Sunday, 11 May 2025
TheStatesTimes

ผู้นำเบลารุส ขอยืนเคียงข้าง ทรัมป์ ซูฮกผลงานเข้าเป้า รับมือวิกฤตยูเครนได้ดี

(5 มี.ค. 68) สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า อเล็กซานเดอร์ ลูกาเชนโก (Alexander Lukashenko) ประธานาธิบดีเบลารุส ซึ่งถือเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของรัสเซีย ได้ออกมากล่าวว่า รัสเซียและเบลารุสจะได้รับประโยชน์จากท่าทีของสหรัฐฯ ต่อประธานาธิบดียูเครน โวโลดีมีร์ เซเลนสกี (Volodymyr Zelensky) รวมถึงความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรป (EU)

ในการให้สัมภาษณ์กับมาริโอ นาฟัล (Mario Nawfal) นักจัดรายการบนแพลตฟอร์ม X โดยลูกาเชนโกแสดงการสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึงชื่นชมแนวทางการจัดการสงครามยูเครนของเขา

“เพราะรัฐบาลชุดนี้ (ของทรัมป์) ทำให้ประเด็นการยุติสงครามกลายเป็นเรื่องเร่งด่วน" ลูกาเชนโกกล่าว พร้อมเสริมว่า "มันเป็นผลดีต่อพวกเรา ที่เขา (ทรัมป์) ทำให้เซเลนสกีรู้ที่ทางของตัวเอง”

สงครามยูเครนทำให้ลูกาเชนโกได้ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียมากขึ้น โดยปูตินได้ใช้ดินแดนเบลารุสเป็นส่วนหนึ่งของการโจมตียูเครน และยังส่งอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธีเข้าประจำการในเบลารุสด้วย

ลูกาเชนโกกล่าวว่าทรัมป์มีเป้าหมายเดียวคือยุติสงคราม ซึ่งเขามองว่าเป็นนโยบายที่ 'ยอดเยี่ยม'

“ผมพร้อมจะยืนเคียงข้างเขาและทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อยุติสงครามและทำให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้น” ลูกาเชนโก กล่าว

ทั้งนี้ สหรัฐฯ และ EU ได้ออกมาตรการคว่ำบาตรต่อเบลารุสหลายระลอกจากกรณีปราบปรามผู้เห็นต่างและการละเมิดสิทธิมนุษยชนภายหลังการเลือกตั้งปี 2020 รวมถึงบทบาทของเบลารุสในการช่วยเหลือรัสเซียโจมตียูเครน

ลูกาเชนโกยังกล่าวอีกว่า ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับ EU เป็นผลดีต่อเบลารุส “พูดตรงๆ มันเป็นผลประโยชน์ของผม และมันเป็นประโยชน์ต่อพวกเราที่สหรัฐฯ กับ EU มีความเห็นไม่ตรงกัน”

NATO ระส่ำ สหรัฐฯ เล็งถอนกำลัง-ตัดงบฯ ปล่อยชาติยุโรปรับภาระเอง นำไปสู่การล่มสลาย

(5 มี.ค. 68) สำนักข่าว Sputnik รายงานว่า อนาคตขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO อาจเข้าสู่จุดจบในไม่ช้า หลังจากอดีตผู้บัญชาการสูงสุดแห่งกองกำลัง NATO พลเรือเอก เจมส์ สตาฟริดิส (James Stavridis) ออกมาเตือนว่า จุดจบของ NATO อาจอยู่แค่ไม่กี่วันข้างหน้า

ขณะที่ คัม การ์ปองติเยร์ เดอ กูร์ดอง (Come Carpentier de Gourdon) นักวิเคราะห์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ เปิดเผยว่า สหรัฐฯ ภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีแนวโน้มจะใช้ยุทธศาสตร์ค่อยๆ ลดบทบาทใน NATO โดยไม่ถอนตัวในทันที แต่จะลดงบประมาณและดึงกำลังพลจากฐานทัพในยุโรปกลับประเทศ ปล่อยให้ชาติยุโรปต้องแบกรับต้นทุนป้องกันประเทศเอง

นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ที่วอชิงตันจะกดดันชาติสมาชิก NATO ให้เพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมขึ้นเป็น 5% ของ GDP ซึ่งอาจสร้างภาระหนักเกินรับไหว และนำไปสู่การล่มสลายของ NATO ในที่สุด

