Monday, 12 May 2025
TheStatesTimes

‘รองประธานฯ หอการค้าไทย’ มองภาพรวมผลงาน 2 เดือน ‘ครม.นิด 1’ ชี้!! ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ฟอร์มดี ตอบสนองเร็ว ผลงานเด่นชัด-จับต้องได้

เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 66 นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการประเมินผลงานการทำงานตลอดระยะเวลา 60 วัน ของรัฐบาลชุดใหม่ ภายใต้การบริหารของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ผ่านรายการ ‘คุยข่าว ถึงเครื่อง’ ประจำวันที่ 9 พ.ย. 66 เผยแพร่ผ่านช่องทางรับชมในเครือ THE STATES TIMES, คุยถึงแก่น, เปรี้ยง, NAVY AM RADIO/ MAYA Channel ช่อง 44 และ FM101 โดยมี นายปรเมษฐ์ ภู่โต สื่อมวลชนอาวุโส พิธีกร ผู้ประกาศข่าวรายการคุยถึงแก่น เป็นผู้ดำเนินรายการ

ทั้งนี้ นายวิศิษฐ์ ได้ให้มุมมองของภาคเอกชนต่อการบริหารงานของรัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ตลอดระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา ว่ามีแนวโน้มหรือทิศทางในการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ ในแง่ของเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง ดังนี้…

เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้ ได้เข้ามาบริหารประเทศในช่วงที่เศรษฐกิจไทยพยายามจะฟื้นตัว หลังจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อีกทั้งภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจส่งผลให้การบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ไม่ง่ายเลย

ดังนั้น หากมองแบบกว้างๆ 2-3 แง่มุม เรื่องแรกคือ การลดภาระค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพต่างๆ ในภาคประชาชน ที่เห็นได้เด่นชัดเลยก็คือ ‘การลดค่าไฟ’ ที่ตลอด 3 เดือนนี้ อัตราค่าไฟฟ้าจะอยู่ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย และ ‘การลดราคาน้ำมัน’ ที่ปรับลดราคาน้ำมันทั้งเบนซินและดีเซล สูงสุดที่ 2.50 บาทต่อลิตร 

และที่เห็นชัดๆ อีกเรื่อง คือ ความพยายามในการลดราคาค่าโดยสารของรถไฟฟ้าสายสีแดงและสีม่วง ให้เหลือแค่ 20 บาทตลอดสาย

อีกเรื่องที่น่าจับตามอง คือ ‘หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ’ ซึ่งมีแนวทางนโยบายที่ต้องการจะช่วยยกระดับสุขภาพของประชาชนทั้งประเทศ… ก็คงต้องรอติดตามหลังจากนี้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป

ในส่วนของเรื่องภาระหนี้สิน ที่จะเห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ ‘ภาคเกษตรกรรม’ ที่ได้รับการดูแลในเรื่องนี้ไปก่อนแล้ว คือ การพักหนี้เกษตรกร 3 ปี SME 1 ปี ในวงเงินที่ตั้งไว้ไม่เกิน 300,000 บาท ซึ่งทั้งหมดนี้ ถือว่าเป็นภาพรวมในการพยายามช่วยลดภาระต้นทุน ค่าครองชีพ ตลอดจนยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและภาคกิจการ ที่รัฐบาลสามารถทำให้ได้

เรื่องที่ 2 การเพิ่มรายได้ อย่างที่ทราบกันดีว่า ในปัจจุบัน GDP ของประเทศไทยยังขึ้นอยู่กับ 2 เรื่องหลักๆ คือ ‘การส่งออก’ และ ‘การท่องเที่ยว’ ดังนั้น เรื่องที่เห็นได้ชัดเจน ในการเพิ่มรายได้ หรือการพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจในแง่มุมต่างๆ คือ ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มรายได้เข้าประเทศได้รวดเร็ว และง่ายที่สุด อีกทั้งยังเป็นช่วงจังหวะที่นักท่องเที่ยวในหลายๆ ประเทศสามารถ ‘เที่ยวล้างแค้น’ ได้ หลังจากที่ต้องหยุดท่องเที่ยวไป 3 ปี เนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงทำให้มีกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ยังอยากจะเดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยอยู่ หรือแม้แต่การที่คนไทยเดินทางไปเที่ยวที่ต่างประเทศเองก็เช่นกัน

โดยมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ที่เห็นเด่นชัดที่สุด คือ ‘นโบายฟรีวีซ่า’ ซึ่งมีส่วนช่วยอย่างมากในการกระตุ้นความอยากเดินทางมาท่องเที่ยวเมืองไทยของนักท่องเที่ยวชาวจีน เนื่องจากสามารถเดินทางมาได้อย่างง่ายดาย ส่งผลให้ยอดนักท่องเที่ยวชาวจีนและคาซัคสถานเพิ่มขึ้นอย่างมาก รวมถึงยอดนักท่องเที่ยวชาวอินเดียและรัสเซียก็เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน

แม้จะเกิดปัญหาที่ไม่คาดไม่ถึง เช่น สงครามระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ ที่ส่งผลทำให้ภาคธุรกิจเกิดการขาดความเชื่อมั่นพอสมควร เนื่องจากการที่ช่วงก่อนหน้านั้น ผู้บริโภคในประเทศต่างๆ ประสบปัญหาภาวะเงินเฟ้อ ทำให้รัฐบาลในแต่ละประเทศประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงเพื่อกดเงินเฟ้อ ทำให้ประชาชนไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย ซึ่งถือเป็นปัญหาอย่างหนึ่งที่ต้องติดตามและแก้ไขต่อไป

การเพิ่มรายได้ อีกเรื่องหนึ่งที่อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย แต่มีความน่าสนใจและจำเป็นต้องทำอย่างมากในยุคสมัยนี้ คือ ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ซึ่งอาจจะเห็นตัวอย่างของหลายๆ ประเทศที่ผลักดันเรื่องของซอฟต์พาวเวอร์ได้ดี และประสบผลสำเร็จมาแล้ว เช่น ประเทศเกาหลีใต้ ที่สามารถสอดแทรกเรื่องราวต่างๆ ไว้ในภาพยนตร์ หรือซีรีส์ ยกตัวอย่างเช่น อาหาร ซึ่งส่งผลต่อวัฒนธรรมการกินไปทั่วโลก ทำให้เห็นว่าเรื่องของซอฟต์พาวเวอร์ไทย ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สมควรต้องผลักดันอย่างมากในหลากหลายแง่มุม

