Thursday, 15 May 2025
TheStatesTimes

‘โตโยต้า’ เล็งหนุน ‘ไทย’ ศูนย์กลางผลิตรถยนต์ไฟฟ้า หลัง ‘รบ.ไทย’ ตั้งเป้าผลิต EV เกินครึ่งในปี 2573

(20 พ.ย. 66) เพจเฟซบุ๊ก ‘AEC Connect’ โพสต์ข้อความในหัวข้อ ‘โตโยต้า’ จ่อหนุนไทยเป็นเมืองหลวง EV ความว่า…

ในเดือนมีนาคม 2565 ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยออกนโยบายจูงใจใหม่เพื่อกระตุ้นให้คนเปลี่ยนมาใช้รถ EV โดยตั้งใจเปลี่ยนการผลิตรถยนต์กว่าครึ่งหนึ่งของไทยให้เป็นรถ EV ภายในปี 2573

จากงานวิจัยของ Counterpoint Research พบว่า ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนมีอิทธิพลต่อตลาดรถ EV ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากที่สุด ซึ่งไทยครองส่วนแบ่งเกือบ 79% ของจำนวนรถ EV ทั้งหมดที่ถูกขายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในไตรมาสแรกของปี 2566

อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าตลาดรถ EV ของไทยจะใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ก็ยังคงมีการแข่งขันว่าแบรนด์รถ EV ใดจะขายได้มากสุดในประเทศ ซึ่งในปัจจุบัน แบรนด์รถ EV ที่ขายดีที่สุดในไทยคือ BYD ของจีน แต่แบรนด์รถสัญชาติจีนอื่น ๆ ก็เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเช่นกัน

นอกจากนี้ แบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ที่หวังว่าจะสร้างผลกระทบในตลาดรถ EV ในไทยอีกหนึ่งแบรนด์คือ โตโยต้าจากญี่ปุ่น ซึ่งเรียกว่าเป็นแบรนด์ประจำบ้านในไทยไปแล้ว โดยได้รับความนิยมจากรถเก๋งและรถกระบะ

ในฐานะศูนย์กลางรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 10 ของโลก ไทยเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ส่งออกรถยนต์โตโยต้าและฮอนด้า แต่เพื่อเปลี่ยน 1 ใน 3 ของยอดการผลิตรายปีจำนวน 2.5 ล้านคันให้เป็นรถ EV ภายในปี 2573 ระบบนิเวศทางที่ถูกต้องจะเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนแปลง

โดยรัฐบาลไทยมีความต้องการที่จะทำงานร่วมกับโตโยต้าเพื่อพัฒนารถ EV ในประเทศ ซึ่งรวมถึงการพัฒนารถยนต์ Eco Car และรถกระบะด้วย ทั้งนี้มาจากการที่โตโยต้าวางแผนทดสอบรถกระบะไฟฟ้าครั้งแรกในไทย เพื่อจะกระตุ้นยอดขายรถ EV ภายในประเทศ

อย่างไรก็ดี รัฐบาลไทยก็ออกแผนลดหย่อนภาษี 3 ปีให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์ที่ลงทุนในระบบ Automation และ Robotics หลังมีการลดเงินอุดหนุนผู้บริโภคสำหรับการซื้อรถ EV ลง

เพื่อนช่วยยัน!! ‘พิธา’ ขึ้นแปรอักษรงานจตุรมิตรจริง ส่วนที่ไปเมืองนอก 11 ขวบ คือไปเรียนแบบซัมเมอร์

เมื่อวันที่ 20 พ.ย. 66 อดีตหัวหน้าห้องช่วยยืนยัน ‘พิธา’ ขึ้นแปรอักษรจริง เช็กชื่อทุกเช้า ส่วนไปเรียนเมืองนอกตอน 11 ขวบ เป็นแบบไปซัมเมอร์ เข้าแคมป์ช่วงปิดเทอม พอพร้อมค่อยไปเรียนต่อเต็มรูปแบบ วอนแยกแยะจบดรามา