ด้าน ไมเคิล แชนนอน (Michael Shannon) คอลัมนิสต์จาก Newsmax แสดงความคิดเห็นว่า ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา NATO ดำรงอยู่ได้เพราะสหรัฐฯ แบกรับต้นทุนหลัก ขณะที่ประเทศสมาชิกกลับไม่จ่ายส่วนแบ่งอย่างเป็นธรรม พร้อมระบุว่า หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ สหรัฐฯ อาจลดบทบาทลงและปล่อยให้ยุโรปเผชิญชะตากรรมเอง ซึ่งจะทำให้ NATO ค่อยๆ สลายตัวลงราวกับลูกโป่งที่รั่ว

อธิบดีกรมประมงชื่นชม 'มหาสมุทรซีฟู้ด' เชื่อมเกษตรกร - ผู้บริโภค ช่วยยกระดับปลากะพง 3 น้ำ นำสินค้า GI จากสงขลาขึ้นห้างดัง

อธิบดีกรมประมงชื่นชม 'มหาสมุทรซีฟู้ด' ช่วยเกษตรกรยกระดับปลากะพง 3 น้ำทะเลสาบสงขลา ขึ้นห้างสยามพารากอน

(5 มี.ค. 68) อธิบดีกรมประมง ลงพื้นที่เยี่ยมชมร้าน 'มหาสมุทรซีฟู้ด' ณ Gour Market Siam Paragon ชั้น G (โซนซีฟู้ด) ซึ่งเป็นร้านจำหน่าย ปลากะพง 3 น้ำ จากกระชังของเกษตรกรในทะเลสาบสงขลา ตำบลเกาะยอ อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา ซึ่ง คุณภาพสูงที่ได้รับมาตรฐานสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) 'เป็นกลุ่มแรกและกลุ่มเดียวในประเทศไทย' เสริมเทคนิค ‘อิเคะจิเมะ’ เพิ่มมูลค่าผลผลิตยกระดับความสดอร่อยของเนื้อปลา โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมการเลี้ยงปลากะพงของเกษตรกรในพื้นที่ ยกระดับมาตรฐานการผลิต และสร้างโอกาสทางการตลาดให้เกษตรกรได้เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง

โดย 'ปลากะพง 3 น้ำ' เป็นปลาที่มีจุดเด่นในเรื่องคุณภาพการเลี้ยงที่ได้มาตรฐาน ผ่านการควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งกระบวนการเพาะเลี้ยง การจัดการน้ำ และอาหาร ทำให้ได้ปลาที่มีเนื้อสัมผัสแน่น รสชาติดี และมีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าปลาทั่วไป ปัจจุบัน ปลากะพง 3 น้ำ จากทะเลสาบสงขลา ถือเป็นรายแรกของไทยที่ใช้ระบบการเลี้ยงที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และกำลังอยู่ในขั้นตอนยกระดับให้เป็นปลาพรีเมียม เพื่อรองรับตลาดที่ต้องการสินค้าคุณภาพสูง

ซึ่งปลากะพง 3 น้ำ จากทะเลสาบสงขลามีคุณค่าทางโภชนาการสูง จากการศึกษาคุณค่าทางโภชนาการพบว่า ปลากะพง 3 น้ำ มีสารอาหารที่สำคัญ อุดมไปด้วยโปรตีน กรดไขมันโอเมก้า-3 และวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย  และสามารถรับประทานแบบดิบได้อย่างปลอดภัย ทำให้เป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้บริโภคที่ต้องการอาหารทะเลที่มีคุณภาพสูง อร่อย และปลอดภัย

การขยายตลาดสู่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำและเตรียม ร้าน 'มหาสมุทรซีฟู้ด' กำลังขยายตลาดไปยังห้างสรรพสินค้าชั้นนำอย่าง 'ท็อปส์' และซูเปอร์มาร์เก็ตระดับพรีเมียมทั่วประเทศ

จับตาชาติตะวันตกปักธงเอเชียกลาง หวังลดบทบาทมอสโก ฮุบพลังงานเป็นของตัวเอง

(5 มี.ค. 68) สำนักข่าว Sputnik รายงานว่า ภูมิภาคเอเชียกลางเอเชียกลาง กลายเป็นหัวข้อการประชุมใน “วัลได ดิสคัสชั่น คลับ” (Valdai discussion club) ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญและบุคคลทางการเมืองมากกว่า 50 คนจากอินเดีย อิหร่าน คาซัคสถาน จีน คีร์กีซสถาน มองโกเลีย ปากีสถาน รัสเซีย ทาจิกิสถาน และอุซเบกิสถาน เข้าร่วม

