Friday, 16 May 2025
TheStatesTimes

‘KTC’ ร่วมมือ 18 โรงพยาบาลมอบสิทธิพิเศษสมาชิก หลังซื้อแพ็กเกจตรวจสุขภาพประจำปี ตั้งแต่วันนี้-29 ก.พ. 67

(21 พ.ย. 66) นางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต ‘เคทีซี’ หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “หมวดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่มียอดใช้จ่ายติดอันดับ 1 ใน 5 คือหมวดสุขภาพและโรงพยาบาล โดยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของทุกปี จะเป็นช่วงที่สมาชิกนิยมซื้อแพ็กเกจตรวจสุขภาพมากที่สุด เพราะเป็นช่วงที่ถึงรอบการตรวจสุขภาพประจำปีของคนส่วนใหญ่ และในปัจจุบันมีโรคระบาดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาการของโรคมีการเจ็บป่วยที่หนักขึ้นจนอาจทำให้ถึงขั้นเสียชีวิต คนจึงหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพกันมากขึ้น เพื่อให้มีสุขภาพที่แข็งแรงอยู่เสมอ” 

“เพราะการตรวจสุขภาพเป็นประจำ ทำให้เราสามารถป้องกันและรักษาก่อนเกิดโรคได้อย่างทันท่วงที เคทีซีจึงได้ร่วมกับ 18 โรงพยาบาล มอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี เมื่อซื้อแพ็กเกจตรวจสุขภาพที่ร่วมรายการ สามารถลงทะเบียนรับของขวัญส่งท้ายปี อาทิ รับบัตรกำนัลสตาร์บัคส์ (Starbucks) เมื่อซื้อแพ็กเกจตรวจสุขภาพและชำระด้วยบัตรเครดิตเคทีซีที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ซอยศูนย์วิจัย / โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท / โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ / โรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ / โรงพยาบาลในเครือพญาไท / โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน ตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไป ระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2566 - 29 กุมภาพันธ์ 2567 

หรือรับเครื่องฟอกอากาศ มูลค่า 3,590 บาท เมื่อมียอดใช้จ่ายตั้งแต่ 100,000 บาทขึ้นไปต่อเซลส์สลิป / รับกระเป๋าล้อลาก 20 นิ้ว มูลค่า 2,490 บาท เมื่อมียอดใช้จ่ายตั้งแต่ 30,000 บาทขึ้นไปต่อเซลส์สลิป หรือรับกล่องใส่อาหารมูลค่า 169 บาท เมื่อมียอดใช้จ่ายตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไปต่อเซลส์สลิป 

สมาชิกที่สนใจสามารถซื้อแพ็กเกจตรวจสุขภาพได้ที่เครือโรงพยาบาลเปาโล / โรงพยาบาลกรุงเทพ พัทยา / โรงพยาบาลกรุงเทพ ราชสีมา / โรงพยาบาลกรุงเทพ หัวหิน / โรงพยาบาลมหาชัย 2 ตั้งแต่ 1 กันยายน 2566 ถึง 29 กุมภาพันธ์ 2567 หรือ (ระยะเวลาขึ้นอยู่กับแต่ละโรงพยาบาล) โดยดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://bit.ly/3SK23dI” 

ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ KTC Phone โทร. 0-2123-5000 สมัครบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภทคลิก https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก ‘เคทีซี ทัช’ ทุกสาขาทั่วประเทศ

'มือเศรษฐกิจจุลภาค' ห่วง!! GDP ไทย Q3/66 โตต่ำ 1.5% แนะ!! ใช้คนให้ถูกกับงาน เพราะคนเก่งไม่กี่คนแบกประเทศไม่ได้

(21 พ.ย. 66) นายพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ มือเศรษฐกิจจุลภาค อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Ta Plus Sirikulpisut' ระบุว่า…

GDP Q3 ประเทศไทยที่เรารัก โต 1.5% ซึ่งต่ำมาก ๆ ครับ เรามาแกะตัวเลขกันว่าปัญหาอยู่ตรงไหนต้องแก้อะไรบ้าง

1.โครงสร้าง GDP ประกอบไปด้วย การบริโภคภาคเอกชน การบริโภคภาครัฐ การลงทุน และการส่งออก หักการนำเข้า เป็นความรู้พื้นฐานด้านเศรษฐศาสตร์มหภาค โดยเราควรติดตาม Capital flow ในส่วน Leakage and injection ด้วย

เราอยากให้ประเทศมีเศรษฐกิจเติบโต และกระจายไปอย่างทั่วถึงเพื่อลดความเหลื่อมล้ำของประชาชน

