Monday, 9 June 2025
TheStatesTimes

12 ธันวาคม พ.ศ. 2502 ‘กีฬาแหลมทอง’ ครั้งแรกจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ก่อนพัฒนามาเป็น ‘ซีเกมส์’ ในปัจจุบัน

สืบเนื่องจากการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 3 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในปี 2501 องค์กรการกีฬาของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เข้าร่วมการแข่งขัน ได้ร่วมประชุมก่อตั้งองค์กรการกีฬาในระดับภูมิภาค เพื่อจัดการแข่งขันกีฬาระหว่างประเทศสมาชิก เพื่อสนับสนุนความเข้าใจ และความสัมพันธ์อันดีต่อกัน

องค์กรดังกล่าวใช้ชื่อว่า สหพันธ์กีฬาแหลมทอง (SEAP Games Federation) มีประเทศสมาชิกประกอบด้วย ไทย มาเลเซีย เวียดนาม ลาว พม่า กัมพูชา ร่วมกันจัดการแข่งขัน กีฬาแหลมทอง หรือ SEAP Games (Southeast Asian Peninsular Games) กำหนดทุกๆ 2 ปี

การแข่งขันครั้งแรกจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 12-17 ธันวาคม 2502 เรียกว่า มีประเทศสมาชิกเข้าร่วมอยู่ 5 ประเทศ ได้แก่ พม่า, ลาว, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ไทย (สิงคโปร์มาเข้าร่วมภายหลัง ส่วนกัมพูชาไม่ได้ร่วมแข่งขัน)

กีฬาแหลมทองครั้งแรกมีการแข่งขันทั้งหมด 12 ประเภท คือ กรีฑา, แบดมินตัน, บาสเก็ตบอล, มวย, จักรยาน, ฟุตบอล, เทนนิส, ยิงปืน, ว่ายน้ำ, ปิงปอง, วอลเลย์บอล และยกน้ำหนัก ประเทศที่ได้เหรียญรางวัลมากที่สุดคือ ประเทศไทย รองลงมาคือ เมียนมาร์ และ มาเลเซีย

ต่อมา ไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันอีกครั้งในกีฬาแหลมทองครั้งที่ 4 ซึ่งจัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 9 – 16 ธันวาคม 2510 ครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเข้าร่วมในการแข่งขันด้วย โดยวันที่ 16 ธันวาคม 2510 ทรงรับการทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค

การแข่งขันกีฬาแหลมทองครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในปี 2518 ซึ่งเป็นครั้งที่ 8 จัดที่ประเทศไทย ก่อนจะเปลี่ยนเป็น ซีเกมส์ หรือ SEA Games (South-East Asian Games) ในปี 2520 และมีประเทศสมาชิกเพิ่มขึ้นคือ อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ และบรูไน รวมทั้งติมอร์-เลสเต ในเวลาต่อมา

13 ธันวาคม พ.ศ. 2534 ยูเนสโก ยกอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร และพระนครศรีอยุธยา เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม

วันนี้ เมื่อ 33 ปีก่อน คณะกรรมการมรดกโลกยูเนสโก ได้ประกาศให้อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร และอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม 

นอกจากนี้ ยังประกาศให้ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ และในวันเดียวกันนี้ในปีต่อมายูเนสโก ก็ได้มีมติให้ แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง อ.หนองหาน จ.อุดรธานี เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมเพิ่มอีกแห่ง

14 ธันวาคม พ.ศ. 2470 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงได้รับพระราชทานพระนาม ‘ภูมิพลอดุลเดช’ จาก รัชกาลที่ 7

เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2470 สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า มีพระหัตถเลขาถึงเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช ที่เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ซึ่งในหลวง รัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชสมภพที่นั่น เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2470 โดยระบุว่า ในหลวงรัชกาลที่ 7 ทรงพระราชทานพระนามว่า ‘ภูมิพลอดุลเดช’ 

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (สมเด็จย่า) ได้รับพระราชทานทางโทรเลขที่รัชกาลที่ 7 ทรงกำกับตัวสะกดเป็นอักษรโรมันว่า "Bhumibala Aduladeja"  ทำให้สมเด็จย่า ทรงเข้าพระทัยว่าได้รับพระราชทานนามพระโอรสว่า "ภูมิบาล" และในระยะแรกพระนามของพระองค์สะกดเป็นภาษาไทยว่า "ภูมิพลอดุลเดช" ต่อมา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเองทรงเขียนว่า "ภูมิพลอดุลยเดช" โดยทรงเขียนทั้งสองแบบสลับกันไป จนมาทรงนิยมใช้แบบหลังซึ่งมีตัว "ย" สะกด