อเล็กซานเดอร์ สเติร์นนิค (Alexander Sternik) ผู้อำนวยการแผนกที่สามของกลุ่มประเทศ CIS ของกระทรวงต่างประเทศรัสเซีย กล่าวในงานประชุมว่า “กลุ่มยูโร-แอตแลนติกได้เชื่อมโยงเอเชียกลางเข้ากับยุโรปตะวันตก ผ่านทางคอเคซัสใต้ เพื่อลดความสนใจของภูมิภาคเหล่านี้ในการร่วมมือกับรัสเซีย”

“สเตอนิกเน้นย้ำว่าชาติตะวันตกมีความสนใจในการเข้าถึงแหล่งพลังงาน และศักยภาพในการขนส่งของประเทศต่างๆ ในเอเชียกลาง รวมถึงความใกล้ชิดกับอัฟกานิสถาน อิหร่าน รวมถึงจีน” 

ฟีโอดอร์ ลูเกียอานอฟ (Fyodor Lukyanov) ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยที่วัลได ดิสคัสชั่น คลับ มีความคิดเห็นสนับสนุนความคิดของสเติร์นนิค โดยเขาระบุว่า “นักลงทุนจากภายนอก ซึ่งไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเอเชียกลาง จะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะฉีกส่วนต่างๆ ของภูมิภาคออกไป และใช้ประโยชน์จากส่วนเหล่านี้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง” 

กฟผ ผุดแคมเปญ 'เปลี่ยนฤดูร้อน เป็นฤดูรัก(ษ์)' มอบส่วนลดค่าล้างแอร์ 15,000 สิทธิ์ทั่วประเทศ เริ่ม 15 มี.ค. นี้

กฟผ. ชวนลดค่าไฟฟ้าและลดโลกร้อน จับมือห้างสรรพสินค้าและร้านค้าออนไลน์ มอบส่วนลดค่าล้างเครื่องปรับอากาศ 200 บาท แก่ผู้ใช้เครื่องปรับอากาศติดฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 จำนวน 15,000 สิทธิ์ เริ่มลงทะเบียน 15 มีนาคม - 15 มิถุนายน 2568 ณ จุดขายห้างสรรพสินค้าและร้านค้าออนไลน์รวม 12 แห่ง

(5 มี.ค. 68) นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการล้างเครื่องปรับอากาศเบอร์ 5 ภายใต้แคมเปญ 'เปลี่ยนฤดูร้อน เป็นฤดูรัก(ษ์)' กับผู้แทนจากห้างสรรพสินค้าและร้านค้าออนไลน์ชั้นนำ มอบส่วนลดค่าล้างเครื่องปรับอากาศ 200 บาท จากค่าบริการล้างเครื่องปรับอากาศขนาดไม่เกิน 24,000 บีทียู สำหรับประชาชนที่ใช้เครื่องปรับอากาศติดฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 จำนวน 15,000 สิทธิ์ ณ ห้อง Press Conference อาคาร 50 ปี กฟผ. สำนักงานใหญ่ กฟผ. อ.บางกรวย จ.นนทบุรี

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ กฟผ. เปิดเผยว่า ภาวะโลกร้อนและอากาศร้อนส่งผลให้เครื่องใช้ไฟฟ้าทำงานหนักขึ้น โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศซึ่งใช้พลังงานสูงติดอันดับต้น ๆ ทำให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กฟผ. จึงร่วมมือกับห้างสรรพสินค้าและผู้จำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง จัดแคมเปญ 'เปลี่ยนฤดูร้อน เป็นฤดูรัก(ษ์)' โดยเริ่มต้นจากการรณรงค์ใช้เครื่องปรับอากาศติดฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ตามด้วยการบำรุงรักษาให้สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าแล้ว ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน ทั้งยังยืดอายุการใช้งานตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และส่งเสริมให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยการล้างเครื่องปรับอากาศทุก 6 เดือน จะช่วยประหยัดไฟฟ้าได้กว่า 23 หน่วย/เครื่อง/เดือน ซึ่งตลอดโครงการนี้จะช่วยประหยัดไฟฟ้าได้ 2.14 ล้านหน่วย คิดเป็นค่าไฟฟ้าที่ประหยัดได้ประมาณ 9 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1,119 ตันคาร์บอนไดออกไซด์/1 รอบการล้าง หรือ 6 เดือน