จากกรณีดรามาเพจดังจับโป๊ะ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ว่าได้ขึ้นแปรอักษร 2 ครั้ง สมัยเรียนโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน แต่เมื่อย้อนไปดูเทปที่เคยให้สัมภาษณ์บอกว่าไปเรียนต่อนิวซีแลนด์ตั้งแต่ 11 ขวบ จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่จะได้ขึ้นแปรอักษร กระทั่งมีภาพยืนยันว่าความจริงแล้วนายพิธา ยังเรียน ม.3 ที่กรุงเทพคริสเตียน จึงถูกตั้งคำถามว่าแล้วจะพูดเท็จเรื่องไปเรียนต่อตั้งแต่อายุ 11 ขวบเพื่ออะไร

ล่าสุด ได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า ‘Orio Piriyawat’ ได้โพสต์ภาพพร้อมระบุว่า…

“ในฐานะ อดีตหัวหน้าห้อง ม.2 ห้อง 25 กับ ม.3 ห้อง 35 ผม ‘โอ’ (เพื่อนเรียก ‘เตี้ย’) กท.22718 ‘ทิม พิธา’ เรียนอยู่กับผม ขึ้นแปรอักษรร่วมกัน เป็น BCC145 ตลอดกาล ผมเช็กชื่อนับจํานวนนักเรียนทุกเช้า ประเด็นเรื่องไปเรียนต่อเมืองนอกทับซ้อน โกหก ขออธิบายตรงนี้ เขาไปเรียนจริงแต่เป็นแบบไปเรียนซัมเมอร์ เข้าแคมป์ ตามประสา ปิดเทอม จนพร้อมก็ไปเรียนต่อต่างประเทศเต็มรูปแบบ ดังนั้น แยกแยะนะครับ จบดรามานะครับ #bcc145”

‘โคราช’ ชู ‘กางเกงแมว’ ซอฟต์พาวเวอร์น้องใหม่ หวังช่วยสร้างอาชีพ - ส่งเสริมการท่องเที่ยวในท้องถิ่น

เมื่อวานนี้ (20 พ.ย. 66) เพจ ‘Korat Next Step’ โพสต์ข้อความในหัวข้อ #กางเกงแมวโคราช โคราชผุดไอเทมใหม่ 'กางเกงแมว' ชูเป็นซอฟต์พาวเวอร์ใหม่ โชว์อัตลักษณ์โคราชเเละส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยระบุว่า…

หลังจากโคราชจัดประกวดออกแบบ KORAT MONOGRAM (โคราช โมโนแกรม) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2566 ที่ลานกิจกรรมชั้น 1 ศูนย์การค้า ‘เซ็นทรัลโคราช’ เพื่อนำผลงานออกแบบที่ชนะเลิศ เพื่อนำไปต่อยอดเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ ที่มีสัญลักษณ์เมืองโคราช เพื่อสร้างการจดจำให้กับนักท่องเที่ยว ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และบริการด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

ล่าสุดในงาน ‘มามูย่าโคราช’ ที่ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี จัดระหว่างวันที่ 16-26 พฤศจิกายน 2566 เทศกาลและการท่องเที่ยวสายมู พบกับตลาดวัฒนธรรม สินค้าชุมชนท้องถิ่น อาหารพื้นบ้านจากท้องถิ่น และกิจกรรมการเเสดงศิลปะวัฒนธรรมจากเยาวชนและศิลปินโคราชมากมาย ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์สินค้าท้องถิ่นโดยใช้ลาย ‘โคราช โมโนแกรม’ ที่ชนะเลิศประกวดมาพิมพ์ลงบนเสื้อ หมวก กระเป๋า ถุง และไฮไลต์ ‘กางเกงแมว’ คล้าย ‘กางเกงช้าง’ ที่กำลังนิยมของไทย

