Friday, 16 May 2025
TheStatesTimes

ปตท. รับโล่ ‘รางวัลชมเชยองค์กรโปร่งใส’ ครั้งที่ 11 รางวัลแห่งเกียรติยศด้านธรรมาภิบาล-ความโปร่งใส

เมื่อไม่นานมานี้ นายชฎิล ชวนะลิขิกร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารศักยภาพองค์กรและธรรมาภิบาล บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทน ปตท. รับมอบโล่ ‘รางวัลชมเชยองค์กรโปร่งใส’ ครั้งที่ 11 (NACC Integrity Awards) จากพลตำรวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) 

โดยในปีนี้ ปตท. ได้รับรางวัลองค์กรโปร่งใสต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ประกอบด้วย รางวัลองค์กรโปร่งใส จำนวน 2 ครั้ง และรางวัลชมเชยองค์กรโปร่งใส จำนวน 3 ครั้ง สะท้อนการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีด้วยความเป็นธรรม โปร่งใส และตรวจสอบได้ ตามมาตรฐานสากล สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินธุรกิจขององค์กรที่รับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ยึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชน และผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน รวมถึงส่งเสริมการปฏิบัติงานอย่างมีจริยธรรมในองค์กร

สมาคมแม่บ้านตำรวจร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เชิญชวนบุตรหลานข้าราชการตำรวจประกวดแต่งเรียงความในหัวข้อ “พ่อของฉัน”

เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ ประจำปี 2566 ส่งเสริมความรักความผูกพันในครอบครัว

วันนี้ (22 พ.ย.66) คุณนิภาพรรณ สุขวิมล นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ เปิดเผยว่า สมาคมแม่บ้านตำรวจมีนโยบายมุ่งเน้นการดำเนินกิจกรรมสาธารณประโยชน์เพื่อธำรงไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และดำเนินกิจกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตสร้างขวัญกำลังใจแก่ข้าราชการตำรวจและครอบครัว รวมถึงสนับสนุนภารกิจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเป็นการเทิดทูนพระคุณของพ่อและยกย่องบทบาทของพ่อที่มีต่อครอบครัวและสังคม โอกาสนี้ สมาคมแม่บ้านตำรวจจึงร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดกิจกรรมประกวดแต่งเรียงความ “พ่อของฉัน” เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2566 ขึ้น เพื่อส่งเสริมความรักความผูกพันในครอบครัว และสร้างขวัญกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจและครอบครัวอย่างต่อเนื่อง

โดยการประกวดครั้งนี้ ขอเชิญบุตรหลานข้าราชการตำรวจที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษาระดับปริญญาตรี ร่วมส่งผลงานการแต่งเรียงความเพื่อชิงรางวัล ประกอบด้วย รางวัลชนะเลิศ จำนวน 10,000 บาท 1 รางวัล , รองชนะเลิศอันดับ 1 จำนวน 7,000 บาท 1 รางวัล , รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 จำนวน 5,000 บาท 2 รางวัล  , รางวัลชมเชย จำนวน 1,500 บาท 2 รางวัล โดยรางวัลชนะเลิศของแต่ละกองบัญชาการจะนำไปเผยแพร่ในแอปพลิเคชันแทนใจ  

ผู้สนใจร่วมโครงการสามารถส่งผลงานทาง e-mail : [email protected] ภายในวันที่ 27 พฤศจิกายนนี้ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์สมาคมแม่บ้านตำรวจ policewives.police.go.th

ตร. แนะนำ 3 วิธีป้องกัน ภัยร้ายไฮซีซัน เพจโรงแรมปลอม หลอกขายที่พักราคาถูก

วันนี้ (22 พฤศจิกายน 2566) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันมีพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่ได้รับความเสียหายจากการหลอกลวงบนโลกออนไลน์ โดยจากสถิติการรับแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 จนถึงปัจจุบัน พบว่าจำนวนคดีในรูปแบบของการหลอกขายสินค้าและบริการออนไลน์ มีจำนวนกว่า 140,000 คดี มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 2,000 ล้านบาท

ปัจจุบัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าในช่วงเทศกาลที่มีอัตราการท่องเที่ยวสูง หรือที่เรียกว่า ไฮซีซัน คนร้ายมักจะฉวยโอกาสนี้ในการสร้างเพจโรงแรมปลอม ลงโพสต์โฆษณาโปรโมชันที่พักราคาถูกกว่าปกติหลอกล่อให้เหยื่อสนใจ เมื่อเหยื่อหลงเชื่อติดต่อกับเพจปลอมเพื่อทำการจองที่พักและโอนเงินให้กับคนร้ายแล้ว คนร้ายก็จะทำทีเป็นส่งใบยืนยันการจองให้จนเหยื่อตายใจ ซึ่งกว่าเหยื่อจะรู้ตัวเวลาก็ผ่านไปนานพอสมควรแล้ว เพราะเหยื่อจะรู้ตัวก็ตอนที่เหยื่อเดินทางไปที่โรงแรม แล้วโรงแรมแจ้งว่าไม่ได้มีการจองที่พักจริงแต่อย่างใด