ประชาชนที่สนใจ สามารถยื่นเอกสารโดยใช้บัตรประชาชนและบิลค่าไฟฟ้าเดือนใดเดือนหนึ่งของปี 2568 ณ ห้างสรรพสินค้าและร้านค้าทั้ง 12 แห่ง ได้แก่ โฮมโปร เมกาโฮม เพาเวอร์บาย ไทวัสดุ บีเอ็นบีโฮม ดูโฮม โกลบอลเฮ้าส์ เดอะมอลล์ เอ็มโพเรียม สยามพารากอน ฮาร์ดแวร์เฮาส์ และร้านค้าออนไลน์นอคนอค ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม - 15 มิถุนายน 2568 หรือจนกว่าสิทธิ์จะครบ โดยจะต้องเป็นเครื่องปรับอากาศติดฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ขนาดไม่เกิน 24,000 บีทียู (จำกัด 1 คน/สิทธิ์/1 ครัวเรือน) ติดตามรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ กฟผ. www.egat.co.th และหน่วยงานพันธมิตรทั้ง 12 แห่ง

6 มีนาคม พ.ศ. 2502 พระบาทสมเด็จพระจ้าอยู่หัว รัชการที่ 9 เสด็จฯ เยี่ยม “พสกนิกรภาคใต้” ครั้งแรก

วันนี้เมื่อ 66 ปีก่อน เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จออกเดินทางประกอบพระราชกรณียกิจในการเยี่ยมพสกนิกรทางภาคใต้ครั้งแรก ระหว่างวันที่ 6 - 26 มีนาคม พ.ศ.2502 

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จโดยขบวนรถไฟพระที่นั่ง จากสถานีหลวงจิตรลดา เมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2502 เวลา 06.05 น. ระหว่างเส้นทาง ขบวนรถไฟพระที่นั่งได้เคลื่อนผ่านจังหวัดนครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ จนสิ้นสุดที่สถานีรถไฟชุมพร เวลา 17.45 น. ณ ที่นั้นนายส่ง มีมุทา ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร ในขณะนั้น พร้อม ข้าราชการตำรวจทหาร พ่อค้าประชาชน เผ้ารับเสด็จฯ ที่สถานีรถไฟชุมพร 

จากนั้นได้ประทับรถยนต์พระที่นั่ง ไปยังจวนผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร ซึ่งทางจังหวัดจัดถวายเป็นที่ประทับแรม และ เสวยพระกระยาหารค่ำ ก่อนเริ่มต้นการเสด็จพระราชดำเนินเป็นเวลา 20 วันด้วยรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินทั่วภาคใต้ 14 จังหวัด

7 มีนาคม พ.ศ. 2327 รัชกาลที่ 1 อัญเชิญ ‘พระแก้วมรกต’ มาประดิษฐานในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

วันนี้ เมื่อ 241 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญ 'พระแก้วมรกต' จากโรงพระแก้วในวัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) มาประดิษฐานในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ภายหลังเสร็จสิ้นการสร้างพระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่ง 'พระแก้วมรกต' หรือ 'พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร' เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาวไทยที่แกะสลักจากหยกอ่อนเนไฟรต์สีเขียวดังมรกต

สำหรับเหตุการณ์เกี่ยวกับ 'พระแก้วมรกต' หลังถูกอัญเชิญมาจากกรุงเวียงจันท์ มีเอกสารโบราณหลายฉบับกล่าวไว้ตรงกันว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงปราบดาภิเษก เมื่อเสร็จสิ้นการสร้างพระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดารามแล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระแก้วมรกตจากโรงพระแก้วในวัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) มาประดิษฐานในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม 'พระแก้วมรกต' หรือ 'พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร' พระคู่บ้านคู่เมืองของชาวไทย ประดิษฐาน ณ วัดพระศรีรัตนศาสดารามอย่างที่เราทราบกันในปัจจุบัน เมื่อวันจันทร์ ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 14 ปีมะโรง ตรงกับวันที่ 7 มีนาคม 2327 นับถึงปัจจุบัน (2568) เป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 241 ปี

จรัญ-อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อธิบายชัดข้อหา ‘อั่งยี่-ซ่องโจร’ เกิดจากปมฮั้วเลือกสว. ต้องอยู่ในอำนาจ ‘กกต.’ ตามกฎหมายโดยตรงไม่ใช่ดีเอสไอ หวัง 6 มีนาคม ‘บอร์ดคดีพิเศษ’ ไม่รับเป็นคดีพิเศษ เตือนหากรับอาจมีวิกฤติบางอย่างรออยู่ข้างหน้า!