2.ภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้ไม่ดี เราอยู่ในภาวะ Perfect strom ที่มีปัญหารุมมากมาย แต่ละประเทศก็แก้ไขต่างกัน แต่เรายังแก้ไขไม่ดีครับ ปัญหาที่โลกใบนี้เจอ คือ ของแพง จากราคาพลังงาน และอาหาร สาเหตุจากสงคราม รัสเซีย ยูเครน และ ฮามาสกับ อิสราเอล รวมถึงสงครามการค้าจีน สหรัฐ ยุโรป

นอกจากของแพง ดอกเบี้ยก็ขึ้นสูงทำให้การบริโภคและการลงทุนทำได้ไม่คล่องเหมือนภาวะปกติ
การลดปริมาณเงินของสหรัฐที่อัดฉีดเงินมายาวนานสิ้นสุดลง และกระทบตลาดหุ้น ตลาดทุน ของที่เคยแพงสินทรัพย์ ราคาหุ้น ก็ลดลงแรง

3.ประเทศไทยเรายังมีการบริโภคที่ดี โดยภาคบริการ การท่องเที่ยว ช่วยค้ำยัน อาหาร โรงแรม ให้เติบโตดี แม้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวไม่มากเท่าก่อนโควิด แต่ก็เติบโตดีมาก

4.ภาคการผลิต เริ่มจากภาคเกษตร ราคาสินค้าไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก มีบางหมวดที่ปรับขึ้นได้ แต่ผลิตภาพไม่ดี คือผลผลิตออกมาได้น้อยเมื่อเทียบกับการลงทุนลงแรง ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เรามุ่งอุดหนุนราคาเกษตรแต่ไม่ปรับผลิตภาพ (Productivity)

ภาคอุตสาหกรรม เน้นขายของในสต๊อกของใหม่ผลิตน้อยกลัวขายไม่ได้ และโดนสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามาตี ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า วัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ และอีกหลาย Cluster ใหญ่ ๆ ทำให้ขายในประเทศก็ยาก ส่งออกก็ยากแม้ค่าเงินบาทจะอ่อนลงมากแต่ก็ขายไม่ได้ ขนาดในประเทศยังขายได้ยาก จะไปสู้ต่างประเทศยิ่งยาก ต้นทุนสูง ไม่ได้ Economic of scale แถมสินค้าเรากำลังตกยุคไม่ได้เป็นที่ต้องการตลาดโลก

5.ภาคส่งออกเป็นปัญหามายาวนาน ยุคอดีต รมว. พาณิชย์ พยายามปั้นแล้วแต่ไม่ฟื้น กระทรวงเศรษฐกิจแต่ไม่ได้คนเก่งเศรษฐกิจมาทำงานให้ข้าราชการทำงานเป็นหลัก คนให้ทิศทางไม่ชัดก็ไปต่อยาก วันนี้ได้เสาหลักมาจากท่องเที่ยวมาช่วย แต่ยังห่างไกลมากต้องทำงานอีกเยอะ ทีมเศรษฐกิจต้องแข็งจริง ร่วมมือกับเอกชน ถ้าตลาดในประเทศโดนต่างชาติมาตีตลาด ในบ้านขายไม่ออกส่งออกก็ยาก เพราะต้นทุนเฉลี่ยไม่ได้ Scale เอาใจช่วยมากครับ

6.การลงทุน และใช้จ่ายภาครัฐ สะดุดแรงช่วงเลือกตั้งและการตั้งรัฐบาล Q3 จึงสะดุดแรงมากใครขายของภาครัฐนิ่งสงบ คาดว่า Q4 จะดีขึ้นเล็กน้อยแต่ต้องเร่ง งบประมาณรายจ่ายให้ไว ไม่งั้นจอด 

ปัญหาวันนี้เป็นที่โครงสร้างต้องใช้คนเก่งมาก ๆ มาช่วยกันทำงาน หากเป็น ครม. แบ่งโควตาไม่เน้นความสามารถปัญหานี้แก้ยากมาก เรียนด้วยความสัตย์จริงไม่ได้ว่าพรรคไหน หรือแขวะใคร วันนี้ต้องทำงานไว มี รมต. เก่งไม่กี่คนไม่สามารถแบกทีม แมนยู ให้ไปแชมเปียนส์ลีกได้ ควรจัดทีมให้เหมาะครับ

ต๊ะ พลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์
บทความเชิงวิชาการส่วนตัว
ไม่ได้เกี่ยวข้องกับต้นสังกัดข้าพเจ้า

‘สันติ’ ลั่น!! ‘พปชร.’ ไม่มีแพแตก ยัน ‘ลุงป้อม’ ยังไม่ทิ้งการเมือง พร้อมหนุนแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่น หากไม่ขัดข้อกฎหมาย