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอเตือนพี่น้องประชาชนให้ระมัดระวังในการเลือกจองที่พักผ่านเพจต่าง ๆ โดยขอให้ดำเนินการดังนี้
1. ตรวจสอบให้ดีก่อนว่าเพจดังกล่าวเป็นเพจของทางโรงแรมหรือที่พักดังกล่าวจริงหรือไม่ โดยดูจากข้อมูลความโปร่งใสของเพจ จำนวนผู้ติดตาม และหากเพจดังกล่าวมีเครื่องหมายติ๊กถูกสีน้ำเงิน (Blue Badge) ก็จะมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
2. ควรเลือกจองที่พักผ่านแอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ
3. อย่ารีบตัดสินใจจองที่พักที่มีราคาถูกเกินจริง เพราะอาจเป็นวิธีการที่คนร้ายใช้ในการหลอกลวงเหยื่อ
ในส่วนของผู้ประกอบการโรงแรมและที่พักต่าง ๆ ควรมีการประชาสัมพันธ์ช่องทางในการจองที่พักให้ชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกค้าหรือผู้ที่จะเข้ามาใช้บริการต้องตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ และตรวจสอบว่ามีคนร้ายสร้างเพจหรือเว็บไซต์ปลอมโดยอ้างเป็นโรงแรมหรือที่พักของท่านหรือไม่ หากพบให้รายงาน (Report) ไปยังผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์ที่พบ และแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที

สุดท้ายนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากการหลอกขายสินค้าและบริการออนไลน์ หรือคดีอาญากรรมทางเทคโนโลยีอื่น ๆ สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ บนเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.com หรือสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

‘กมธ.ตำรวจ’ เตรียมสอบ ‘เศรษฐา’ ปมขอตำแหน่ง ผกก. ชี้!! ส่อผิด รธน.185 ขู่!! หากเป็นจริงเดือดร้อนทั้งเพื่อไทย

(22 พ.ย. 66) ที่รัฐสภา นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในที่ประชุม สส.พรรคเพื่อไทย เรื่องการขอแต่งตั้งตำรวจระดับผู้กำกับการ ว่า กมธ.มีมติจะเชิญนายกรัฐมนตรีมาชี้แจงเรื่องนี้ในวันที่ 7 ธ.ค.นี้

นายชัยชนะกล่าวต่อว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 185 (3) กำหนดชัดเจนว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสมาชิก หากมีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องกับเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ และสิ่งที่นายกรัฐมนตรีระบุไว้ว่า มีการขอตำแหน่งผู้กำกับการมาเยอะ ซึ่งมีทั้งคนผิดหวังละคนสมหวัง ซึ่งในประเด็นดังกล่าวหากเป็นข้อเท็จจริงตามที่นายกรัฐมนตรีพูด ก็ต้องระบุว่า สส.คนไหนมีส่วนเกี่ยวข้อง หากขัดต่อรัฐธรรมนูญจะนำไปสู่การทำให้หลุดพ้นจากตำแหน่ง สส. 

ทั้งนี้ ส่วนตัวมีความมั่นใจว่า สส.ทั้ง 500 คนในสภาผู้แทนราษฎร ยึดหลักรัฐธรรมนูญ ไม่มีการแทรกแซงแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ขณะเดียวกันไม่สามารถที่จะวิจารณ์ได้ว่าประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องตั๋วตำรวจหรือไม่ แต่จะต้องเชิญนายกรัฐมนตรีมาชี้แจงตอบคำถามว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และมีเจตนาอะไร หากไปถามเรื่องมีการวิ่งเต้น แต่งตั้งโยกย้ายหรือไม่จะเป็นการกล่าวหาต่อองค์กร จึงไม่ขอก้าวล่วง

เมื่อถามว่าเรื่องนี้เป็นธรรมเนียมปกติหรือไม่ นายชัยชนะกล่าวว่า ไม่เป็นปกติ เพราะห้าม สส. แทรกแซง การแต่งตั้งโยกย้าย เราไม่ใช่ผู้บริหารประเทศเราเป็นฝ่ายนิติบัญญัติห้ามแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายอยู่แล้ว แต่สิ่งที่นายกรัฐมนตรีพูดหากเป็นจริงเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยเดือดร้อนทั้งพรรค เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 185 (3) ขอย้ำว่าเป็นหน้าที่ของฝ่ายค้านที่จะตรวจสอบฝ่ายบริหารอยู่แล้ว หากมีหลักฐานชัดเจนเชื่อว่าจะนำไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี

‘สวทช. – จุฬาฯ’ พัฒนา ‘เส้นพลาสติกรักษ์โลก’ จาก ‘เปลือกหอยแมลงภู่’ คืนชีพขยะ PLA ย่อยสลายได้ 100% ขจัดปัญหาขยะในชุมชนอย่างยั่งยืน

‘นักวิจัยนาโนเทค สวทช.’ จับมือ ‘จุฬาฯ’ ต่อยอดไบโอแคลเซียมคาร์บอเนตจาก ‘เปลือกหอยแมลงภู่’ ผสมขยะพลาสติกชีวภาพ (PLA) พัฒนา ‘Re-ECOFILA เส้นพลาสติกรักษ์โลกสำหรับเครื่องพิมพ์สามมิติ’ ย่อยสลายได้ 100% คุณภาพเทียบเท่าของที่มีในท้องตลาดในราคาที่ถูกกว่า หวังทดแทนของนำเข้าราคาสูง สร้างโอกาสการเข้าถึงเทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติของนักเรียน นักศึกษาและคนทั่วไป ตอบ BCG เศรษฐกิจหมุนเวียน-สีเขียว ช่วยคืนชีพขยะ PLA จัดการขยะเปลือกหอยแมลงภู่ในชุมชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมอย่างยั่งยืน