เมื่อวันที่ (5 มี.ค.68) นายจรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ให้สัมภาษณ์ผ่าน ไทยโพสต์ เกี่ยวกับกรณีที่ คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) หรือ 'บอร์ดคดีพิเศษ' นัดประชุมวันที่ 6 มีนาคม เพื่อลงมติว่าจะรับกรณี ฮั้วเลือก สว.เป็น คดีพิเศษหรือไม่ ซึ่งกำลังเป็นที่จับตาของสังคม โดยเฉพาะใน ประเด็นข้อกฎหมายและอำนาจหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

นายจรัญระบุว่า กฎหมายเปิดช่องให้ดีเอสไอรับคดีอาญาได้ทุกคดี ผ่านมติของคณะกรรมการคดีพิเศษ แต่ปัญหาอยู่ที่ กรณีนี้เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นอำนาจของ กกต. ตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสว. โดยตรง

“รัฐธรรมนูญมีเจตนารมณ์ชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ฝ่ายการเมือง ไม่ว่าจะฝ่ายข้างมากหรือฝ่ายข้างน้อย เข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการเลือกตั้ง” นายจรัญกล่าว

อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อธิบายว่า กกต. ได้รับอำนาจให้จัดการเลือกตั้งโดยอิสระ หากไม่มีความเป็นกลาง การแข่งขันทางการเมืองจะไม่เป็นธรรม และอาจ กระทบต่อคุณภาพของระบบการเมืองการปกครองของประเทศ

นายจรัญ ชี้ว่า รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ชัดเจน ในมาตรา 49 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต. ว่าความผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ต้องอยู่ภายใต้การดำเนินการของ กกต.

“ถ้ามีการจ่ายเงิน จ่ายทอง วางระบบฮั้วกัน ถือเป็นความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งต้องอยู่ในอำนาจของ กกต.”

อย่างไรก็ตาม ประชาชนมองว่าการเลือก สว. ครั้งนี้มีปัญหา และเมื่อ กกต. ใช้เวลานานโดยไม่มีความคืบหน้า จึงเกิดแรงกดดันให้ผู้ร้องเรียนไปที่ดีเอสไอ

นายจรัญ ตั้งข้อสังเกตว่าดีเอสไอไม่สามารถรับทำคดีนี้ได้เอง เพราะเป็น ความผิดที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้อยู่ในอำนาจของ กกต. ซึ่ง หากมีเรื่องฟอกเงิน ก็ต้องให้ กกต. ตรวจสอบก่อน แล้วจึงส่งเรื่องให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)

นายจรัญ กล่าวถึงการที่ดีเอสไอตั้งข้อหา อั่งยี่-ซ่องโจร ว่าเป็น ความผิดอาญาตามกฎหมายทั่วไป ซึ่งอาจถูกใช้เป็นเหตุผลในการรับคดีนี้เป็นคดีพิเศษได้

“แต่ผมไม่เห็นด้วย เพราะดีเอสไอเป็นหน่วยงานที่ทรงอำนาจมาก มีอำนาจมากกว่าตำรวจ และที่สำคัญดีเอสไออยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของฝ่ายบริหารผ่านกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นสายตรงของคณะรัฐมนตรี”

นายจรัญ เตือนว่า หากปล่อยให้ดีเอสไอเป็นตัวหลักในการทำคดี และแยกความผิดเลือกตั้งออกจาก ข้อหาอั่งยี่-ซ่องโจร อาจทำให้ ดีเอสไอกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง

“นี่ไม่ใช่อั้งยี่ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมร้ายแรง เช่น ค้ามนุษย์ แต่มันเป็นอั้งยี่ที่เกิดจากการฮั้วเลือก สว. ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องอยู่ในอำนาจของ กกต.”