พระนามของพระองค์มีความหมายว่า
• ภูมิพล - ภูมิ หมายความว่า "แผ่นดิน" และ พล หมายความว่า "พลัง" รวมกันแล้วหมายถึง "พลังแห่งแผ่นดิน"
• อดุลยเดช - อดุลย หมายความว่า "ไม่อาจเทียบได้" และ เดช หมายความว่า "อำนาจ" รวมกันแล้วหมายถึง "อำนาจที่ไม่อาจเทียบได้"

ตร.โสมใต้ค้นทำเนียบประธานาธิบดี หาหลักฐาน 'ยุนซอกยอล' ปมกฎอัยการศึก

(11 ธ.ค.67) สำนักข่าวยอนฮับรายงานว่า ตำรวจเกาหลีใต้ได้บุกเข้าตรวจค้นทำเนียบประธานาธิบดี เพื่อสืบสวนข้อกล่าวหาว่า ประธานาธิบดียุน ซอกยอล ได้ก่อการกบฏด้วยการประกาศกฎอัยการศึกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

ตามรายงานจากสำนักงานสืบสวนแห่งชาติ ซึ่งสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คณะเจ้าหน้าที่สืบสวนจำนวน 18 นาย ได้เข้าค้นหาหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการประกาศกฎอัยการศึก รวมถึงบันทึกการประชุมคณะรัฐมนตรีที่จัดขึ้นไม่นานก่อนที่ประธานาธิบดียุนจะประกาศกฎอัยการศึกเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม

หมายค้นระบุว่า ประธานาธิบดียุนเป็นผู้ต้องสงสัย โดยมีสถานที่เป้าหมายในการตรวจค้น ได้แก่ ทำเนียบประธานาธิบดี ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี และหน่วยรักษาความปลอดภัยประธานาธิบดี

รายงานก่อนหน้านี้ระบุว่า ประธานาธิบดียุนไม่ได้อยู่ในอาคารขณะที่มีการตรวจค้น อย่างไรก็ตาม ข้อมูลดังกล่าวยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ

ประธานาธิบดียุนถูกระบุเป็นผู้ต้องสงสัยในข้อหาก่อการกบฏ และถูกสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งนับเป็นประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนแรกที่ถูกห้ามเดินทางขณะยังดำรงตำแหน่ง

ตำรวจสงสัยว่าประธานาธิบดียุนอาจมีส่วนเกี่ยวข้องในการวางแผนก่อการกบฏ ซึ่งขณะนี้การสืบสวนยังคงดำเนินต่อไป

จีนเตรียมเปิดสะพานหวงเหมา เชื่อมจูไห่-เจียงเหมิน ลดเวลาขนส่งครึ่งหนึ่ง

(11 ธ.ค. 67) ซินหัวรายงานว่า สะพานข้ามทะเลหวงเหมา หนึ่งในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของจีนในมณฑลกวางตุ้ง เตรียมเปิดให้บริการทดลองในวันที่ 11 ธันวาคมนี้ สะพานนี้มีความยาวรวม 31 กิโลเมตร และเป็นเส้นทางเชื่อมเครือข่ายคมนาคมในเขตพื้นที่รอบอ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า โดยจะช่วยลดเวลาเดินทางจากเมืองจูไห่ไปยังเมืองเจียงเหมินจากกว่า 1 ชั่วโมง เหลือเพียงประมาณ 30 นาที

สะพานข้ามทะเลหวงเหมาเริ่มต้นที่ตำบลผิงซา เมืองจูไห่ และสิ้นสุดที่ตำบลโตวซาน เมืองเจียงเหมิน มีส่วนข้ามทะเลยาว 14 กิโลเมตร ออกแบบเป็นทางด่วน 6 เลนไปกลับ รองรับความเร็วสูงสุด 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นับเป็นโครงการข้ามทะเลแห่งแรกที่เริ่มก่อสร้างหลังการประกาศ "แผนพัฒนาเขตอ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า" ในปี 2020