(22 พ.ย. 66) ดร.ชุติพันธ์ เลิศวชิรไพบูลย์ นักวิจัยจากทีมวิจัยการวินิจฉัยระดับนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ‘Re-ECOFILA’ มาจากงานวิจัย ‘เส้นพลาสติกสำหรับเครื่องพิมพ์สามมิติ ผลิตจากขยะเปลือกหอยแมลงภู่และขยะพลาสติกชีวภาพ’ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง ‘สวทช.’ โดย ‘นาโนเทค’ และ ‘จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย’ โดยศาสตราจารย์ ดร.สนอง เอกสิทธิ์ ที่มีแนวคิดการใช้ประโยชน์ไบโอแคลเซียมคาร์บอเนตจากเปลือกหอยแมลงภู่ที่ได้ทำงานวิจัยมาก่อนหน้านั้น จากความเป็นไปได้สำหรับเทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติ โดยจะไปแทนที่แคลเซียมคาร์บอเนตจากหินปูน ที่ใช้ในกระบวนการผลิตพอลิเมอร์

ข้อมูลจากกลุ่มสถิติการประมง กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พบว่า ประเทศไทยผลิตหอยแมลงภู่เฉลี่ยมากกว่า 50,000 ตันต่อปี โดยน้ำหนักมากกว่าครึ่งเป็นน้ำหนักของเปลือกหอย ทำให้เกิดขยะเปลือกหอยสะสมเป็นจำนวนมาก ตามพื้นที่ชุมชนที่ประกอบอาชีพเลี้ยงหอยและแกะเนื้อหอยขาย ส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน ปัจจุบัน วิธีการเดียวที่จะนำเปลือกหอยแมลงภู่ไปใช้ประโยชน์คือ การรับซื้อในราคาถูกเพื่อนำไปถมที่

“แคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) ถูกใช้เป็นสารเติมแต่ง (additive) ในอุตสาหกรรมพอลิเมอร์ เพื่อลดต้นทุน โดยเติมแคลเซียมคาร์บอเนตจากหินปูนที่มีราคาถูกกว่า แต่เมื่อเรามีขยะจากเปลือกหอยแมลงภู่จำนวนมาก ซึ่งเปลือกหอยเป็นแหล่งแคลเซียมคาร์บอเนตที่มีความบริสุทธิ์สูง นอกจากจะสามารถใช้ทดแทนแคลเซียมคาร์บอเนตจากหินปูนได้แล้ว ยังช่วยในมิติของสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อีกด้วย ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาวิธีการแปรรูปเปลือกหอยแมลงภู่เป็นไบโอแคลเซียมคาร์บอเนตและนำไปใช้เป็นสารเติมแต่งใน PLA เพื่อฉีดเป็นเส้นพลาสติกสำหรับใช้ขึ้นรูปด้วยเครื่องพิมพ์สามมิติ” ดร.ชุติพันธ์ กล่าว

ปัจจุบัน ‘พอลิแลกติกแอซิด’ (polylactic acid : PLA) ซึ่งเป็นพลาสติกชีวภาพผลิตจากพืชนั้น มีการใช้งานที่แพร่หลายมากขึ้นโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการพิมพ์สามมิติ (3D printing) จากคุณสมบัติของ PLA ที่เหมาะสมสำหรับการฉีดขึ้นรูปด้วยเครื่องพิมพ์สามมิติ ได้แก่ มีจุดหลอมเหลวที่ต่ำ, มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างต่ำ (dimension stability) และมีค่าการไหลที่เหมาะสำหรับการฉีดขึ้นรูป โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการพิมพ์สามมิติด้วยเทคนิค FDM (Fused Deposition Modeling) ซึ่งจะเป็นการหลอมเส้นพลาสติกให้กลายเป็นของไหลแล้วฉีดออกมาเป็นเส้นด้วยหัวฉีด โดยเครื่องพิมพ์จะฉีดเส้นพลาสติกตามแนวระนาบและฉีดซ้อนทับเป็นชั้นไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นชิ้นงาน

ทีมวิจัยนาโนเทค-จุฬาฯ เริ่มจากพัฒนาวิธีการแปรรูปเปลือกหอยแมลงภู่เป็นไบโอแคลเซียมคาร์บอเนต โดยไบโอแคลเซียมคาร์บอเนตที่ได้มีรูปร่างกลมและมีขนาดเฉลี่ยประมาณ 109 นาโนเมตร มีความบริสุทธิ์สูงโดยจากผลการวิเคราะห์ด้วย TGA พบว่า ไบโอแคลเซียมคาร์บอเนตมีความบริสุทธิ์มากกว่าร้อยละ 98 โดยน้ำหนัก และจากผลการวิเคราะห์ด้วยเทคนิค Raman spectroscopy พบว่า ไบโอแคลเซียมมีอัญรูปเป็นอะราโกไนต์

ในช่วงแรก ทีมวิจัยได้นำพลาสติกชีวภาพหรือ PLA มาผสมกับไบโอแคลเซียมคาร์บอเนตจากเปลือกหอยแมลงภู่ที่เตรียมขึ้นมา จากนั้น นำไปแล้วฉีดขึ้นรูปเป็นเส้นพลาสติกสำหรับเครื่องพิมพ์สามมิติ ผลที่ได้คือ เส้นพลาสติกที่มีคุณภาพดีมีคุณภาพเทียบเท่ากับเส้นพลาสติกที่มีจำหน่ายเชิงพาณิชย์ สามารถใช้งานได้กับเครื่องพิมพ์สามมิติระบบ FDM ได้ทันที นับเป็นโอกาสทางการตลาดที่ใหญ่ ในขณะเดียวกันก็มองเห็นโอกาสในการนำขยะพลาสติกจากการพิมพ์สามมิติมาคืนชีพ ใช้ทดแทน PLA