นายจรัญ เตือนว่า หากบอร์ดคดีพิเศษลงมติรับคดีนี้ เท่ากับเป็น การแย่งอำนาจ กกต.และอาจนำไปสู่การสร้างบรรทัดฐานเปิดช่องให้ฝ่ายการเมืองใช้ DSI แทรกแซง กระบวนการเลือกตั้งในอนาคต

“ถ้ารับคดีนี้เป็นคดีพิเศษ ต่อไปจะกลายเป็นบรรทัดฐาน ไม่ใช่แค่เรื่อง สว. แต่รวมถึงการเลือกตั้ง สส. และประชามติ ฝ่ายการเมืองที่กุมอำนาจรัฐอยู่ก็จะใช้ ดีเอสไอ รับทำคดีเลือกตั้งได้ทุกประเภท”

อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เสนอว่า ดีเอสไอควรให้ กกต. เป็นผู้ดำเนินคดีหลัก และหากมีหลักฐาน ควรส่งต่อให้ กกต. ไม่ใช่รับทำคดีเอง

“อยากให้สองหน่วยงานหารือกัน กกต. ทำหน้าที่ของตนเอง ส่วน ดีเอสไอมีข้อมูลอะไรก็ส่งให้ ไม่ใช่ให้รัฐบาลหรือฝ่ายการเมืองเข้ามาเป็นตัวตั้งตัวตี”

นายจรัญ ย้ำว่า กรรมการบอร์ดคดีพิเศษควรพิจารณาอย่างรอบคอบในวันที่ 6 มีนาคม เพราะหากลงมติรับคดีนี้เป็นคดีพิเศษเท่ากับหัก กกต. แย่งชิงบทบาท ซึ่งวิกฤตการณ์บางอย่างอาจจะรออยู่เบื้องหน้าก็ได้

“มั่นใจว่ามติบอร์ดคดีพิเศษ มีวิจารณญาณ พอจะไม่รับคดีนี้ แต่จะหาทางออกที่เหมาะสม” นายจรัญกล่าวทิ้งท้าย

ONE ประกาศแบน ‘เคียมรัน-เฟอร์รารี’ หลังพบใช้สารกระตุ้น พร้อมเปลี่ยนการตัดสินที่ทั้งคู่เคยดวลกันเป็น ‘ไม่มีผลการแข่งขัน’

ONE ประกาศแบน เคียมรัน นาบาติ นักสู้ชาวรัสเซีย และ เฟอร์รารี แฟร์เท็กซ์ นักชกชาวไทย จากการแข่งขัน หลังทั้งคู่ถูกตรวจพบสารต้องห้ามเป็นบวก พร้อมเปลี่ยนการตัดสินในไฟต์ที่ ‘เคียมรัน’ ชนะ ‘เฟอร์รารี’ เป็น “ไม่มีผลการแข่งขัน”

เคียมรัน และ เฟอร์รารี โคจรมาปะทะกันในฐานะคู่เอกภาคอินเตอร์ ของศึก ONE ลุมพินี 95 เมื่อ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งไฟต์ดังกล่าวในวันนั้นเป็น ‘เคียมรัน’ ปิดเกมชนะน็อก ‘เฟอร์รารี’ จนหลับกลางอากาศ ตั้งแต่ยกแรก ส่งผลให้เพิ่มสถิติไร้พ่ายไฟต์ที่ 23 ให้กับตัวเอง

ล่าสุดหลังผ่านพ้นการแข่งขันไปได้ไม่ถึง 2 เดือน เจ้าหน้าที่จากองค์กรตรวจสารกระตุ้นระหว่างประเทศ (International Doping Tests & Management: IDTM) ระบุว่า จากการเก็บตัวอย่างของทั้งคู่ในช่วงการแข่งขันเมื่อวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา 

โดยมีการตรวจพบสารต้องห้ามเป็นบวกตามอ้างอิงจากองค์กรต่อต้านการใช้สารต้องห้ามโลก (World Anti-Doping Agency: WADA) ซึ่งถือว่าผิดกฎระเบียบสากล โดยทางด้าน เคียมรัน มีผลตรวจสารต้องห้ามเป็นบวก 3 ชนิด ขณะที่ เฟอร์รารี ตรวจพบสารต้องห้ามเป็นบวก 2 ชนิด 

นำมาสู่การที่ ONE องค์กรศิลปะการต่อสู้ระดับโลก จึงประกาศลงโทษแบน ‘เคียมรัน’ จากการแข่งขันเป็นเวลา 1 ปี และลงโทษแบน ‘เฟอร์รารี’ 3 เดือน พร้อมเปลี่ยนการตัดสินในไฟต์ที่ทั้งคู่เคยดวลกันเป็น “ไม่มีผลการแข่งขัน”