นายไพจิตร มานะศิลป์ กรรมการหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า “หลังจากทางหอการค้าฯ ร่วมกับจังหวัด ได้จัดกิจกรรมการประกวด KORAT MONOGRAM (โคราช โมโนแกรม) เป้าหมายของกิจกรรมเพื่อต้องการพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเศรษฐกิจ ด้านการท่องเที่ยว และด้านการกีฬา โดยเฉพาะในเรื่องของการนำเรื่องราวประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต วัฒนธรรม และอัตลักษณ์พื้นถิ่นของชาวโคราช สื่อผ่านลวดลายโมโนแกรมที่มีเอกลักษณ์”

“เนื่องจากการสร้างลวดลายโคราช หรือ KORAT Monogram เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของเมืองโคราช และความเป็นโคราชอย่างชัดเจน ให้เป็นที่จดจำว่าลาย Monogram นี้ เป็นรูปแบบลวดลายที่เป็นของคนโคราชอย่างแท้จริง เป็นจังหวัดแรกของประเทศที่ริเริ่มให้มีลายประจำจังหวัด”

นายไพจิตร กล่าวอีกว่า “ซึ่ง ‘กางเกงแมว’ เหมือน ‘กางเกงช้าง’ ถ้านักท่องเที่ยวมาโคราชก็ต้องซื้อ ‘กางเกงแมว’ เป็นซอฟต์พาวเวอร์โคราช โดยจะขอพื้นที่ข้างลานย่าโมกับเทศบาลเพื่อตั้งบูธขายประจำตลอดไปด้วย เพื่อให้คนที่มาไหว้ย่าโมได้มาซื้อของที่ระลึกจากบูธอีกด้วยไม่ใช่มาสักการะย่าโมอย่างเดียว โดยเฉพาะสินค้าทุกชิ้นเราสั่งทำในโคราชทั้งหมด ต่อไปก็จะเอาลายนี้ไปให้ชาวบ้านทอเป็นผ้าลายต่อยอด ส่งเสริมอาชีพให้ชาวบ้านอีกด้วย ถ้าฮิตชาวบ้านก็ทอขายเองได้เลย ๆ เป็นลิขสิทธิ์ของจังหวัด ซึ่งต้องมาคุยรายละเอียดอีกครั้ง”

“และที่ฮือฮาเมื่อวันที่ 18-19 พ.ย.ที่ผ่านมา ทีมหอการค้าโคราชได้ใส่ ‘กางเกงแมว’ ไปร่วมงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ที่กรุงเทพฯ ถูกชาวหอการค้าที่มาร่วมงานถามถึงที่มา แถมสั่งซื้อ 100 กว่าตัวส่วนที่โคราชไปซื้อได้ในงาน ‘มามูย่า’ ถึงวันอาทิตย์ที่ 26 พฤศจิกายนนี้ที่ลานย่าโม” นายไพจิตร กล่าวทิ้งท้าย

เลขาฯ ศอ.บต. เข้าพบผู้นำศาสนา จชต. เพื่อความเป็นสิริมงคล ในโอกาสเข้าดำรงตำแหน่งฯ พร้อมหารือประสานงานการพัฒนา สอดรับบริบทวิถีชีวิต-กิจกรรมทางศาสนา

เมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2566 พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เข้าพบ นายศักดิ์กรียา บิลแสละ ประธานคณะกรรมการอิสลาม ประจำจังหวัดสงขลา เพื่อขอคำชี้แนะในการประสานงานพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้สอดคล้องกับบริบทวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่และกิจกรรมทางด้านศาสนา โดยมีคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา และนายซากีย์ พิทักษ์คุมพล สมาชิกวุฒิสภา ร่วมให้การต้อนรับ ณ สำนักงานคณะกรรมการฯ มัสยิดกลางจังหวัดสงขลา 

โดยได้มีการพูดคุยถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาที่สอดรับกับวิถีชีวิตของคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมทั้งมีการพูดคุยการยกระดับการท่องเที่ยว สืบเนื่องพบว่า แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวประเทศมาเลเซียเข้าเที่ยวไทยเป็นจำนวนมาก โดยในปีนี้มีจำนวนกว่า 3.6 ล้านคน นอกจากนี้ เลขาธิการ ศอ.บต. ยังได้เข้าเยี่ยมหลุมฝังศพของนายอาศิส พิทักษ์คุมพล อดีตจุฬาราชมนตรี ที่ถึงแก่อนิจกรรมในวันที่ 22 ต.ค. ที่ผ่านมาด้วย 