ดร.ชุติพันธ์กล่าวว่า เมื่อศึกษาข้อมูลด้านการพิมพ์สามมิติ ก็พบว่า ปริมาณขยะพลาสติกจากการพิมพ์สามมิติทั้งชิ้นส่วนที่ไม่ใช้แล้วและการเกิดขยะจากการกระบวนการพิมพ์ (การพิมพ์ support และการพิมพ์ที่ผิดพลาด) สืบเนื่องจากปัจจุบันที่เทคโนโลยีมีราคาถูกลง การใช้ที่ไม่ซับซ้อน สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์อย่างรวดเร็ว (fast fashion) ทำให้เทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติถูกนำไปใช้ในวงกว้าง ไม่จำกัดเฉพาะการขึ้นรูปต้นแบบอีกต่อไป เช่น การพิมพ์วัสดุสามมิติสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น

“เราได้ทดลองนำขยะพลาสติกชีวภาพ หรือ ‘Recycled PLA’ จากกระบวนการพิมพ์สามมิติมาใช้ โดยบดผสมกับไบโอแคลเซียมคาร์บอเนตจากเปลือกหอยแมลงภู่ แล้วฉีดขึ้นรูปเป็นเส้นพลาสติกสำหรับเครื่องพิมพ์สามมิติ โดย Re-ECOFILA หรือ ‘เส้นพลาสติก’ ที่ผลิตได้มีคุณภาพเทียบเท่ากับเส้นพลาสติกที่มีจำหน่ายเชิงพาณิชย์ สามารถใช้งานได้กับเครื่องพิมพ์สามมิติระบบ FDM ได้ทันที อาจจะมีข้อจำกัดเรื่องสีของเส้นพลาสติกที่แตกต่างจากของทั่วไป แต่ก็เป็นอีกหนึ่งโอกาสทางการตลาด ด้วยข้อมูลจาก HSSMI ซึ่งเป็นบริษัทให้คำปรึกษาด้านการผลิตที่ด้วยกระบวนการที่ยั่งยืน พบว่า มีการใช้เครื่องพิมพ์สามมิติชนิด FDM ที่ต้องใช้เส้นพลาสติกโดยเฉพาะเส้นพลาสติกผลิตจาก PLA ถึง 66% ของจำนวนเครื่องพิมพ์สามมิติทั่วโลก” ดร.ชุติพันธ์ กล่าว

เส้นพลาสติกที่ผลิตได้จากงานวิจัยนี้ ดร.ชุติพันธ์ เผยว่า เป็นเส้นพลาสติกที่มีราคาไม่แพง คุณภาพเทียบเท่ากับเส้นพลาสติกที่มีจำหน่ายเชิงพาณิชย์ สามารถใช้งานได้กับเครื่องพิมพ์สามมิติระบบ FDM ได้ทันที ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตต่อชิ้นต่ำลง สามารถใช้นวัตกรรมนี้เพื่อผลิตเส้นพลาสติกราคาถูกสำหรับการใช้งานที่ไม่ต้องใช้ PLA คุณภาพสูง เพิ่มโอกาสและความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ประกอบการได้อีกทางหนึ่ง ด้วยเป็นวัสดุทางเลือกที่สามารถลดต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายในการขึ้นรูปต้นแบบผลิตภัณฑ์ ในขณะเดียวกัน ยังเป็นการเพิ่มโอกาสให้นักเรียน นักศึกษาในสถานศึกษาและบุคคลทั่วไป ให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติได้ง่ายขึ้นจากวัสดุที่ราคาถูกลง เป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอนและการพัฒนาโครงงานและงานนวัตกรรมสำหรับนักเรียน นักศึกษา

นอกจากนี้ นวัตกรรมเส้นพลาสติกสำหรับเครื่องพิมพ์สามมิติผลิตจากขยะเปลือกหอยแมลงภู่และขยะพลาสติกชีวภาพ ยังเป็นการบริหารจัดการทรัพยากรตามแนวทางเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (BCG) สร้างมูลค่าให้กับขยะจากการพิมพ์สามมิติ และขยะจากอุตสาหกรรมอาหารทะเล (Waste-to-Wealth) ส่งเสริมการจัดการของเสีย (waste management) ทั้งขยะเปลือกหอยสะสมในแหล่งชุมชนและขยะพลาสติก PLA ที่ไม่มีวิธีการจัดการอย่างเป็นรูปธรรม โดยนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถสร้างมูลค่า ส่งผลให้มีการวางแผนการจัดการขยะอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ กำจัดขยะเก่า และลดการสร้างขยะใหม่

