฝุ่นเมือง และฝุ่นการจราจร ช่วยเพื่อนบ้าน ลดฝุ่นข้ามแดน แบบไม่ชี้นิ้วใส่ใคร โดยไม่รู้จักทิศทางของลม

ไทยเราควบคุมให้ลดจุดความร้อนได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

แต่เราคงต้องช่วยเพื่อนๆให้มากๆขึ้นด้วย

สภาลมหายใจภาคประชาชนในทุกท้องที่ท้องถิ่น จะเป็นทางออกที่เจ้าของปอด เข้าถึงความรู้ความรอบและความจริง รายสัปดาห์

เพราะว่าลมใหญ่เปลี่ยนทิศทาง
ลมย่อยประจำถิ่นก็เปลี่ยนตามบริบทของตัวเอง

ช่วยกันเชียร์ให้สถาบันการศึกษาประจำพื้นที่โดดเข้ามาเป็นแกนช่วยเหลือทางหลักวิชา
เชิญให้สื่อประจำพื้นที่ได้เข้ามาติดตามรายงานเผยแพร่ต่อ

เพื่อปลุกและแนะให้เจ้าของปอดทุกคน มีความรู้และสู้ร่วมกันอย่างมีความหวังและเท่าทัน

ใช้สูตร 1เดือนหลังฤดูฝุ่นมาถอดบทเรียนว่าเราน่าจะทำอะไรในพื้นที่ให้เกืดผลที่ดีขึ้นในฤดูฝุ่นหน้า

แล้วลงมือลุยทำไปต่อตลอด8เดือนถัดมา

เมื่อ3เดือนแห่งฝุ่นขึ้นฟ้ามาอีกครั้ง

เราจะได้ลดค่าความอันตรายลงไปได้ต่อเนื่องทุกๆปีนับแต่นี้

สูตรทำงานสู้ฝุ่น #1-3-8

เราจะร่วมกันลดฝุ่นโรงงาน โรงไฟฟ้า ไฟป่า ไฟไร่ ฝุ่นเมืองและฝุ่นการจราจร

และช่วยเพื่อนบ้านลดฝุ่นข้ามแดนแบบไม่ชี้นิ้วใส่ใครโดยไม่รู้จักทิศทางของลม

วีระศักดิ์ โควสุรัตน์
ประธานสภาลมหายใจกรุงเทพฯ

✨ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล

✨ประจำวันที่ 16 มีนาคม 2568

รางวัลที่ 1 รางวัลละ 6,000,000 บาท
757563

รางวัลเลขหน้า 3 ตัว รางวัลละ 4,000 บาท
595  927

รางวัลเลขท้าย 3 ตัว รางวัลละ 4,000 บาท
457  309

รางวัลเลขท้าย 2 ตัว รางวัลละ 2,000 บาท
32

รางวัลข้างเคียงรางวัลที่ 1 จำนวน 2 รางวัล รางวัลละ 100,000 บาท
757562  757564

ตรวจผลสลากกินแบ่งรัฐบาล รางวัลที่ 2 จำนวน 5 รางวัล รางวัลละ 200,000 บาท
989893  041134  465815  875925  748827

ตรวจผลสลากกินแบ่งรัฐบาล รางวัลที่ 3 จำนวน 10 รางวัล รางวัลละ 80,000 บาท
571016  750873  472259  455376  633053  
139119  141267  347605  246223  909970  

ตรวจผลสลากกินแบ่งรัฐบาล รางวัลที่ 4 จำนวน 50 รางวัล รางวัลละ 40,000 บาท
853348  802025  865801  074040  248923  
209713  247158  116520  532411  415164  
342135  492265  124537  964672  113275  
572952  074509  347176  252613  231327  
649727  856757  579180  427466  168423  
544466  546436  205246  120687  519010  
661839  344622  782028  883412  466815  
175231  214933  395960  369661  961506  
122064  830000  468063  295987  262297  
874836  566906  636983  408506  824008