จากนั้นพันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ ได้เดินทางเข้าพบนายอรุณ อุมาจิ ประธานคณะกรรมอิสลามประจำจังหวัดสตูล และคณะกรรมการอิสลามฯ ณสำนักงานคณะกรรมการอิสลาม จังหวัดสตูล เพื่อหารือประสานความร่วมมือด้านการพัฒนาให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ได้รับความร่วมมือในการยกระดับการพัฒนาในมิติต่างๆอย่างราบรื่น 

เลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวว่า เนื่องจากเป็นวาระในการเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการ ศอ.บต.ซึ่งถือเป็นโอกาสดีในการเข้าพบปะผู้นำศาสนาทั้ง 5 จังหวัด ทุกศาสนา เพื่อความเป็นสิริมงคล พร้อมขอคำแนะนำในการดำเนินงาน ให้ ศอ.บต. มีส่วนร่วมในการพัฒนาและดำเนินกิจกรรมทางศาสนา เพื่อช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

ด้าน ประธานคณะกรรมการฯจังหวัดสตูล เผย ปลาบปลื้มและดีใจ เมื่อรับรู้ว่าเลขาธิการ ศอ.บต. มีกำหนดเดินทางเข้าพบ เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดการดำเนินงาน เพื่อประชาชน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งนี้ขอฝากให้เลขาธิการ ศอ.บต. ผลักดันให้สตูลเป็นต้นแบบการแก้ไขปัญหายาเสพติด การท่องเที่ยว การดูแลเยาวชนในพื้นที่ และขอให้ผลักดันการก่อสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่ เพื่อเป็นของขวัญแก่คนสตูล

ความต่างระหว่าง 'คนมิรู้คุณคน' กับ 'คนรู้คุณคน'  ในวันที่ผู้ให้แผ่นดิน 'อาศัย-ทำกิน' ถูกเนรคุณ

ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะเป็นลูกเจ๊ก ลูกฝรั่ง ลูกมอญ ลูกแขก หากได้เกิดบนผืนแผ่นดินไทย มีสัญชาติไทย และมีสามัญสำนึกของความเป็นคน ย่อมจะมีความกตัญญูต่อชาติ ต่อสถาบันกษัตริย์ ต้องรู้สึกหวงแหน ปกปักรักษา และมักจะคิดเสมอว่า "ตนเองนั้นเกิดจนเติบโตมาได้ ก็ล้วนเป็นหนี้บุญคุณของสถาบันกษัตริย์อย่างหนีไม่พ้น"

ด้วยสถาบันกษัตริย์ก็เปรียบเสมือน 'ต้นไม้ใหญ่' ของคนไทยทุกคน คอยให้ร่มเงา มอบความร่มรื่น ป้องแดดฝนพายุร้าย ให้ผู้อาศัยเย็นกายสบายใจ ปลอดอันตรายจากภัยรอบตัวทั้งปวง นี่คือความพิเศษที่หาไม่ได้จากประเทศอื่นใดในโลก

แล้วคนไทยแท้ ๆ ที่เกิดและเติบโตมาได้บนผืนแผ่นดินไทย คอยเดินหน้ากัดเซาะ จาบจ้วง ทำร้าย ทำลาย หรือพูดจาเหยียดหยามดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ถามว่าคนเช่นนี้เป็นคนไทยแบบไหนกัน? 

นักร้องบางคน ได้แสดงพฤติกรรมไม่ต่างจาก 'วัวลืมตีน' เล่นดึงฟ้าลงมาต่ำ เผยให้เห็น 'ธาตุแท้' ที่ซ่อนหลบอยู่ในหัวจิตหัวใจ ตอกย้ำอีกครั้งว่าการเป็นคนมีเงินและโด่งดัง ไม่ได้หมายความว่าจะมีสามัญสำนึกของความเป็นคนเสมอไป 

สำหรับนักร้องพฤติกรรมหยาบคนดังกล่าว คำว่าต่ำก็ยังดูสูงกว่ามาก!!

