Friday, 9 May 2025
TheStatesTimes

ปธน.โปแลนด์ เผยต้องการนิวเคลียร์จากสหรัฐฯ เพื่อป้องกันการรุกรานจากรัสเซียในยุโรปตะวันออก

(14 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีอันด์แชย์ ดูดา ของโปแลนด์ได้ออกมาเรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาส่งอาวุธนิวเคลียร์เข้าประจำการในดินแดนโปแลนด์ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและเป็นเครื่องมือในการป้องปรามการรุกรานจากรัสเซียในอนาคต ซึ่งคำเรียกร้องดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่โปแลนด์ยังคงเผชิญกับความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงจากการรุกรานของรัสเซียในภูมิภาคยุโรปตะวันออก

ในคำแถลงของเขาเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (12 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีดูดาได้กล่าวว่า โปแลนด์จำเป็นต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งทางทหารในฐานะสมาชิกขององค์การนาโต้ (NATO) โดยการมีอาวุธนิวเคลียร์ในดินแดนของตนจะเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงการป้องปรามและเพิ่มความมั่นคงให้กับทั้งโปแลนด์และพันธมิตรในภูมิภาค

การเรียกร้องของประธานาธิบดีโปแลนด์มีขึ้นหลังจากความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างรัสเซียและชาติตะวันตก โดยเฉพาะในช่วงหลังจากการรุกรานยูเครนของรัสเซีย ซึ่งทำให้หลายประเทศในยุโรปตะวันออก เช่น โปแลนด์ รู้สึกถึงภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และต้องการเพิ่มความเข้มแข็งด้านการป้องกันประเทศ

แม้ว่าการประจำการของอาวุธนิวเคลียร์ในโปแลนด์จะเป็นการกระทำที่อาจกระตุ้นความตึงเครียดกับรัสเซีย แต่ประธานาธิบดีดูดาก็ยืนยันว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อการป้องกันประเทศในระยะยาว และจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงในภูมิภาค

การเรียกร้องของโปแลนด์ได้รับการสนับสนุนจากบางประเทศในนาโต้ แต่ยังคงมีคำถามเกี่ยวกับความเป็นไปได้และผลกระทบทางการเมืองจากการที่สหรัฐอเมริกาจะยอมรับคำขอนี้หรือไม่

นอกจากนี้ อันด์แชย์ ดูดา แห่งโปแลนด์ได้แสดงความยินดีต้อนรับข้อเสนอของประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง ที่จะขยายขอบเขตการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของฝรั่งเศสไปยังประเทศสมาชิกนาโต้ (NATO) อื่นๆ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในยุโรป โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันออกของยุโรปที่มีความตึงเครียดจากการรุกรานของรัสเซีย

ทั้งนี้ การขยายขอบเขตของอาวุธนิวเคลียร์ฝรั่งเศสอาจกลายเป็นประเด็นที่มีความสำคัญในกลุ่มนาโต้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญกับความตึงเครียดทางการเมืองและการทหารระหว่างประเทศมหาอำนาจต่างๆ การตัดสินใจในการขยายอาวุธนิวเคลียร์จะต้องพิจารณาผลกระทบทั้งในด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศ

ค่ายแถลงยอมรับแล้ว 'คิมซูฮยอน' คบกับ 'คิมแซรน' จริง แต่เป็นช่วงที่บรรลุนิติภาวะแล้ว เผยพระเอกดังเครียดและกดดันหนัก

(14 มี.ค.68) หลังจากที่วานนี้ต้นสังกัด'คิมซูฮยอน' (KimSooHyun) อย่าง GOLD MEDALIST ออกแถลงการณ์ถึงประเด็นดราม่าร้อน ระบุว่า "เราขอชี้แจงเกี่ยวกับคอนเทนต์ล่าสุด ที่พาดพิงถึง 'คิมซูฮยอน' ซึ่งออกอากาศทางช่อง YouTube HoverLab Inc ทางบริษัท GOLD MEDALIST จะชี้แจงข้อเท็จจริงและตอบโต้ข่าวลือที่ปราศจากความจริงเหล่านั้น ด้วยข้อเท็จจริงที่ชัดเจน และมีเหตุผลในสัปดาห์หน้า"

ความคืบหน้าล่าสุด ต้นสังกัดคิมซูฮยอน GOLD MEDALIS ออกแถลงการณ์เร่งด่วนในวันนี้ว่า โดยระบุว่าตอนแรกจะแถลงสัปดาห์หน้าทีเดียว แต่ตอนนี้สภาพจิตใจของ'คิมซูฮยอน'ไม่เป็นปกติ เพราะถูกสังคมประณามว่าเป็นต้นเหตุการเสียชีวิตของ'คิมแซรน' ทางค่ายจึงต้องออกมาแถลงเร่งด่วนในบางประเด็น 