(21 พ.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พปชร. จะยังอยู่ในสนามการเมืองต่อหรือไม่ว่า “ลุงป้อมหัวหน้าผมเนี่ย มั่นใจได้ ไว้ใจมาก ท่านเองก็มีความตั้งใจในเรื่องที่จะดูแลบ้านเมือง เพราะงั้นท่านไม่ทิ้งการเมืองหรอกครับ”

เมื่อถามว่า เลือกตั้งครั้งหน้าจะเห็นพรรค พปชร.ส่งคนลงรับสมัครเลือกตั้งแน่นอนใช่หรือไม่ นายสันติกล่าวว่า “แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ และทุกคนในพรรคก็มีความรักใคร่กลมเกลียวกัน มีความเป็นปึกแผ่นแน่นอน”

เมื่อถามว่า พล.อ.ประวิตรได้กำชับเรื่องอะไรเป็นพิเศษกับพรรคบ้างหรือไม่ นายสันติกล่าวว่า พล.อ.ประวิตรประชุมกับผู้บริหารพรรคทุกวันจันทร์อยู่แล้ว อย่างเมื่อวาน (20 พ.ย.) มีการประชุมกัน ก็ได้หารือประเด็นที่เป็นพิเศษในปัจจุบัน เช่น โครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ว่าเราจะทำอย่างไร ประชาชนจะเป็นอย่างไร

เมื่อถามว่า พล.อ.ประวิตรเห็นด้วยในโครงการนี้หรือไม่ นายสันติกล่าวว่า หัวหน้าของเราก็บอกว่าพี่น้องประชาชนตอนนี้เศรษฐกิจก็ฝืดนิดหน่อย ถ้าประชาชนได้เงิน 1 หมื่นบาท ประชาชนก็ดีใจ ก็อยากได้ แต่ต้องดูกฎหมาย รัฐธรรมนูญก็ดี กฎหมายการเงิน การธนาคาร อะไรต่างๆ ถ้าไม่ติดขัด ท่านบอกว่าก็ดี ประชาชนได้จับจ่ายใช้สอยในช่วงนี้ แต่หากติดรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมาย ติด พ.ร.บ.ต่างๆ คงจะต้องหาช่องทางอื่นๆ ด้วย

เมื่อถามว่า มื้อเที่ยงได้พูดคุยอะไรกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรค พปชร. และ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เกี่ยวกับประเด็นการเมืองหรือไม่ นายสันติกล่าวว่า ก็คุยกันเรื่องทั่วไป ว่าจะต้องร่วมกันทำงานเพื่อประชาชนอย่างไรบ้าง ไม่ได้คุยเรื่องอื่น

‘พีระพันธุ์’ เบรก ‘กกพ.’ ขึ้นค่าไฟ 4.68-5.95 บาท ต้นปี 67 ลั่น!! ต้องได้ 3.99 บาท ช่วยลดภาระประชาชนให้มากที่สุด

(21 พ.ย. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงกรณีคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ออก 3 ทางเลือกขึ้นค่าไฟหน่วยละ 4.68 - 5.95 บ. งวดมกราคม-เมษายน 67 

จากปัจจุบัน (กันยายน-ธันวาคม 66) อยู่ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย โดยเปิดรับฟังความคิดเห็นผ่านทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. วันที่ 10 - 24 พฤศจิกายนนี้ ว่า 

ขณะนี้ได้สั่งการให้ทีมงานเข้าไปดูโครงสร้างต้นทุนค่าไฟเพื่อพิจารณาแนวทางช่วยเหลือประชาชน จะแยกต้นทุนรายตัว บางเชื้อเพลิงอาจปรับขึ้น

แต่คงไม่เท่าราคาที่ กกพ.ประกาศออกมา โดยจะพยายามทำให้ค่าไฟยังอยู่ที่ 3.99 บาทต่อหน่วยต่อไป 

ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 31 ธันวาคมนี้ เพราะถือเป็นนโยบายของรัฐบาล และกระทรวงพลังงาน ที่ต้องการช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชนให้มากที่สุด 

อย่างไรก็ดี หากต้นทุนเพิ่มจริงก็อาจขยับเล็กน้อยแต่คงไม่สูงตามที่ กกพ. ประกาศออกมา

"โครงสร้างค่าไฟปัจจุบันที่ กกพ. นำมาใช้ตนไม่พอใจ เพราะไม่เป็นธรรมกับประชาชน หน่วยงานรัฐต้องดูแลประชาชน ต้องลดภาระ ต้องพิจารณาราคาที่เป็นธรรม เวลานี้ค่าไฟจึงยังไม่สรุป ไม่ใช่ราคาที่ กกพ. ประกาศออกมาแน่นอน"

‘จาเวียร์ มิเลย์’ ผู้นำ ‘อาร์เจนตินา’ คนล่าสุด อาสาพาประเทศขึ้นรถไฟเหาะ ชูนโยบายสุดขั้ว!! ทิ้ง ‘เงินเปโซ’ หันมาใช้ ‘เงินดอลลาร์-บิตคอยน์’ แทน