ผม หรือผู้คนอีกจำนวนไม่น้อย วันนี้มีอายุแตะเลขห้ากันแล้ว ก็ใช่ว่าจะตอบแทนบุญคุณของ 'บูรพกษัตริย์ไทย' ได้หมด ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้ผมไปเลือกพรรคการเมืองที่เดินหน้า 'ล้มล้างสถาบัน' ถ้าจะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องเหตุผลเดียวคือผม 'ไม่ใช่คน'

คนอื่นคิดอย่างไรผมไม่ทราบ สำหรับผมขอคิดเช่นนี้ เพราะผม ครอบครัวผม ต้นตระกูลของผม มาจากจีนแผ่นดินใหญ่ เป็นเพียงคนตัวเล็ก ๆ ยากไร้ หนีร้อนมาพึ่งพาอาศัยแผ่นดินของ 'พระเจ้าแผ่นดินไทย' ผมจึงถูกปลูกฝังว่าทั้งโคตรเหง้าของผมล้วนเป็นหนี้บุญคุณสถาบันฯ

ผมเป็นคนเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ กลัวกฎแห่งกรรม กลัวผลแห่งการเป็นคนเนรคุณ กลัวจะทำมาหากินไม่เจริญ กลัวชีวิตต้องพานพบกับความวิบัติฉิบหาย ที่สำคัญผมกลัวจะได้ชื่อว่าเป็นคนที่เนรคุณต่อชาติแผ่นดินของตัวเอง การแสดงความเคารพ รัก ศรัทธา และกตัญญูต่อสถาบันฯ จึงไม่เคยเลือนหายไปจากชีวิตจิตใจของผมเลย 

คุณลองคิดดูสิ ถ้าขนาดคนที่ให้แผ่นดินอาศัยและทำกิน เรายังเนรคุณ แล้วจะมีใครคนไหนกล้ามอบความจริงใจให้กับเรา  

ธุรกิจสถานบริการ แหล่งสร้างความสุข ด้วยอบายมุข  คู่สังคมไทยแบบไร้กฎหมายคุม ก็แหล่งมั่วสุมดีๆ นี่เอง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเม็ดเงินที่หมุนเวียนอยู่ในธุรกิจสถานบริการนั้น มีมูลค่าเป็นจำนวนมหาศาล และมีความสำคัญกับธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหลอดเลือดใหญ่ของระบบธุรกิจไทย 

เนื่องจากมีการประกอบธุรกิจสถานบริการหลายประเภท ที่อาจมีผลกระทบกับศีลธรรม ความสงบเรียบร้อย หากไม่มีกฎหมายควบคุมจะทำให้เป็นแหล่งอาชญากรรมหรือแหล่งมั่วสุม 

ตามพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. 2509 สถานบริการ หมายถึง สถานที่ที่ตั้งขึ้นเพื่อให้บริการ โดยหวังผลประโยชน์ทางการค้า แบ่งเป็นหลายประเภท...

(1) สถานเต้นรำ รำวง หรือรองเง็ง เป็นปกติธุระประเภทที่มีและประเภทที่ไม่มีคู่บริการ เช่น ไนต์คลับ ผับ สถานที่ที่มีฟอร์เต้นรำ 

(2) สถานที่ที่มีอาหาร สุรา น้ำชา หรือเครื่องดื่มอย่างอื่นจำหน่ายและบริการ โดยมีผู้บำเรอสำหรับปรนนิบัติลูกค้า เช่น โรงน้ำชา 

(3) สถานอาบน้ำ นวด หรืออบตัว ซึ่งมีผู้บริการให้แก่ลูกค้า เช่น อาบอบนวด แต่ไม่รวมถึงสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล หรือ สถานประกอบการเพื่อสุขภาพตามกฎหมายว่าด้วยสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ  