“ที่สำคัญ ผลงานนี้ยังสามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนจากการขายเปลือกหอยแมลงภู่เหลือทิ้งจากการแปรรูปอาหารทะเลให้ภาคธุรกิจโดยการแปรรูปเบื้องต้น เช่นเดียวกับองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นนี้ ก็สามารถถ่ายทอดให้ผู้ประกอบการไทยมีเทคโนโลยีการผลิตเส้นพลาสติกสำหรับเครื่องพิมพ์สามมิติ ลดต้นทุนการผลิตด้วยการใช้สารเติมแต่งไบโอแคลเซียมคาร์บอเนต และเทคโนโลยีการนำขยะพลาสติก PLA กลับมาใช้ใหม่ ผลิตภัณฑ์สามารถจำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์กลางน้ำเพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อื่นๆ หรือผลิตเป็นสินค้าเพื่อจำหน่ายได้เชิงพาณิชย์ได้” นักวิจัยนาโนเทคกล่าว พร้อมชี้ว่า ปัจจุบัน เทคโนโลยีมีระดับความพร้อมอยู่ที่ TRL 6 เส้นพลาสติกที่ผลิตได้ถูกนำไปใช้กับเครื่องพิมพ์สามมิติ และสามารถพิมพ์ชิ้นงานสามมิติได้ โดยคุณภาพของชิ้นงานเทียบเท่ากับชิ้นงานที่ถูกพิมพ์จากเส้นพลาสติกที่มีจำหน่ายเชิงพาณิชย์ โดยทีมวิจัยอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ของโมเดลธุรกิจ เพื่อทำให้นวัตกรรมเส้นพลาสติกที่พัฒนาขึ้น ถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมงานวิจัย

นอกจากนี้ ดร.ชุติพันธ์ แย้มว่า เตรียมต่อยอดการวิจัย เพื่อเพิ่มแอปพลิเคชันการใช้งานที่มีความต้องการทางการตลาดอีกมุมหนึ่ง จากนวัตกรรมรักษ์โลก ย่อยสลายได้ 100% ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่ม CRS เราจะเปลี่ยนมาใช้พลาสติก ABS หรือ ‘Acrylonitrile Butadiene Styrene’ ที่มีความแข็งแรง ทนทาน นิยมใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างแพร่หลาย ผสมกับสารตัวเติมที่มีคุณสมบัติหน่วงไฟ (flame retardants) ที่เตรียมขึ้นใช้เองโดยมีสารตั้งต้นเป็นไบโอแคลเซียมคาร์บอเนตจากเปลือกหอยแมลงภู่ พัฒนาเป็นวัสดุที่มีสมบัติหน่วงไฟ สามารถประยุกต์ใช้เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ภายในบ้าน เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น เคสคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและพิมพ์ผ่านเครื่องพิมพ์สามมิติ เป็นต้น ซึ่งจะเป็นอีก 1 ตลาดใหญ่ที่จะต่อยอดใช้ประโยชน์จากขยะเปลือกหอยแมลงภู่ในอนาคต

เส้นพลาสติกสำหรับเครื่องพิมพ์สามมิติผลิตจากขยะเปลือกหอยแมลงภู่ และขยะพลาสติกชีวภาพ ได้รับรางวัลเหรียญเงิน สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์ และรางวัลพิเศษ (Special Prize) จาก Korea Invention Promotion Association สาธารณรัฐเกาหลี ในการประกวดสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมระดับนานาชาติ ในเวที ‘Taiwan Innotech Expo 2023’ (TIE 2023) เมื่อวันที่ 12 - 14 ตุลาคม 2566 ณ กรุงไทเป ไต้หวัน โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)

‘เพจดัง’ แฉ คนสนิท สส.จันทบุรี ก้าวไกล รับหาเด็กชงเหล้า หวั่นใจ!! เด็กอัปเกรดนอกรอบ เข้าข่ายขายบริการทางเพศ

(22 พ.ย. 66) เฟซบุ๊กเพจ ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร’ โพสต์ข้อความระบุว่า "#ทุกคนคะ มีชาวบ้านร้องเรียนเข้ามาว่า ผู้ช่วย สส.พี่เล็ก สส. ก้าวไกลจันทบุรี เขต 3 รับงานเอนเตอร์เทนและจัดหาเด็กชงเหล้า ปาร์ตี้ ชาย / หญิง ส่งแถวภาคตะวันออก พี่ต้นเขาสนิทกับ สส.เล็ก มากนะคะ ไม่ทราบพี่เล็กและพรรคก้าวไกลมีความเห็นอย่างไรคะ"

ภายหลัง เฟซบุ๊ก ‘ญาณธิชา บัวเผื่อน - Yanathicha Buapuean’ ของ น.ส.ญาณธิชา บัวเผื่อน สส.จันทบุรี พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความระบุว่า "สวัสดีพี่น้องประชาชนทุกท่านค่ะ ขออธิบายประเด็นที่เพจวันนี้ก้าวไกลโกหกอะไรนำมาโพสต์ดังนี้ค่ะ จากที่มีข่าวว่า น้องผู้ช่วย สส. ของเล็ก ทำงานเอนเตอร์เทน

1. จากรูปที่เพจเอามาโพสต์ว่าบุคคลดังกล่าวยืนข้างดิฉัน และกล่าวอ้างว่าเป็นผู้ช่วย สส. ข้อเท็จจริง คือ บุคคลดังกล่าว ไม่ได้เป็นผู้ช่วย สส. ไม่ได้รับเงินเดือนจากสภาผู้แทนราษฎร แต่เขาเป็นคนที่ทำงานกับดิฉันในพื้นที่เป็นอาสาสมัครที่เขามาทำงานร่วมกัน น้องรู้จักและสนิทกับเล็กและครอบครัว ให้เกียรติซึ่งกันและกันเสมอมา