เปิดโผ 43 ประเทศ ‘ทรัมป์’ เตรียมระงับวีซ่า ห้ามเดินทางเข้าสหรัฐฯ

(16 มี.ค. 68) เปิดโผรายชื่อ 43 ประเทศ ‘ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์’ เตรียมสั่งระงับวีซ่า ออกข้อจำกัดการเดินทางเข้าประเทศสหรัฐฯ เช็ครายละเอียดของประเทศต่าง ๆ รวมไว้ทั้งหมดที่นี่

ขณะนี้รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา กำลังพิจารณาออกข้อจำกัดการเดินทางที่เข้มงวดสำหรับพลเมืองของหลายสิบประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งภายใต้คำสั่งห้ามฉบับใหม่

สำหรับการเตรียมออกข้อจำกัดการเดินทางเข้าประเทศสหรัฐ ครั้งนี้ อ้างอิงแหล่งข่าวและบันทึกภายในระบุรายชื่อประเทศแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ทั้งกลุ่มที่จะถูกระงับวีซ่าสหรัฐโดยสมบูรณ์ กลุ่มที่จะถูกระงับวีซ่าบางประเภท และกลุ่มที่อาจถูกระงับการออกวีซ่าสหรัฐบางส่วน 

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ในการเตรียมออกข้อจำกัดการเดินทางเข้าประเทศสหรัฐครั้งนี้ ในเบื้องต้นจะประกอบไปด้วยประเทศต่าง ๆ รวมทั้งหมด 43 ประเทศ 

‘กรมราชทัณฑ์’ แจง!! ‘แยม’ กดไลก์ IG น้องชาย เป็นคนอื่นที่รู้รหัส ยัน!!อยู่ในคุก ถูกควบคุมเข้มงวด

(16 มี.ค. 68) กรมราชทัณฑ์ได้ออกเอกสารชี้แจง กรณีผู้ต้องขังสามารถกดไลก์อินสตาแกรมของน้องชาย โดยมีรายละเอียด ระบุว่า “ราชทัณฑ์ แจง กรณีผู้ต้องขัง ย. กดไลค์ ไอจี น้องชาย” วันที่ 15 มีนาคม 2568 จากกรณีที่เพจ Facebook ใช้ชื่อว่า บิ๊กเกรียน ได้โพสต์ข้อความ “ย. (เป็นผู้หญิง) ติดคุก แต่เล่น Social media ได้ไหม เห็นกด Like ใน Instagram น้องชาย ทาง อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เห็นแล้ว” โดยตีความว่าอาจเป็น “แยม ธมลพรรณ์” ซึ่งเป็นผู้ต้องขังที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในทัณฑสถานหญิงกลางนั้น

กรมราชทัณฑ์ ได้รับรายงานจากทัณฑสถานหญิงกลาง แจ้งว่า น.ส.แยม ธมลพรรณ์ คดีร่วมกับพวกฟอกเงินและชักชวนให้ผู้อื่นเข้าเล่นพนันออนไลน์ ซึ่งเป็นผู้ต้องขังที่อยู่ระหว่างพิจารณาคดี ยังคงอยู่ในการควบคุมตัวอยู่ภายในทัณฑสถานฯ ไม่สามารถใช้เครื่องมือสื่อสาร หรือสื่อโซเชียลใดๆ ได้ เนื่องจากทางทัณฑสถานฯ มีมาตรการอย่างเข้มงวด และไม่มีเครื่องสื่อสารซึ่งถือเป็นสิ่งของต้องห้ามเข้าภายในทัณฑสถาน รวมถึงคอมพิวเตอร์ภายในทัณฑสถานฯ จะใช้สําหรับการเยี่ยมญาติผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์เท่านั้น โดยมีเจ้าหน้าที่ควบคุมขณะการใช้งานตลอดเวลา ซึ่งการกระทําในครั้งนี้ สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากบุคคลอื่นที่รู้รหัสผ่านเข้าบัญชี Instagram ของ น.ส.แยมฯ หรือสามารถเข้าถึงข้อมูลในมือถือของ น.ส.แยมฯ ได้ จึงขอยืนยันว่า น.ส.แยมฯ ไม่สามารถกระทําการดังกล่าวได้อย่างแน่นอน