- 'คิมซูฮยอน' นักแสดงชื่อดัง ออกมายอมรับว่าเคยคบหากับ 'คิมแซรน' จริง แต่เป็นหลังจากที่เธอบรรลุนิติภาวะแล้ว ทั้ง 2 เคยคบกัน ช่วงปี 19-20 ซึ่ง คิมแซรนบรรลุนิติภาวะแล้ว ทั้งนี้ ข้อกล่าวหาที่ว่าเขาคบกับเธอตั้งแต่ยังเป็นผู้เยาว์นั้นไม่เป็นความจริง ทางต้นสังกัดยังชี้แจงเกี่ยวกับ ภาพถ่ายของทั้งสองที่ถูกเปิดเผยโดยช่อง YouTubeว่าภาพทั้งหมดถูกถ่ายหลังจากที่คิมแซรนบรรลุนิติภาวะแล้ว

- ภาพถ่ายอีกชุดที่ยูทูบเบอร์ได้เผยแพร่เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2025 ว่า ภาพนี้ถูกถ่ายในวันที่ 24 ธันวาคม 2019 (วันคริสต์มาสอีฟ) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทั้งสองคบหากัน ส่วนภาพที่ยูทูบเบอร์อ้างว่าเป็นภาพจากปี 2016 นั้นไม่มีอยู่จริง เนื่องจากในเวลานั้นทั้งสองไม่ได้คบหากัน
- จดหมายรัก และภาพถ่ายช่วงที่คิมซูฮยอน เข้าเกณฑ์ทหารนั้น เป็นแค่จดหมายเขียนเล่าสารทุกข์สุขดิบ ตอนเขาฝึกทหารธรรมดา ๆ เท่านั้น ตอนนั้นยังไม่ได้คบกัน ที่เขียนในจดหมายว่า "ผมคิดถึงคุณนะ" ไม่ได้เขียนถึงคนรัก แต่เขียนบอกว่าคิดถึงเพื่อนคิดถึงคนรู้จักแค่นั้นเอง  ทางต้นสังกัดยังอธิบายเกี่ยวกับ คำว่า 'แซโรแนโร (새로네로)' ที่ถูกใช้ในจดหมาย โดยระบุว่า 'แซโรแนโร' เป็นชื่อที่คิมแซรนใช้เป็นฉายาของตัวเองบนโซเชียลมีเดียตั้งแต่ปี 2016 ไม่ใช่คำที่ใช้เรียกระหว่างเธอกับคิมซูฮยอน

- ข้อกล่าวหาว่า 'คิมซูฮยอน' เพิกเฉยต่อปัญหาทางการเงินของ 'คิมแซรน' นั้นไม่เป็นความจริง เรื่องหนี้สินเป็นปัญหาระหว่าง'คิมแซรน'กับทางค่าย gold medalist (ซึ่งคิมซูฮยอนเป็นผู้ก่อตั้งและถือหุ้น) เท่านั้น ต้นสังกัดอธิบายว่าในช่วงหลังจากที่คิมแซรนถูกฟ้องร้องจากกรณีเมาแล้วขับ บริษัทได้ช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย รวมถึงค่าเสียหายที่ต้องจ่ายให้กับร้านค้าต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุของเธอ พร้อมกันนี้ทาง gold medalist ยังบอกอีกว่า บริษัทพยายามอย่างเต็มที่ในการลดภาระของ 'คิมแซรน' และหลังจากมีการเจรจา เราสามารถลดจำนวนหนี้ที่เหลือได้เหลือประมาณ 700 ล้านวอน

- ต้นสังกัดยังกล่าวอีกว่า 'คิมแซรน' นั้นพยายามอย่างเต็มที่ในการชำระหนี้ แต่เนื่องจากเธอประสบปัญหาในการกลับมาทำงานในวงการบันเทิง จึงทำให้การชำระหนี้เป็นไปได้ยาก เนื่องจากเธอไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ที่เหลือ ทางบริษัทจึงตัดสินใจรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เหลือทั้งหมด และได้ดำเนินการปิดบัญชีค่าใช้จ่ายในเดือนธันวาคม 2023 การกล่าวหาว่า 'คิมซูฮยอน' มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง หรือเรียกร้องเงินจากเธอนั้นไม่เป็นความจริง

- ตอนที่ 'คิมซูฮยอน' ได้รับข้อความจาก'คิมแซรน'ขอให้เขาผ่อนปรนหนี้ ทางค่าย gold medalist เองที่เป็นผู้ห้ามปรามเขาไม่ให้ตอบข้อความกลับไปเอง

- Gold Medalist เปิดเผยว่า คิมซูฮยอนกำลังเผชิญกับแรงกดดันทางจิตใจอย่างรุนแรงจากข่าวลือดังกล่าว โดยเดิมทีทางบริษัทวางแผนที่จะออกแถลงการณ์ในสัปดาห์หน้า แต่เนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จึงต้องรีบออกแถลงการณ์ก่อนกำหนด 

ร้านหม้อไฟชื่อดัง ประกาศจ่ายเงินชดเชยให้ลูกค้า 4,000 ราย หลังเกิดเหตุการณ์วัยรุ่นปัสสาวะลงในหม้อซุป สร้างความตกใจไปทั่วโลก