สำหรับองค์กรตรวจสารกระตุ้นระหว่างประเทศ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศสวีเดน โดยในเดือน ก.ย.61 ได้ควบรวมกิจการกับองค์กรกีฬาปลอดสารต้องห้ามนานาชาติ (Drug Free Sport International: DFSI) เพื่อร่วมมือกันดำเนินงานต่อด้านการใช้สารต้องห้ามในวงการกีฬา ซึ่งปัจจุบันได้ทำงานร่วมกับองค์กรกีฬาชั้นนำมากกว่า 300 แห่งทั่วโลก อาทิ NFL, MLB, NBA, NASCAR, PGA Tour, LPGA และ NCAA

ในการแข่งขันของ ONE นอกจากจะมีการตรวจสอบด้านสุขภาพเพื่อความปลอดภัยของนักกีฬาทุกคนแล้ว ยังมีการตรวจหาสารต้องห้ามสำหรับนักกีฬาตามกฎระเบียบและมาตรฐานสากลเพื่อให้แน่ใจว่าการแข่งขันจะเป็นไปด้วยปลอดภัย ความเท่าเทียม และความยุติธรรมระดับสูงสุด

แฟนกีฬาการต่อสู้สามารถติดตามข่าวสารอัปเดตของ ONE ได้ที่เฟซบุ๊ก ONE Championship Thailand เว็บไซต์ ONEFC.com อินสตาแกรม ONEChampTh และ TikTok ONEChampTH

กวาดล้างให้สิ้นซาก คนไทยขายชาติแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ดำเนินคดีข้อหาหนักคนไทย 100 คน

เมื่อวานนี้ (5 มี.ค.68) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จตช./ผอ.ศปอส.ตร./ผอ.ศตคม.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) , พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท. , พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.สอท. , พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รอง ผบช.ทท. , พล.ต.ต.หญิง สุเจตนา โสตถิพันธุ์ ผบก.ศพฐ.1 , พล.ต.ต.ฉัตรชัย นันทมงคล ผบก.ศพฐ.2 , พ.ต.อ.วราวุฒิ เจริญชล รอง ผบก.สส. ภาค 2 และพ.ต.อ.ชัยรัตน์ วรุณโณ รอง ผบก.สอท.2 แถลงผลคดีสำคัญในกรณีที่คนไทยถูกจับกุมโดยตำรวจกัมพูชาในการกระทำความผิดอาชญากรรมทางด้านเทคโนโลยีที่ประเทศกัมพูชาแล้วส่งตัวกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2568  จำนวนทั้งสิ้น 119 คน ตามความต้องการของไทยที่ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ ได้ไปหารือกับทางตำรวจกัมพูชา ในการร่วมกันปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และขอทางประเทศกัมพูชาส่งตัวคนไทยให้มาลงโทษตามกฎหมายไทย

ในการจับกุมคนไทยโดยทางการกัมพูชาในครั้งนี้ เกิดจากความร่วมมือระหว่างนายกรัฐมนตรีของไทย น.ส. แพทองธาร ชินวัตร และนายกรัฐมนตรีฮุน มาแณต ของประเทศกัมพูชา ในการร่วมมือกันปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปราบปรามคนไทยที่ไปตั้งฐานร่วมกับชาวต่างชาติ กลุ่มทุนจีนสีเทา ในเขตประเทศกัมพูชาแล้วมาหลอกลวงคนไทย สร้างความเสียหายกับประเทศไทยและประชาชนคนไทยเป็นอย่างมาก

คนไทยจำนวน 119 คนได้ถูกทางการกัมพูชาจับกุมในเมืองปอยเปต เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ต่อเนื่องมาวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ทางการกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์และมีการออกข่าวหนังสือพิมพ์ภาคภาษาอังกฤษ ยืนยันว่าทุกคนสมัครใจที่จะเข้าร่วมกระทำความผิด ไม่มีถูกบังคับ เมื่อทั้งหมดถูกส่งตัวกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2568 ตามกฎหมาย ทั้งหมดได้ถูกนำเข้ากระบวนการคัดกรองคัดแยกเหยื่อโดยสหวิชาชีพที่จังหวัดสระแก้ว ซึ่งที่ผ่านมาในกรณีเช่นนี้ทางการกัมพูชาได้ส่งตัวคนไทยที่กระทำผิดเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาประเทศไทยหลายครั้ง แต่ทางกระบวนการคัดแยกคัดกรองเหยื่อไม่สามารถจะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลเหล่านี้ได้กระทำผิดเหล่านั้นจริง เนื่องจากพยานหลักฐานต่างๆ อยู่ในประเทศกัมพูชา ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้กลับไปร่วมแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาหลอกคนไทยซ้ำแล้วซ้ำอีก รวมทั้งทำให้มีคนไทยขายชาติอีกจำนวนมากได้เดินทางข้ามไปยังประเทศกัมพูชาร่วมกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เป็นชาวต่างชาติ กลุ่มจีนเทา มาหลอกลวงคนไทยในวงกว้าง เพราะเมื่อไปทำความผิดแล้ว สามารถจะใช้ช่องทางการตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์กลับมาประเทศไทยได้โดยอิสระไม่ต้องถูกดำเนินคดี ในการแก้ไขปัญหานี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้อนุมัติให้กำลังพลมากกว่าร้อยนายที่มีความเชี่ยวชาญด้านการสืบสวนจากกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี , กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , ตำรวจภูธรภาค 2 และสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ เข้ามาร่วมในการสืบสวนขยายผลพิสูจน์ข้อเท็จจริงในคดีคนไทยทั้ง 119 คน ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับความผิดเกี่ยวกับคดีอาชญากรรมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่ 