ทั้งนี้ การใช้เครื่องมือสื่อสารหรือสื่อโซเชียลใดๆ ไม่สามารถเข้าภายในเรือนจํา/ทัณฑสถานได้ ซึ่งถือเป็นสิ่งของต้องห้าม นอกเสียจากการนําไปใช้ในด้านการศึกษาหรือเพื่อการเยี่ยมญาติผ่านระบบแอปพลิเคชั่นไลน์เท่านั้น และการเยี่ยมญาติดังกล่าว ก็มีกฎระเบียบที่ต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์ที่จะส่งผลกระทบสร้างความเสียหายให้กับทางราชการได้

ศาลสหรัฐฯ สั่ง!! ‘สตาร์บัคส์’ จ่าย 1.6 พันล้านบาท เหตุ ‘ชาร้อน’ หกใส่ตักลูกค้า ทางบริษัทออกแถลงการณ์!! แสดงความเสียใจ แต่ยืนยัน จะยื่นอุทธรณ์

(16 มี.ค. 68) พนักงานขับรถส่งของได้รับเงิน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1,677 ล้านบาท จากคดีฟ้องร้องของลูกค้าที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกน้ำร้อนลวกอย่างรุนแรง เมื่อเครื่องดื่มสตาร์บัคส์หกใส่ตักของเขาที่ร้านไดรฟ์ทรูในแคลิฟอร์เนีย

เมื่อวันศุกร์ที่ 14 มีนาคมผ่านมา คณะลูกขุนของลอสแองเจลิสเคาน์ตี้ตัดสินให้ไมเคิล การ์เซีย ที่ต้องเข้ารับการปลูกถ่ายผิวหนังและขั้นตอนอื่นๆ ที่อวัยวะเพศ หลังจากเครื่องดื่มชาร้อนหกใส่เขาทันทีหลังจากที่เขามันจากร้านในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 เขาได้รับบาดแผลที่ทำให้เกิดความพิการถาวรและมันเปลี่ยนแปลงชีวิตไปตลอดกาล ตามคำกล่าวของทนายความของการ์เซีย

การฟ้องร้องในคดีประมาทเลินเล่อดังกล่าว การ์เซียกล่าวหาพนักงานของสตาร์บัคส์ว่าไม่ได้ใส่เครื่องดื่มร้อนให้แน่นพอในถาดจนทำให้เขาเกิดอาการบาดเจ็บขึ้น

“คำตัดสินของคณะลูกขุนในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการเอาผิดสตาร์บัคส์กรณีละเลยความปลอดภัยของลูกค้าอย่างโจ่งแจ้ง และยังล้มเหลวที่จะแสดงความรับผิดชอบ” นิค โรว์ลีย์ หนึ่งในทนายความของการ์เซียกล่าวในแถลงการณ์

ด้านสตาร์บัคส์ออกแถลงการณ์แสดงความเห็นใจกับการ์เซีย แต่ก็ยืนยันว่าบริษัทมีแผนที่จะยื่นอุทธรณ์ เพราะเราไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของคณะลูกขุนที่ว่าพวกเราเป็นฝ่ายผิดในเหตุการณ์นี้ และเชื่อว่าค่าเสียหายที่ได้รับนั้นสูงเกินไป พร้อมย้ำว่าเรามุ่งมั่นในมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดในการจัดการกับเครื่องดื่มร้อน

