Monday, 19 May 2025
TheStatesTimes

‘ดาวติ๊กต็อกจีน’ ทำคอนเทนต์ ‘ซอยนานา’ ไม่ปลอดภัย ชาวเน็ตจวก!! ใส่ร้ายเมืองไทย ทั้งที่ก็หากินในแผ่นดินไทย

(7 ธ.ค. 66) เป็นเรื่องอีกครั้ง หลังดาวติ๊กต็อกสาวชาวจีนที่เคยทำคลิปเมืองไทยไม่ปลอดภัย จนโดนทัวร์ลงไปรอบหนึ่ง ล่าสุดแต่งตัวนุ่งสั้นมาแกล้งยืนริมทางตอนกลางคืน เพื่อถ่ายคอนเทนต์สื่อว่า ‘ซอยนานา’ อันตรายสำหรับผู้หญิง ทั้ง ๆ ที่ตัวเองตั้งใจแต่งตัวมาทำให้ผู้ชายที่เดินผ่านไปมามอง เพื่อทำคอนเทนต์ดิสเครดิตเมืองไทยว่าที่นี่ไม่ปลอดภัย

โดยทางเพจเฟซบุ๊ก ‘ลุยจีน’ ได้ลงโพสต์ข้อความเกี่ยวกับกรณีนี้ว่า ดาว Douyin ชื่อคล้ายร้านสะดวกซื้อแห่งนึง พูดกับกล้อง “วันนี้ฉันขอเอาตัวมาลองเสี่ยงดูเพื่อจะบอกกับผู้หญิงทุกคนค่ะว่า ถ้าคุณมาที่นี่จะเกิดอะไรขึ้น”

👉ภาพตัดมาที่ซอยนานา เวลา 23.30 น. เธอเดินไปทางซอย มีกล้องซูมหน้าพวกชาวต่างชาติที่เหลือบมามองเธอ พร้อมข้อความ “ฉันเดินซอยนี้อย่างอกสั่นขวัญแขวน”

👉แล้วเธอก็แอบมาพูดกับกล้องว่า “เดี๋ยวฉันจะยืนอยู่ที่ซอยนี้นะคะ รอดูว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นต่อจากนี้” แล้วเธอก็ยืนริมทางเท้า มีผู้ชายร่างท้วมคนนึงยืนอยู่ข้างหลัง (ในคลิปบอกว่าเป็นบอดีการ์ดเผื่อเกิดเหตุไม่ดี)

👉เธอยืนรอไปเรื่อย ๆ กล้องแพนไปหลาย ๆ มุม จนสักพักมีชายชาวต่างชาติคนนึงเดินเข้ามาหาเหมือนพูดอะไรบางอย่างกับเธอ แล้วเธอก็โบกมือปฏิเสธพูด Sorry แล้วเดินออกมา

🔥จังหวะนี้เธอทำหน้าเหวอ พูดกับกล้องว่า “เมื่อกี้ผู้ชายคนนั้นมาทักทายฉันว่า How are you today? ค่ะ แต่บอกเลยถ้าจังหวะนั้น เขาดึงตัวฉันขึ้นมารับรองว่าฉันไหวตัวไม่ทันแน่ ๆ เพราะงั้นผู้หญิงที่มาที่นี่ถ้าอยู่ดี ๆ คุณโดนเข้าถึงตัว...รับรองว่าคุณหนีไม่ทัน”

🔥🔥เธอย้ำหน้ากล้องว่า “ฉันว่าที่นี่ผู้หญิงตัวคนเดียวห้ามมาเลยค่ะ เพราะอันตรายมาก ๆ เพราะคุณไม่รู้เลยว่าคุณเดิน ๆไปจะเจอกับคนอะไรแบบไหน”

🔥🔥🔥ประโยคสุดท้ายคือไฮไลท์ 📌 “คนที่มาเดินถนนเส้นนี้ 99% ไม่ใช่คนดีอะไรหรอกค่ะ” 来这边的99%的人他都不正经

งานนี้ทำเอาชาวเน็ตไทยเดือดไม่ใช่น้อย เพราะคอนเทนต์ที่เธอทำนั้น ค่อนข้างชัดเจนว่าจงใจจะดิสเครดิต ‘ซอยนานา’ เพราะพฤติกรรมของเธอแสดงออกมาให้คนรอบข้างต้องมองเธอด้วยสายตาแบบนั้น และอาจจะคิดว่าเธอเป็นสาวไซด์ไลน์

อีกทั้งในคลิปเธอยังมีการซูมหน้าผู้ชายต่างชาติที่เดินผ่านไปผ่านมา พร้อมใส่ทำนองเพลงให้ดูว่าพวกเขาเป็นคนที่มีเจตนาไม่ดี ทั้ง ๆ ที่แค่เดินผ่านกัน และก็เป็นตัวเธอเองที่แต่งตัวจัดเต็มชวนให้พวกเขาต้องมอง

ชาวโซเชียลจึงไม่พอใจที่เธอทำคอนเทนต์ที่ดูโอเวอร์จนเกินไป ไม่ต่างจากครั้งที่เธอเคยทำคอนเทนต์เมืองไทยไม่ปลอดภัย จนโดนทัวร์ลงอย่างหนักไปแล้ว

ซึ่งครั้งนี้ไม่เพียงแต่คนไทยจะไม่พอใจ ชาวเน็ตจีนที่รู้ว่าเธอมาขายพระเครื่องอยู่ในไทย ยังบอกอีกว่า “ตัวก็หากินอยู่กับเมืองไทย แต่ก็ชอบที่จะนำเสนอจุดด้อยของเมืองไทย กินบนเรือนขี้บนหลังคา!”

‘ชูวิทย์’ รอด!! กกต.ยกคำร้อง ปมรณรงค์ ‘ไม่เลือกพรรคกัญชา’  ชี้!! เป็นการวิจารณ์นโยบาย - แจกของไม่ได้เจาะจงผู้มีสิทธิ

(7 ธ.ค.66) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เผยแพร่คำวินิจฉัย กกต.สั่งยกคำร้องในคดีที่พรรคภูมิใจไทย ร้องว่า นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 มาตรา 73 (1) จัดทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้หรือจะเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด เพื่อจงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครหรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง หรือให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร หรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใด จากกรณีเมื่อมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. 2566 แล้ววันที่ 21 มี.ค.66 ที่ซอยละลายทรัพย์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ นายชูวิทย์ได้จัดกิจกรรมรณรงค์และมีการแถลงข่าว พร้อมแจกเสื้อ เข็มกลัด สติ๊กเกอร์ ‘ไม่เลือกพรรคบ้ากัญชา’ ‘ยกเลิกกัญชาเสรี’ แก่ประชาชน

โดย กกต.เห็นว่า การที่นายชูวิทย์จัดกิจกรรมดังกล่าว เพื่อแสดงความคิดเห็นของตนและวิพากษ์วิจารณ์นโยบายกัญชาเสรีของพรรคภูมิใจไทย ประกอบกับจากการตรวจสอบวิดีโอคลิป เอกสารการถอดข้อความการแถลงข่าวประกอบคำร้อง ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ในขณะที่นายชูวิทย์ดำเนินกิจกรรมรณรงค์ได้แจกเสื้อยืดคอกลม เข็มกลัด และสติ๊กเกอร์ ให้กับบุคคลที่เข้าร่วมกิจกรรมโดยพูดจูงใจให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง หรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใดแต่อย่างใด

โดยนายชูวิทย์แจกสิ่งของดังกล่าวให้กับประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรม ไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องแจกสิ่งของให้กับเฉพาะประชาชนที่เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งเท่านั้น การกระทำดังกล่าวของนายชูวิทย์จึงไม่เข้าข่าย หรือมีลักษณะเป็นการจัดทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครหรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใด หรือให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร หรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใด ประกอบกับไม่ปรากฏว่า นายชูวิทย์เป็นสมาชิกพรรคการเมือง หรือผู้ช่วยหาเสียงให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง หรือพรรคการเมืองใด รวมทั้งไม่ปรากฏพยานหลักฐานอื่น ที่ยืนยันได้ว่ามีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายตามข้อกล่าวหา ข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้ว่านายชูวิทย์กระทำการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 มาตรา 73 (1)