กลายเป็นที่ฮือฮาไปทั่วโลก กับผลการเลือกตั้งล่าสุดของอาร์เจนตินา ที่ได้ผู้นำคนใหม่ ‘จาเวียร์ มิเลย์’ นักเศรษฐศาสตร์สายเสรีนิยมสุดขั้ว ที่ประกาศตัวว่าเป็น ‘เจ้าป่า’ ที่ไม่ได้มาเล่นเพื่อเลี้ยงแกะ แต่มาเพื่อปลุกอาร์เจนตินาให้กลายเป็น ‘สิงห์โต’ ที่ยิ่งใหญ่แห่งอเมริกาใต้อีกครั้ง

จาเวียร์ มิเลย์ ถือเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้นำอาร์เจนตินา ที่โดดเด่นเป็นที่จับตาอย่างมาก ทั้งสไตล์การพูดจากที่โผงผาง ดุดัน ไม่เกรงใจใคร อีกทั้งบุคลิกหลุดโลก จนทำให้หลายคนตั้งฉายาให้เขาว่าเป็น ‘คนบ้า’ บ้าง ‘มนุษย์วิก’ บ้าง ด้วยทรงผมที่ดูคล้าย ‘วูฟว์เวอรีน’ ตัวละครซุปเปอร์ฮีโร่ชื่อดัง

แต่เขาปฏิเสธว่าตนไม่ใช่คนบ้า และไม่ใช่ฮีโร่ แต่เป็น ‘มนุษย์เลื่อยไฟฟ้า’ (Chainsaw Man) ที่มาเพื่อผ่าวิกฤติเศรษฐกิจของอาร์เจนตินาให้สิ้นซาก ที่ติดกับดักภาวะเงินเฟ้อด้วยเลข 3 หลัก (ปัจจุบันอยู่ที่ 143%) และอัตราความยากจนพุ่งขึ้นถึง 40% มาเป็นเวลานาน และได้ใช้เลื่อยไฟฟ้าเป็นสัญลักษณ์แทนตัวเขาในช่วงหาเสียง

นอกจากบุคลิกจะหลุดโลกแล้ว นโยบายที่นำเสนอก็สุดขั้วตกขอบเช่นกัน โดยตัวเขานิยามตัวเองเป็นนักเศรษฐศาสตร์แนว ‘ทุนนิยมอนาธิปไตย’ ที่สนับสนุนการยกเลิกระบบอำนาจรัฐแบบรวมศูนย์ แต่ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาดเสรีอย่างเต็มที่ ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นหนทางที่จะปลดล็อกเศรษฐกิจของอาร์เจนตินาให้เติบโตอย่างเสรีได้

จาเวียร์ มิเลย์ สัญญาว่าจะผ่อนปรนกฎหมายแรงงาน เพื่อให้อิสระแก่แรงงาน และผู้ประกอบการ และตั้งเป้ายุบกระทรวงลงกว่าครึ่ง เพื่อลดบทบาทการควบคุมของรัฐบาลให้น้อยลงให้มากที่สุด ซึ่ง 2 กระทรวงหลักที่คาดว่าจะถูกยุบก็คือ ‘สาธารณสุข’ และ ‘ศึกษาธิการ’ อีกด้วย

อีกทั้งนำเสนอวิธีแก้ไขเงินเฟ้อเรื้อรังของอาร์เจนตินา ด้วยการทิ้ง ‘เงินสกุลเปโซ’ ของชาติ แล้วไปใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ แทน และจะถอนตัวจากการเข้าร่วม ‘กลุ่มพันธมิตรเศรษฐกิจใหม่’ (BRICS) ที่มีแกนนำ 5 ชาติได้แก่ บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน และแอฟริกาใต้ อีกทั้งยังประกาศลดระดับด้านการค้ากับจีน โดยเขากล่าวอย่างแข็งกร้าวว่าไม่ต้องการคบค้ากับ ‘พวกนักฆ่า’ ซึ่งหมายถึง ‘ประเทศจีน’ นั่นเอง

และด้วยนโยบายที่สุดโต่ง และดุดัน ทำให้ จาเวียร์ มิเลย์ เป็นที่นิยมในกลุ่มหนุ่ม-สาวรุ่นใหม่ชาวอาร์เจนตินา ที่เทคะแนนให้เพราะคาดหวังความเปลี่ยนแปลงแบบสุดขั้ว และการทลายกำแพงของกลุ่มทุนนิยม และกลุ่มผู้มีอิทธิพลทางการเมืองแบบเก่า จน จาเวียร์ มิเลย์ สามารถคว้าชัยชนะเลือกตั้งใหญ่ในอาร์เจนตินา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน 2566 ได้อย่างงดงาม ด้วยคะแนน 55.69%