สะพานนี้ประกอบด้วยสะพานหลัก 2 แห่ง ได้แก่ สะพานเกาหลานและสะพานหวงเหมาไห่ ซึ่งสะพานหวงเมาไห่ถือเป็นสะพานถนนที่สร้างบนตอม่อแบบสายเคเบิลที่มีช่วงกลางยาวที่สุดในโลก โครงสร้างสะพานได้รับการออกแบบให้ทนต่อแรงลม การเดินเรือ และแรงน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้เทคโนโลยีเสริมความแข็งแกร่งแนวตั้งแบบสายเคเบิลกลาง ช่วยลดการยุบตัวของสะพานได้ถึง 39%

สะพานข้ามทะเลหวงเหมาจะเชื่อมต่อกับเครือข่ายสะพานและทางข้ามทะเลอื่น ๆ เช่น สะพานจูเจียงฮวงผู่ สะพานหนานซา สะพานหู่เหมิน และสะพานฮ่องกง-จูไห่-มาเก๊า เพื่อเสริมสร้างเครือข่ายคมนาคมในเขตอ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งและการเชื่อมต่อเศรษฐกิจในภูมิภาค

ช่วงแรกของการเปิดให้บริการจะยกเว้นค่าผ่านทาง เพื่อสนับสนุนการใช้งานสะพาน โดยคาดว่าสะพานนี้จะช่วยขับเคลื่อนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและการเชื่อมต่อในภูมิภาคให้มีความสะดวกและทันสมัยมากยิ่งขึ้น

เปิดประวัติ ‘รองเอ็ด พ.ต.ท.อนุรักษ์’ ผู้ท้าชิงนายก อบจ.ตาก คนนี้ไม่ธรรมดา อดีตผู้ช่วย รมว.ดีอี - สนิทมือขวาลุงตู่

(11 ธ.ค.67) ภายหลังจากเกิดกระแสคนตาก อยากเปลี่ยน ทำให้กระแสของ รองเอ็ด - พ.ต.ท.อนุรักษ์ จิรจิตร ผู้สมัคร หมายเลข 2 ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.ตาก เข้มข้น ขึ้น เพราะ รองเอ็ด เคยเป็น ถึงผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทำงานปราบปราม อาชญากรรม ออนไลน์ ช่วยเหลือคนที่ถูกโกงถูกหลอกออนไลน์  รองเอ็ด นามสกุลเดิม 'เครือฟั่น' ได้รับ พระราชทานนามสกุลจาก ในหลวง ร.9 เป็น 'จิรจิตร'  

ประวัติการการศึกษา จบมัธยมตอนปลาย โรงเรียนตากพิทยาคม โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 29 รุ่นเดียว เสธฯ นิว พล.อ.นิธิ จึงเจริญ เสธฯนุ้ย พล.ท.ฐิตวัชร์ เสถียรทิพย์ สองเสธฯ ข้างกายของ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา อดีต นายกรัฐมนตรี ปัจจุบันเป็นองคมนตรี ระดับปริญญาตรี จบโรงเรียนนายเรือ ในส่วนของตำรวจน้ำ นอกจากนีปี้ ยังเป็นเพื่อนร่วมรุ่น หลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับผู้บริหารระดับสูงรุ่นที่ 25 (ปปร.25) กับ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เเละนายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน  

นอกจากนี้ ยังมีสายสัมพันธ์อันดีกับพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล อดีตผบ.ตร เพราะ เคยทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา ตอนสมัยเป็นผู้หมวดผู้กอง ที่กองกำกับการสายตรวจ 191 นอกจากนี้ ยังลงไปทำงาน ไปปฏิบัติราชการชายแดน ในสามจังหวัดชายแดนใต้ ก่อนที่จะตัดสินใจเข้าสู่การเมือง เข้าสังกัด พรรคพลังประชารัฐ สมัยพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี เข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมือง ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และต่อมาก็ดำรงตำเเหน่งกรรมการ ผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมทำงาน กับ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ตอนเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รับผิดชอบเกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ช่วงที่แก็งคอลเซ็นเตอร์ระบาดหนัก ร่วมแก้ปัญหาให้ประชาชนรู้เท่าทันมิจฉาชีพทางออนไลน์ที่ตกเป็นเหยื่อกลโกงรูปแบบ แก้ไขปัญหาข่าวปลอมที่กระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินประชาชน ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ยกระดับการให้บริการประชาชนผ่านสายด่วน การปราบปรามแก็งคอลเซ็นเตอร์ ร่วมกับ ตำรวจไซเบอร์ เป็นต้น

‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ ย้ำ ‘รัฐบาล’ หนุนสร้างระบบสถิติให้เข้มแข็งเพื่อรองรับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เชื่อมั่นข้อมูลคุณภาพสูงเพิ่มประสิทธิภาพการขับเคลื่อนประเทศ 

(11 ธ.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พร้อมด้วยนางปิยนุช วุฒิสอน  รองปลัดกระทรวงฯ และนายภุชพงค์ โนดไธสง ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมคณะกรรมการสถิติภายใต้คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (เอสแคป) ครั้งที่ 9 โดยนายประเสริฐ ร่วมกล่าวปาฐกถาพิธีเปิดการประชุม ‘สัปดาห์สถิติแห่งเอเชียแปซิฟิก’ ได้เน้นย้ำความสำคัญของข้อมูล และสถิติในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยและภูมิภาคอย่างยั่งยืน ซึ่งข้อมูล 

นายประเสริฐ กล่าวว่า นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนหลักในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว การสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจะช่วยให้สามารถผลิตข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิผล และส่งเสริมการไหลเวียนข้อมูลได้อย่างเท่าเทียมและปลอดภัย

“รัฐบาลไทยมุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากข้อมูลและเทคโนโลยีดิจิทัลในการพัฒนาประเทศ  โดยมีสำนักงานสถิติแห่งชาติ เป็นแกนหลักในการสร้างระบบข้อมูลที่เข้มแข็งเพื่อรองรับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งนอกจากการเข้าถึงข้อมูลแล้ว ข้อมูลต้องมีความถูกต้อง ทันเวลา และละเอียด เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายพร้อมกับการพัฒนาระบบทางสถิติให้มีความคล่องตัว สามารถตอบสนองความต้องการข้อมูลในปัจจุบัน ทั้งนี้การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและสร้างความเชื่อมั่นว่าไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลังนั้น จำเป็นต้องมีข้อมูลที่มีคุณภาพสูงเข้าถึง เชื่อถือได้ และอาศัยความร่วมมือและสนับสนุนจากทุกภาคส่วน จึงจะสามารถเสริมสร้างระบบข้อมูลด้านสถิติให้มีความเข้มแข็งได้อย่างต่อเนื่อง” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีกล่าว 

ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวเป็นเวทีสำคัญสำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้และความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาค รวมทั้งหารือเกี่ยวกับการดำเนินการที่สำคัญเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 โดยมีผู้แทนด้านสถิติจากประเทศสมาชิกเอสแคป มากกว่า 40 ประเทศเข้าร่วมการประชุมฯ ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่จะเรียนรู้ซึ่งกันและกัน แบ่งปันความรู้ความสำเร็จ นอกจากนี้ ยังได้กล่าวแสดงความขอบคุณเอสแคปและทุกภาคส่วนที่ตระหนักถึงบทบาทสำคัญของระบบสถิติที่เข้มแข็งและการร่วมมือกันเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของภูมิภาค

รมว.กต.เผยเยือนออสเตรเลียกระชับความร่วมมือรอบด้าน ทั้งความมั่นคงมนุษย์-อาหาร-พลังงาน-หลักสูตรส่งเสริมปัญญาประดิษฐ์ (AI) พร้อมชวนลงทุนในประเทศไทย 

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยระหว่างการเดินทางเยือนนครแอดิเลด รัฐเซาท์ออสเตรเลีย ประเทศออสเตรเลีย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย 'เพนนี หว่อง' เชิญเดินทางเยือน และได้มีการวางแผนการเยือนล่วงหน้าแล้วกว่า 3 เดือน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ และส่งเสริมความร่วมมือกันในด้านต่าง ๆ ระหว่างไทย และออสเตรเลีย ให้มีความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ก่อนที่การประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศ หรือ Thailand-Australia Biennial Foreign Ministers’ Meeting ซึ่งจัดขึ้นทุก ๆ 2 ปี ระหว่างไทย-ออสเตรเลียจะเริ่มต้นขึ้นว่า พัฒนาการความร่วมมือไทย-ออสเตรเลียนั้น ฝ่ายออสเตรเลียพร้อมสนับสนุนประเทศไทย ทั้งการจัดสรรงบประมาณจำนวน 222.5 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย สำหรับโครงการ Mekong-Australia Partnership ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนความร่วมมือในกรอบอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ทั้งด้านการฝึกอบรม การบริหารจัดการน้ำ การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมทั้งยังพร้อมสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพจัดประชุม OECD Southeast Asia Regional Programme หรือ SEARP ของไทย ซึ่งเน้นบทบาท และความมุ่งมั่นของไทยในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ และออสเตรเลีย ยังพร้อมจะร่วมมือกับประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการเกษตร อาหาร ยา วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม

นายมาริษ ยังเปิดเผยอีกว่า ในการประชุมฯ ดังกล่าว ยังได้หารือเรื่องการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ โดยให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมกันขับเคลื่อนความร่วมมือด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะความมั่นคงของมนุษย์ อาหาร และพลังงาน ให้เป็นรูปธรรม โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดกับประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ และในภูมิภาค โดยตนเองได้นำเสนอศักยภาพ และข้อได้เปรียบของประเทศไทย ซึ่งมีที่ตั้งในทำเลยุทธศาสตร์ สามารถเสริมสร้างความเชื่อมโยง ระหว่างออสเตรเลียกับภูมิภาคเอเชียตะวันออก, เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ โดยได้ยกตัวอย่าง EEC ที่ท่าเรือระนอง ตลอดจนโครงการ Landbridge ให้ได้รับทราบ พร้อมทั้งยังได้เชิญชวนให้ฝ่ายออสเตรเลียมาลงทุน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย ได้ให้ความสนใจ และเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีท่ามกลางการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ 

นายมาริษ ยังเปิดเผยอีกว่า ก่อนประชุมฯ ดังกล่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย ได้นำชมสถาบัน Australian Institute for Machine Learning หรือ AIML ซึ่งเป็นสถาบันชั้นนำด้านการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ โดยเน้นประโยชน์ด้าน พลังงาน การจัดการข้อมูล และการคำนวณ ซึ่งตนเห็นว่า ภารกิจและความเชี่ยวชาญของสถาบันฯ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล เรื่องการส่งเสริมอุตสาหกรรม และ Workforce สำหรับอนาคต โดยคำนึงถึงการหาสมดุล ระหว่างการจัดเก็บข้อมูลกับความเป็นส่วนตัว จึงได้มอบหมายให้เอกอัครราชทูตไทย ประจำออสเตรเลียแสวงหาแนวทางส่งเสริมความร่วมมือ ระหว่าง AIML กับสถาบันการศึกษาในไทย เพื่อจัดตั้ง School of AI ในการพัฒนาบุคลากร องค์ความรู้ และเทคโนโลยี AI ที่มีความรับผิดชอบ (Responsible AI) ต่อไป

ทั้งนี้ ประเทศออสเตรเลีย เป็นคู่ค้าอันดับ 7 ของไทย และไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 10 ของออสเตรเลีย ซึ่งระหว่างไทยและออสเตรเลียนั้น มูลค่าการค้ารวมกว่า 19,054.45 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยได้ดุลการค้ากว่า 5,375.80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และประเทศไทย มีการส่งออกไปออสเตรเลียประมาณ 12,214.62 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าสำคัญได้แก่ รถยนต์, อุปกรณ์และส่วนประกอบ, เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ, เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, ผลิตภัณฑ์ยาง, เม็ดพลาสติก และเครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ส่วนประเทศไทย มีการนำเข้าสินค้าจากออสเตรเลีย จำนวนราว 6,839.82 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันดิบ พืช และผลิตภัณฑ์จากพืช สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะ และผลิตภัณฑ์ถ่านหิน และเครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่ง และทองคำ เป็นต้น

นอกจากนั้น ประเทศไทย มีภาคธุรกิจ และผู้ประกอบการลงทุนในออสเตรเลียโดยรวมประมาณ 7,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อาทิ ปตท.สผ., บริษัทมิตรผล, บริษัทราช เครือไมเนอร์ และบริษัทบ้านปู และออสเตรเลียเอง มีการลงทุนในประเทศไทย จำนวนประมาณ 3,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อาทิ บริษัท Linfox, บริษัท Anca Manufacturing 