เวทีเสวนาแถลงผลวิจัยนโยบายเปิดสถานบริการถึงตี 4 นักเศรษฐศาสตร์ มธ.วิจัยพบพฤติกรรมคนไทยส่วนใหญ่ดื่มแอลกอฮอล์ช่วง 2 ทุ่มถึง 5 ทุ่ม 

เวทีเสวนาแถลงผลวิจัยนโยบายเปิดสถานบริการถึงตี 4 นักเศรษฐศาสตร์ มธ.วิจัยพบพฤติกรรมคนไทยส่วนใหญ่ดื่มแอลกอฮอล์ช่วง 2 ทุ่มถึง 5 ทุ่ม 

สอดคล้องกับนักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่ 67% ก็ดื่มในเวลาเดียวกัน มีเพียง 30 % ที่ดื่มช่วงห้าทุ่มถึงตี 2 แนะตั้งราคาขายสูง เก็บภาษีเหล้า เบียร์ ในพื้นที่พิเศษเป็นทุนช่วยบรรเทาผลกระทบ ด้าน รอง ผอ..ศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ เผยประชาชน 53% ไม่เห็นด้วย มีเพียง 21 % ที่เห็นด้วย ด้านภาคีสุขภาพและสื่อมวลชนเสนอให้ทำวิจัยคู่ขนานสำรวจความคุ้มค่าและมีมาตรการลดผลกระทบทั้งอุบัติเหตุ การปกป้องเด็กและเยาวชนและความรุนแรงต่าง ๆ รุกเสนอรัฐบาลทบทวน 13 ธ.ค. นี้
เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2566 ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ วิภาวดี รังสิต มูลนิธิเพื่อสุขภาวะ (มสส.)และ ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพประชาชน (ขสช.) จัดเสวนาและแถลงเปิดผลวิจัย “นโยบายเปิดสถานบริการ ผับ บาร์ ตี 4” โดย นายอภิวัชร์ เกตุทัต ประธานมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ กล่าวเปิดงานว่ายังมีคำถามหลายประการจากกรณีคณะรัฐมนตรีเห็นชอบกฎกระทรวงมหาดไทยให้สถานบริการในจังหวัดท่องเที่ยวในกรุงเทพมหานคร ชลบุรี  ภูเก็ต เชียงใหม่และเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานีเปิดบริการได้ถึงตี 4 ว่ากระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวได้จริงหรือไม่ ในขณะที่การรับฟังความคิดเห็นฝ่ายต่างๆดำเนินการผ่านทางออนไลน์เท่านั้น ยังไม่ครอบคลุมไปถึง การรับฟังเสียงของประชาชนในวงกว้างแต่อย่างใด  แต่ก็มีการประกาศเดินหน้านโยบายแล้ว ดังนั้น มสส.และ เครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพประชาชน ร่วมกับทีมวิจัยคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  และศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ ได้ศึกษาวิจัย และสำรวจความเห็นของประชาชนที่มีต่อนโยบาย ดังกล่าวของรัฐบาล รวมถึง การประเมิน ผลกระทบ ทางนโยบาย ว่ามีความคุ้มค่าจริงหรือไม่ เพื่อส่งเสียงสะท้อนไปยังรัฐบาลให้ทบทวนและมีความรอบคอบ

ผศ.ดร.เฉลิมพงษ์ คงเจริญ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยผลการศึกษา “การประเมินผลทางเศรษฐกิจ  สุขภาพและสังคม หากมีการกำหนดพื้นที่พิเศษเพื่อขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สำหรับนักท่องเที่ยวยามค่ำคืน  ด้วยการขยายเวลาเปิดผับบาร์ สถานบันเทิง” ว่าจากการเก็บข้อมูลนักท่องเที่ยว 1,200 คน ใน 4 พื้นที่ คือ ถนนข้าวสาร กรุงเทพฯ, พัทยา จ.ชลบุรี, หาดป่าตอง ภูเก็ต และหาดเฉวง เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี แบ่งเป็นคนไทย 900 คน นักท่องเที่ยวต่างชาติ 300 คน ในเดือนเมษายน 2566 โดยใช้สถานการณ์สมมติทั้งช่วงเวลาขาย และราคาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พบว่า พฤติกรรมโดยทั่วไปของนักท่องเที่ยวไทย 65% มีการดื่มนอกบ้านอยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่ดื่มที่ร้านอาหาร ในช่วงเวลา 17.00-20.00 น. ถ้าดื่มที่สถานบันเทิง ช่วงเวลาประมาณ 20.00 – 23.00 น. ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะดื่มเริ่มตั้งแต่ 14.00 -17.00 น. คิดเป็น 25% ส่วนการดื่มช่วงเย็นอยู่ที่ 50% ในขณะที่กว่า 67% จะดื่มช่วง 20.00 - 23.00 น.  และ 30% จะดื่มช่วง 23.00 - 02.00 น.
เมื่อสอบถามปริมาณการดื่ม ช่วงเวลาและราคาที่แตกต่างกัน ผู้วิจัยประเมินว่า หากสามารถดื่มหลังเที่ยงคืนได้  โดยราคาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่ที่ 70 บาท ต่อหน่วยมาตรฐาน หรือเบียร์ขวดเล็ก  พบว่าชาวไทยจะดื่มเพิ่มขึ้น 0.45 หน่วยมาตรฐาน ส่วนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติดื่มเพิ่มขึ้นชั่วโมงละ 0.56 หน่วยมาตรฐาน   ถ้าคิดเป็นตัวเลขที่เปิดสถานบันเทิงเพิ่มอีก 4 ชั่วโมง หากขายราคา 70 บาท คนไทยจะดื่มเพิ่ม 1.8 หน่วยมาตรฐาน นักท่องเที่ยวต่างชาติดื่มเพิ่ม 2.25 หน่วยมาตรฐาน ดังนั้นหากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่ที่ 160 บาทต่อหน่วยมาตรฐานจะพบว่าคนไทยจะดื่มเพิ่มขึ้น 0.27 หน่วยมาตรฐาน ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะดื่มเพิ่มขึ้น 0.25หน่วยมาตรฐาน  ต่อชั่วโมง  

ดังนั้นหากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีราคาสูงขึ้น อัตราการดื่มที่มาจาการขยายเวลาก็จะเพิ่มไม่มาก หากคำนวณปริมาณการดื่มทั้งปีของนักท่องเที่ยวใน 4 พื้นที่ที่สำรวจ คนไทยจะดื่มประมาณ 9 ล้านหน่วยมาตรฐาน ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 43 ล้านหน่วยมาตรฐาน และเมื่อคูณกับต้นทุนด้านเศรษฐกิจ  สุขภาพและสังคม โดยอิงจากงานวิจัยที่ผ่านๆ มา  จะพบว่าต้นทุนที่จะเกิดแก่สังคมจะอยู่ที่ประมาณ 258 ล้านบาท  

“นอกจากผลทางเศรษฐกิจจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น  การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลกระทบทั้งสุขภาพและสังคม จึงต้องลดปริมาณการดื่ม และมาตรการช่วยลดการดื่มได้คือการเพิ่มราคาให้สูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับงานศึกษาอื่น ๆ ในด้านเศรษฐศาสตร์ ผมเห็นว่า การเพิ่มภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  โดยเฉพาะในสถานบันเทิงร้านเหล้า ผับบาร์ จะเป็นเครื่องมือสำคัญ   ควรถูกนำมาใช้บรรเทาปัญหาที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่นั้น เช่นการควบคุมดูแลนักท่องเที่ยวหลังเวลาปิด มีจุดตรวจที่เข้มข้น มีบริการสาธารณะเพื่อเดินทาง เป็นต้น “รวมไปถึงการจำกัดความ คำว่า โซนนิ่ง ให้ชัดเจนมีมาตรการรรองรับที่รัดกุม มีการ Tracking ว่าคนดื่มมาจากร้านไหน เพื่อทางร้านควรมีส่วนรับผิดชอบ” ผศ.ดร.เฉลิมพงษ์ กล่าว