(14 มี.ค. 68) ร้านหม้อไฟชื่อดัง 'ไหตี่เลา' (Haidilao) ประเทศจีน ประกาศจ่ายเงินชดเชยเยียวยาให้กับลูกค้ากว่า 4,000 รายที่เคยไปใช้บริการที่สาขาหนึ่งในนครเซี่ยงไฮ้ หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ในร้านอาหารสาขาดังกล่าว โดยเหตุการณ์นี้ได้สร้างความไม่พอใจและความวิตกกังวลให้กับลูกค้าอย่างมาก

โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดหลังปรากฏคลิปวิดีโอวัยรุ่น 2 คนยืนปัสสาวะ ลงในหม้อซุปของทางร้านจนกลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก ทำให้เกิดความตกใจและไม่พอใจในหมู่ลูกค้าคนอื่นๆ รวมถึงผู้ที่ทำงานภายในร้าน 

ส่งผลให้ต่อมาร้านหม้อไฟชื่อดังได้ทำการแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในเมืองเจี้ยนหยาง มณฑลเสฉวน ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัท ซึ่งทางตำรวจได้เปิดเผยว่า 

ผู้ต้องหาทั้งสองราย คือชายแซ่ถังและแซ่อู๋ อายุ 17 ปี ได้ถูกจับกุมตัวและนำตัวไปสอบสวน โดยทั้งคู่ถูกตั้งข้อหาก่อเหตุที่ไม่เหมาะสมในสถานที่สาธารณะ ซึ่งทางตำรวจกำลังดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย

ทั้งนี้ ทางร้านไหตี่เลาได้ออกมาขอโทษลูกค้าและยืนยันว่า จะมีการปรับปรุงการบริการและการดูแลลูกค้าในทุกสาขา เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต นอกจากนี้ ทางร้านยังยืนยันว่าจะมีการทบทวนและปรับปรุงขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพภายในร้านอย่างเข้มงวดมากยิ่งขึ้น

บริษัทไหตี่เลา ระบุในแถลงการณ์ว่า “เราเข้าใจดีว่าความเดือดร้อนที่ลูกค้าของเราได้รับจากเหตุการณ์นี้ไม่อาจชดเชยได้ทั้งหมดด้วยวิธีใดๆ เราเต็มใจที่จะทำอย่างสุดความสามารถเพื่อรับผิดชอบ” 

สำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว จะได้รับการชดเชยเป็นเงินเยียวยาที่จะช่วยบรรเทาความเสียหายและความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น โดยทางร้านได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อดำเนินการอย่างรวดเร็วและยุติธรรม

มติ รทสช. ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความอำนาจแก้รัฐธรรมนูญ ให้ชี้ชัด ต้องทำประชามติถามความเห็นประชาชนก่อนหรือไม่

โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เผยพรรคมีมติเห็นชอบส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ ปมอำนาจสภาในการแก้รธน. ย้ำแก้รธน. เรื่องใหญ่ ทำประชามติใช้งบ 4,000 ลบ. จึงต้องรอบคอบ ชัดเจน 

(14 มี.ค. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงการประชุมร่วมรัฐสภาที่จะมีขึ้นในวันจันทร์ที่ 17 มีนาคม 2568 นี้ ซึ่งจะมีการพิจารณาใน 2 ญัตติเกี่ยวกับประเด็นอำนาจของรัฐสภาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย ญัตติขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ที่เสนอโดยสมาชิกวุฒิสภา และญัตติขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

โดยนายอัครเดช ระบุว่า แต่เดิมในเรื่องนี้ ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยที่ 4/2564 ออกมาแล้วว่า การจะแก้ไขรัฐธรรมนูญจำเป็นต้องมีการทำประชามติให้ได้รับความเห็นชอบจากประชาชนก่อนว่าสมควรให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ถ้าประชาชนเห็นสมควร จึงจะสามารถเดินหน้าขอแก้ไขตามมาตรา 256 เพื่อปูทางไปสู่การจัดตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(สสร.) และการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ในเมื่อขณะนี้เกิดปัญหาขึ้นว่ามีสมาชิกรัฐสภาบางส่วนเห็นต่างว่าสามารถเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญในที่ประชุมสภาได้ทันที โดยไม่ต้องทำประชามติ รับฟังความเห็นจากประชาชนก่อน

พรรครวมไทยสร้างชาติ จึงได้ประชุมและพิจารณาในเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน รอบคอบ เพื่อให้ประโยชน์สูงสุดตกอยู่กับประเทศชาติและคนไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ จึงได้มีมติเห็นสมควรว่า ให้เห็นชอบกับทั้ง 2 ญัตติดังกล่าว ในการส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความขอบเขตอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่จะมีการพิจารณาในวันจันทร์นี้ เพื่อให้สิ้นข้อสงสัย เกิดความกระจ่างชัดเจนและไม่เป็นประเด็นปัญหาในภายหลังที่อาจจะส่งผลเสียต่อประเทศชาติได้

“การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งการทำประชามติแต่ละครั้งต้องใช้งบประมาณมากถึง 4,000 ล้านบาท ดังนั้นเพื่อให้เกิดความชัดเจนและรอบคอบ พรรครวมไทยสร้างชาติ จึงเห็นควรว่าเป็นสิ่งที่ดีที่จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวให้เกิดความกระจ่างแจ้งอีกครั้ง” นายอัครเดช กล่าว

ศรชล.ภาค 1 หน่วยปกป้อง ป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายทางทะเล ครบรอบ 6 ปี

ที่อาคาร ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 1 (ศรชล.) อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พลเรือโท อาภา ชพานนท์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 เป็นประธานในพิธี จัดงานวันคล้ายวันสถาปนาหน่วย ศรชล.ภาค 1 ครบรอบ 6 ปี แห่งการก่อตั้ง โดยมีหัวหน้าหน่วยงาน กองทัพเรือ จากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนให้เกียรติมาแสดงความยินดี 

ซึ่งการจัดงาน เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาฯ ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อความเป็นสิริมงคลของหน่วยงาน อีกทั้งยังเป็นการสร้างความสามัคคีและความภาคภูมิใจแก่ กำลังพล และเป็นโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับหน่วยงานอื่น ๆ ในพื้นที่อีกทางหนึ่งด้วย

พลเรือตรี ไชยนันท์ ชูใหม่ รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 1 (ศรชล.ภาค 1) ผู้แทน ผอ.ศรชล.ภาค 1 กล่าวว่า ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 1 หรือ ศรชล.ภาค 1 ก่อตั้งขึ้นจากศูนย์ประสานการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เนื่องจากประเทศไทย มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับภารกิจทางทะเล อยู่หลายหน่วยงาน อาจมีช่องว่างในการประสานงาน จึงก่อเกิดการบูรณาการการปฏิบัติงานหน่วยงานทางทะเลต่าง ๆ ให้ร่วมกันปกป้อง ป้องกัน ปราบปราม รวมถึงอนุรักษ์ ในรูปแบบของศูนย์ประสานงาน   

ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เป็นส่วนราชการรูปแบบเฉพาะ มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล อันพึงได้รับจากกิจกรรมทางทะเล ในรูปแบบต่างๆ อาทิ การพาณิชยนาวี การประมง การท่องเที่ยว การแสวงประโยชน์จากทรัพยากรที่ไม่มีชีวิต การวางสายเคเบิลท่อใต้ทะเล การอนุรักษ์จัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง การป้องกันบรรเทาสาธารณภัย การสำรวจวิจัยวิทยาศาสตร์ทางทะเล ภายใต้การบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อ "นายกรัฐมนตรี"

โดยมุ่งเน้นความมั่นคงทางทะเล แบบองค์รวม จึงมีการบูรณาการหน่วยงานหลักของ ศรชล.7 หน่วยงาน ในการบังคับใช้กฎหมายในทะเล และให้ความคุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ประโยชน์ของชาติทางทะเล 

สำหรับผลการปฏิบัติงานที่สำคัญ คือ การช่วยเหลือประชาชนและนักท่องเที่ยว การส่งกลับผู้เจ็บป่วยสายแพทย์ การบูรณาการหน่วยงานทางทะเลและหน่วยงานความมั่นคงทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ในการสกัดการกระทำความผิดกฎหมายทางทะเล การทำลายสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง การส่งเสริมการท่องเที่ยว การสร้างความตระหนักรู้ผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เพื่อตอบสนองภารกิจ การแก้ไขปัญหา เพิ่มขีดความสามารถของหน่วยงานของรัฐในการป้องกัน ปราบปรามการกระทำผิดกฎหมาย ที่มีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติทางทะเล 

ผบช.สตม. ลงพื้นที่ชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก สนับสนุนหน่วยความมั่นคง ทหาร-ปกครอง เพิ่มความเข้มตรวจสอบขบวนการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย สกัดกั้นอาชญากรรมข้ามชาติ ขบวนการคอลเซนเตอร์ ส่งตัวกลับไปแล้ว 2,705 ราย

เมื่อวันที่ (13 มี.ค.68) เวลา 16.00 น. ที่ ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. วางมาตรการสกัดกั้นขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ แก๊งคอลเซนเตอร์  พร้อมทั้งกำชับให้เข้มงวดในการตรวจสอบเอกสารการเดินทางของกลุ่มสัญชาติเป้าหมายป้องกันการลักลอบไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ตามจุดตรวจตลอดแนวแม่น้ำเมย และช่องทางอื่น โดยให้มีผลการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