2. น้องทำงานเอนเตอร์เทน รับงานชงเหล้าจริง และรับจัดหาเด็กชงเหล้าจริง แต่ไม่ได้รับงานเอนวี หรือ จัดหางานเอนวี (หากกล่าวหากันเกินความจริงไปมาก ดิฉันมีหลักฐานว่าคุณเข้าหาคุณต้น มีการพูดโน้มน้าว หลอกล่อเพื่อให้เป็นไปตามที่คุณต้องการอย่างไร)

สุดท้าย ดิฉันขอให้หยุดพฤติกรรมการพยายามจะเค้นหาเหตุโจมตีพรรคก้าวไกลเช่นนี้ได้แล้ว หากจะตรวจสอบผู้แทนราษฎรเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศนี้จริง ๆ ดิฉันคิดว่าคงจะมีประโยชน์กว่านี้มาก #สสเล็ก #ก้าวไกล #จันทบุรีเขต3"

ภายหลัง เพจ ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร’ ตอบโต้ว่า "#ทุกคนคะ พี่เล็ก สส. จันทบุรี พรรคก้าวไกลชี้แจงแล้วค่ะ พี่เล็กแจ้งว่า พี่ต้น เป็นแค่ทีมทำงานช่วย สส. แต่ไม่ได้เป็นผู้ช่วย สส. ที่รับเงินจากภาษีประชาชนค่ะ

พี่เล็กแจ้งว่า พี่ต้นทำงาน เอนเตอร์เทนและจัดหาเด็กชงเหล้าจริงค่ะ แต่ไม่ได้รับงานเอนวี (น่าจะหมายถึงเอากัน)

พี่เล็กบอกว่าขอให้หยุดและอย่าพยายามโจมตีพรรคก้าวไกล เพราะมันไม่ได้ประโยชน์ค่ะ

หนูขอตอบว่า ค่า หนูอยากให้พี่เล็กช่วยยืนยันว่า เด็กที่พี่ต้นส่ง ไม่มีใครอัปเกรดนอกรอบ หรือเพิ่มค่าตัวมากกว่าชงเหล้าได้มั๊ยคะ ชาวบ้านจะได้สบายใจค่า"

อนึ่ง คำว่างานเอ็นวี เป็นงานผสมระหว่างงานเอนเตอร์เทน (Entertain) และงานวีไอพี (VIP) ซึ่งหมายถึงงานขายบริการทางเพศ เป็นลักษณะงานให้ความบันเทิงแก่ลูกค้าก่อนขึ้นงาน หรือมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้ากระทั่งสำเร็จความใคร่จึงจบงาน แตกต่างจากงานเอ็นตามปกติที่เพียงแค่ดูแลลูกค้า​ ชงเหล้า ดูหนัง​ กินข้าว และพาเที่ยวเพียงอย่างเดียว

เปิดนิยาม 'ร่มไม้ใหญ่' ในความคิด 'สมจิตร จงจอหอ' "เชื่อเถอะสักวันเราจะเติบโต และจะเป็นร่มไม้ใหญ่ให้ผู้อื่นต่อได้"

เมื่อไม่นานมานี้ ‘สมจิตร จงจอหอ’ นักกีฬามวยสากล เจ้าของเหรียญทองหลายเหรียญ โพสต์คลิปในติ๊กต็อก ‘somjit656’ เกี่ยวกับประเด็น ‘ร่มไม้ใหญ่’ โดยระบุในคลิปว่า…

“ตอนนี้ผมกำลังอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ ร่มไม้ใหญ่นี้ทำให้ผมร่มเย็น ทำให้ผมสดชื่น ทำให้ผมรู้สึกสงบ ที่สำคัญคือผมได้ออกซิเจนจากร่มไม้ใหญ่ ผมเกิดมา มีพ่อและแม่ที่เป็นร่มไม้ใหญ่ คอยกันทุกสิ่งอย่างให้ผม เช่น กันพายุ กันภัยอันตราย กันแสงแดด กันเรื่องไม่ดี และคอยดูแลลูกจนเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ ผมเติบโตมาได้ก็เพราะร่มไม้ใหญ่ และผมก็ได้ดูแลพ่อแม่ที่เป็นร่มไม้ใหญ่ของผม”

สมจิตร กล่าวต่อว่า “นิยามของผม ร่มไม้ใหญ่ก็คือ พ่อแม่ที่ให้ความอบอุ่นกับลูก แต่ในนิยามของคนอื่นผมก็ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร แต่เชื่อเถอะครับว่า การที่เราอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ สักวันหนึ่งเราก็จะเติบโต เพราะร่มไม้ใหญ่ให้ร่มเรา ให้อาหารเรา ให้สิ่งดี ๆ กับต้นไม้เล็ก ๆ ที่อยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ สักพักต้นไม้เล็ก ๆ ก็จะเติบโต วิ่งไปหาแสงแดด และอาจจะเติบโตยิ่งใหญ่ และสามารถเป็นร่มไม้ใหญ่ให้กับร่มไม้ได้”

“เพราะฉะนั้นเชื่อเถอะครับว่า อยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ แล้วคุณจะมีความสุข สดชื่น ร่มเย็น ชีวิตสงบอยู่ได้ร่มไม้ใหญ่ดีที่สุดครับ” สมจิตรกล่าวทิ้งท้าย