ด้าน ดร.สุริยัน บุญแท้ ผู้จัดการศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ (SAB) กล่าวว่า ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน 3,083 คน ใน 12 จังหวัดครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศ ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม – 3 พฤศจิกายน 2566 โดยความเห็นของประชาชนต่อนโยบายขยายเวลาปิดสถานบันเทิง จากตี 2 ไปเป็นตี 4 ภาพรวมคนมีแนวโน้มเห็นด้วยกับการขยายเวลา 21 % ไม่เห็นด้วย 53% แต่ถ้าไปจำกัดพื้นที่ท่องเที่ยวพิเศษ อย่างเช่น ซอยนานา ข้าวสาร สีลม ภูเก็ต พัทยา เชียงใหม่ โอกาสเห็นด้วยจะขยับขึ้นมา 39%  อีก 33% ไม่เห็นด้วย ทั้งนี้ การศึกษาในภาพรวมพบว่า 3 ใน 4 ของกลุ่มตัวอย่างมองไม่เห็นประโยชน์เกี่ยวกับนโยบายนี้ มีเพียง 1 ใน 4 โดยฝ่ายที่มองเห็นประโยชน์ โดยให้เหตุผลอันดับหนึ่งว่าทำให้มีเวลาดื่ม กิน เที่ยวมากขึ้น ส่วนการช่วยเรื่องการค้าขายในพื้นที่ให้ดีขึ้นมีรายได้ของธุรกิจเพิ่มขึ้นเป็นเรื่องรองลงมา ด้านข้อกังวลใจพบว่า 75.4% ห่วงเรื่องเมาแล้วขับ 64.8% ห่วงว่าจะดื่มมากขึ้น มีแค่ไม่ถึง 10% ที่บอกว่า ไม่กังวลใดๆ พร้อมทั้งเสนอให้รัฐบาลจัดโซนนิ่งสถานบันเทิง ควบคุมอายุนักท่องเที่ยว ตรวจจับปัญหายาเสพติด เข้มงวดการรักษาความสงบเรียบร้อย ตรวจตราผู้ขับขี่ยานพาหนะ ตรวจตราแหล่งมั่วสุมยามค่ำคืน  

ดร.สุริยัน กล่าวต่อว่า การรับฟังความคิดเห็นต่อนโยบายนี้ยังน้อยเกินไป โดยเฉพาะความกังวลเรื่องผลกระทบต่างๆ มีแต่พูดถึงข้อดีแต่ด้านผลกระทบและแนวทางควบคุมป้องกันยังพูดถึงไม่มาก แม้กระทั่งพื้นที่ท่องเที่ยวเองก็พูดเฉพาะปัญหาอุบัติเหตุ แต่ปัญหาเมาแล้วขับจะจัดการอย่างไร จะป้องกันเด็กและเยาวชนไม่ให้เข้าถึงแอลกอฮอล์ได้อย่างไรยังไม่มีการพูดถึง จึงขอเรียกร้องให้กระทรวงสาธารณสุขมีมาตรการควบคุมดูแลอย่างเป็นรูปธรรม  ส่วนรัฐบาลนั้นการจะเดินหน้านโยบายไม่ว่า จะเป็นสุราก้าวหน้า หรือขยายเวลาเปิดสถานบันเทิง ควรมีมาตรการควบคุมและลดผลกระทบที่เกิดขึ้นด้วย รวมทั้งมีทางเลือกให้สังคมพิจารณาร่วมกันว่า ถ้าอยากกระตุ้นการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจของแหล่งท่องเที่ยวนั้น จะมีมาตรการอื่นที่คุ้มค่ากว่าหรือไม่ และคำนึงถึงปัญหาสุขภาวะ ปัญหาสังคมประกอบด้วย ไม่มองแค่มิติเศรษฐกิจที่เป็นตัวเงินอย่างเดียว  
ด้านภาคีเครือข่ายและสื่อมวลชนได้ร่วมแสดงความคิดเห็นที่หลากหลายส่วนใหญ่เป็นห่วงว่าจะได้ไม่คุ้มเสียและต้องมีมาตรการด้านลดผลกระทบที่ชัดเจน .....อาทิ รศ.ดร.นพ. อุดมศักดิ์ แซ่โง้ว จากศูนย์วิจัยปัญหาสุรา ได้นำเสนอผลงานวิจัยของต่างประเทศ พบว่า หากมีการขยายเวลาเปิดผับ บาร์ เพิ่มขึ้น 1 ชั่วโมง จะมีปัญหาอุบัติเหตุความรุนแรงและเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น รัฐบาลควรส่งเสริมเศรษฐกิจภาคกลางคืน ที่ไม่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์จะดีกว่า ส่วนนายวิษณุ  ศรีทะวงศ์ ผู้จัดการแผนงานพัฒนานโยบายสาธารณะ สคล. สะท้อนว่า รัฐบาลควรมีมาตรการรองรับในเขตโซนนิ่งให้ชัดเจน ปัญหาอุปกรณ์เครื่องตรวจวัดแอกอลฮอล์ที่ยังขาดแคลนอยู่จะแก้อย่างไร ควรมีกองทุนเยียวยาให้แกผู้ได้รับผลกระทบ ส่วนทางด้าน นายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ เปิดเผยข้อมูลเว็ปไซต์ การประกันภัยนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก พบว่าประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 12 ของความเสี่ยงเรื่องอุบัติเหตุบนท้องถนน ดังนั้นนโยบายขยายเวลานี้ ตนเองเห็นว่า “เป็นนโยบายที่อำมหิตและคิดน้อย ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน” ดังนั้นในสัปดาห์หน้า ตนเองและภาคีจะไปยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลทบทวนนโยบายในเรื่องนี้

ส่วนทางด้านสื่อมวลชน โดยนายชูชาติ สว่างสาลี ผู้ก่อตั้งเว็ปไซต์เนตรทิพย์ ได้สะท้อนความกังวลว่าจะเกิดพับ บาร์ ผุดขึ้น และปิด ตี 4 ในพื้นที่ใกล้เคียง และจะขยายไปทั่วประเทศ ส่วนนายจิระ ห้องสำเริง จากแซ่บเรดิโอ บอกว่า ก่อนหน้านี้ติดตามข่าวทราบว่ารัฐบาลจะเปิดรับความคิดเห็น วันดีคืนดีออกมาตรการมาแล้ว ขณะที่ยอดจำหน่ายสุราของผู้ประกอบการช่วงนี้ลดวูบลงเลยถึงบางอ้อว่า ผู้ประกอบการธุรกิจแอลกอฮอล์ต้องการเพิ่มยอดขาย รวมทั้งการแข่งขันธุรกิจแอลกอฮอล์ในปัจจุบันมีคู่แข่งหน้าใหม่เพิ่มจึงทำให้รัฐบาลต้องรีบใช้มาตรการ แต่ก็อยากให้คำนึงถึงผลกระทบรอบด้านด้วย

'สุริยะ' มอบหมายทุกหน่วยงานรองรับการท่องเที่ยวช่วงเทศกาลปีใหม่ พร้อมแนะ 15 สถานที่ท่องเที่ยวให้เช็กอิน ✨🇹🇭

(7 ธ.ค.66) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามนโยบายคมนาคม เพื่อความอุดมสุขของประชาชน จึงให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมเตรียมความพร้อมในทุกมิติ เพื่อรองรับการท่องเที่ยว สนับสนุนและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทย พร้อมแนะนำ 15 สถานที่ท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยกรมทางหลวง (ทล.) และ กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ได้เตรียมความพร้อมในทุกมิติ พร้อมขานรับตามนโยบายดังกล่าว ดำเนินการเตรียมความพร้อมในการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัย เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเกิดความประทับใจและมีความทรงจำที่ดีกลับไปในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 จึงขอเชิญชวนนักเดินทางท่องเที่ยวสัมผัสเส้นทางสายธรรมชาติสูดอากาศบริสุทธิ์ในการเดินทางสู่แหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลายบนทางหลวงหมายเลข 1009 (ทล.1009)