ซึ่งซอฟต์พาวเวอร์นี้ถือเป็นเข็มมุ่งสำคัญที่รัฐบาลชุดนี้ มีความพยายามที่จะเอาจริงจังในการผลักดันอย่างมาก โดยได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติขึ้นมาดูแลในส่วนนี้โดยเฉพาะ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ต้องรอติดตามผลงานกันต่อไป

เมื่อถามถึงอีกหนึ่งนโยบายสำคัญที่ประชาชนทั้งประเทศจับตามองและพูดถึงมากที่สุด คือ ‘นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท’ ว่าจะมีผลอย่างไรบ้าง ในมุมมองของเศรษฐกิจ นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า…

ในส่วนของนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต เชื่อว่าอาจจะสามารถเริ่มต้นดำเนินนโยบายได้ในปีหน้า คือ 2567 ปกติการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการเติมเงินในกระเป๋าในประชาชน ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมี เราก็เคยมีมาแล้วในหลายรูปแบบและหลายจังหวะ แม้แต่ในช่วงเวลาที่ประชาชนแทบจะไม่สามารถทำมาหากินได้ หรือทำขึ้นมาเพื่อช่วยในยามที่ภาคการค้าขายมีความยากลำบาก การเติมเงินเข้ากระเป๋าของประชาชนจึงช่วยกระตุ้นทำให้ผู้คนกล้าออกมาจับจ่ายซื้อใช้สอยมากขึ้น ภาคกิจการก็สามารถผลิตสินค้าออกมาขายได้เรื่อยๆ

สำหรับมุมมองของภาคเอกชนที่มีความคิดเห็นต่อ ‘นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต’ ของทางภาครัฐนั้น คือ ต้องการให้มีการมุ่งเป้าเฉพาะเจาะจงให้ชัดเจน ว่ากลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับสิทธิ์ ควรจะเป็นผู้ที่มีรายได้น้อย เพราะเมื่อกลุ่มคนเหล่านี้ได้รับสิทธิ์แล้ว เขาก็จะสามารถมีกำลังในการดูแลตัวเองและครอบครัว รวมถึงช่วยเติมเต็มด้านเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการหมุนเวียนการซื้อขาย

อีกหนึ่งมุมมองของภาคเอกชนที่อยากจะฝากทางภาครัฐ คือ ในส่วนของแอปพลิเคชันของดิจิทัลวอลเล็ตนั้น เนื่องจากต้องดำเนินนโยบายด้วยระยะเวลาที่ค่อนข้างเร่งด่วน จึงอยากแนะนำว่า ในส่วนของแอปพลิเคชันนั้น หากสามารถใช้แอปฯ ตัวเดิมที่เคยมีอยู่ก่อนแล้วได้ ก็จะเป็นการดีที่สุด เพราะได้มีการทดสอบการใช้งานและการแก้ไขข้อบกพร่องมาแล้วพอสมควร หากต้องมาเริ่มต้นลองผิดลองถูกกันใหม่ อาจเกิดความเสี่ยงค่อนข้างสูง

นอกจากนี้ นายวิศิษฐ์ ยังได้กล่าวถึงความตั้งใจอีกหนึ่งเรื่องของตัวนายกฯ เศรษฐา คือ เรื่องของการเป็น ‘เซลล์แมนของประเทศไทย’ ที่ได้มีภารกิจเดินทางไปเยือนประเทศต่างๆ รวมถึงเข้าร่วมงานประชุมระดับโลกมาพอสมควร เหมือนเป็นการขายความพร้อมและแสดงศักยภาพของประเทศไทย ทั้งในแง่ของการเชิญชวนต่างชาติเข้ามาลงทุนทำกิจการในประเทศไทย หรือเชิญชวนนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ลองมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทย ซึ่งการเดินทางไปพรีเซนต์ประเทศต่อนานาชาติด้วยตัวเอง นับว่าเป็นการแสดงความตั้งใจ และความจริงใจ ซึ่งถือว่ามีส่วนสำคัญอย่างมากในการสื่อสารกับประชาคมโลก

เมื่อถามถึงการให้การให้คะแนนในช่วง 2 เดือนของการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ นายวิศิษฐ์ ได้ให้ความคิดเห็นว่า แม้ว่าระยะเวลาเพียง 2 เดือนแรกในการบริหารประเทศของรัฐบาลชุดนี้นั้นจะยังไม่สามารถสรุปอะไรได้ แต่หากพิจารณาจากผลงานที่เป็นรูปธรรมทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น ควบคู่กับสถานการณ์โดยรวมที่อาจพุ่งเข้าใส่อย่างไม่ทันตั้งตัว ตลอดจนบริบทต่างๆ ของเศรษฐกิจโลก รัฐบาลชุดนี้สามารถตอบสนองและตั้งรับต่อเรื่องต่างๆ ได้ดีพอสมควร

‘ศิริกัญญา’ ชี้!! ออก ‘พ.ร.บ.กู้’ สุ่มเสี่ยงมาก แนะทำแท้งร่าง กม.เงินกู้ เชื่อ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ถึงทางตัน ฟันธง!! สุดท้ายจะไม่มีใครได้เงิน

(10 พ.ย. 66) ที่รัฐสภา น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงรายละเอียดโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ว่า ขณะนี้ความชัดเจนเริ่มปรากฎแล้ว แต่เป็นความชัดเจนที่ไม่มีเรื่องแหล่งที่มาของเงิน ซึ่งนายกฯเลือกเส้นทางที่ยากที่สุด คือการออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เงินกู้ 5 แสนล้าน เพื่อระดมทุนมาแจกในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต แม้วันนี้หลักเกณฑ์จะมีการพูดถึงคนที่รายได้ต่ำกว่า 7 หมื่นบาท แต่ท้ายที่สุดอาจไม่มีใครได้เงินจากโครงการนี้เลย เพราะเสี่ยงขัดต่อกฎหมาย ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 140 และขัดต่อ พ.ร.บ.วินัยการเงิน การคลัง มาตรา 53 ที่มีการระบุว่า หากใช้เงินที่ไม่ได้เป็นไปตามงบประมาณปกติ จะทำได้กรณีมีความจำเป็นเร่งด่วนเท่านั้น แต่วันนี้ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนอะไร เราไม่ได้อยากกดดันให้มีการร้องเรียนไปยังศาลรัฐธรรมนูญ แต่เราคิดว่านี่เป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารอย่างแท้จริงที่ต้องแสดงความรับผิดชอบ โดยให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความให้เด็ดขาด ว่ารัฐบาลจะออก พ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท ได้หรือไม่ โดยไม่ต้องไปถึงมือขององค์กรอิสระที่ไม่เป็นวิถีทางประชาธิปไตยสักเท่าไหร่