(4) สถานที่ที่มีอาหาร สุรา หรือเครื่องดื่มอย่างอื่นจำหน่ายหรือให้บริการ โดยมีรูปแบบอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้... 
(ก) มีดนตรี การแสดงดนตรี หรือการแสดงอื่นใดเพื่อการบันเทิงและยินยอมหรือปล่อยปละละเลยให้นักร้อง นักแสดง หรือพนักงานอื่นใดนั่งกับลูกค้า 
(ข) มีการจัดอุปกรณ์การร้องเพลงประกอบดนตรีให้แก่ลูกค้า โดยจัดให้มีผู้บริการขับร้องเพลงกับลูกค้า หรือยินยอมหรือปล่อยปละละเลยให้พนักงานอื่นใดนั่งกับลูกค้า 
(ค) มีการเต้นหรือยินยอมให้มีการเต้น หรือจัดให้มีการแสดงเต้น เช่น การเต้นบนเวทีหรือการเต้นบริเวณโต๊ะอาหารหรือเครื่องดื่ม 
(ง) มีลักษณะของสถานที่ การจัดแสงหรือเสียง 

(5) สถานที่ที่มีอาหาร สุรา หรือเครื่องดื่มอย่างอื่นจำหน่าย โดยจัดให้มีการแสดงดนตรีหรือการแสดงอื่นใดเพื่อการบันเทิง ซึ่งปิดทำการหลังเวลา 24.00 นาฬิกา 

สถานประกอบการที่คล้ายสถานบริการ ตามคำสั่ง คสช ที่ 22 /2558 และ 46/2559 หมายถึง “...สถานประกอบการที่ไม่ครบองค์ประกอบการเป็นสถานบริการ ตามพระราชบัญญัติสถานบริการฯ แต่มีลักษณะการให้บริการที่เห็นได้ว่าเป็นการรวมกลุ่ม หรือเป็นแหล่งมั่วสุมอันอาจจะก่อให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของผู้มีอายุต่ำกว่ายี่สิบปีบริบูรณ์ด้วย...”

สถานบริการ ต้องไม่ตั้งอยู่ใกล้ วัด โรงเรียน สถานพยาบาล ในขนาดที่ว่าจะไม่ก่อความเดือดร้อนรำคาญแก่สถานที่ดังกล่าว

ผู้มีอำนาจออกใบอนุญาตตั้งสถานบริการ ในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในต่างจังหวัด ได้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัด

ในสถานบริการห้ามมิให้อายุต่ำกว่า 20 ที่ไม่ได้ทำงานในสถานบริการเข้าไปในสถานบริการนั้น ห้ามพกอาวุธ ห้ามขายสุราให้บุคคลที่เมาจนครองสติไม่อยู่ ห้ามปล่อยปละละเลยให้มีการขายหรือใช้ยาเสพติด 

ผู้ที่ตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี ปรับไม่เกินหกหมื่นบาท

แม้ธุรกิจสถานบริการ จะมีลักษณะธุรกิจ เกือบจะตรงข้ามกับความเชื่อของพุทธศาสนิกชนในประเทศไทย แต่หากเราเคารพและปฏิบัติตามกฎหมาย และเดินทางสายกลางเพื่อให้ธุรกิจและความเชื่อสามารถเดินคู่กันได้ อย่างสงบเรียบร้อย เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติของเรา

นายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย เข้าพบแม่ทัพภาคที่ 4 หารือการจัดกิจกรรมสานสัมพันธ์สื่อมวลชน และผู้ประกอบการท่องเที่ยวสามเหลี่ยมเศรษฐกิจไทยมาเลเซียอินโดนีเซีย IMTGT

ที่ห้องรับรองกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย พร้อมคณะ เข้าพบ พลโท ศานติ ศกุนตนาค  แม่ทัพภาคที่ 4/ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 พร้อมด้วย พลตรี กรกฏ ภู่โชติ  รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า และคณะ เพื่อร่วมปรึกษาหารือและยื่นหนังสือเรื่องการจัดโครงการ "#สานสัมพันธ์สื่อมวลชนและผู้ประกอบการท่องเที่ยวคาบสมุทรมลายูครั้งที่1”กำหนดจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 27 พฤศจิกายน - 2 ธันวาคม 2566 นี้ 