โดย ทล. และ ทช. ได้ดำเนินการพัฒนาพื้นที่โดยรอบโครงสร้างพื้นฐานให้มีทัศนียภาพสวยงาม พร้อมส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ และกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น ปัจจุบันมีถนนและสะพานหลายเส้นทางทั่วทุกภูมิภาคและพร้อมเปิดให้บริการพี่น้องประชาชนได้มาท่องเที่ยวผ่านถนนและสะพานสวย ๆ ใน 5 ภูมิภาค โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ที่จะถึงนี้ มีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน จึงคาดการณ์ว่าจะมีพี่น้องประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก 

โดย 15 แหล่งสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และจุดเด่นการท่องเที่ยวในแต่ละภูมิภาค ได้แก่

1.ยอดดอยอินทนนท์ จุดสูงสุดแดนสยาม ตั้งอยู่อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 2,565 เมตร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ประชาชนสามารถสัมผัสอากาศบริสุทธิ์ ชมวิวธรรมชาติภูเขาและทะเลหมอก ปัจจุบันบริเวณนี้ยังเป็นที่ตั้งสถานีเรดาร์และสถานีทำการของทหารอากาศ ประชาชนสามารถเยี่ยมและกราบพระพุทธศาสดาประชานาถ หอพระพุทธศาสดาประชานาถ นับเป็นพระพุทธรูปบูชาที่กองทัพอากาศจัดสร้างในโอกาสครบรอบ 100 ปี การทิวงคต จอมพลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิศณุโลกประชานารถ ‘พระบิดาแห่งกองทัพอากาศ’ จากนั้นไปสักการะพระสถูปของพระเจ้าอินทรวิชยานนท์ เพื่อขอพรเพิ่มสิริมงคลเสริมดวงให้กับตัวเองต้อนรับปีใหม่ 2567

2.เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา เป็นเส้นทางเดินสบาย ๆ ลัดเลาะเข้าไปในผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์และชมความสวยงามจากพันธุ์ไม้หายาก เช่น ต้นกุหลาบพันปี สถานที่แห่งนี้มีอากาศหนาวเย็นตลอดปี นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดมาสัมผัสโอโซนบริสุทธิ์

3.กิ่วแม่ปาน จุดชมวิวทะเลหมอกสุดฮิตที่บรรดานักท่องเที่ยวต้องไม่พลาด มีลักษณะเป็นป่าธรรมชาติสลับทุ่งหญ้ากึ่งอัลไพน์ นักท่องเที่ยวสามารถชมบรรยากาศ สัมผัสทะเลหมอก และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าได้อย่างน่าประทับใจ

4.พระมหาธาตุนภเมทนีดล - นภพลภูมิสิริ ‘มหาธาตุคู่’ ซึ่งกองทัพอากาศสร้างขึ้นน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อเป็นมิ่งมงคลแก่ประชาชนในแผ่นดินไทยร่มเย็นเป็นสุขชั่วนิรันดร์ บริเวณโดยรอบของพระมหาธาตุทั้งสอง ตกแต่งด้วยสวนดอกไม้เมืองหนาว และการจัดสวนดอกไม้ประดับที่เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศที่มีความสวยเด่นและสง่างาม

5.อุทยานแห่งชาติดอยผาตั้ง เป็นจุดชมทัศนียภาพไทย - สปป.ลาว อากาศเย็นสบายและชมทะเลหมอกได้ตลอดปี โดยเฉพาะเดือนธันวาคม - มกราคม จะมีดอกพญาเสือโคร่งบานสะพรั่งรอรับนักท่องเที่ยว ระหว่างทางเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวจีนฮ่อ ม้ง และเย้า ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสวิถีชีวิตชาวบ้านอีกด้วย

6.กาดม้ง จุดจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์จากชาวเขาเผ่าต่าง ๆ รวมทั้งผัก ผลไม้ อาหารถิ่นพื้นเมือง

7.จุดพักนักเดินทาง โดยแขวงทางหลวงเชียงใหม่ที่ 1 สถานที่ให้บริการข้อมูลแหล่งท่องเที่ยว ห้องน้ำ และลานกางเต็นท์ฟรี ตั้งอยู่บน ทล.1009 ที่ กม. 30+700

8.โครงการหลวงดอยอินทนนท์ นักท่องเที่ยวต้องไม่พลาดจุดนี้ ชอป ชม ชิม ผลิตภัณฑ์โครงการหลวงจบในที่เดียว

9.สถานีวิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) เดินทางบน ทล.1009 ที่ กม. 30+300 เลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงชนบทหมายเลข 1284 ระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร ถึงแหล่งชมวิวอุโมงค์พญาเสือโคร่งที่สวยงามและโรแมนติก ภายในพื้นที่ศูนย์วิจัยสามารถชมแปลงไม้พืชและผลเมืองหนาว

10.เส้นทางศึกษาธรรมชาติผาดอกเสี้ยว มีไฮไลต์สำคัญ คือ น้ำตกผาดอกเสี้ยว เป็นการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ บรรยากาศสดชื่น ชุ่มฉ่ำกับธารน้ำตกใสไหลเย็น

11.ภาคเหนือ ถนนสาย มส.4009 ทุ่งดอกบัวตอง ดอยแม่อูคอ จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีจุดชมวิวและศาลาชมวิวที่นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นทุ่งดอกบัวตองได้ 360 องศา ถือเป็นหนึ่งใน Amazing Thailand ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตควรหาโอกาสไปชมให้ได้ โดยดอกบัวตองจะบานเพียงปีละครั้งเท่านั้น สำหรับการเดินทางมายังทุ่งดอกบัวตองดอยแม่อูคอ จากตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ระยะทางประมาณ 90 กิโลเมตร ใช้เส้นทางไปยังอำเภอขุนยวม ทล.108 (แม่ฮ่องสอน - ขุนยวม) แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ ทล.1263 ที่สามแยกขุนยวม และเข้าสู่ถนนสาย มส.4009 ตามป้ายแนะนำเส้นทางแหล่งท่องเที่ยว

12.ภาคกลาง สะพานภูมิพล 1 และสะพานภูมิพล 2 เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างขึ้นเมื่อปี 2538 เพื่อเป็นโครงข่ายถนนรองรับการขนถ่ายลำเลียงสินค้าจากท่าเรือกรุงเทพต่อเนื่องไปจนถึงพื้นที่อุตสาหกรรมในจังหวัดสมุทรปราการ และภูมิภาคอื่น ๆ ของประเทศ เพื่อไม่ให้รถบรรทุกสัญจรเข้าไปในตัวเมืองหรือทิศทางอื่น อันจะเป็นสาเหตุของการจราจรติดขัดโดยรอบ ซึ่งไม่เพียงแต่การกระจายการจราจรไปยังทิศทางต่าง ๆ แต่ยังเชื่อมระหว่างเขตราษฎร์บูรณะและเขตยานนาวา กับอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ทำให้ประชาชนชาวพระประแดงและสมุทรปราการ สามารถเข้าสู่กรุงเทพฯ ได้อย่างสะดวกสบาย ประชาชนสามารถชมความสวยงามของสะพานดังกล่าวได้ อีกทั้งในช่วงเทศกาลและวันสำคัญจะมีการเปิดไฟประดับสะพานยามค่ำคืนที่ตระการตาเป็นอย่างมาก

13.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สะพานเทพสุดา จังหวัดกาฬสินธุ์ สะพานข้ามน้ำจืดข้ามอ่างเก็บน้ำลำปาว ประชาชนสามารถชมพระอาทิตย์ตกดินในยามเย็นบนสะพานโดยมีภูเขาเป็นฉากหลังเสริมให้ทัศนียภาพงดงาม รวมทั้งไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้ คือ รูปปั้นไดโนเสาร์ ที่ตั้งอยู่บริเวณปลายสะพานทั้งสองฟากสะพานเทพสุดา และชมวิถีชีวิตการทำประมงของชาวบ้านในพื้นที่ ส่วนของการเดินทางจากตัวเมืองกาฬสินธุ์ ใช้ ทล.227 มุ่งหน้าไปอำเภอสหัสขันธ์ ประมาณ 32 กิโลเมตร และเลี้ยวซ้ายบริเวณสี่แยกเข้าสู่ถนนสาย กส.3056 ขับตรงไปตามเส้นทางประมาณ 6.6 กิโลเมตร จนถึงสะพานเทพสุดา