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวด้วยว่า ที่ต้องออกมาพูด เพราะการออก พ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท มีความสุ่มเสี่ยงจริงๆ เหมือนกับกรณี พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท อย่างชัดเจน ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตีตกว่าไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน ดังนั้น รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้ ตนตั้งข้อสังเกตว่าการที่รัฐบาลเลือกทางนี้ เพราะไม่ต้องการให้โครงการนี้สำเร็จ แต่ต้องการให้เข้าทางนักร้องต่างๆ เพื่อหาทางลงให้สวยงามของโครงการที่มาถึงทางตันโดยสมบูรณ์แล้ว ตนไม่ได้เห็นด้วยกับการร้องศาลรัฐธรรมนูญเรื่องนี้ แต่ขอให้รัฐบาลได้แสดงความรับผิดชอบทางการเมืองโดยการให้กฤษฎีกาตีความ

“รัฐบาลเองน่าจะเห็นแล้วว่าไม่มีทางที่จะไปได้จริงๆ ทางเลือกนี้เป็นการหาทางลงมากกว่าที่จะเดินหน้าโครงการนี้จริงๆ ถ้ากฤษฎีกาตีความเข้าข้างให้ผ่าน และ สส.ในสภาฯ ก็ให้ผ่าน สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือภาระหนี้ในแต่ละปีงบประมาณที่จะเพิ่มขึ้นปีละ 5 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 15% ของงบรายจ่ายประจำปี ซึ่งจะเป็นภาระงบประมาณอย่างใหญ่หลวง สิ่งที่รัฐบาลทำวันนี้จะทำภาระดอกเบี้ยเกิน 10% ในงบประมาณปี 68 ทันที ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลไม่ได้พูดถึงทั้งเรื่องภาระหนี้ และภาระดอกเบี้ย ความเสี่ยงนี้จะไม่เกิดขึ้นหาก พ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท ถูกทำแท้งตั้งแต่ต้นโดยกฤษฎีกา” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

เมื่อถามว่า แบบนี้เหมือนเป็นการขายผ้าเอาหน้ารอดหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ถ้าจะพูดแบบนั้นน่าจะได้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมาจากการที่ไม่ได้คิดนโยบายอย่างถี่ถ้วน ตั้งแต่ก่อนหาเสียง เมื่อถึงทางตันจึงต้องหาทางลงแบบนี้

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวด้วยว่า เงื่อนไขต่างๆ โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเหมือนลอยมาจากฟ้าโดยสิ้นเชิง หากตัดตามสัดส่วนผู้มีรายได้ 20% บนสุดต้องอยู่ประมาณ 6 หมื่นบาท แต่วันนี้เราไม่รู้ว่าตัวเลข 7 หมื่นบาท มาจากไหน จะตัดคน 4 ล้านกว่าคนได้จริงหรือไม่ ตนคิดว่ารัฐบาลต้องการตัวเลขกลมๆ ที่ 50 ล้านคน จึงไม่มีหลักเกณฑ์อะไรมากนัก

‘นายกฯ เศรษฐา’ เคาะ!!เงื่อนไข ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ เงินเดือนไม่เกิน 7 หมื่น เงินฝากไม่เกิน 5 แสน ใช้จ่ายผ่าน ‘เป๋าตัง’

‘นายกฯ เศรษฐา’ แถลง ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ใช้จ่ายผ่าน ‘เป๋าตัง’ แจก 50 ล้านคน รายได้ไม่เกิน 7 หมื่นต่อเดือน เงินฝากทุกบัญชีรวมไม่เกิน 5 แสนบาท มีระยะเวลาการใช้ 6 เดือน พร้อมขยายพื้นที่การใช้ครอบคลุมระดับอำเภอ เตรียมตั้งงบ 600,000 ล้านบาท แต่ยังต้องผ่านขั้นตอนกฎหมาย

‘เศรษฐา’ โต้เดือด!! ‘ศิริกัญญา-หยุ่น’ ปมดิจิทัลวอลเล็ต ซัด!! อย่าเอาความคิดตัวเองมาสร้างความสับสนให้ ปชช.

(11 พ.ย. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความใน X หรือ ‘ทวิตเตอร์’ ตอบโต้นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท

นายเศรษฐา ระบุว่า “อย่าเอามาตรฐานความคิดของตัวเองมาหวังว่าคนอื่นเขาจะเป็นเหมือนกัน อย่ามองความตั้งใจที่บริสุทธิ์ และความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน มาเป็นมุมการเมืองที่สร้างความสับสนให้กับประชาชนเลยครับ”

นอกจากนี้ นายเศรษฐา ยังได้ตอบโต้นายสุทธิชัย หยุ่น ที่โพสต์ระบุว่า “นายกฯ ย้ำคำว่า ‘e-government’ หลายครั้ง คงต้องนิยามให้ชัด ๆ อย่าให้งงเหมือน soft power” โดยนายกฯ กล่าวว่า “ผมว่าทุกคนเค้าเข้าใจดีครับ ยกเว้นสื่อบางสื่ออาจจะพยายามบิดเบือนหรือสร้างความเข้าใจ เพื่อให้คุณเข้าใจผิด”

เปิดใจ 'พีระพันธุ์' ทำไมเดินหน้าแก้ปัญหาราคาพลังงานได้ทันใจ เหตุ!! 'นายกฯ' ไฟเขียว!! ไม่ยอมให้ราคาแปรผันเหมือนตลาดหุ้น

เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 66 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘ฟังหูไว้หู’ ในหัวข้อ ‘The Special คุยกับรัฐมนตรีพลังงาน’ ออกอากาศทาง ช่อง 9 MCOT HD หมายเลข 30 โดยมี ชุติมา พึ่งความสุข และ วีระ ธีรภัทร ดำเนินรายการ