พล.ต.ท.ภาณุมาศ ฯ กล่าวว่า สตม. ได้เพิ่มความเข้มงวดในการกวดขัน ตรวจสอบโดยการตั้งจุดตรวจร่วม จุดสกัด ตามเส้นทางคมนาคมทางบก ก่อนเข้าพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก แล้วเดินทางไปยังพื้นที่พรมแดน เพื่อสกัดกั้น ขบวนการนำพาคนต่างด้าว รถยนต์ที่ต้องสงสัยให้เพิ่มการเฝ้าระวังเป็นพิเศษ และมีการจัดเก็บประวัติบุคคลไว้เป็นฐานข้อมูล เพื่อใช้สนับสนุนประโยชน์สำหรับงานสืบสวน หรือติดตามตัวบุคคล ทั้งนี้ได้มีการประชาสัมพันธ์คนต่างชาติที่เดินทางมาที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ไม่ให้หลงเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพหลอกลวงไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาสามารถคัดกรองและมีผู้สมัครใจเดินกลับไปแล้ว 45 ราย ส่วนภารกิจการรับคน ต่างด้าว จากประเทศเพื่อนบ้านเพื่อผลักดันส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร ได้กำชับให้ดำเนิการตามนโยบายรัฐบาล และ ข้อสั่งการของ สมช. โดยให้คำนึงถึง พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ ได้วาง ระเบียบและคำสั่ง ไว้เป็นแนวทาง มีมาตรฐานการปฏิบัติเดียวกัน ที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ. สตม. ได้ทำการผลักดันส่งกลับประเทศต้นทางไปแล้วทั้งสิ้น 2,705 ราย แบ่งเป็น สัญชาติจีน 2,040 ราย อินเดีย 549 ราย อินโดนีเซีย 84 ราย มาเลเซีย 25 ราย และ ฮ่องกง 7 ราย  เฉลี่ยรับตัววันละ 500 ราย

ผบช.สตม. กล่าวต่อว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ สตม. วางมาตรการป้องกันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อาจจะย้ายฐานปฏิบัติการเข้ามาในประเทศไทยจากการปราบปรามกลุ่มทุนสีเทาอย่างหนักในประเทศเมียนมา พร้อมกำชับห้ามมีเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องหากพบจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดและขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนชาวไทยและชาวต่างชาติอย่าหลงเชื่อกลุ่มมิจฉาชีพชักชวนให้ไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้านโดยอ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนที่สูง หากประชาชนพบเห็นหรือมีเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำความผิด สามารถแจ้งข้อมูลมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

📍 ที่อยู่: อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 11120
📞 โทรศัพท์: ติดต่อสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่
🌐 เว็บไซต์: www.immigration.go.th 

‘ทรัมป์’ สนับสนุนผนวกกรีนแลนด์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ รัฐบาลกรีนแลนด์ลั่นไม่เห็นด้วย ขู่มะกันห้ามเข้ามาแทรกแซง

(14 มี.ค. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับอนาคตของกรีนแลนด์ โดยระบุว่า กรีนแลนด์มีโอกาสสูงที่จะผนวกเข้ากับสหรัฐฯ ในอนาคต ภายหลังจากที่ในช่วงปี 2019 เขาเคยเสนอให้สหรัฐฯ ซื้อกรีนแลนด์จากเดนมาร์ก ซึ่งได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย

ทรัมป์กล่าวในการให้สัมภาษณ์ล่าสุดว่า กรีนแลนด์เป็นดินแดนที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์และตั้งอยู่ในตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญในภูมิภาคอาร์กติก ซึ่งมีความสำคัญต่อความมั่นคงทางการทหารและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เขาชี้ว่า กรีนแลนด์มีทั้งทรัพยากรแร่ธาตุและการเข้าถึงเส้นทางการค้าทางทะเลที่มีมูลค่าสูงในอนาคต

ทรัมป์กล่าวเสริมว่า “ผมเชื่อว่ากรีนแลนด์มีโอกาสที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ ในอนาคต เพราะมันมีความสำคัญทางภูมิศาสตร์และเศรษฐกิจอย่างยิ่ง ในขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงและมีการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้มข้นมากขึ้น”

แม้ว่าข้อเสนอดังกล่าวของทรัมป์ในอดีตจะไม่ได้รับการตอบรับจากรัฐบาลเดนมาร์กและประชาชนในกรีนแลนด์ แต่การพูดถึงความเป็นไปได้ในการผนวกกรีนแลนด์เข้ากับสหรัฐฯ ก็ยังคงเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากทั้งสื่อและนักการเมืองทั่วโลก

สำหรับกรีนแลนด์ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของเดนมาร์ก และมีการปกครองตนเองในหลายๆ ด้าน แต่ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรเดนมาร์ก โดยมีข้อตกลงระหว่างประเทศในเรื่องอธิปไตยและการปกครอง