14.ภาคใต้ ถนนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดพัทลุง เป็นสะพานยกระดับที่ยาวที่สุดในประเทศไทยตามแนวทะเลน้อยกับทะเลหลวงของทะเลสาบสงขลา เชื่อมระหว่างจังหวัดพัทลุงและสงขลา รวมระยะทาง 5.450 กิโลเมตร โดยในช่วงเดือนมีนาคม - พฤษภาคมของทุกปี เป็นช่วงที่ดอกบัวแดงบานเหมาะกับการล่องเรือชมวิวและเป็นจุดชมนกน้ำนานาพันธุ์ สำหรับการเดินทางมายังถนนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ (พท.5050) สามารถเดินทางโดยเริ่มจากสี่แยกเอเชียพัทลุงวิ่งไปบน ทล.41 จนถึงสี่แยกโพธิ์ทอง อำเภอควนขนุน จากนั้นให้เลี้ยวขวาเข้า ทล.4187 ระยะทาง 17 กิโลเมตร และเลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนสาย พท.4007 ระยะทาง 2.5 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ

15.ภาคตะวันออก ถนนเฉลิมบูรพาชลทิต หรือถนนเลียบชายฝั่งทะเลตะวันออกของอ่าวไทย มีแลนด์มาร์กอย่างจุดชมวิวเนินนางพญาที่สามารถมองเห็นวิวทะเลกับถนนที่คดเคี้ยวสวยงาม รวมทั้งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดแห่งหนึ่ง โดยสามารถขับรถชมวิวทะเล หรือปั่นจักรยานจากปากน้ำประแส จังหวัดระยอง มาจรดเนินนางพญาที่มีอ่าวคุ้งกระเบนของจังหวัดจันทบุรีได้เช่นกัน การเดินทางมาถนนเฉลิมบูรพาชลทิตนั้น จากตัวเมืองจังหวัดชลบุรี ใช้ ทล.344 และ ทล.3 มุ่งหน้าไปยังจังหวัดจันทบุรี ถึงสามแยกประแสร์ เลี้ยวขวาเข้า ทล.3162 เมื่อถึงแยกคลองปูน ให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนเฉลิมบูรพาชลทิต ขับไปตามทางเรื่อย ๆ เลยอ่าวคุ้งวิมาน ไปประมาณ 1.5 กิโลเมตร จะถึงเนินนางพญา

นอกจากนี้ ถนนและสะพานยังเป็นเส้นทางเชื่อมต่อที่สำคัญต่อวิถีชีวิต เศรษฐกิจ การคมนาคมภายในประเทศ ซึ่งสามารถช่วยยกระดับความเจริญให้กับประชาชนในพื้นที่ และยังเป็นจุดเด่นในการนำนักท่องเที่ยวให้เข้ามาในชุมชนได้อีกทางหนึ่ง ส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในท้องถิ่นทั้ง 5 ภูมิภาคของประเทศไทยอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ขอส่งความห่วงใยไปถึงประชาชน ตรวจเช็กสภาพรถก่อนออกเดินทาง และระมัดระวังการใช้รถใช้ถนน ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งคัด เพื่อความสะดวกปลอดภัยในการเดินทาง และไปสู่จุดหมายปลายทางโดยสวัสดิภาพ

ด้วยความห่วงใยทางกระทรวงคมนาคม ขอให้ผู้ขับขี่พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ฝืนร่างกาย หากอาการเหนื่อยล้าให้จอดพักในจุดท่องเที่ยวหรือจุดพักรถตามสายทาง รวมทั้งตรวจสอบสภาพรถให้มีความพร้อมสำหรับเส้นทางภูเขา ที่สำคัญขอให้ใช้เกียร์ต่ำในช่วงทางลงเขา และหากพบว่าระบบเบรกมีปัญหาหรือได้กลิ่นไหม้ ขอให้จอดพักบริเวณจุดจอดรถฉุกเฉิน อาทิ กม. ที่ 40+142 หรือ 39+142 บริเวณด่านตรวจอุทยาน จุดที่ 2 จุดพักรถหมวดทางหลวงจอมทอง กม. ที่ 30+700 และบริเวณทางเข้าน้ำตกต่าง ๆ ตลอดสายทาง

ได้ฤกษ์!! 'มอเตอร์เวย์โคราช-บางปะอิน' เปิดวิ่งฟรี 80 กม.  ดีเดย์ 28 ธ.ค.นี้ อนุญาตเฉพาะรถ 4 ล้อเท่านั้น

(7 ธ.ค. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตรวจติดตามความคืบหน้าโครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์บางปะอิน - นครนครราชสีมา และความพร้อมที่จะเปิดให้บริการช่วงสีคิ้ว - นครราชสีมา ภายหลังตรวจติดตามฯ และรับฟังบรรยายสรุปข้อมูลโครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์บางปะอิน - นครนครราชสีมา นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ตั้งแต่วันที่ 28 ธ.ค. 2566 เป็นต้นไป จะเปิดใช้ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 หรือ มอเตอร์เวย์ M6 หรือ ‘มอเตอร์เวย์โคราช-บางปะอิน’ ฟรีตลอดจนกว่าการก่อสร้าง ‘มอเตอร์เวย์โคราช-บางปะอิน’ จะแล้วเสร็จสมบูรณ์พร้อมเก็บค่าผ่านทางในปี 2568 พร้อมสั่งการให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวง เปิดใช้ มอเตอร์เวย์บางปะอิน-โคราช ตอน 24 ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จ.นครราชสีมา ถึง ตอน 40 อำเภอเมืองนครราชสีมา จ.นครราชสีมา แบบไปกลับ 4 ช่องจราจร ระยะทาง 77.493 กิโลเมตร เฉพาะรถยนต์ 4 ล้อเท่านั้น ตลอด 24 ชั่วโมง และให้มีจุดบริการห้องน้ำ 1 จุด ช่วง อำเภอปากช่อง - อำเภอสีคิ้ว ที่ กม.147 ทั้งขาเข้าและขาออก

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กรมทางหลวง กำชับสำนักงานทางหลวง และแขวงทางหลวง ที่ดูแล ‘มอเตอร์เวย์โคราช-บางปะอิน’ มอเตอร์เวย์ M6 ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนที่ใช้เส้นทาง ปรับปรุงเส้นทางให้เกิดทัศนวิสัยในการมองเห็นชัดเจน มีการจัดตั้งศูนย์บริการประชาชน เพื่ออำนวยความสะดวก โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานราชการ และเอกชนในพื้นที่ ติดตั้งไฟฟ้าส่องแสงสว่างตลอดเส้นทาง รวมถึงติดตั้งป้ายเตือน ป้ายแนะนำ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน โดยเฉพาะติดตั้งป้ายระหว่างการก่อสร้าง ในช่วงที่ยังมีการก่อสร้าง ต้องมีป้ายเตือน ไฟเตือนให้เป็นไปตามระเบียบ และให้เพิ่มให้มากขึ้นในช่วงที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ

สำหรับความคืบหน้า ‘มอเตอร์เวย์โคราช-บางปะอิน’ ข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2566 แผนงานความก้าวหน้าร้อยละ 92.588 ผลงานความก้าวหน้าร้อยละ 93.054 เร็วกว่าแผนร้อยละ 0.466 คาดว่าจะเปิดทดลองให้บริการช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ตั้งแต่ปากช่อง - ทางเลี่ยงเมืองนครราชสีมา ระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตร 

ทั้งนี้ งานโยธาจะก่อสร้างเสร็จแล้วปลายปี 2568 โดยจะทดลองวิ่งจริงและเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ ทั้ง 196 กิโลเมตรแบบเก็บค่าผ่านทาง ส่วนโครงการก่อสร้างกำแพงบังสายตาพร้อมวัสดุปิดคลุมแบบสมบูรณ์ 700 เมตร และกำแพงบังตารวม 1,000 เมตร ช่วง กม.140+040.000 ถึง กม.140+345.000 และช่วง กม.141+045.000 ถึง 141+740.000 ได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว

>> เส้นทาง ‘มอเตอร์เวย์โคราช-บางปะอิน’ ทั้งโครงการ มีแนวเส้นทางดังนี้ 

แนวเส้นทางโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ‘มอเตอร์เวย์โคราช-บางปะอิน’ มีระยะทางรวมประมาณ 196 กิโลเมตร โดยออกแบบให้มีการควบคุมการเข้าออกอย่างสมบูรณ์ มีจุดเริ่มต้นเชื่อมต่อกับถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันออก (ถนนกาญจนาภิเษก) อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และไปสิ้นสุดที่บริเวณทางเลี่ยงเมืองจังหวัดนครราชสีมาด้านตะวันตก อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ระยะทางก่อสร้างรวมทั้งสิ้น 196 กม. หากเดินทางจาก กรุงเทพฯ - โคราช คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 ชม.