เมื่อถามถึงบรรยากาศในการทำงานระหว่างนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ เป็นอย่างไรบ้าง? นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า "บรรยากาศดีครับเมื่อได้เข้าประชุม ครม. กับ ท่านนายกฯ ส่วนที่บอกว่าท่านไปต่างประเทศบ่อย ท่านก็ไปในช่วงที่ไม่มีประชุม ถ้าจำไม่ผิด ท่านลาประชุมเพียงแค่ครั้งเดียวเอง"

เมื่อถามถึงช่วงก่อนหน้านี้ ทำไมรัฐมนตรีท่านอื่นถึงทำเรื่องลดราคาค่าครองชีพด้านพลังงานไม่ได้ โดยเฉพาะค่าไฟ? พีระพันธุ์ กล่าวว่า "ผมขอเรียนตรง ๆ ว่า ตอนที่ผมรู้ว่าต้องรับหน้าที่นี้ ผมหนักใจมาก เพราะผมรู้ว่าภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ไม่ได้อยู่ที่กระทรวงพลังงานเพียงอย่างเดียว จากที่ผมศึกษากฎหมายมา อำนาจไม่ได้อยู่ที่เราคนเดียวหมด

"เมื่อตอนที่เราหาเสียง เราพูดถึงนโยบายไว้มาก เราหวังว่าเราจะเข้ามาทำให้ได้ แต่พอเข้ามาแล้ว เรามารู้เบื้องหลัง ก็รู้สึกหนักใจ แต่ในเมื่อพูดไว้แล้ว และได้โอกาสเข้ามาทำแล้ว ก็คิดว่าอย่างไรก็จะทำให้สำเร็จ ด้วยว่านิสัยผมเป็นคนแบบนี้ จะทำได้หรือไม่ได้ แต่จะลงมือเลย" นายพีระพันธุ์กล่าว

นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อว่า "และผมก็โชคดีที่ท่านนายกฯ ก็มุ่งทำนโยบายนี้เหมือนกัน ท่านประกาศตั้งแต่ช่วงแรก ๆ เลย ผมก็รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก เพราะว่าทำให้หลายเรื่องที่ผมกังวลว่าจะทำอย่างไร กลายเป็นนโยบายของรัฐบาล จึงทำให้ผมแก้ปัญหาและดำเนินนโยบายได้อย่างราบรื่นดี"

"เมื่อผมได้ศึกษาปัญหาแล้ว เรื่องของไฟฟ้าประเด็นหลักคือ ก๊าซ ผมไม่เถียงว่าโครงสร้างมันผิด แต่ถ้ามัวแต่ไปแก้โครงสร้างให้ถูก ผมก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเสร็จ จึงต้องกลับมาดูว่าภายใต้โครงสร้างแบบนี้ สามารถทำอะไรได้บ้าง ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ผมคิดแบบนี้นะ" นายพีระพันธุ์กล่าว

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า "ผมมานั่งดูว่า โครงสร้างของไฟฟ้าในปัจจุบันนี้ อย่างแรกเลยต้องลดก๊าซก่อน ถ้าไม่ลดก๊าซ ก็ไม่มีทางลดค่าใช้จ่ายได้เลย อย่างที่ 2 เมื่อดูจากผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ต้องขยายการชำระหนี้ ก็ต้องขอบคุณทุกคนที่เกี่ยวข้อง เพราะเมื่อผมขอความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา ทุกคนทุกฝ่ายร่วมมือเต็มที่เลย เพื่อให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม"

นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อว่า "ผมได้ให้โจทย์ผู้ที่เกี่ยวข้องไปว่า ทำอย่างไรก็ได้ให้ราคาสุทธิต่ำกว่า 4 บาท ตอนแรกทำไม่ได้ เพราะอย่างที่ผมบอกเรื่องนี้ต้องดู 2 ขา ขาแรกคือราคากลาง ขาที่ 2 คือการชำระหนี้ สำหรับการชำระหนี้ มันขึ้นตรงกับเราเลย (กฟผ.) ก็สามารถทำได้ก่อน ทำให้ราคาลงมาอยู่ที่ 4.50 บาท"

นายพีระพันธุ์ กล่าวเสริมว่า "แต่ผมก็ยังไม่ล้มเลิกนะ เดินหน้าต่อในเรื่องก๊าซ (ปตท.) ก็ไปคุยกันจนได้มาเป็นราคาในปัจจุบันนี้ เพราะหากรอให้สะเด็ดน้ำทั้ง 2 ขา ผมก็ไม่รู้ว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ ทางท่านนายกฯ ก็ขอมาว่า ภายใน 1 อาทิตย์ จบปัญหาได้ไหม? ผมก็รับปาก และไปพูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้อง จนสุดท้ายก็ได้มาที่ราคา 3.99 บาท" 

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า "ส่วนงวดต่อไป (ม.ค. - เม.ย.) ถ้าจะทำก็ทำได้ แต่ต้องบอกตรง ๆ ว่า โครงสร้างพลังงาน ทั้งน้ำมัน ก๊าซ ไฟฟ้า ต้องปรับนะ ถ้าไม่ปรับโครงสร้าง ก็จะกลับมารูปแบบเดิม แต่ผมตั้งใจจะทำ และจะทำให้ได้ด้วย"

เมื่อถามถึงแนวทางในการปรับลดราคาน้ำมัน นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า "ถ้าจะลด ก็ต้องลดในส่วนของภาครัฐ สำหรับโครงสร้างปัจจุบันนะ ซึ่งจะคล้าย ๆ กับของมาเลเซีย รัฐต้องเข้าไปสนับสนุน เพียงแต่มาเลเซียเขามีอีกรูปแบบหนึ่งที่ต่างจากเรา แต่ผลลัพธ์คือรัฐเข้าไปช่วยอุดหนุนเหมือนกัน รัฐบาลมาเลเซียช่วยลิตรละ 10 กว่าบาท จนทำให้ราคาขายเหลือลิตรละ 10 กว่าบาท แต่ตอนนี้รัฐบาลไทยยังไม่สามารถเข้าไปโอบอุ้มได้แบบนั้น แต่ชี้ให้เห็นว่า ถ้ารัฐอุดหนุน 2.50 บาท ราคาก็ปรับลงทันที"

นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อว่า "อย่างน้ำมันดีเซล เราลดราคาภาษีสรรพสามิต 2.50 บาท ทำให้ราคาลงมาเหลือลิตรละ 30 บาท จากตอนแรกราคา 35 หรือ 32 บาท ตอนนี้รัฐบาลขีดเส้นไว้ว่าจะลดราคาให้ถึงธันวาคมนี้ (3 เดือน)"

นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อไปว่า "ส่วนกรณีน้ำมันเบนซิน ซับซ้อนกว่าดีเซล เพราะมีหลากหลายชนิด ตอนที่เริ่มคุยกัน ก็ต้องศึกษาเยอะมาก ๆ จะให้ลดเหมือนกันหมดก็จะกลายเป็นภาระรัฐบาล ทำให้รัฐบาลแบกภาระมากเกินไปในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ สุดท้ายผมจึงเสนอว่า เลือกมาเลย 1 ตัวที่จะลด เอาเป็นตัวที่คนใช้เยอะ คนใช้ทำมาหากิน จึงเลือกแก๊สโซฮอล์ 91 ลดราคาลงก่อน และใช้ตัวเลขเดียวกับดีเซลคือ 2.50 บาท และยังไม่คิดถึงตัวอื่นเลย เพราะแก๊สโซฮอล์ 91 เป็นสิ่งที่ประชาชนใช้ทำมาหากินกัน"

นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อว่า "ระหว่างศึกษาก็ติดขัดหลายเรื่อง แต่ก็บอกทุกคนว่าทำให้ได้นะ ต้องขอขอบคุณทุกคนที่เกี่ยวข้องเลย และพอผมมั่นใจแล้วว่าจะลด แก๊สโซฮอล์ 91 ลง 2.50 บาท ผมก็รายงานท่านนายกฯ ท่านก็ดีใจ แต่พอไปถึงขั้นตอนสุดท้าย ตอนลงรายละเอียด กระทรวงการคลังซึ่งดูแลกรมสรรพสามิตบอกว่า ทำไม่ได้ โดยบอกว่าโครงสร้างภาษีสรรพสามิตไม่ได้แยก แก๊สโซฮอล์ 91 กับ 95 ถ้าลด 2.50 บาท เขาจะไปต่อไม่ได้ ทำให้ต้องลดภาษีฯ ลงได้แค่ 1 บาท แต่เราไม่อยากผิดคำพูดกับประชาชน จึงไปดึงเงินจากกองทุนบริหารน้ำมันเชื้อเพลิงมาอีก 1.50 บาท"

เมื่อถามว่า หาก รมว.คลังไม่ใช่ 'เศรษฐา' การดำเนินการลดน้ำมันจะยากกว่านี้หรือไม่? นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า "ยาก อย่างที่ผมเรียนไปว่า ตอนผมรับตำแหน่งใหม่ ๆ ผมตั้งใจทำอยู่แล้ว แต่เพราะไม่ใช่อำนาจเราคนเดียว แต่พอท่านนายกฯ ประกาศว่าจะทำเหมือนกัน ผมก็โล่งใจเลย เพราะพอประกาศออกมา ทุกคนก็พร้อมใจกันทำเลย"

เมื่อถามถึงในส่วนราคาพลังงานกลุ่มที่เหลืออย่าง NGV / LPG และ LNG จะมีทิศทางปรับลดอย่างไรต่อไป? นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า "ในส่วนของ NGV ผมกำลังศึกษาอยู่ รวมถึงเรื่องก๊าซทั้งระบบด้วย NGV เป็นก๊าซที่ใช้กับรถยนต์ ผมกำลังศึกษาโครงสร้างอยู่ว่าเขาวางระบบกันอย่างไร เห็นว่าช่วงนี้มีการไล่ปิดปั๊มกันอยู่ ผมก็ได้รับเรื่องร้องเรียนมา เช่น กลุ่มแท็กซี่"

นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อไปว่า "ผมมองว่า เป็นไปได้อย่างไร? ที่พลังงานคือชีวิตของคน แต่รัฐบาลควบคุมไม่ได้ ผมว่ารัฐบาลควรต้องทำได้ จะเสรีแบบใดก็ทำไป แต่ต้องมีขอบเขต มีการกำกับดูแลตามนโยบายที่ควรจะเป็น วันนี้ผมเป็น รมต.พลังงาน และมีท่านนายกฯ ด้วย แต่เรากำหนดอะไรไม่ได้เลย ถามว่าใครกำหนด ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการ ผมว่าแบบนี้ไม่ได้ ทั้ง NGV / LPG เลยนะ ผมว่ามันต้องมีเครื่องมือรัฐเข้ามาบริหารจัดการเรื่องตรงนี้ให้ได้ครับ"

"สำหรับก๊าซ LNG นั้น เพราะความต้องการใช้แก๊สมากขึ้น ที่เรามีในอ่าวไทยไม่เพียงพอแล้ว ผลิตได้แค่ครึ่งหนึ่งของความต้องการเอง ประมาณ 5 พันล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน อีกครึ่งหนึ่งต้องนำเข้า ซึ่งมาจากเมียนมาเป็นส่วนใหญ่" นายพีระพันธุ์กล่าว

นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อว่า "ก๊าซ LNG อิงกับราคาตลาดโลก ผมเข้าใจในส่วนนี้นะ แต่ผมมองว่าเราในฐานะรัฐบาล จะมาเล่นราคาพลังงานเหมือนตลาดหุ้นไม่ได้ เพราะพลังงานไม่ใช่สินค้าที่จะนำมาหาจังหวะทำกำไร มันเกี่ยวโยงกับชีวิตคน รัฐบาลจึงต้องวางรูปแบบที่สามารถควบคุมได้ ราคาในตลาดโลกจะเป็นแบบใดก็เป็นไป แต่ราคาในประเทศต้องนิ่ง รัฐต้องควบคุมตรงนี้ให้ได้ จะใช้วิธีการใดก็ได้ และผมกำลังคิดเรื่องตรงนี้ให้ประเทศไทย"

เมื่อถามถึงกรณีปัญหาจากตัวแปรการคำนวณราคาหน้าโรงกลั่น? นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า "ประเด็นนี้ผิดทั้งหมด ต้องรื้อแก้ไขทั้งหมด ราคาหน้าโรงกลั่นคือราคาน้ำมันดิบที่นำเข้ามา บวกค่าการกลั่น ต่อจากนี้ผมจะไม่ให้เรียกว่าค่าการกลั่นแล้ว เพราะคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นการนำน้ำมันดิบมากลั่น และคือราคาหน้าโรงกลั่น ซึ่งมันไม่ใช่นะ เพราะค่าการกลั่นคือกำไรเบื้องต้นของเขาแล้วนะ ไม่รวมค่าใช้จ่ายในการกลั่น สรุปคือจริง ๆ ไม่ใช่ค่าการกลั่น แต่เป็นกำไร"