เมื่ออาร์เจนตินา ได้ผู้นำคนใหม่กับนโยบายที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ หลายคนจึงคาดการณ์ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอาร์เจนตินาในปีหน้า 2024 ตามนโยบายที่ จาเวียร์ มิเลย์ ได้สัญญาไว้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทิ้งเงินเปโซ มาใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเงินสกุลหลัก ที่ จาเวียร์ มิเลย์ มองว่าเป็นหนทางที่จะแก้ปัญหาค่าเงินเฟ้อในอาร์เจนตินาได้ และจะทำให้สำเร็จภายในปี 2025 ด้วย รวมถึงบทบาทของธนาคารกลาง ที่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะต้องถูกลดบทบาท (หรืออาจจะถูกยุบด้วยซ้ำ) พร้อมการรับเงินดิจิทัล อาทิ ‘บิตคอยน์’ เข้ามาใช้ในการทำธุรกรรมอย่างเต็มรูปแบบในระบบเศรษฐกิจของอาร์เจนตินา

รวมถึงนโยบายต่างประเทศที่ จาเวียร์ มิเลย์ ประกาศชัดเจนว่าจะพาประเทศไปเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา และอิสราเอล อย่างเปิดเผย ซึ่งนั่นหมายถึงการตัดสัมพันธ์ด้านการค้ากับจีน อีกทั้งการลดระดับความสัมพันธ์กับรัสเซีย เพื่อสนับสนุนยูเครนอย่างเต็มตัวในสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน และการประกาศศึกแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ‘บราซิล’ เพื่อชิงตำแหน่งเจ้าป่าหนึ่งเดียวในทวีปอเมริกาใต้นั่นเอง

นับเป็นความทะเยอทะยานอันร้อนแรงของผู้นำป้ายแดงแห่งอาร์เจนตินา กับนโยบายสุดขั้ว เพื่อต้องการพลิกประเทศจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ที่ทำให้ชาวอาร์เจนตินาในตอนนี้เหมือนกำลังขึ้นรถไฟเหาะแห่งความเปลี่ยนแปลง ที่มีทั้งอารมณ์ ‘ตื่นเต้น’ และ ‘ตื่นกลัว’ ว่าผลงานของ ผู้นำ ‘มนุษย์เลื่อยไฟฟ้า’ (Chainsaw Man) จะได้ออกมาเป็น ‘ไม้เนื้องาม’ หรือ ‘ขี้เลื่อย’

‘มาร์ส เพ็ทแคร์’ หนุนเกษตรกรปลูก ‘ข้าว-ข้าวโพด’ อย่างยั่งยืน หวังลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นำร่อง ‘นครราชสีมา-ลพบุรี’

(21 พ.ย. 66) นายปิยรัฐ อมรฉัตร ผู้อำนวยการด้านการจัดซื้อ ภูมิภาคเอเชีย บริษัท มาร์ส เพ็ทแคร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ดำเนินการร่วมกับ 6 พันธมิตรทางการค้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่การผลิตผ่านโครงการเกษตรกรรมฟื้นฟู

ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวอยู่ภายใต้กิจกรรม Climate Actions For A Better Tomorrow โดยจะนำร่องโครงการในการปลูกข้าวโพดและข้าวนำร่อง ที่ จ.นครราชสีมา และ จ.ลพบุรี 

สำหรับการดำเนินการดังกล่าวถือเป็นการขับเคลื่อนเป้าหมายบริษัท ที่วางแนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 50% ภายในปี 2573 และบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 

ซึ่งโครงการดังกล่าวนี้สามารถช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมีส่วนสำคัญในการเพิ่มพูนความอุดมสมบูรณ์และฟื้นฟูดินควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

“มาร์ส เพ็ทแคร์ ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้กรอบความยั่งยืนและหนึ่งในเป้าหมายความยั่งยืน คือ การลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยดำเนินโครงการเกษตรกรรมฟื้นฟู มุ่งยกระดับสุขภาพและความอุดมสมบูรณ์ของดิน เพื่อจัดเก็บคาร์บอนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปรับปรุงคุณภาพของลุ่มน้ำ และเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งโครงการนี้จะเสริมสร้างความร่วมมือที่เข้มแข็งกับเกษตรกร เพื่อจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและก้าวไปสู่การเกษตรแบบเท่าทันภูมิอากาศ ( Climate Smart Agriculture) โดยทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์และเกษตรกรส่งเสริมวิธีการทำเกษตรที่ดียิ่งขึ้น และการสนับสนุนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพิ่มศักยภาพกระบวนการผลิตข้าวโพดและข้าวอย่างยั่งยืน” 