นิคมอุตสาหกรรมบลูเทค ซิตี้  จับมือ คณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง  จัดกิจกรรม Art of life สถาปัตย์เพื่อการท่องเที่ยวทุ่งสมุนไพรป่าชายเลน แห่งแรกของประเทศไทย

วันนี้(7 ธ.ค.66)  นางสาวกมลชญา  ประเสริฐสิน นายอำเภอบางปะกง   พร้อมด้วย นางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา  ผู้บริหารนิคมอุตสาหกรรมบลูเทคซิตี้  นักศึกษาคณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และนักเรียนในพื้นที่ อ.บางปะกง  ร่วมกันเปิดกิจกรรม  Art of life   สถาปัตย์เพื่อการท่องเที่ยวทุ่งสมุนไพรป่าชายเลน แห่งแรกของประเทศไทย  ซึ่งตั้งอยู่ใน อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา  เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

นางสาวกุลพรภัสร์  วงศ์มาจารภิญญา  ผู้บริหารนิคมอุตสาหกรรมบลูเทคซิตี้  กล่าวว่า โครงการพัฒนาทุ่งสมุนไพรป่าชายเลนนี้ จะเป็นบันไดขั้นแรกที่จะสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนของสังคม ทำให้เยาวชนและชุมชนเกิดการอนุรักษ์และหวงแหนทรัพยากรที่ตนมีอยู่ เป็นแหล่งเรียนรู้ความสัมพันธ์ของสิ่งแวดล้อมและภูมิปัญญา สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชน พร้อมทั้งต่อยอดความหลากหลายทางชีวภาพ วิถีวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น นำไปสู่ความเข้มแข็งของชุมชน  ซึ่งในอนาคต บลูเทค จะสร้างพื้นที่แห่งนี้ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ เป็นฮับสมุนไพรป่าชายเลน  โดยทำงานร่วมกับสถาบันการศึกษา และท้องถิ่น ส่งเสริมการท่องเที่ยว ต่อยอดอาชีพ รายได้ ให้กับคนในชุมชน 

โดยกิจกรรมที่จัดขึ้นในครั้งนี้ นักเรียนที่เข้าร่วมงาน จะได้ชมนิทรรศการนวัตกรรมพลังงานสะอาด พลังงานบริสุทธิ์ นิทรรศการปูทองขาว ชมสินค้าภูมิปัญญาชาวบ้าน จาก 4 วิสาหกิจชุมชน  การนิเทศผลงานนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และลงพื้นที่ปล่อยปูทะเลจำนวน 1,000  ตัว และร่วมกิจกรรมสถาปัตย์เพื่อท่องเที่ยวทุ่งสมุนไพรป่าชายเลน ใน 5 ฐานกิจกรรม  ซึ่งนักเรียน จะได้รับความรู้ เกี่ยวกับสรรพคุณพืชสมุนไพรชายทะเล การแปรรูปสมุนไพร และสินค้าจากสมุนไพร  สร้างความรักและตระหนักในการอนุรักษ์ป่าชายเลน ควบคู่การสร้างอาชีพสร้างรายได้ให้ชุมชน

'อ.ศศิน' เผย 'สร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึง' อาจมีประโยชน์ แต่ยังมีโจทย์ 3 ข้อ ที่ยังไม่มีใครตอบ หากตัดสินใจจะสร้างจริงๆ

(7 ธ.ค. 66) นายศศิน เฉลิมลาภ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม อดีตประธานมูลนิธิ สืบนาคะเสถียร โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า...

#กระเช้าภูกระดึง โจทย์ที่ต้องตัดสินใจของประเทศไทย 3 ข้อ

ถ้าทำกระเช้าภูกระดึง จะมีสิ่งที่อาจเป็นประโยชน์หลายประการ...

ประการแรก ธุรกิจที่สัมพันธ์กับอสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน อาคารพาณิชย์ ที่มีคนครอบครองอยู่รอบ ๆ ภูเขาภูกระดึง และเส้นทางสู่ภูกระดึงจะคึกคัก ทั้งการเพิ่มมูลค่า การหมุนเวียนของเม็ดเงินต่าง ๆ ในการขยายกิจการเพื่อรองรับการท่องเที่ยวที่คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะมีมากขึ้น และหมุนเวียนมาเยือนเพื่อขึ้นลงกระเช้าไปที่ราบกว้างใหญ่บนยอดเขา ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้สองเท้าเดิน

ประการที่สอง ทำให้คนที่คิดว่าตัวเองขึ้นไม่ไหว ไม่มีเวลา และไม่กล้าขึ้น รวมถึงผู้มีข้อจำกัดเรื่องอายุและสภาพร่างกายมีโอกาสขึ้นไปได้

และกระเช้าไฟฟ้าอาจช่วยนำคนเจ็บป่วย บาดเจ็บ ขยะ ขนส่งข้าวปลาอาหาร เครื่องใช้ขึ้นไปได้ง่ายขึ้น

นี่เป็นเหตุผลง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน และไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ ทั้งสิ้น

แต่…การสร้างกระเช้าภูกระดึง มีโจทย์ที่ไม่มีใครคิดจะตอบ 3 ข้อ 3 ระดับ...

#ระดับที่ 1 ภูกระดึงเป็นเส้นทางท่องเที่ยวเดินขึ้นเขาที่เป็น Trekking trail ที่ดีที่สุดของประเทศ เมื่อประเมินจากระยะทางที่ไม่ไกลมาก แทบไม่มีอันตรายอะไรถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุจากความประมาท การจัดการที่ลงตัว มีค่าใช้จ่ายในการไปเที่ยวไม่แพง รวมถึงเมื่อขึ้นไปแล้วมีที่สวย ๆ ให้เดินเที่ยวมากมาย เรียกว่าคุ้มค่าเดินขึ้นและเดินเที่ยวสิ่งที่ว่ามาทำให้ภูเขาลูกนี้ทำหน้าที่มอบความรักธรรมชาติ ให้เราได้ซึมซับความงามทั้งจากธรรมชาติและมิตรภาพระหว่างทาง รวมถึงการเรียนรู้ที่บังเกิดขึ้นมากมายระหว่างความอดทนตอนเดินขึ้น สถานที่แบบนี้ในไทยมีที่เดียวคือ 'ภูกระดึง' ส่วนที่อื่น ๆ มีถนนขึ้นถึง หรือเดินไกลเกินไป เดินไปถึงแล้วก็ไม่มีอะไรให้ดูมากนัก

ดังนั้น เมื่อมีกระเช้า ความท้าทายให้ไปถึงเรื่องที่ว่ามา ย่อมสู้ความสบายเย้ายวนจากการขึ้นกระเช้าไม่ได้

คนจะเดินขึ้นก็คงมีน้อยยิ่งกว่าน้อย

พวกที่เลือกเดินจึงเป็นคนที่รักธรรมชาติมากมายอยู่แล้ว คนที่ขึ้นกระเช้าไปก็ไม่ได้ซึมซับอะไร ไม่ต่างจากการขับรถขึ้นภูเรือ ดอยอินทนนท์ หรือภูเขาอื่น ๆ ที่กลับมาแล้วไม่มีความหมายอะไร ภูกระดึงทำหน้าที่นี้ให้ประเทศไทยมากว่า 50 ปี ตั้งแต่รุ่นปู่จนถึงปัจจุบัน