นายพีระพันธุ์กล่าวต่อว่า "จะเห็นว่าแค่เริ่มต้นก็ผิดแล้ว ผิดที่ 2 คือราคาที่บอก ๆ กันอยู่นี่ ไม่ใช่ราคาจริง แต่เป็นราคาทิพย์ คิดมาจากสูตรอะไรไม่รู้ ผิดถูกก็มาโต้แย้งกัน หลังจากนั้นก็บวก ๆ และที่น่างงสุด ๆ เลยคือภาษีสรรพสามิต บวกภาษีท้องถิ่น บวกภาษีมูลค่าเพิ่ม บวกกองทุนน้ำมัน บวกกองทุนอนุรักษ์พลังงาน พอจะไปขายให้ปั๊ม ก็บวกภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 7% ต่อมาก็คือค่าการตลาด และค่อยมาเป็นราคาที่ขายหน้าปั๊ม แต่ค่าการตลาดเอามาลบ ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตรงนี้ถึงเอามาลบ"

"กลายเป็นว่าสุดท้ายปลายทาง เอาภาษี 7% (รอบ 2) มาลบกับราคาที่ขายหน้าปั๊ม ได้เท่าไหร่ก็บอกว่าเป็นค่าการตลาด แบบนี้มันไม่ใช่" นายพีระพันธุ์กล่าว

เมื่อถามถึงการยกเครื่องโครงสร้างราคาพลังงานด้วยการแก้ไขกฎหมายที่มีทั้งความ 'ยาก' และ 'ต้องใช้เวลา' จนอาจไม่ทันใจประชาชน? นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า "สำหรับผมนะ ไม่มีทั้ง 2 คำนั้นเลย ต้องเร็ว และไม่ยาก เพราะผมทำเอง เขียนเอง แต่เนื่องด้วยภาระเยอะ ผมจึงตั้งคณะกรรมการขึ้นมา เพื่อแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับพลังงานทั้งระบบ เมื่อได้คำตอบ ผมก็จะมีคณะของผมยกร่างฯ เองเลย โดยที่ผมเป็นคนกำกับดูแล เพราะฉะนั้น สำหรับผมแล้วร่างกฎหมายไม่ใช่เรื่องยาก เพราะผมร่างกฎหมายมาตลอดชีวิตของผมอยู่แล้ว และเมื่อผมมีทีมงานมาช่วย ก็จะไม่มีความล่าช้า แต่กว่าจะถึงตรงนั้น ต้องศึกษาปัญหากฎหมายให้ละเอียดเสียก่อน"

'บิ๊กไก่' ผบ.ทอ. ต้อนรับ นักศึกษา มส.16 ศึกษาดูงานกองทัพอากาศ

วันที่ 10 พฤศจิกายน ที่ห้องประชุม กองทัพอากาศ พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ พร้อมคณะให้การต้อนรับ พลเอก จรัล กุลละวณิชย์ ประธานมูลนิธิการจัดการเพื่อความมั่นคง พลเอก ดร. มารุต ปัชโชตะสิงห์
ผู้อำนวยการหลักสูตรการบริหารจัดการด้านความมั่นคงขั้นสูงพล.อ.ต.หญิง ดร.พัชรี พิพิธสุขสันต์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการหลักสูตรฯ พร้อมคณาจารย์ และนักศึกษาหลักสูตรการบริหารจัดการด้านความมั่นคงขั้นสูง (มส.) รุ่นที่ 16 ในการศึกษาดูงานกิจการกองทัพอากาศ 

เริ่มจากการสักการะจอมพล สมเด็จพระเชษฐาธิราชเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ พระบิดาแห่ง กองทัพอากาศ จากนั้นรับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับภารกิจในการเตรียมกำลังกองทัพอากาศ และป้องกันราชอาณาจักร พร้อมการพัฒนาประเทศ และแก้ไขปัญหาเมื่อเกิดความขัดแย้งในระดับต่างๆ รวมถึงภารกิจการช่วยคนไทยจากอิสราเอล พร้อมตอบข้อซักถามในประเด็นต่างๆ 

จากนั้นไปศึกษาดูงานพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ ก่อนจะเดินทางไป ชลพฤกษ์รีสอร์ท จ.นครนายก ร่วมงานเลี้ยงต้อนรับสู่ครอบครัว มส.16

สำหรับหลักสูตรการบริหารจัดการด้านความมั่นคงขั้นสูง (มส.) ปัจจุบันรุ่นที่ 16 โดยมีผู้เข้ารับการอบรมเป็นผู้บริหารระดับสูง ทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน หรือองค์การสาธารณะ

สำหรับปรัชญาของหลักสูตร มุ่งพัฒนาผู้บริหารระดับสูง ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นคลังสมองของประเทศ ให้มีองค์ความรู้ที่ทันสมัยในองค์ประกอบความมั่นคงแห่งชาติ โดยเฉพาะในด้านความมั่นคงของมนุษย์ มีทักษะ หลักคิด มีหลักเกณฑ์ ในการวิเคราะห์/สังเคราะห์ สถานการณ์อย่างถูกต้อง และเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง ผู้บริหารระดับสูง เพื่อร่วมกันสร้างเสริมความมั่นคงของมนุษย์ และความมั่นคงแห่งชาติโดยรวม

‘จีน’ ล้ำหน้า!! ผุด ‘รถมินิแวนไร้คนขับ’ ช่วยส่งของรับเทศกาล ‘ชอปปิง 11.11’

เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 66 สำนักข่าวซินหัว, หยางเฉวียน รายงานว่า จีนใช้ประโยชน์จาก 5G ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีขั้นสูงอื่นๆ เพื่อปรับปรุงการจัดส่ง ขณะเตรียมความพร้อมสำหรับเทศกาลชอปปิง 11.11 (Double Eleven) ซึ่งเป็นงานลดราคาสินค้าออนไลน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

รถมินิแวนไร้คนขับ จำนวน 12 คัน ออกวิ่งจัดส่งพัสดุให้ผู้คนในเมืองหยางเฉวียน หลังจากการทดสอบเดินรถประสบความสำเร็จ