23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 ‘ทามาก็อตจิ’ สัตว์เลี้ยงดิจิทัล ไอเท็มสุดฮิตยุค 90 วางขายครั้งแรก

วันนี้เมื่อ 27 ปีก่อน ‘ทามาก็อตจิ’ สัตว์เลี้ยงดิจิทัลคลายเหงาสำหรับเด็ก ๆ เพื่อนซี้ 8 บิต หนึ่งในไอเท็มสุดฮิตในยุค 90 ถูกวางจำหน่ายเป็นวันแรก

หากเอ่ยถึงของเล่น วัยเยาว์ยุค 90s เชื่อว่าหลายคนคงจะนึกถึงเจ้า ‘ทามาก็อตจิ’ (Tamagotchi) สัตว์เลี้ยงดิจิทัลสีขาวดำในก้อนไข่ ของเล่นสุดฮิตที่ใครก็อยากมีติดกระเป๋าเอาไว้เล่นยามว่าง อย่างแน่นอน

ทามาก็อตจิ เป็นของเล่นที่คิดค้นและร่วมมือโดย อากิฮิโระ โยโคอิ (Akihiro Yokoi) ประธานบริษัท Wiz ซึ่งเป็นบริษัทออกแบบของเล่นให้กับผู้ผลิตรายใหญ่ กับ อากิ มาอิตะ (Aki Maita) นักการตลาดของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Bandai ของญี่ปุ่น

อากิฮิโระ โยโคอิ ได้รับแรงบันดาลใจและปิ๊งไอเดียในการสร้างเจ้าของเล่นขนาดพกพานี้จาก ‘โฆษณาทางโทรทัศน์’ ซึ่งปรากฏเรื่องราวของเด็กชายคนหนึ่งที่ไม่สามารถพา ‘เต่า’ สัตว์สุดที่รักของเขาไปท่องเที่ยวด้วยกันได้ 

เมื่อได้เห็นโฆษณาดังกล่าว บวกกับโยโคอิ เป็นคนที่ชื่นชอบสัตว์เลี้ยง เขาจึงตัดสินใจจะผลิตเกมที่ช่วยเสริมสร้างความรับผิดชอบให้กับเจ้าของสัตว์เลี้ยง พวกเขาจะต้องดูแลพวกมันแบบเรียลไทม์ โดยสัตว์ในเกมจะนอนหลับในตอนกลางคืน และจะมีเสียง บี๊บ! ตอนที่พวกมันหิว ทั้งยังมีการสร้างพฤติกรรมและใช้ยารักษาโรคให้กับพวกมันอีกด้วย 

โยโคอิตั้งชื่อของเล่นที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ทั่วทุกที่ว่า ‘ทามาก็อตจิ’ หรือภาษาอังกฤษคือ Tamagotchi ซึ่งมาจากคำว่า Tamago แปลว่า ไข่ และ Uotchi แปลว่าดูนาฬิกาหรือนาฬิกาข้อมือในภาษาญี่ปุ่น เหตุที่ตั้งชื่อนี้เพราะในตอนแรกจะออกแบบให้ทามาก็อตจิสวมใส่เป็นนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะกลายมาเป็นพวงกุญแจห้อยไปมาได้

ต่อมา โยโคอิได้นำความคิดนี้ไปขายให้กับบริษัท Bandai และได้มาอิตะมาช่วยเหลือ ดูแล และทำการตลาดให้กับเจ้าทามาก็อตจิตัวนี้ให้ประสบความสำเร็จมากที่สุด

เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามคาด บริษัท Bandai ก็ตัดสินใจออกขายเจ้าก้อนไข่สุดคาวาอี้ในญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) และอเมริกาในปี 1997 ก่อนที่ทามาก็อตจิจะกลายมาเป็น ‘ของเล่น’ ในวัยเด็กที่หลายคนยังคงนึกถึง

‘ก้อง ห้วยไร่’ กระอัก!! โซเชียลผุดแบนผลงาน ซัด!! เป็นนักร้องปากไม่ดี แถมเนรคุณแผ่นดิน

(22 พ.ย. 66) เพจ ‘The Critics’ โพสต์ข้อความเกี่ยวกับนักร้องดัง ‘ก้อง ห้วยไร่’ ที่มีข่าวแว่วว่าถูกเลิกจ้าง โดนแบนผลงานเพลง เพราะเป็นนักร้องปากไม่ดี โดยระบุว่า…

เดือดปรอทแตก!!!
โซเชียล ผุดแบนงานเพลง
เลิกจ้าง ก้อง ห้วยไร่ 
ซัด นักร้องปากไม่ดี เนรคุณแผ่นดิน?

จากกรณีของนักร้องดัง อย่างคุณก้อง ห้วยไร่ ที่กำลังตกเป็นประเด็นให้พูดถึงอยู่ในสังคมขณะนี้ เรียกว่าเจอทัวร์ลงอย่างหนัก ทั้งเกิดกระแสแบนสินค้าที่เป็นพรีเซนเตอร์ หรือชาวบ้านห้วยไร่ ที่ออกมาเรียกร้องให้หยุดใช้คำว่า ห้วยไร่ ซึ่งถือว่าเดือดมากเลยทีเดียว