การมีกระเช้าหมายถึงเราเลิกใช้ฟังก์ชันนี้ของภูกระดึงแล้ว จะเทียบไปคงเหมือนเปลี่ยนวัด โบสถ์ วิหาร เป็นบอร์ดนิทรรศการพุทธศาสนา

นี่คือเรื่องที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจจะเลือกทิ้งคุณค่าจากสิ่งนี้ไปหรือไม่

#ระดับที่ 2 จากผลการศึกษาและการออกแบบระบบกระเช้า คาดว่ามีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย (เช่นตัดต้นไม้ไม่กี่ต้น) แต่ผลที่ตามมาหลังจากมีกระเช้า ยังไม่มีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม

เช่นเมื่อคนจำนวนมากขึ้นไปข้างบนแล้วจะต้องสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีผลกระทบสิ่งแวดล้อมแน่ ๆ เช่น อาคารกลางแหล่งธรรมชาติ

ที่สำคัญคือ ถนนหนทางข้างบนที่ต้องรองรับผู้มาเยือนที่ไม่เตรียมตัวไป ‘เดิน’ และไม่พร้อมจะรับรู้ทั้งนั้นว่าทำไมไม่มีรถวิ่งไปชมที่ท่องเที่ยวที่ห่างจากสถานีกระเช้าหลายกิโลเมตรในแต่ละที่

รวมถึงการจำกัดคนค้างแรม การจัดการขยะ ต่าง ๆ ภายใต้สถานภาพความเป็นอุทยานแห่งชาติ ที่มีข้อจำกัดเรื่องกฎหมาย กำลังคน งบประมาณในการดูแลให้คงสภาพธรรมชาติ

เราพร้อมจะปล่อยให้ที่สวย ๆ ข้างบนพังไปอีกที่ใช่หรือไม่

#ระดับที่ 3 ถ้ามีคนขึ้นไปจำนวนมาก เราพร้อมเปลี่ยนพื้นที่อนุรักษ์อันอุดมด้วยธรรมชาติไปรองรับการบริการท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวข้างบนในอนาคตเลยหรือไม่

หากนโยบายวันข้างหน้าจะเอาอย่างนั้น ยกเลิกพื้นที่อุทยานแห่งชาติไปเลย

นี่คือเรื่องที่ต้องตัดสินใจตามกระเช้ามาในระดับท้ายสุด

รัฐบาลนี้ต้องตอบทั้ง 3 คำถามก่อนตัดสินใจ ผมรอฟังอยู่ ก่อนตัดสินใจขึ้นกระเช้าไปทำลายภูกระดึงเดิม ๆ ด้วยกัน

'ทีวี ไดเร็ค' ผนึกกำลัง 'ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น' รุกออนไลน์มาร์เก็ตเพลส ผลักดันแพลตฟอร์มขายสินค้าไทย พร้อมบริการจัดส่งแบบครบวงจร

'ทีวี ไดเร็ค' ร่วมกับ 'ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น' ผสานจุดแข็ง 2 องค์กร  ต่อยอดพัฒนาธุรกิจการขายและการตลาด ตอบโจทย์ลูกค้าทั่วประเทศ พร้อมผลักดันแพลตฟอร์มการขาย และแอปพลิเคชั่นออนไลน์มาร์เก็ตเพลสที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการไทย ด้วยบริการจัดส่งแบบครบวงจร ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ 

(7 ธ.ค.66) บริษัท ทีวีไดเร็ค จำกัด  ร่วมกับ บริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จำกัด (ปณด) จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ณ ห้องภาณุพันธุวงศ์  อาคารภาณุรังษีไปรษณียาคาร โดยมี นายวรสิทธิ์ ลีลาบูรณพงศ์ พร้อมด้วยนางสาววัชราภรณ์ สุวินย์ชัย กรรมการบริษัท บริษัท ทีวีไดเร็ค จำกัด และนายพีระ อุดมกิจสกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท ไปรษณีย์ไทย ร่วมลงนาม

สำหรับสาระสำคัญในการลงนามความร่วมมือครั้งนี้ ทาง นายวรสิทธิ์ ลีลาบูรณพงศ์ กรรมการบริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการผนึกจุดแข็งของทั้ง 2 บริษัท เข้าด้วยกัน โดยมุ่งเน้นการยกระดับให้กับสินค้าและบริการทางด้านการเกษตรของไทย ทำให้มั่นใจได้ว่าทุกภาคส่วนจะได้รับประโยชน์สูงสุด 

โดย บริษัท ทีวี ไดเร็ค ซึ่งมีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยี ได้ทำการพัฒนาแอปพลิเคชัน ภายใต้ชื่อ 'พร้อมสั่ง' ในรูปแบบ Online Marketplace และ 'พร้อมส่ง' ที่เป็น Online Delivery รองรับระบบ Marketplace ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เพื่อสร้างช่องทางใหม่ให้คนไทย ภายใต้การบริการที่มีคุณภาพ รวดเร็วและทันสมัย กับ 'สินค้าพร้อมส่ง สินค้าพร้อมขาย' 

"เรียกได้ว่า ฝั่งผู้ประกอบการ ก็สามารถจำหน่ายสินค้าได้ง่ายขึ้น เมื่อผ่านการใช้แอปพลิเคชัน และยังสามารถนำข้อมูลฐานลูกค้ามาบริหารจัดการกับธุรกิจในอนาคตอีกด้วย ... ส่วนฝั่งผู้บริโภค ก็มีช่องทางการสั่งซื้อสินค้าได้หลากหลายมากขึ้น สินค้าสดใหม่ส่งตรงถึงมือผู้บริโภคด้วยบริการโลจิสติกจากไปรษณีย์ไทย ถือเป็นการเปิดธุรกิจใหม่ของประเทศที่สามารถให้คนไทยได้อุดหนุนสินค้าและบริการของคนไทยด้วยกัน เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตยิ่งๆ ขึ้นไป" นายวรสิทธิ์ กล่าว

แน่นอนว่า การลงนามในความร่วมมือครั้งนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายต่างมุ่งหวังพัฒนาธุรกิจร่วมกัน โดยใช้ประสบการณ์ทางธุรกิจ ส่งเสริมศักยภาพการให้บริการโลจิสติกส์และการขายการตลาด เพื่อให้เกิด 'แพลตฟอร์มขายสินค้าพร้อมจัดส่งครบวงจรผ่านช่องทางสื่อสารแบบ Offline, Online, On-air' ซึ่งจะเป็นการช่วยสนับสนุนสินค้าจากผู้ผลิตและผู้ประกอบการไทยได้อย่างมาก 

ขณะเดียวกัน ทั้ง 2 ยังร่วมกันศึกษา เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านดิจิทัลที่รองรับการทำธุรกิจ B2B Solutions, Healthcare Solutions ใหม่ ตลอดจนพัฒนาบริการการจัดเก็บสินค้าที่ใช้ Robotic เพื่อสนองตอบความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ ที่ต้องการคุณภาพ, มาตรฐานการจัดเก็บ และความรวดเร็วการจัดส่งเป็นพิเศษ ตลอดจนตอบสนองลูกค้ากลุ่มใหม่ต่างประเทศอีกด้วย

'IPOWER' บริษัทย่อย 'ILINK’ คว้างานใหม่ ‘กฟภ.’  ก่อสร้างสายส่งระบบ 115 เควี Tap Line มูลค่า 144.76 ลบ.