ขณะที่ ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีมูเต เอเกเดแห่งกรีนแลนด์ที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่งได้ประกาศว่าจะเรียกประชุมผู้นำพรรคการเมืองต่างๆ ในประเทศ เพื่อแสดงจุดยืนและความไม่เห็นด้วยต่อแผนการผนวกกรีนแลนด์เป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “เราไม่สามารถยอมรับแผนการที่จะทำให้กรีนแลนด์กลายเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ โดยไม่มีการปรึกษาหารือกับประชาชนในกรีนแลนด์และรัฐบาลของเรา” เขายังเน้นย้ำว่า กรีนแลนด์มีความเป็นอธิปไตยและการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของประเทศต้องมาจากประชาชนและรัฐบาลของกรีนแลนด์เท่านั้น

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่งกล่าวว่า การประชุมครั้งนี้จะมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงให้เห็นว่า กรีนแลนด์ยังคงยืนหยัดในการรักษาความเป็นอิสระและอธิปไตยของตนเอง ไม่ให้มีการแทรกแซงจากภายนอก

กองทัพเรือ ปิดหลักสูตรการฝึกอาชีพให้ทหารกองประจำการ ก่อนปลดประจำการจากกองทัพเรือ

(14 มี.ค.68) พลเรือเอก วิจิตร ตันประภา ประธานคณะกรรมการพัฒนาอาชีพทหารกองประจำการกองทัพเรือ (คพท.) เป็นประธานในพิธีปิดหลักสูตรการฝึกอาชีพ ให้แก่ทหารกองประจำการ รุ่นที่ 2 ประจำปีงบประมาณ 2568 โดยมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมมอบวุฒิบัตรและแสดงความยินดีกับผู้ที่สำเร็จหลักสูตร ณ สโมสรสัญญาบัตร ฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

ตามที่กระทรวงกลาโหม มีข้อตกลงร่วมกับกระทรวงแรงงานในการพัฒนาบุคลากร ในด้านทักษะวิชาชีพให้กับทหารกองประจำการ ก่อนปลดประจำการจากกองทัพเรือ ไปประกอบอาชีพส่วนตัวนั้น คณะอนุกรรมการพัฒนาอาชีพทหารกองประจำการกองทัพเรือ ร่วมกับกรมฝีมือแรงงาสน กระทรวงแรงงาน โดยสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 17 ระยอง ได้จัดให้มีการฝึกอาชีพให้แก่ทหารกองประจำการในพื้นที่จังหวัดชลบุรี จำนวน 4 รุ่น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมเพิ่มพูนความรู้ และประสบการณ์ในวิชาชีพสาขาต่าง ๆ ให้สามารถนำความรู้ไประกอบอาชีพหารายได้เลี้ยงครอบครัว เมื่อปลดประจำการไปแล้ว

สำหรับการฝึกอบรมอาชีพในครั้งนี้เป็นการฝึกอบรมในรุ่นที่ 2 ประจำปีงบประมาณ 68 โดยได้รับสมัครทหารกองประจำการจากหน่วยต่าง ๆ ในพื้นที่สัตหีบ เข้ารับการฝึกอบรมอาชีพช่างทั่วไปและหลักสูตรฝึกอาชีพเสริม ประกอบด้วย หลักสูตรช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ หลักสูตรช่างเดินสายไฟฟ้าภายในอาคาร หลักสูตรช่างเชื่อมไฟฟ้าด้วยมือ หลักสูตรการบำรุงรักษารถยนต์ และหลักสูตรนิวไดร์เวอร์ ร่วมกับบริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี อะคาเดมี จำกัด โดยมีผู้เข้ารับการฝึกอบรม จำนวน 57 นาย

‘ศุภชัย’ ยก ศาสตร์พระราชา-เศรษฐกิจพอเพียง Soft Power ที่แท้จริง ย้ำหลัก 'พอเพียง รู้เท่าทัน มีภูมิคุ้มกัน' เป็นสูตรการพัฒนาที่ยั่งยืน

‘ดร.ศุภชัย‘ ยกศาสตร์พระราชา เศรษฐกิจพอเพียงคือ Soft Power ที่แท้จริงของไทย พร้อมย้ำหลัก 'พอเพียง รู้เท่าทัน มีภูมิคุ้มกัน' เป็นสูตรการพัฒนาที่ยั่งยืนที่โลกยอมรับ

ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) และอดีตเลขาธิการองค์การสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) กล่าวในการให้สัมภาษณ์พิเศษฐานเศรษฐกิจ เกี่ยวกับการผลักดัน Soft Power โดยเห็นว่า Soft Power ที่แท้จริงและทรงพลังของไทยไม่ใช่เพียงแค่มวยไทย หรืออาหารไทย แต่คือศาสตร์พระราชาและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งได้รับการยอมรับในเวทีระดับโลก

"หัวใจของ Sustainable Development คือ Sufficiency Economy ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 นี่คือ Soft Power ของไทยที่แท้จริง" ดร.ศุภชัย กล่าว