ทั้งนี้ ร้านอาหารในสหรัฐเคยเผชิญคดีฟ้องร้องกรณีลูกค้าถูกน้ำร้อนลวกมาก่อน

หนึ่งในคดีที่มีชื่อเสียงในช่วงทศวรรษ 1990 คือคดีที่คณะลูกขุนในรัฐนิวเม็กซิโกตัดสินให้ผู้หญิงคนหนึ่งได้รับค่าเสียหายเกือบ 3 ล้านดอลลาร์ จากเหตุเธอถูกลวกจนมีแผลไหม้ขณะพยายามงัดฝาแก้วกาแฟที่ช่องบริการไดรฟ์ทรูของแมคโดนัลด์ ต่อมาผู้พิพากษาได้ลดค่าเสียหายลง และสุดท้ายคดีก็ยุติลงด้วยเงินที่ไม่เปิดเผยที่ต่ำกว่า 600,000 ดอลลาร์

Update เศรษฐกิจ!! ยังคงไม่เห็นทางสว่างของ ‘ประเทศไทย’ อุปสงค์โลกฟื้นตัวช้า สินค้าคงคลังของคู่ค้า ยังอยู่ในระดับสูง

(16 มี.ค. 68) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยแพร่บทความเรื่อง “ความท้าทายภาคการผลิตอีสานหลังโควิดคลี่คลาย” ซึ่งกล่าวถึงภาคอุตสาหกรรมของอีสาน ที่กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายเชิงวัฎจักร จากการที่อุปสงค์โลกฟื้นตัวช้าและสินค้าคงคลังของคู่ค้ายังอยู่ในระดับสูง

ในขณะที่ปัจจัยเชิงโครงสร้าง ที่มีภาคการผลิตที่ผลิตสินค้าที่ไม่ตอบสนองต่อความต้องการของโลกในปัจจุบัน โดยในปี 2566 อุตสาหกรรมที่เน้นส่งออก เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หดตัวลง โดยอุตสาหกรรมกลุ่มนี้ คิดเป็น 16% ของภาคการผลิต

การลงทุนใหม่ในภาคอีสาน ลดลงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 10 ปี แต่การลงทุนในอุตสาหกรรมอาหารยังดี และมีสูงมากเป็นอันดับ 1 โดยเฉพาะโรงงานน้ำตาล แปรรูปเนื้อสัตว์ และแป้งมันสำปะหลัง

ในช่วงปี 2565 – 2567 มีโรงงานปิดตัวลงไปสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี แต่บริษัทที่อยู่รอดมาได้ ต่างมีแนวทางในการเอาตัวรอดที่คล้ายกัน 4 ข้อคือ 1) การเพิ่มมูลค่า 2) การลดต้นทุน 3) การเพิ่มช่องทางจำหน่าย และ 4) การหาผู้ร่วมลงทุน โดยในแต่ละอุตสาหกรรมมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน

เศรษฐกิจภาคอีสานยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่ำ จากภาคการผลิตที่ยังมีปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งการผลิตสินค้าโลกเก่า และขาดปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ ในการผลักดันให้เศรษฐกิจอีสานเติบโต

ผู้ว่าธปท.ส่งสัญญาณคงดอกเบี้ยที่ 2% ชี้มีความเหมาะสมต่อภาวะเศรษฐกิจ: สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวปาฐกถาพิเศษต่อหอการค้าญี่ปุ่นว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.0% มีความเหมาะสมต่อสถานการณ์ปัจจุบันของไทย และธปท.ไม่มีแผนที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยบ่อย ๆ

ธปท. คว้ารางวัลระดับโลก “ธนาคารกลางแห่งปี 2568” Central Banking Publications สื่อชั้นนำด้านธนาคารกลางระดับโลก ได้มอบรางวัล “ธนาคารกลางแห่งปี 2568” (Central Bank of The Year 2025) ให้กับ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)  ในการมอบรางวัล Central Banking Awards ประจำปีนี้ เพื่อยกย่ององค์กรและบุคคลในแวดวงธนาคารกลางที่มีผลงานโดดเด่นด้านการดำเนินนโยบายการเงิน การกำกับดูแลทางการเงิน และการบริหารจัดการองค์กรในระดับสากล