เมื่อวานนี้ (6 ธ.ค.66) แจ้งข่าวดีรับปีใหม่!! บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ฯ หรือ ILINK ส่งบริษัทย่อย ‘บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เพาเวอร์ แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด’ ลงนามสัญญางานโครงการก่อสร้าง สายส่งระบบ 115 เควี Tap Line มูลค่า 144.76 ล้านบาท หนุนผลงานโค้งสุดท้ายของปี เพิ่มผลงานในปี 2568 โดยภาพรวมธุรกิจเติบโตตามแผน พร้อมรอข่าวใหญ่ปีหน้าคว้างานบิ๊กโปรเจ็กต์ และจะมีข่าวงานโครงการทยอยเซ็นต์สัญญาต่อไป 

นายสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสายสัญญาณที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยว่า ‘บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เพาเวอร์ แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด’ หรือ IPOWER ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ร่วมลงนามในสัญญาจ้างก่อสร้างสายส่งระบบ 115 เควี Tap Line [สถานีไฟฟ้าแรงสูงสีคิ้ว 2 (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) - สถานีไฟฟ้าสีคิ้ว 2] - สถานีไฟฟ้าด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมาตามโครงการพัฒนาระบบส่งและจำหน่ายระยะที่ 2 แผนงานที่ 2 มูลค่างาน 144,760,000.00 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยงานโครงการนี้มีระยะเวลาการส่งมอบงานภายใน 360 วัน นับถัดจากวันที่ลงนามในสัญญา คาดว่าจะรับรู้รายได้ในปี 2567 ทั้งหมด

“การที่บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เพาเวอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บมจ. อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ได้รับงานใหม่ในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำถึงศักยภาพ ความสามารถ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะด้านการติดตั้งงาน Turnkey วิศวกรรมโครงการต่าง ๆ อีกทั้งยังสะท้อนถึงความเชื่อมั่น และความไว้วางใจจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ซึ่งเป็นลูกค้าหลักรายใหญ่มาอย่างยาวนาน ส่งผลทำให้บริษัทฯ มีมูลค่างานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในอนาคต บริษัทฯ ยังรอผลการประกวดราคางานโครงการ Turnkey วิศวกรรมโครงการอีก 2 - 3 งาน ซึ่งคาดว่าน่าจะทยอยประกาศในช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 2 เพื่อหนุนต่อเติม Backlog สร้างผลงานโดดเด่น ผลักดันให้บริษัทฯ ก้าวหน้า และสามารสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นอีกด้วย ตอกย้ำการเติบโตของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง และยั่งยืนแบบมีคุณภาพ ซึ่งบริษัทฯ ได้ยืนยัน จะเติบโตทั้งรายได้ และผลกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นตามนโยบายที่ประกาศไว้ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา และจะได้เห็นผลชัดเจนแล้วในปี 2566 นี้”

‘ทรู-ดีแทค’ ประกาศ ‘เลิกใช้กระดาษ’ ในศูนย์บริการ 100% เดินหน้าใช้ AI ช่วยเซฟเวลาทำงาน 5 แสนชั่วโมงต่อปี

(7 ธ.ค.66) บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย ยกเลิกการใช้เอกสารแบบฟอร์มกระดาษทั้งหมดในศูนย์บริการทรูและดีแทค ด้วยระบบการทำงานแบบดิจิทัลที่เร็วกว่าและปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าดียิ่งขึ้น การให้บริการแบบไร้กระดาษ (Paperless) จะช่วยให้บริษัทฯ ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก (Carbon Footprint) จากกิจกรรมการทำงานของบริษัท และเป็นส่วนหนึ่งที่เดินหน้าใช้ระบบอัตโนมัติ 100% ในงานพื้นฐานประจำวันที่ซ้ำๆ ภายในปี 2570 โดยการพลิกโฉมการดำเนินงานในครั้งนี้จะช่วยประหยัดเวลาดำเนินการในศูนย์บริการได้รวม 400,000 ชั่วโมงต่อปี

นายชารัด เมห์โรทรา รองประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “นี่คือการมุ่งมั่นที่จะพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าในทุกศูนย์บริการและทุกช่องทาง เรากำลังนำนวัตกรรมโซลูชัน อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระบบอัตโนมัติ และหุ่นยนต์เสมือน เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการและปกป้องข้อมูลของส่วนบุคคลของลูกค้า ทั้งนี้ จากการยกเลิกการใช้เอกสารแบบฟอร์มกระดาษ 100% ในศูนย์บริการทำให้ลูกค้าของเราใช้บริการได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น การใช้ระบบดิจิทัลอย่างสมบูรณ์แบบยังช่วยปกป้องข้อมูลลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของเราอีกด้วย”

ทั้งนี้ จากเดิมก่อนปรับเป็นระบบดิจิทัล หรือไร้กระดาษ (Paperless) 100% ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้มีการใช้เอกสารในรูปแบบต่างๆ สำหรับการทำรายการ 24 ประเภท ซึ่งการทำธุรกรรมต่างๆ ลูกค้าต้องกรอกเอกสารที่ใช้เวลานาน และการใช้กระดาษยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว แบบฟอร์มกระดาษอาจจะเกิดความเสี่ยงข้อผิดพลาดในการนำข้อมูลมาป้อนลงในระบบ แพลตฟอร์มดิจิทัลใหม่จะพลิกโฉมขั้นตอนนี้และเพิ่มการปกป้องคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าให้เข้มงวดยิ่งขึ้นในการเข้าถึงได้

นอกจากการพลิกโฉมสู่การดำเนินการแบบไร้กระดาษ ทรู คอร์ปอเรชั่นยังปรับระบบการทำงานสู่รูปแบบอัตโนมัติ โดยนำระบบหุ่นยนต์เสมือนมาช่วยในส่วนของการทำงานที่สิ้นเปลืองเวลามากแต่มีการปฏิบัติซ้ำๆ และชัดเจน ซึ่งสามารถจัดการกระบวนการที่ลูกค้าต้องรอในร้านค้าได้ถึง 80% ทำให้ดำเนินการได้เร็วขึ้นทันที นอกจากนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้เพื่อดำเนินการอัตโนมัติเพิ่มอีก 20% เพื่อให้ประหยัดเวลาของลูกค้าโดยรวมได้มากขึ้นจาก 400,000 เป็น 500,000 ชั่วโมงต่อปีในไตรมาสที่ 1 ปี 2567

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับเพื่อทำให้ช่องทางบริการทรูและดีแทคเป็นอัตโนมัติมากยิ่งขึ้น ขณะนี้ ศูนย์บริการทรูและดีแทค พร้อมกับตัวแทนร้านค้าได้นำโซลูชัน AI มาใช้งาน ทำให้สามารถวินิจฉัยปัญหาและเสนอแนะได้ทันที ลดเวลาในการจัดการลง 35% รวมถึงการนำ AI มาใช้กับแชทบอท บริการลูกค้าประมาณ 150,000 รายการต่อเดือน

ระบบอัตโนมัติเป็นหนึ่งในโครงการริเริ่มกว่า 100 โครงการที่ทรู คอร์ปอเรชั่นกำลังดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของ Synergies มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) 2.5 แสนล้านบาท ระหว่างปี 2566-2573 โดยส่วนหนึ่งของ Synergies ประมาณ 65,000-70,000 ล้านบาทมาจากการผสานองค์กรและการดำเนินงานแบบครบวงจร ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงการดำเนินการให้ทันสมัยและระบบอัตโนมัติ

นอกเหนือจากการติดตั้ง AI ไว้ในระบบการให้บริการและการดำเนินงานของบริษัทแล้ว ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังนำเทคโนโลยี AI มาใช้กับลูกค้ากลุ่มธุรกิจอีกด้วย โดยกลุ่มทรู ดิจิทัล ได้พัฒนาโซลูชั่นด้านการค้าปลีก เกษตรกรรม และสุขภาพ โดยผสานข้อมูลจากอุปกรณ์ IoT การใช้งาน 5G และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine learning) เข้าด้วยกันเพื่อการใช้งานรูปแบบต่างๆ ดังนั้น จึงสามารถยกระดับสู่โรงพยาบาลอัจฉริยะไปจนถึงฟาร์มอัจฉริยะและการค้าปลีกอัจฉริยะ รวมถึงการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine learning) ยังมาช่วยเพิ่มความปลอดภัย การขนส่งสินค้ารวดเร็ว และลดการใช้พลังงาน

“ในฐานะบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย เรามุ่งมั่นที่จะสร้างมาตรฐานนำเสนอบริการที่ดีกว่า ปลอดภัยกว่า และยั่งยืนยิ่งขึ้นเพื่อลูกค้าของเรา เรายังมุ่งมั่นในการนำโซลูชันเพื่อพัฒนาทุกภาคส่วน และยกระดับการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลของประเทศร่วมกัน” นายชารัด กล่าวในที่สุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top