สำหรับตัวเลขด้านการท่องเที่ยวนั้น มีนักท่องเที่ยวออสเตรเลีย เดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยรวม 687,745 คน ขณะที่นักท่องเที่ยวไทย ไปท่องเที่ยวที่ออสเตรเลียรวม 107,320 คน รวมทั้งยังมีคนไทยในออสเตรเลีย จำนวน 113,751 คน แบ่งเป็นเป็นนักเรียน-นักศึกษา 25,887 คน โดยถือเป็นประเทศที่มีจำนวนนักเรียน-นักศึกษาในออสเตรเลียมากเป็นอันดับ 7 รองจากจีน, อินเดีย, เนปาล, โคลอมเบีย, ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม รวมถึงยังมีร้านอาหารไทยในออสเตรเลีย ประมาณ 2,200 ร้าน และคนออสเตรเลียในประเทศไทย ประมาณ 35,000 คน ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจ

ติดตม.เกาหลี ห้ามเข้าประเทศ พลาดควง'โรเซ่'โชว์ตัวโปรโมทเพลง

(11 ธ.ค. 67) “โรเซ่ BLACKPINK” เผยเองว่า “บรูโน่ มาร์ส” นักร้องระดับโลก ติดปัญหาตม.เกาหลี เข้าประเทศไม่ได้ ทำให้พลาดร่วมรายการ You Quiz on the Block

โรเซ่เผยว่า “บรูโน่ มาร์ส” นักร้องดังเจ้าของเพลงฮิต ‘APT’ ไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศเกาหลีใต้ได้ ส่งผลให้ไม่สามารถปรากฏตัวในรายการ You Quiz on the Block ทางช่อง tvN ตามกำหนดโดย โรเซ่ BLACKPINK ได้เปิดเผยเรื่องนี้ในรายการด้วยตัวเองว่า ปัญหาด้านวีซ่าของ “บรูโน่ มาร์ส” ทำให้เธอต้องถ่ายทำรายการเพียงลำพัง

ช่องยูทูปช่องหนึ่งได้ปล่อยทีเซอร์ตอนพิเศษที่ชื่อว่า A Surprise Appearance by Bruno Mars on You Quiz? โดยโรเซ่ ได้เล่าเรื่องราวสุดเซอร์ไพรส์เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้อย่างละเอียด

ในช่วงหนึ่งของทีเซอร์ “โรเซ่” กล่าวอย่างเสียดายว่า “บรูโน่ควรจะมาที่เกาหลีกับเธอ เขาถูกวางตัวให้มาปรากฏตัวในรายการ และเธอตื่นเต้นกับมันมาก แต่โชคร้ายที่ปัญหาเรื่องวีซ่าทำให้เขามาไม่ได้” ขณะที่ยู แจซอก พิธีกรของรายการ แสดงความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่โรเซ่ จะตัดสินใจโทรหาบรูโน่ มาร์ส ทันทีในรายการ

ข่าวนี้กลายเป็นกระแสฮือฮาไปทั่วโลกโซเชียล เนื่องจากการร่วมงานครั้งนี้ถูกคาดหวังไว้อย่างสูง หลังจากซิงเกิ้ล ‘APT’ ของทั้งคู่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามและยังคงเป็นที่พูดถึงในวงการเพลงสากล

การที่ บรูโน่ มาร์ส ไม่สามารถผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองของเกาหลีใต้ได้ สร้างความแปลกใจให้กับแฟน ๆ และสื่อต่าง ๆ ที่ตั้งคำถามถึงกระบวนการตรวจสอบวีซ่า แม้ว่าจะเป็นศิลปินระดับโลกที่มีชื่อเสียงก็ตาม

เหตุการณ์นี้ยังสะท้อนถึงความเข้มงวดของระบบตรวจคนเข้าเมืองเกาหลีใต้ ซึ่งไม่สนใจสถานะหรือชื่อเสียงของผู้เดินทางแต่อย่างใด แม้กระทั่งซูเปอร์สตาร์อย่าง บรูโน่ มาร์ส ยังประสบปัญหานี้ได้ ส่งผลให้การถ่ายทำรายการในวันนั้น โรเซ่ ต้องดำเนินรายการเพียงลำพัง แต่เธอก็ยังสามารถสร้างบรรยากาศที่สนุกสนานให้กับผู้ชมได้อย่างเต็มที่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top