เพื่อส่งเสริมประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว พร้อมหารือเรื่องการสร้างความเชื่อมั่น การดูแลความปลอดภัย ให้กับกลุ่มผู้ประกอบการและสื่อมวลชนในโครงการนี้ 

สำหรับ โครงการดังกล่าว สมาคมหนังสือภาคใต้แห่งประเทศไทย ได้นำเครือข่ายผู้ประกอบการ นักท่องเที่ยว สื่อมวลชนจากมาเลเซีย และอินโดนีเซีย มาชมแหล่งท่องเที่ยวที่โดดเด่นและใหม่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งการสัมมนาหัวข้อ”#ความร่วมมือการพัฒนาการท่องเที่ยวและเขตเศรษฐกิจIMTGT” ที่จังหวัดสงขลา เพื่อประชาสัมพันธ์แลกเปลี่ยนข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้เป็นที่รู้จัก โดยเฉพาะเขตพัฒนาเศรษฐกิจ IMTGT เชื่อมสัมพันธ์และกระชับมิตรระหว่างสื่อมาเลเชีย อินโดนีเชีย และสื่อไทยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อีกด้วย 

นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยพัฒนาการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในพื้นที่แล้ว ยังมีความตั้งใจอยากจะนำผู้ประกอบการท่องเที่ยว และสื่อมวลชน จากประเทศอินโดนีเซีย และมาเลเซียกว่า 40 คน ได้มาพบปะรับฟังนโยบายการดูแลรักษาความปลอดภัยจาก พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4/ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศพลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4/ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 กล่าวว่า กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมให้การสนับสนุนทุกๆ กิจกรรม เพื่อส่งเสริมการพัฒนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 

และที่สำคัญยังได้สร้างการรับรู้ข้อมูลที่ถูกต้อง ไปยังสื่อมวลชน และกลุ่มผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศให้เข้าใจถึงบริบทของสถานการณ์ และสร้างความเชื่อมั่น ที่จะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยว ต่อยอดไปสู่การพัฒนาด้านเศรษฐกิจในพื้นที่ต่อไปในอนาคต

#กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค4ส่วนหน้า #กอรมนภาค4ส่วนหน้า #สมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประทศไทย #ไชยยงค์มณีรุ่งสกุล #จังหวัดชายแดนภาคใต้ #สานสัมพันธ์สื่อมวลชนไทยมาเลเซียอินโดนีเซีย

ป้าหมาย ‘ท่องเที่ยวไทยเชิงคุณภาพ’ ผ่านมุมมอง ‘วีระศักดิ์ โควสุรัตน์’ | CONTRIBUTOR EP.30

เมืองไทยมีดี มีจุดขายที่งดงามในภาคการท่องเที่ยว แต่จะพอใจเพียงเท่านี้ พอใจเพียงจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ลูกเดียว อาจจะไม่ยั่งยืน

มิติใหม่ของการท่องเที่ยวไทย ต้องปรับประยุกต์ เพื่อสร้างการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ
กระตุ้นให้เกิดความหลากหลายในแต่ละเขตแดน เมือง จังหวัด ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง

แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องร้อยห่วงโซ่ของ ‘ความยิ้มแย้ม-ความยืดหยุ่น-ไม่หย่อนยาน’ 
รวมถึงปรับแนวทางสู่ความยั่งยืน ด้วยการพัฒนาระบบการท่องเที่ยวใต้วิธีคิดที่ทันโลก

เพราะนี่คือวาระสำคัญของอนาคตการท่องเที่ยวไทยในวันข้างหน้า 
ในวันที่ ‘หินก้อนใหญ่’ ยังกดทับ ‘หญ้าสีเขียว’ ในบางพื้นที่อยู่

ปลดล็อกร่างทอง ‘ท่องเที่ยวไทยเชิงคุณภาพ’ ไปด้วยกันกับ Contributor EP นี้ กับผู้ที่เข้าใจระบบนิเวศการท่องเที่ยวยั่งยืนแบบถ่องแท้ได้จาก... คุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