ปรัชญานี้ได้รับการยอมรับจากองค์การนานาชาติ โดยเฉพาะในเวทีสหประชาชาติ ในช่วงที่เป็นเลขาธิการ UNCTAD ได้พยายามผลักดันหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในเวทีการประชุมระดับโลกมาอย่างต่อเนื่อง เชื่อมั่นว่าหัวใจของเศรษฐกิจที่ยั่งยืนคือเศรษฐกิจพอเพียง และก็ได้รับการยอมรับในระดับโลก โดยเฉพาะการที่สหประชาชาติยกย่องให้วันที่ 5 ธันวาคม เป็นวัน World Soil Day หรือวันดินโลก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับในความเชี่ยวชาญของไทยในเวทีระดับโลก

"ความรู้เรื่องดินของเรามาจากพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เรานี่ที่หนึ่งในโลกเลย บางประเทศในแอฟริกาก็เคยมาขอให้ไทยไปช่วย" ดร.ศุภชัย กล่าว

นิยาม Soft Power ที่แท้จริงดร.ศุภชัย กล่าวว่าความหมายที่แท้จริงของ Soft Power 'Soft Power' คือการที่คุณมีอำนาจที่ไปหว่านล้อมคนอื่นได้ โดยที่คุณไม่ต้องใช้อะไรไปบังคับเขา ในขณะที่มวยไทย อาหารไทย และวัฒนธรรมบันเทิงอื่น ๆ เป็นส่วนที่ดีในแง่ของความสร้างสรรค์ (Creative) แต่ Soft Power ที่แท้จริงของไทยคือค่านิยม ปรัชญา และองค์ความรู้ที่คนไทยมี โดยเฉพาะหลักการ 'พอเพียง รู้เท่าทัน มีภูมิคุ้มกัน' ซึ่งเป็นสูตรของพระราชาชาวนาที่ควรได้รับการเผยแพร่ในระดับนานาชาติมากยิ่งขึ้น

"คนไทยเรามี 'สูตรของพระราชาชาวนา' ศาสตร์พระราชาของเรานี่เอง 'พอเพียง รู้เท่าทัน มีภูมิคุ้มกัน' อันนี้คือสิ่งที่เราต้องขยายออกไปให้มาก" ดร.ศุภชัย กล่าว

ดร.ศุภชัย ยังให้ความเห็นเกี่ยวกับการวัดความสำเร็จทางเศรษฐกิจว่าไม่ควรยึดติดเพียงตัวเลข GDP เพียงตัวเดียว เพราะการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไม่ใช่ตัวเลขตัวเดียวในการวัดการพัฒนา ตัวเลขการเติบโตที่สำคัญที่สุดคือการเติบโตของรายได้กลุ่มที่มีรายได้น้อยที่สุด 40% ของประเทศ

ล่าสุดขององค์การสหประชาชาติไม่ได้ใช้ GDP เป็นตัวชี้วัดหลักในการประเมินความสำเร็จทางเศรษฐกิจอีกต่อไป เพราะ GDP ไม่ได้รวมหลายปัจจัยสำคัญ เช่น เศรษฐกิจนอกระบบ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และงานบ้านที่ไม่ได้รับค่าตอบแทน

ดัชนีชี้วัดการพัฒนาที่สำคัญมันอยู่ที่ Social Indicator อย่างเช่นการศึกษาของเด็กเป็นยังไง ซึ่งสะท้อนแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ให้ความสำคัญกับมิติทางสังคมและการพัฒนามนุษย์ด้วย

การผสมผสานระหว่างหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนจะเป็นทางออกสำหรับประเทศไทยและโลกในการรับมือกับความท้าทายในอนาคต และนี่คือ Soft Power ที่แท้จริงของไทยที่ควรได้รับการส่งเสริมและเผยแพร่สู่เวทีโลก

16 มีนาคม พ.ศ. 2424 งานออกพระเมรุพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทา กุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี

ย้อนกลับไปเมื่อวันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2423 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมี พระบรมราชโองการให้แต่งเรือพระที่นั่งเพื่อเสด็จประพาสพระราชวังบางปะอินพร้อมพระมเหสีทุกพระองค์ เจ้าจอมมารดา เจ้าจอม และข้าราชบริพาร โดยก่อนวันเสด็จพระราชดำเนินนั้น พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ทรงพระสุบิน (ฝัน) ว่า พระองค์พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงกรรณาภรณ์เพชรรัตน์ฯ ทรงพระดำเนินข้ามสะพานแห่งหนึ่ง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงกรรณาภรณ์เพชรรัตน์ฯ ทรงพลัดตกน้ำลงไป พระองค์สามารถคว้าพระหัตถ์เอาไว้ได้ แต่พระหัตถ์ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอฯ ก็ลื่นหลุดจากพระหัตถ์พระองค์ไป พระองค์ทรงคว้าพระหัตถ์พระเจ้าลูกเธอจนทรงตกลงไปในน้ำด้วยกันทั้ง 2 พระองค์ ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงหวั่นพระทัย แต่ก็มิได้ทรงกราบบังคมทูลให้พระราชสวามีทรงทราบ และได้ตามเสด็จฯ ประพาสพระราชวังบางปะอินตามพระราชประสงค์