สำหรับเหตุผลที่ธปท.ได้รับรางวัลนี้ ทางผู้จัดงานระบุว่า เป็นเพราะท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มสูงขึ้น และเศรษฐกิจภายในที่เผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้าง ธปท.ได้ “รักษาสมดุลอย่างชาญฉลาด” ระหว่างการสนับสนุนเศรษฐกิจไปพร้อมกับมุ่งมั่นรักษาเสถียรภาพด้านราคาและการเงินในระยะยาว

ราคาทองคำยังปรับตัวเป็นขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเช้าวันที่ 14 มี.ค. 68 สมาคมค้าทองคำรายงานว่า ราคาทองคำแท่ง 96.5% ของไทยเปิดตลาดช่วงเวลา 9.07 น. ราคาอยู่ที่ 47,500 บาทต่อบาททองคำ เพิ่มขึ้น 500 บาท จากราคาปิดตลาดเมื่อวานนี้

Update เศรษฐกิจฉบับนี้ ยังคงไม่มีข่าวคราว นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ จากรัฐบาล การคว้ารางวัลของ ธปท. ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า องค์กรอิสระ ที่ทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของประเทศ ทำได้ถูกทาง หวังว่า อีกหลายๆ หน่วยงาน จะช่วยกันรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ ประเทศไทย

รู้เรื่อง...ค่าไฟฟ้า (18) : ‘รองพีร์’ กับการแก้ปัญหา ‘ค่าไฟฟ้าแพง’ #1 ตรึงราคา ‘ค่าไฟฟ้า’ อย่างต่อเนื่อง เพื่อความเหมาะสม และเป็นธรรม

(16 มี.ค. 68) ‘ราคาพลังงาน’ เป็นปัญหาที่หมักหมมเรื้อรังมาอย่างยาวนาน โดยที่ผ่านมาหน่วยงานภาครัฐอย่างเช่นกระทรวงพลังงานซึ่งทำหน้าที่รับผิดชอบแทบจะไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ได้เลย ‘ราคาพลังงาน’ สร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อประเทศชาติโดยรวมในทุก ๆ มิติ อย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง จนกระทั่งเรื่องของความมั่นคง ฯลฯ นับวัน ปัญหาจาก ‘ราคาพลังงาน’ ก็ยิ่งส่งผลกระทบกับสังคมไทยมากยิ่ง และเมื่อประเทศเจริญก้าวหน้ามากขึ้น ภาครัฐจึงต้องเริ่มปล่อยมือจากรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภค อาทิ การบทบาทในการผลิตไฟฟ้าด้วยการลดการลงทุนสร้างโรงงานผลิตไฟฟ้าโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย แล้วอนุญาตให้เอกชนเข้ามาทำหน้าที่ผลิตไฟฟ้าแทน เพื่อนำงบประมาณส่วนนี้ไปใช้จ่ายลงทุนในด้านอื่น ๆ แทน

อีกทั้งยังมีคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานซึ่งเป็นองค์กรอิสระมาทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการไฟฟ้าทั้งระบบ ดังนั้นรับมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานที่ผ่านมาส่วนใหญ่จึงปล่อยให้สถานการณ์ ‘ราคาพลัง’ เป็นไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งแปลง่าย ๆ ว่า “ปล่อยให้ ‘ราคาพลังงาน’ เป็นไปตามยะถากรรม” และใช้กลไกเดิม ๆ ที่มีอยู่เข้าจัดการ เช่น “กองทุนน้ำมัน” ในการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลและก๊าซหุงต้ม (LPG) ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและส่งผลกระทบอย่างสำคัญของค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชนคนไทย (จนปัจจุบัน “กองทุนน้ำมัน” ติดลบไปแล้วร่วมหนึ่งแสนล้านบาท) อีกทั้งการแปรรูป ‘การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย’ รัฐวิสาหกิจที่ทำหน้าบริหารจัดการธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซของชาติ จนกลายเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ จึงทำให้ต้องสูญเสียจุดยืนในการเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานของรัฐ แทนที่จะดำเนินกิจการเพื่อเป็นการให้บริการในลักษณะที่สามารถช่วยเหลือพี่น้องประชาชนคนไทยได้ กลายเป็นบริษัทเอกชนที่ต้องให้ความสำคัญกับประโยชน์ขององค์กรอันได้แก่ ‘ผลกำไร’ เป็นลำดับแรก และทำให้แนวคิดตลอดจนวิธีในการดำเนินการแปลกแยกไปจากวัตถุประสงค์แรกตั้งไปโดยสิ้นเชิง ‘ราคาพลังงาน’ ในส่วนของเชื้อเพลิงพลังงานจึงกลายเป็นเรื่องที่มีการอ้างว่าเป็นไปตามกลไกของตลาดโลก จึงทำให้ชัดเจนว่า ‘ราคาเชื้อเพลิงพลังงาน’ เป็นไปตาม ‘ยะถากรรม’ อย่างสิ้นเชิง 