นายชรินทร์ ทองสุข รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า การขับเคลื่อนเรื่องลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นวาระสำคัญของทุกภาคส่วน โดยภาครัฐพร้อมที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อเดินหน้าไปสู่เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกจากกลุ่มภาคเกษตรกรรม เพราะเป็นอาชีพหลักของประชาชนในจังหวัดนครราชสีมา

สำหรับ 6 พันธมิตรที่ร่วมดำเนินการ ประกอบด้วย ร้านตรงพานิช, บริษัท ส.วิริยะอินเตอร์เทรด จำกัด ,บริษัท พูลอุดม จำกัด, บริษัท วชาไล จำกัด (แสงตะวัน), ห้างหุ้นส่วนจำกัดกรแก้วพืชผล และบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนลไรซ์ แอนด์โปรดักซ์ จำกัด

‘ครม.’ ไฟเขียว ‘สมรสเท่าเทียม’ เตรียมส่งสภาฯ พิจารณา 12 ธ.ค.นี้ ยกระดับความเท่าเทียมทางเพศแก่คู่รักเพศเดียวกัน ตามสิทธิขั้นพื้นฐาน

(21 พ.ย. 66) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ว่า กระทรวงยุติธรรม ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อให้มีกฎหมายรับรองสิทธิการก่อสร้างครอบครัวของคู่รักเพศเดียวกัน

โดยมีหลักการสำคัญคือ “แก้ไขคำว่า ‘ชาย-หญิง-สามี-ภรรยา’ เป็น ‘บุคคล-คู่หมั้น-คู่รับหมั้น และคู่สมรส’ เพื่อให้มีความหมายครอบคลุมว่า การสมรสต่อไป ‘ชายหญิง’, ‘ชายชาย’ หรือ ‘หญิงหญิง’ สามารถสมรสกันได้ โดยไม่ตัดสิทธิการสมรสเหมือนชายหญิง”

นายคารม ยังชี้แจงขั้นตอนระหว่างนี้ว่า จะต้องมีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกัน อาทิ เรื่องบำเหน็จ บำนาญ โดยคณะกรรมการกฤษฎีกา จะไปแก้ไขให้สอดคล้องกับการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งดังกล่าว ซึ่งกระทรวงยุติธรรม ได้ดำเนินการรับฟังความเห็นเรียบร้อยแล้ว โดยหลังการตรวจสอบของกฤษฎีแล้ว ก็สามารถเสนอเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาในสมัยประชุมหน้า ที่จะเปิดในวันที่ 12 ธันวาคมนี้

‘ลาว’ เร่งศึกษาการสร้าง ‘ฟาร์มกังหันลม-สถานีไฟฟ้าย่อย’ หากแล้วเสร็จ จะกลายเป็นแหล่งพลังงานของอาเซียน

(21 พ.ย. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สถานีโทรทัศน์แห่งชาติลาวเปิดเผยว่า ลาวเตรียมศึกษาความเป็นไปได้สำหรับการสร้างฟาร์มกังหันลม และสถานีไฟฟ้าย่อย ขนาด 500 กิโลโวลต์เพื่อจ่ายไฟฟ้า ในแขวงสะหวันนะเขตทางตอนใต้

ข้อตกลงดังกล่าวลงนามเมื่อวันที่ 13 พ.ย. โดยสถาบันดิต อินซีเซียนใหม่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการวางแผนและการลงทุนของลาว คำสะหวัด บุนวิไล กรรมการผู้จัดการบริษัท นาเซง-วาโย รีนิวเอเบิล รีซอร์ส เดเวลอปเมนต์ แอนด์ อินเวสเมนต์ และโลแกน น็อกซ์ ตัวแทนของยูพีซี เวียดนาม (สิงคโปร์)

การศึกษานี้จะดำเนินการที่เขตวีละบูลี อาดสะพอน และพินของแขวงสะหวันนะเขต ซึ่งอยู่ห่างจากนครหลวงเวียงจันทน์ เมืองหลวงของลาวไปทางใต้ประมาณ 400 กิโลเมตร โดยเป็นความร่วมมือระหว่างยูพีซี รีนิวเอเบิล เอเนอร์จี (UPC Renewable Energy) และบริษัท นาเซง-วาโย รีนิวเอเบิล รีซอร์ส เดเวลอปเมนต์ แอนด์ อินเวสเมนต์ ของลาว

รายงานระบุว่ามีการวางแผนสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยขนาด 500 กิโลโวลต์ เพื่อเอื้อการส่งพลังงานที่ผลิตขึ้นจากพลังงานลมไปยังประเทศเพื่อนบ้าน