ล่าสุดทางด้านของผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่ง ได้ออกมาอัดคลิปฟาดอย่างแรงเลยว่า วันนี้ก็จะมาทําคลิปฝากถึง ก้อง ห้วยไร่ หน่อยนะ เที่ยวออกมาเปรียบเปรยประชดสังคมว่า เด็ก ๆ เคยโดนสอนมาว่า ถ้าไปอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่จะไม่เห็นแสงอะไรประมาณนั้นน่ะ ผมไม่รู้มึ..คิดอะไรหรอก ไม่รู้ว่ามึ..จะหมายถึงใคร ผมไม่อยากพูดหรอก ผมรู้ว่ามึ...หมายถึงใคร แต่ผมไม่อยากพูดถึงนะ ผมรู้ว่ามึ..จะพูดอะไร รู้นะมึ...ไอ้ก้องว่ามึ...จะพูดอะไรนะ ผมว่าคนอีสานเลิกฟังเพลงมันแล้วล่ะ ไอ้ก้องคนเนี้ยเลิกฟังเพลงมันได้แล้ว เสื่อม
ไอ้คนคนนี้ นักร้องคนนี้ พาคนอีสานเสื่อมคุณรู้เปล่า คุณเลิกฟังเพลงไม่ได้แล้วเชื่อผมเถอะอย่าไปฟังเลย แฟนคลับที่เป็นสาวกมันน่ะ เลิกติดตามมันได้แล้ว

คุณจะเสื่อม มันไปเสื่อมไปด้วยตามตัวมันน่ะ สันดา....ไม่ดี ไอ้ก้อง ห้วยไร่ คุณรู้เปล่ามันเป็น...มันมีคนออกมาแฉ อยู่เนี่ย

‘อนุทิน’ เยือน ‘สิงคโปร์’ ร่วมถก รมต.อาเซียน ด้านการพัฒนาชนบท พร้อมชู ‘ลดรายจ่าย-เพิ่มรายได้-ขยายโอกาส-ขจัดความยากจน’

(22 พ.ย. 66) ที่แซนด์ เอ็กซ์โป แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ (Sands Expo & Convention Centre) สาธารณรัฐสิงคโปร์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมคณะผู้บริหาร ร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียน ด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน ครั้งที่ 13 (13th AMRDPE) ‘การเสริมสร้างความเข้มแข็งโดยใช้ชุมชนเป็นฐานราก และการคุ้มครองทางสังคม เพื่อการบรรเทาความยากจน’

นายอนุทิน กล่าวถ้อยแถลงในหัวข้อการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน ในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียน ครั้งที่ 13 โดยได้นำเสนอความคืบหน้าของประเทศไทยในการดำเนินนโยบายเพื่อแก้ปัญหาความยากจน ซึ่งนับแต่ปี 2021 ประเทศไทยมีสถิติประชากรในกลุ่มผู้ยากไร้ลดลง และมีพัฒนาการด้านรายได้ การศึกษา การสาธารณสุข และคุณภาพชีวิตโดยรวมดีขึ้นโดยลำดับ เมื่อพิจารณาจากดัชนีชี้วัดความยากจนหลายมิติ (Multidimensional Poverty Index – MPI) สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยได้ฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด และผ่านช่วงเลวร้ายที่สุดมาแล้ว

นายอนุทิน ย้ำว่า อย่างไรก็ดี ไทยยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำเพื่อขจัดความยากจน โดยแนวทางนโยบายของรัฐบาลจะเน้นเรื่องการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส ซึ่งในส่วนของการลดภาระด้วยสวัสดิการต่าง ๆ ก็ได้มีการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวกับค่าน้ำ ค่าไฟ ลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการศึกษา และขยายสิทธิด้านการสาธารณสุข รวมถึงสวัสดิการผู้สูงวัยมาโดยลำดับ

ในส่วนของการเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชน นายอนุทินได้ย้ำถึงภาคส่วนที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ คือ ‘ภาคเกษตรกรรม’ ซึ่งรัฐบาลมีแผนที่จะเน้นการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี มาสนับสนุนการเพิ่มผลผลิตในแนวทางสมาร์ตฟาร์มมิ่ง นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีโครงการจับคู่การลงทุน เพื่อสนับสนุนให้เกิดกิจการสตาร์ตอัปขึ้น เป็นการเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจให้กับประชาชนด้วย

สุดท้ายในด้านการขยายโอกาสสำหรับประเทศไทย นายอนุทิน ได้กล่าวต่อที่ประชุมว่า นอกจากโอกาสทางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวซึ่งเป็นจุดเด่นตลอดมา ประเทศไทยกำลังอยู่ในกระบวนการของการทำงานเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ด้วยการพิจารณาต้นทุนทางวัฒนธรรมเพื่อนำมาต่อยอด สร้างประสบการณ์ต่อประชาคมโลกผ่านการท่องเที่ยว สินค้า บริการ และความคิดสร้างสรรค์ต่าง ๆ 

รองนายกรัฐมนตรีของไทย ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลต่อที่ประชุมถึงกลไกการดำเนินนโยบาย ผ่านเครือข่ายการปกครองของกระทรวงมหาดไทยที่มีอยู่ทั่วประเทศ และให้ความมั่นใจว่า ไทยยินดีให้ความร่วมมือกับประเทศอาเซียนทั้งในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และต่อยอดความเป็นหุ้นส่วนในด้านต่าง ๆ ต่อไป

ทั้งนี้ ในช่วงท้ายของการประชุม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยังได้ยืนยันถึงความพร้อมของประเทศไทย ในการเป็นเจ้าภาพการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียน ด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน ครั้งที่ 14 ในปี พ.ศ. 2568 อีกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top