ในวันเสด็จฯ นั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เคลื่อนขบวนเรือต่าง ๆ ออกไปก่อนในเวลาประมาณ 2 โมงเช้า โดย พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงกรรณาภรณ์เพชรรัตน์ ประทับบนเรือเก๋งกุดัน โดยมีเรือปานมารุต ซึ่งเป็นเรือกลไฟจูงเรือพระประเทียบ หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสร็จพระราชกิจแล้ว จึงได้เสด็จพระราชดำเนินด้วยเรือพระที่นั่งโสภาณภควดีตามไป เมื่อขบวนเรือพระที่นั่งไปถึงบางตลาดนั้น จมื่นทิพเสนากับปลัดวังซ้ายลงมากราบทูลว่า “เรือพระที่นั่งพระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ซึ่งเรือปานมารุตจูงไปนั้นล่มที่บางพูด องค์สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงกรรณาภรณ์เพชรรัตน์ แลพระชนนีสิ้นพระชนม์”

หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงไล่เลียงกรมหมื่นอดิศรอุดมเดช พระยามหามนตรี และผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ โดยพระยามหามนตรีทูลว่า “เรือราชสีห์ซึ่งจูงเรือพระองค์เจ้าสุขุมาลมารศรีนั้น นำหน้าไปทางฝั่งตะวันออก โดยมีเรือโสรวาร ซึ่งพระยามหามนตรีไปจูงเรือพระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรีตามไปเป็นที่สองในแนวเดียวกัน ส่วนเรือยอร์ชของกรมหลวงวรศักดาพิศาล ซึ่งจูงเรือกรมพระสุดารัตนราชประยูรไปทางฝั่งตะวันตกแล่นตรงกันกับเรือราชสีห์ หลังจากนั้น เรือปานมารุตแล่นสวนขึ้นมาช่องกลางห่างเรือโสรวารประมาณ 10 ศอก พอเรือปานมารุตแล่นขึ้นไปใกล้ เรือราชสีห์ก็เบนหัวออก เรือพระประเทียบเสียท้ายปัดไปทางตะวันออก ศีรษะเรือไปโดนข้างเรือโสรวารน้ำเป็นละลอกปะทะกัน กดศีรษะเรือพระประเทียบจมคว่ำลง”

อย่างไรก็ตาม กรมหมื่นอดิศรอุดมเดชกล่าวว่า “เป็นเพราะเรือโสรวารหนีตื้นออกมา จึงเป็นเหตุให้เรือปานมารุตแล่นห่างกว่า 10 ศอก” ซึ่งกรมหมื่นอดิศรอุดมเดชและพระยามหามนตรีต่างซัดทอดกันไปมา โดยในขณะที่เรือล่มนั้น พระยามหามนตรีก็ได้ออกคำสั่งห้ามผู้ใดลงไปช่วยเหลือ ด้วยเป็นการขัดต่อกฎมณเฑียรบาลที่ห้ามให้ผู้ใดแตะต้องพระวรกายของพระมเหสี มิฉะนั้นจะถูกประหารทั้งตระกูล 

หลังจากนั้น จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้านายขึ้นไปไล่เลียงคนอื่น ๆ ดู แล้วจึงได้ความว่า พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ก็สวรรคตพร้อมด้วยพระราชบุตรในพระครรภ์พระชนม์  เดือนเต็ม ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเสียพระทัยยิ่งนัก และเนื่องจากเหตุการณ์นี้ทำให้มหาชนถวายพระนามพระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ว่า “สมเด็จพระนางเรือล่ม” พระศพของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงกรรณาภรณ์เพชรรัตน์ฯ ตั้งบำเพ็ญพระราชกุศลที่หอธรรมสังเวชภายในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่วันสวรรคต โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระโกศทองใหญ่ ซึ่งเป็นพระโกศสำหรับทรงพระบรมศพของพระมหากษัตริย์ สมเด็จพระอัครมเหสีและพระบรมวงศานุวงศ์ผู้ใหญ่ ให้ทรงพระศพสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ ซึ่งถือเป็นการพระราชทานพระเกียรติยศแก่สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ เป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั้น ได้มีการจัดการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพทั้ง 2 พระองค์ขึ้น ณ กลางทุ่งพระเมรุ เมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2424 และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินขึ้นพระราชทานเพลิงพระศพ ในวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2424

ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพในครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์ให้จัดพิมพ์หนังสือสวดมนต์รวมพระสูตร และพระปริตต่าง ๆ สำหรับพระราชทานแด่อารามต่าง ๆ เพื่อเป็นพระราชกุศลในวันถวายพระเพลิงพระศพ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการจัดพิมพ์หนังสือแจกในงานศพ และยังคงเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบัน

แหล่งที่มา - พิพิธภัณฑ์ออนไลน์ ตอนที่ 24 : เกร็ดประวัติศาสตร์ อันเกี่ยวเนื่องกับ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top