ยูพีซี รีนิวเอเบิล เอเนอร์จี คอมปานี คาดว่าจะดำเนินโครงการไฟฟ้าพลังงานนี้โดยสอดคล้องตามข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมสูงสุดของลาว ควบคู่กับมาตรฐานการปฏิบัติงานที่กำหนดโดยธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) และบรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (IFC) โดยต่อยอดจากประสบการณ์ของบริษัทฯ ในด้านการพัฒนาโครงการพลังงานลม และศักยภาพการจัดหาแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ

หากโครงการข้างต้นประสบความสำเร็จ แขวงสะหวันนะเขตจะเป็นที่ตั้งของฟาร์มกังหันลมขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง และกลายเป็นแหล่งพลังงานสำหรับภูมิภาคด้วยการใช้งานสถานีไฟฟ้าย่อย 500 กิโลโวลต์และระบบจ่ายไฟฟ้าเพื่อเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้าของอาเซียน

22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 ‘จอห์น เอฟ. เคนเนดี’ ผู้นำสหรัฐฯ คนที่ 35 ถูกลอบสังหาร ขณะเดินทางไปหาเสียงเลือกตั้ง

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความตื่นตกใจให้กับคนทั้งโลก เมื่อ ‘จอห์น เอฟ. เคนเนดี’ ประธานาธิบดีลำดับที่ 35 แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ถูกลอบสังหารขณะเดินทางไปหาเสียงเลือกตั้ง ปธน. ภายในรถเปิดประทุน โดยมีภรรยานั่งอยู่ด้านข้าง โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นในเวลา 12.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ เดลลีย์พลาซา เมืองแดลลัส รัฐเท็กซัส

โดยจากการสืบสวนของคณะกรรมการวอร์เรน ซึ่งกินเวลา 10 เดือน ระหว่าง พ.ศ. 2506 - 2507 การสืบสวนของคณะกรรมการสมาชิกผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ว่าด้วยการลอบสังหารประธานาธิบดี (HSCA) ระหว่าง พ.ศ. 2519 - 2522 และการสืบสวนของรัฐบาล สรุปว่าประธานาธิบดีถูกลอบสังหารโดย 'ลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์’

ซึ่งในเวลาต่อมา ออสวอล์ดถูกฆาตกรรมโดย แจ๊ค รูบี้ ก่อนที่เขาจะต้องขึ้นศาล ในช่วงแรกที่มีการเปิดเผยผลการสืบสวน ข้อสรุปนี้ได้รับการยอมรับจากสาธารณชนอเมริกัน แต่ในภายหลัง ผลสำรวจที่มีการจัดทำขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2509 - 2547 เปิดเผยว่าชาวอเมริกันประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์มีความเชื่อตรงกันข้ามกับข้อสรุปที่ได้จากการสืบสวนดังกล่าว

ดังนั้นการลอบสังหารในครั้งนี้ยังคงเป็นประเด็นการอภิปรายในวงกว้าง และก่อให้เกิดประเด็นเรื่องทฤษฎีสมคบคิดและการจัดฉากอย่างนับไม่ถ้วน จนกระทั่ง พ.ศ. 2522 คณะกรรมการสมาชิกผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ว่าด้วยการลอบสังหารประธานาธิบดี ค้นพบว่ารายงานการสืบสวนของเอฟบีไอและคณะกรรมการวอร์เรนมีข้อบกพร่องอย่างร้ายแรง 

คณะกรรมการฯ ยังสรุปด้วยว่ามีการยิงปืนใส่ไม่ต่ำกว่า 4 นัด ซึ่งเป็นไปได้สูงว่าอาจมีฆาตกรสองคน และทฤษฎีสมคบคิดดังกล่าวเกิดขึ้นจริง อย่างไรก็ดี ผลการศึกษาในภายหลัง ซึ่งรวมถึงผลการศึกษาของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐอเมริกาได้ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความถูกต้องของหลักฐานที่คณะกรรมการฯ ใช้เพื่อสนับสนุนทฤษฎีกระสุนสี่นัดดังกล่าว

แต่แล้ว ในวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2560 คดีการลอบสังหารในครั้งนี้ก็ดูเหมือนจะกระจ่างขึ้น เมื่อประธานาธิบดีโดนัลน์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้มีคำสั่งให้หอจดหมายเหตุแห่งชาติสหรัฐฯ เปิดเผยเอกสารเกี่ยวกับคดีลอบสังหาร ปธน.จอห์น เอฟ เคนเนดี ที่ยังไม่เคยเปิดเผยกว่า 2,800 ชิ้น ตามที่ได้เคยกล่าวผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวว่าจะเปิดเผยข้อมูลในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560