รวมทั้งที่ผ่านมา รัฐมนตรีที่ดูแลรับผิดชอบกระทรวงพลังงานส่วนใหญ่กลับเป็นอดีตผู้บริหารของบริษัทพลังงาน ดังนั้นการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อให้ ‘ราคาพลังงาน’ เป็นธรรมแก่พี่น้องประชาชนคนไทยจึงกลายเป็นความยากยิ่งและถูกปล่อยปละละเลยมาโดยตลอด กระทั่งในปี พ.ศ. 2566 เมื่อ ‘รองพีร์ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เข้ามาดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ไม่ได้ “ปล่อยให้ ‘ราคาพลังงาน’ เป็นไปตามยะถากรรม” และใช้เพียงแต่กลไกเดิม ๆ ที่มีอยู่เข้าจัดการเท่านั้น โดยได้มีการศึกษาข้อมูลตามสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น โดยมีความพยายามทำให้ ‘ราคาพลังงาน’ ทั้ง ‘น้ำมันเชื้อเพลิง’ และ ‘ไฟฟ้า’ ซึ่งมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยนั้น ถูกต้อง เหมาะสม และเป็นธรรมพี่น้องประชาชนคนไทย แนวคิด “รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง” จึงได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นนโยบาย และถูกขับเคลื่อนปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน 

ตั้งแต่การเข้ารับตำแหน่งในส่วนของการแก้ไขปัญหา ‘ค่าไฟฟ้าแพง’ โดย ‘รองพีร์’ (1)ได้ผลักดันให้มีการลดค่าไฟฟ้าให้แก่ประชาชนจนกระทั่งสามารถตรึงราคาค่าไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องไม่ให้สูงขึ้นตามที่มีการคาดการณ์เอาไว้ และยังคงมีการตรึงราคาค่าไฟฟ้าไว้อยู่จนทุกวันนี้ แม้จะทำให้ กฟผ. ต้องแบกรับภาระหนี้ร่วมหนึ่งแสนล้านบาทก็ตาม ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ และเพื่อไม่ให้กระทบต่อความเป็นอยู่ของพี่น้อง (2)ได้มีความพยายามในการปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ (Pool gas) เพื่อให้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติในภาพรวมลดลง และเพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซ รวมทั้งเร่งรัดติดตามการขุดเจาะและผลิตก๊าซจากอ่าวไทยเพื่อลดต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า ด้วยในปัจจุบันการผลิตไฟฟ้าของไทยกว่า 60% ใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติ 