ยานพาหนะชนิดนี้ยาว 2.5 เมตร สูง 1.6 เมตร และกว้าง 1 เมตร ถูกติดตั้งด้วยเทคโนโลยีไลดาร์ (lidar) บนหลังคา พร้อมกล้อง 11 ตัว ซึ่งสามารถตรวจจับไฟจราจร คนเดินเท้า และสิ่งกีดขวางต่างๆ ส่วนระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติบนรถสามารถปรับการปฏิบัติงานให้เข้ากับสถานการณ์บนท้องถนนเพื่อการวางแผนเส้นทาง

รถมินิแวนไฟฟ้าเหล่านี้มีความเร็วสูงสุด 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถวิ่งเป็นระยะทางถึง 200 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟจนเต็มหนึ่งครั้ง ซึ่งประหยัดเวลาการจัดส่งต่อวันเกือบ 2 ชั่วโมง

ส่วนในพื้นที่แออัด ยานพาหนะดังกล่าวจะชะลอความเร็วลง รักษาระยะห่างระหว่างสิ่งกีดขวาง และส่งเสียงแจ้งเตือนเพื่อความปลอดภัยของคนเดินเท้า พร้อมด้วยเบรกฉุกเฉินที่สามารถหยุดรถได้ในระยะไม่ถึงหนึ่งเมตร ซึ่งถูกติดตั้งมาเพื่อหลบสิ่งกีดขวางแบบกะทันหัน

ตำรวจท่องเที่ยวปฎิบัติตามนโยบายผบ.ตร. ให้สวม 'เสื้อกั๊กตำรวจแบบใหม่' นำร่องใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว

เมื่อวานนี้(10 พ.ย.66) เวลา 09.00 น. บริเวณลานหน้าห้างสรรพสินค้าเซนทรัลเวิลด์ แยกราชประสงค์ พล.ต.ต.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ รรท.ผบช.ทท., พล.ต.ต.มล.สันธิกร วรวรรณ ผบก.ทท.1, พ.ต.อ.ปิยรัช สุภารัตน์ ผกก.1 บก.ทท.1, พ.ต.ท.มนพร  ลิขิตมานนท์ รอง ผกก.1 บก.ทท.1 มอบหมายให้ พ.ต.ท.ขวัญพล เพ็งเดือน สว.ส.ทท.2 กก.1 บก.ทท.1 ลงพื้นที่ปล่อยแถวเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ความอุ่นใจ ในการรักษาความปลอดภัยในชีวิตทั้งร่างกายและทรัพย์สินของประชาชนและนักท่องเที่ยวเพื่อต้อนรับช่องเทศกาล

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ที่กำหนดพื้นที่นำร่องสร้างภาพลักษณ์เป็นมิตร ยกระดับรักษาความปลอดภัยให้ประชาชน และได้มอบเสื้อกั๊กสะท้อนแสงแบบใหม่ให้ตำรวจ ที่ปฏิบัติงานในสถานีตำรวจนำร่องเมื่อวันที่16 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งได้มอบในกับพื้นที่ ประกอบด้วย กองบัญชาการตำรวจนครบาล ตำรวจภูธรภาค 1-9 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว หรือพื้นที่ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวขนาดใหญ่ เพื่อให้ตำรวจใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว  

ด้าน พ.ต.ท.ขวัญพล เพ็งเดือน สว.ส.ทท.2 กก.1 บก.ทท.1 ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการนำนโยบายดังกล่าวฯมาปรับใช้กับท้องที่ที่ดูแลว่า การใส่เสื้อกั๊กแบบการใช้สีแบบ Retroreflector หรือสีสะท้อนแสงและยังเป็นสีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจในประเทศสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และในอีกหลายประเทศใช้สวมใส่ทับเครื่องแบบ เป็นการยกระดับมาตรการในการดูแลและรักษาความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว การส่งเสริมการตลาดด้านการท่องเที่ยว ช่วยให้ประชาชนเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ง่ายตั้งแต่ระยะ 200-500 เมตร เป็นที่เข้าใจในระดับสากล และ เสริมสร้างบุคลิกภาพของตำรวจในการปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเหมาะสม มีความคล่องตัว ความปลอดภัย และมีความเป็นมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับโลก 

พ.ต.ท.ขวัญพล เพ็งเดือน ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในส่วนช่วงเทศกาลลอยกระทงที่กำลังจะมาถึง อยากให้ประชาชนอุ่นใจในการออกจากบ้านไปร่วมงานเทศกาล ว่าจะได้รับการดูแลที่ปลอดภัยที่สุดเพราะทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติเอง และ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ได้มีการวางแผนการดูแลพื้นที่ต่างๆ อย่างรัดกุม และคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลักอยู่แล้ว และให้เชื่อมั่นว่ามาตราการรักษาความปลอดภัยต่างๆ จะไม่สงผลต่อความเป็นส่วนตัวของนักท่องเที่วและประชาชน

‘พีระพันธุ์’ เข้าร่วมประชุม-แสดงวิสัยทัศน์ ตามคำเชิญจีนที่ยูนนาน กร้าว!! จุดยืนไทย มุ่งมั่นพลังงานสะอาด สอดรับทิศทาง BRI

‘พีระพันธุ์’ นำผู้บริหารพรรครวมไทยสร้างชาติร่วมประชุม ‘ผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการตามข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง’ ตามคำเชิญของจีน ย้ำความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนา และสร้างความยั่งยืนของพลังงานสะอาดของประเทศสมาชิกและของโลก

เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 66 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) พร้อมด้วยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรค, พ.ท.สินธพ แก้วพิจิตร สส.นครปฐม, นายพงษ์พล ยอดเมืองเจริญ รองโฆษกพรรค และ นายปรากรมศักดิ์ ชุณหะวัณ เหรัญญิกพรรค เข้าร่วมการประชุม Communist Party of China (CPC) in Dialogue with Political Parties from Southeast and South Asian Countries (ในหัวข้อ Enhancing the Pillars of High-quality Development, Embracing a Brighter) โดยมี นายหลิว เจี้ยนชาว รมว.วิเทศสัมพันธ์พรรคคอมมิวนิสต์จีน และ นายหวาง หนิง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนมณฑลยูนนาน ประเทศจีน และผู้แทนจากพรรคการเมืองหลายประเทศ เข้าร่วมประชุมด้วย ณ WYNDHAM GRAND Plaza Royale Colorful Yunnan Kunming ประเทศจีน