การคัดแยกเหยื่อโดยสหวิชาชีพและการสืบสวนขยายผลของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า ใน 119 คน มีคนที่เกี่ยวข้องกับการก่ออาชญากรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวน 100 คน ซึ่งเป็นเด็กและเยาวชน จำนวน 4 คน อยู่ระหว่างการดำเนินการของสหวิชาชีพ และอีก 15 คนอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีต่อไป ซึ่งศาลอาญาได้อนุมัติออกหมายจับจำนวน 102 คน โดยเป็นคนไทย 100 คน และขยายผลไปยังหัวหน้าแก๊งชาวจีนอีก 2 คน ในข้อหา "ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันเป็น อั้งยี่, ซ่องโจร, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูล คอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือ ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” ตามคำร้องขอของคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนเมื่อวันที่ 3  มีนาคม 2568 

จากการสัมภาษณ์และคัดแยกกลุ่มตามสถานที่ที่บุคคลเหล่านี้ไปทำงานในประเทศกัมพูชา พบว่าคนไทยที่ทำงานที่ตึกภูมิตาสวน สามารถออกหมายจับคนไทย 100 ราย และบอสชาวจีน 2 ราย ในการหลอกลงทุนเทรดหุ้น โรแมนซ์สแกม เว็บพนันออนไลน์ การหลอกเป็นเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าและกรมที่ดิน ส่วนอาคาร K2 พบคนไทยจำนวน 15 คน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีต่อไป

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า ขอขอบคุณนายกรัฐมนตรีฮุน มาแณต ของกัมพูชา ที่ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สามารถดำเนินคดีในข้อหาหนักกับคนไทยที่ไปร่วมกับชาวต่างชาติตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกคนไทยในประเทศกัมพูชา ที่มีโทษสูงสุดถึง 15 ปี จากนี้ไป จะไม่มีพวกกลุ่มคนไทยขายชาติใช้ช่องทางการตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์เพื่อหลบหนีการกระทำความผิดอีกต่อไป และทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะเอาตัวคนไทยขายชาติเหล่านี้มาลงโทษในประเทศไทยในข้อหาองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและความผิดอื่นทุกข้อหาที่เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาดและถึงที่สุดทุกคน 

ต่อจากนี้ ถ้ามีโทรศัพท์ หรือข้อความจากกลุ่มคนไทยขายชาติพยายามมาหลอกลวงท่านใด ให้ช่วยบอกคนไทยขายชาติเหล่านั้นระวังตัวให้ดี ตำรวจจะไปเอาตัวมาลงโทษอย่างสาสมเหมือนอย่างเช่นคดีคนไทย 119 คนนี้

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะดำเนินการยุทธการระเบิดสะพานโจรอย่างจริงจังและต่อเนื่องในการทำลาย 3 เสาหลักของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้แก่ สัญญาณโทรศัพท์เน็ต บัญชีธนาคาร คนที่กระทำความผิด และคนไทยขายชาติ 

วันนี้เสาที่ 3 ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์คนไทยขายชาติได้ถูกตัดขาดโดยการดำเนินคดีข้อหาหนัก ในข้อหาอาชญากรรมข้ามชาติและความผิดที่เกี่ยวข้อง การทำลาย 3 เสาหลัก ทั้ง 3 เสานี้จะทำอย่างต่อเนื่อง จริงจัง จนกว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะหมดไปจากประเทศไทย ตามนโยบายของรัฐบาล โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top