ด้วย พรบ. การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 ทำให้ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้านั้นอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ทั้งหมด โดยเฉพาะค่า FT (Fuel Adjustment Charge (at the given time)) ซึ่งใช้ในการคำนวนเพื่อปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ หรือ ‘ค่าไฟฟ้าผันแปร’ อันเป็นค่าไฟฟ้าที่ปรับเปลี่ยนเพิ่มขึ้นหรือลดลง ตามการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าจากเอกชนหรือประเทศเพื่อนบ้าน รวมไปถึงค่าใช้จ่ายที่การไฟฟ้าไม่สามารถควบคุมได้ โดย กกพ.เป็นผู้พิจารณาปรับค่า Ft ทุก 4 เดือน นับแต่ กกพ.ชุดแรกเข้ามาทำหน้าที่ดังกล่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานที่ผ่านมาต่างปล่อยให้ กกพ.เป็นผู้ดำเนินการกำหนดราคาค่าไฟฟ้า ดังนั้น ‘ค่า FT’ จึงถูกกำหนดให้เป็นไปตามเหตุและปัจจัยที่ กกพ. ได้พิจารณา แต่ ‘รองพีร์’ ได้พยายามคิดค้น แสวงหาวิธีการและมาตรการต่าง ๆ ในทุกรูปแบบเพื่อตรึงค่าไฟฟ้าภายในอำนาจหน้าที่ของกระทรวงพลังงาน เพื่อให้ผู้ผลิตไฟฟ้าทั้งรัฐและเอกชนมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำที่สุด และทำให้ค่า FT ต่ำที่สุด 

ดังเช่น ค่าไฟฟ้าในงวดปัจจุบัน (มกราคม-เมษายน พ.ศ. 2568) ถ้าเป็นไปตามที่ กกพ.เสนอจะอยู่ที่หน่วยละ 5.49 บาท ซึ่ง ‘รองพีร์’ ไม่เห็นด้วย กกพ. จึงเสนอให้ราคาคงที่หน่วยละ 4.18 บาทเหมือนเดิม แต่‘รองพีร์’ ได้ขอให้ลดลงอีกหน่อยจนเหลือหน่วยละ 4.15 บาทการลดอัตราค่าไฟฟ้าจริงจึงอยู่ที่หน่วยละ 1.34 บาท ไม่ใช่ 3 สตางค์ตามที่เข้าใจกัน ซึ่ง ภาระดังกล่าวถูกผลักให้ ‘กฟผ.’ ต้องรับผิดชอบ โดยพี่น้องประชาชนคนไทยเป็นหนี้ ‘กฟผ.’ เพราะ ‘กฟผ.’ เรียกเก็บค่าไฟฟ้าต่ำกว่าต้นทุนของตัวเองจากนโยบายของรัฐที่จะไม่ให้พี่น้องประชาชนคนไทยผู้ใช้ไฟฟ้าต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้ามากจนเกินไป แต่จำเป็นทยอยใช้หนี้ดังกล่าวคืนให้กับ ‘กฟผ.’ เพื่อไปใช้หนี้คืนอีกทอดหนึ่ง ทำให้เกิดสมการที่ใช้ในการเก็บ ‘ค่าไฟฟ้าผันแปร’ ว่าจะต้องเก็บเท่าไรเพื่อที่ ‘กฟผ.’ จะมีเงินเพื่อนำไปใช้หนี้ตามข้อเสนอของกกพ.ตามแนวทางที่ได้กล่าวมา ซึ่ง ‘รองพีร์’ ตัดสินใจเสนอให้มีการยืดหนี้แล้วจ่ายบางส่วน ทำให้อัตราค่าไฟฟ้าจะอยู่ที่หน่วยละ 4.15 บาท ซึ่งเป็นแนวทางที่ทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยรับภาระน้อยกว่าที่กกพ.ได้เสนอมา และในขณะเดียวกัน ‘กฟผ.’ เองก็จะมีเงินเพื่อนำไปชำระหนี้จำนวนหนึ่ง และเมื่อมีโอกาสที่สามารถทำให้ต้นทุนลดลงได้อีก ‘กฟผ.’ จึงค่อยเรียกเก็บ ‘ค่า FT’ เพิ่มจากพี่น้องประชาชนคนไทยผู้ใช้ไฟฟ้าเพื่อมาเฉลี่ยใช้หนี้ดังกล่าวในอนาคตต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top