นายพีระพันธุ์ ได้รับเกียรติให้ขึ้นกล่าวบนเวทีว่า ตนรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติที่ได้รับเชิญในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้มาร่วมประชุมพร้อมกับนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรคและคณะผู้บริหารพรรค และให้โอกาสตนกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมร่วมของพรรคการเมืองจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียใต้ในหัวข้อเรื่อง ผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการตามข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (One belt one road initiative – BRI)

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีในโอกาสครบรอบ 10 ปีของการดำเนินการข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง ซึ่งเป็นข้อริเริ่มของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มาตั้งแต่สมัยที่เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นครั้งแรกเมื่อ 10 ปีก่อน ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทางในความเป็นจริงคือการเชื่อมโลกเชื่อมประเทศต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เพื่อร่วมกันพัฒนาความเจริญของแต่ละประเทศ ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ให้เดินหน้าไปพร้อมกัน โดยมีประเทศจีนเป็นแกนกลาง

ทั้งนี้ ในอดีตประเทศจีนก็เป็นผู้นำในด้านนี้มาก่อนตามที่เรารู้จักกันในชื่อ ‘เส้นทางสายไหม’ แต่ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทางในครั้งนี้ยิ่งใหญ่และกว้างขวางกว่าเส้นทางสายไหมในอดีตเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการเชื่อมประเทศ เข้าต่างๆ ด้วยกันกว่า 100 ประเทศ ทั้งประเทศในทวีปเอเชีย, ยุโรป และแอฟริกาโดยเฉพาะ เมื่อมีการนำเอาเรื่องพลังงานสะอาดเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทางด้วย ยิ่งทำให้ข้อริเริ่มนี้มีความยิ่งใหญ่และมีความสำคัญต่อโลกมากยิ่งขึ้น 

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่าความจริงใจและเป็นมิตรของจีนจะเป็นแรงผลักดันให้ทุกโครงการของข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทางในทุกประเทศสมาชิก ประสบความสำเร็จตามความมุ่งหมายทุกโครงการได้

นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อว่า ในฐานะที่ตนรับผิดชอบดูแลภารกิจด้านพลังงานของประเทศไทยจะเดินหน้าพัฒนาพลังงานสะอาดของประเทศไทยสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ดังกล่าวอย่างมั่นคงและประสบความสำเร็จตามเป้าหมายโดยเร็ว 

“ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีนและประเทศสมาชิก จะเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาและความยั่งยืนของพลังงานสะอาดของโลกไม่ใช่เฉพาะไทยเท่านั้น ผมในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมผู้บริหารพรรคที่มาร่วมงานในวันนี้ ขอขอบคุณพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ให้โอกาสมาร่วมงานในครั้งนี้” นายพีระพันธุ์ กล่าว

ก่อนหน้านี้ นายพีระพันธุ์ พร้อมคณะได้เดินทางไป ศึกษาดูงานด้านพลังงานที่ Yunnan Energy Investment ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจของประเทศจีน ถือเป็นรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานสะอาดขนาดใหญ่ของมณฑลยูนนาน อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของคณะกรรมการกำกับดูแลและบริหารทรัพย์สินของรัฐของรัฐบาลมณฑลยูนนาน (State-owned Assets Supervision and Administration Commission of Yunnan Provincial People's Government) ได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งใน ‘บริษัทยอดเยี่ยม 500 อันดับแรกของจีน’ ติดต่อกัน 7 ปี

นอกจากนี้ ยังได้มีการประชุมหารือทวิภาคีก่อนการประชุม ‘ผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการตามข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง’ ร่วมกับนายหวาง หนิง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ประจำมณฑลยูนนาน ประธานสภาประชาชนมณฑลยูนนาน และเลขาธิการพรรค คอมมิวนิสต์จีน ประจำสภาประชาชนมณฑลยูนนาน

ตำรวจไซเบอร์รวบขบวนการอ้างเจ้าหน้าที่สรรพากร หลอกติดตั้งแอปดูดเงิน เสียหายกว่า 2 ล้านบาท

สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 18 ต.ค.65 ได้มีโทรศัพท์จากบุคคลไม่ทราบชื่อ โทรมาหาผู้เสียหาย อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากร ได้สอบถามข้อมูลส่วนตัวของผู้เสียหาย ผู้เสียหายเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่จริง จึงได้บอกข้อมูลส่วนตัวไป

ต่อมาบุคคลดังกล่าวได้แอดไลน์เป็นเพื่อนผู้เสียหาย ชักจูงใจให้ผู้เสียหายให้โหลดแอปพลิเคชัน เพื่อดูแลอำนวยความสะดวกด้านภาษี และเมื่อผู้เสียหายโหลดแอปพลิเคชันพร้อมแจ้งเลข OTP ให้กับคนร้ายแล้ว โทรศัพท์ของผู้เสียหายก็เกิดมีปัญหาที่หน้าจอ ผู้เสียหายจึงได้รีบปิดเครื่องโทรศัพท์ และต่อมาผู้เสียหายเปิดเครื่องโทรศัพท์มาอีกครั้ง ได้ตรวจสอบพบว่าเงินในบัญชีธนาคารของผู้เสียหาย ถูกโอนไปยัง ชื่อบัญชี น.ส.อธิตินันท์ จำนวนเงินที่โอนไป 180,198 บาท ผู้เสียหายจึงทราบว่าถูกหลอกลวง จึงมาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน

พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. จึงสั่งการให้ พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 ส่งเจ้าหน้าที่สืบสวนเร่งหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย จนสามารถรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออำนาจศาลออกหมายจับผู้เกี่ยวข้อง

ต่อมา วันที่ 9 พ.ย.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจากสายลับว่าพบ น.ส.อธิตินันท์ ปรากฎตัวอยู่ที่ปั๊มน้ำมันคาลเท็กซ์ฉลองกรุง แขวงลำปลาทิว เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร พ.ต.ท.ศักดิ์สิทธิ์ ชูบุญเรือง สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1 ได้นำกำลังชุดสืบสวนร่วมกันลงพื้นที่ติดตามจับกุม น.ส.อธิตินันท์ อายุ 19 ปี ชาว จ.ศรีสะเกษ ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 และ พ.ต.อ.ศุภรฐโชติ จำหงษ์ ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1 สั่งการให้ พ.ต.ท.ศักดิ์สิทธิ์ ชูบุญเรือง สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1 พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : พ.ต.ท.ศักดิ์สิทธิ์ ชูบุญเรือง สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1  หมายเลขโทรศัพท์ 0899199987


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top