‘พม.’ เดินหน้าช่วยเหลือ ‘แรงงานไทย​’ หลังกลับจากอิสราเอล​ พร้อมส่ง จนท.ดูแลสภาพจิตใจครอบครัวผู้เสียชีวิต​อย่างใกล้ชิด​

(21 พ.ย. 66) นายวราวุธ​ ศิลปอาชา​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์​ (พม.) กล่าวถึงการให้การช่วยเหลือแรงงานไทย หลังจากเดินทางกลับจากประเทศอิสราเอลว่า​ ขณะนี้มีแรงงานลงทะเบียนกับกระทรวง พม. 8,400 ราย โดยขณะนี้เอง เจ้าหน้าที่ได้มีการให้คำแนะนำไปแล้วกว่า 8,348 ราย พร้อมช่วยเหลือส่งกลับภูมิลำเนา​

ในกรณีที่เดินทางกลับเองไม่ได้อีกกว่า 300 ราย โดยที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ พม.​ในพื้นที่​ 62 จังหวัด ทั่วประเทศได้มีการติดตาม และเข้าเยี่ยมแรงงานที่ได้รับผลกระทบ เกือบ 2,000 ราย​  รวมไปถึงทางกระทรวง​ พม.ได้ให้ความช่วยเหลือ เยียวยา​ 1,030 ราย​ ทั้งเรื่องเงินสงเคราะห์​ การให้คำปรึกษา​ การสนับสนุนอาชีพ​ การให้ทุนการศึกษา​ ซึ่งที่ผ่านมา​ พม.ได้ติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะครอบครัวผู้เสียชีวิต

‘ดร.อานนท์’ ชวนจับโป๊ะ ‘พิธา’ เคยอ้างได้ ‘ป.ตรี 2 ใบ’ แท้จริง!! แลกเปลี่ยนที่ ‘UT at Austin’ และโอนหน่วยกิตมา มธ.

เมื่อวานนี้ (20 พ.ย. 66) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘Arnond Sakworawich’ ระบุว่า…

เมื่อวานอาจารย์อาวุโสแห่งคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ส่งข้อความมาบอกว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ได้ปริญญาตรีสองใบจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และจาก University of Texas at Austin อย่างที่ให้สัมภาษณ์ในหลายสื่อ

ผมเช็กแล้วใน Dek-D.com นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้ให้สัมภาษณ์จริงว่า ได้รับปริญญาตรีสองใบจากทั้งธรรมศาสตร์ และ UT at Austin

แต่ท่านอาจารย์ท่านยืนยันว่า โปรแกรม BBA ภาคภาษาอังกฤษของธรรมศาสตร์ได้ปริญญาตรีใบเดียวของธรรมศาสตร์ ไม่ใช่ Dual degree แต่อย่างใด นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นแค่นักเรียนแลกเปลี่ยนที่ UT at Austin แล้วโอนผลการเรียนกลับมาเทียบหน่วยกิตที่ธรรมศาสตร์

เรื่องนี้น่าจะตรวจสอบได้ไม่ยาก ขอเชิญชาวโซเชียลฯ ลองตรวจสอบดูนะครับว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พูดจริงหรือว่าโกหก

นอกจากนี้ ผศ.ดร.อานนท์ โพสต์เฟซบุ๊กอีกด้วยว่า เวลาเราพูดอะไร ถ้าเป็นคนตรงไปตรงมาไม่โกหก อะไรที่เป็นข้อเท็จจริง เปลี่ยนแปลงไม่ได้ อะไรที่เป็นความคิดเห็น เปลี่ยนแปลงได้

จะจับคนไหนว่า โกหกหรือไม่โกหก ให้ดูว่าเขาพูดข้อเท็จจริงหลาย ๆ ครั้งเรื่องเดียวกันตรงกันหรือไม่ อยู่กับร่องกับรอยหรือไม่

พ่อลิเกนี่เป็นตัวอย่างให้จับโป๊ะแตกง่ายที่สุด เพราะพูดข้อเท็จจริงไม่เคยตรงกันสักที


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top