แต่ก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้น เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ ตัดสินใจวินาทีสุดท้าย ไม่เปิดเผยข้อมูลลับเกี่ยวกับคดีดังกล่าวอีกกว่า 300 ชิ้น เพราะหน่วยข่าวกรองกลาง หรือซีไอเอ และสำนักงานสอบสวนกลาง หรือเอฟบีไอ ขอให้มีการเก็บข้อมูลบางส่วนต่อไป เนื่องจากมีข้อกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยการเปิดเผยคาดว่าจะมีการพิจารณาถึงความเหมาะสมต่อไปอีก 6 เดือน หรือประมาณช่วงเดือนเมษายน พ.ศ. 2561

เหตุการณ์สะเทือนโลกครั้งนี้จึงนับเป็น เหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ที่ชาวโลกยังคงจดจำ ต่อการจากไปของประธานาธิบดีหนุ่ม ‘จอห์น เอฟ. เคนเนดี’ ที่สร้างคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติมากมาย อีกทั้งยังเป็นคดีที่ยังคงมีถูกตั้งข้อสงสัยและยังไม่ได้รับความกระจ่างอย่างแท้จริงจากเอกสารบางส่วนที่ยังไม่เปิดเผย มาจนถึงทุกวันนี้

‘รมว.พิมพ์ภัทรา’ บุกเมืองคอน งัดบิ๊กอีเวนต์ จัดงาน ‘อุตสาหกรรมแฟร์ฯ’ จับคู่ธุรกิจ-เชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการ คาดเงินสะพัดกว่า 200 ลบ.!!

(21 พ.ย. 66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมผนึกกำลังภาครัฐและเอกชน เตรียมจัดงาน ‘อุตสาหกรรมแฟร์ เมืองใต้ 2023 นครศรีธรรมราช’ โดยกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม 2566 เวลา 10.00 – 21.00 น. ณ ลานอเนกประสงค์ ตลาดเสาร์อาทิตย์ ถนนพัฒนาการคูขวาง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อเปิดเป็นพื้นที่ส่งเสริมสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรม กิจกรรมจับคู่ธุรกิจและเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งคาดว่าตลอดการจัดงานทั้ง 5 วันจะมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 100,000 คน และเกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจกว่า 200 ล้านบาท

“เราจะมีกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อส่งเสริมโอกาสทางธุรกิจ และมอบเป็นของขวัญปีใหม่ส่งท้ายปีให้แก่ประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ ที่มีทั้งการจำหน่ายสินค้าคุณภาพ การจัดสัมมนาให้องค์ความรู้ และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมายที่จะทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคใต้ และระยะต่อไปมีแผนในการขยายพื้นที่การจัดงานในภาคอื่น ๆ ในอนาคต” รมว.อุตสาหกรรมกล่าว

นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า ‘งานอุตสาหกรรมแฟร์ เมืองใต้ 2023 นครศรีธรรมราช’ จะจัดภายใต้แนวคิด ‘การส่งเสริมโอกาสทางธุรกิจเขตพื้นที่ภาคใต้’ (Southern Industrial Fair) โดยกิจกรรมภายในงานแบ่งออกเป็น 5 โซนต่าง ๆ ได้แก่ โซนที่ 1 การจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าคุณภาพกว่า 300 บูธในราคาสุดพิเศษ อาทิ อาหารและเครื่องดื่ม สมุนไพรและเกษตรแปรรูป พร้อมโปรโมชันพิเศษเฉพาะภายในงาน เพื่อลดค่าครองชีพให้กับประชาชนในพื้นที่ โซนที่ 2 นิทรรศการแสดงการยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทย อาทิ การจัดแสดงเทคโนโลยีเครื่องจักรกล การจัดแสดงต้นแบบรถยนต์ EV ต้นแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ และนวัตกรรมต่าง ๆ

โซนที่ 3 การบริการให้คำปรึกษาแนะนำในด้านต่าง ๆ จากหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน โซนที่ 4 การสัมมนาองค์ความรู้ต่าง ๆ อาทิ การพัฒนาองค์ความรู้การประกอบธุรกิจในยุคใหม่ และโซนที่ 5 กิจกรรมพิเศษอื่น ๆ อาทิ การบริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรถจักรยานยนต์ฟรี การเปิดรับสมัครงานในพื้นที่ภาคใต้ เป็นต้น

นอกจากนี้ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้จัดสัมมนาให้ความรู้ด้านการมาตรฐาน (สมอ.) และมอบใบรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) มาตรฐานอุตสาหกรรมเอส (มอก.เอส) มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 ณ ห้องบงกชรัตน์ โรงแรมทวินโลตัส จังหวัดนครศรีธรรมราช

รวมถึง กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ยังจัดกิจกรรมวิ่งเพื่อสิ่งแวดล้อม ในกิจกรรม ‘Walk & Run for Ozone and Climate 2065 Net zero’ และ ‘จิตอาสาเพื่อพิทักษ์สิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์’ ในวันที่ 2 ธันวาคม 2566 ณ เขาพลายดำ จังหวัดนครศรีธรรมราช


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top