Sunday, 11 May 2025
TheStatesTimes

'คนงานเกาหลีใต้' ดับสยอง!! สังเวยชีวิตให้ 'แขนกลหุ่นยนต์'  หลังระบบสับสนนึกว่าคนเป็นกล่องพริก คว้าร่างลงสายพาน 'บด'

(9 พ.ย. 66) บีบีซี รายงานถึงเหตุการณ์สุดสยองในประเทศเกาหลีใต้ หลังจากชายในช่วงอายุ 40 ปี ถูกแขนกลหุ่นยนต์สังหารที่โรงงานในจังหวัดคย็องซังใต้ เมื่อค่ำวันพุธที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา

สำนักข่าวยอนฮัป ระบุว่า แขนกลหุ่นยนต์สับสนว่าชายคนงานเป็นกล่องบรรจุพริกหรือพริกไทยและคว้าตัวชายเคราะห์ร้ายจากนั้นวางร่างลงบนระบบสายพานลำเลียง

ก่อนบีบอัดเข้าที่ใบหน้าและส่วนอกอย่างแรง แม้เจ้าหน้าที่โรงงานจะเร่งช่วยเหลือนำตัวส่งโรงพยาบาล แต่แพทย์ไม่สามารถยื้อชีวิตชายคนดังกล่าวไว้ได้

ด้านตำรวจท้องถิ่นเปิดเผยว่า ผู้เสียชีวิตกำลังตรวจสอบการทำงานของแขนกลหุ่นยนต์ซึ่งเลื่อนจากกำหนดเดิมเมื่อวันที่ 6 พ.ย. ขณะที่บริษัท ทงโกซอง เอ็กซ์พอร์ต อะกริคัลเจอรัล คอมเพล็กซ์ ผู้บริหารโรงงาน ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้เร่งตรวจสอบระบบเพื่อให้มีความแม่นยำและปลอดภัยมากขึ้น

เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกี่ยวข้องกับระบบเครื่องจักรในสถานที่ทำงาน โดยเมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ชายชาวเกาหลีใต้อายุ 50 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากหุ่นยนต์อยู่ระหว่างทำงานที่โรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์

'ปราชญ์สามสี' โพสต์ภาพเทียบ 'หยก' 2 เวอร์ชัน อนาคตอยากให้เป็นแบบไหน น่าจะคิดเองได้

(9 พ.ย. 66) จากเพจ 'ปราชญ์ สามสี' ได้โพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพ หากเส้นทางที่ 'หยก' เลือกเปลี่ยนไป ว่า...

ผมเชื่อว่า เยาวชนเขาน่าจะคิดได้ 
ระหว่างสองภาพนี้อนาคตของน้อง ๆ จะเป็นแบบไหน...
เลือกเอาเองนะครับ...

ผบ.ตร.สรุปผลงานรอบ 1 เดือน ขับเคลื่อนนโยบาย 10 ข้อ เน้นหนัก 4 ข้อ จับกุมอาญา 39,273 คดี ปราบปรามคดีออนไลน์ ยาเสพติด อาวุธปืน มาตรการท่องเที่ยวสนองนโยบายรัฐบาล และขับเคลื่อนนโยบาย Quick Win (Police’s Home) พร้อมฝากเว็บ “ฉลาดโอน” ป้องกันภัยฉ้อโกงออนไลน์

วันนี้ (9 พ.ย.66)  ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. สรุปผลการขับเคลื่อนนโยบายการบริหารราชการ 10 ข้อ 4 นโยบายเน้นหนัก และนโยบาย “Quick Win” (Police’s Home) ในห้วง 1 เดือนที่ผ่านมา (1 - 31 ต.ค.66)   ซึ่ง ผบ.ตร. ได้ลงเร่งรัด ลงพื้นที่ ขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ให้เป็นผลอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ดังนี้

1. การบังคับใช้กฎหมายและอาชญากรรม
1.1 สถิติคดีอาญา 4 กลุ่ม (เฉพาะเดือน ต.ค.66) 43,512 คดี จับกุมได้ 39,273 คดี คิดเป็น 90.25% แบ่งเป็น
- คดีเกี่ยวกับชีวิต ร่างกาย 1,329 คดี จับกุม 1,107 ราย
- คดีเกี่ยวกับทรัพย์ 4,918 คดี จับกุม 3,657 คดี
- คดีฐานความผิดพิเศษ(ค้ามนุษย์,ลิขสิทธิฯ) 767 คดี จับกุม 375 คดี
- คดีที่รัฐเป็นผู้เสียหาย  28,362 คดี จับกุม 29,180 คน

1.2 ตร.ได้สั่งการให้ ระดม กวาดล้างฯ ในห้วงวันที่ 9 - 11 ต.ค.66 ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยผลการระดมกวาดล้าง ได้ทำการตรวจค้น จำนวน 3,224 จุดสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 1,593 ราย  ของกลางเป็นอาวุธปืนรวมจำนวน 2,008 กระบอก แบ่งเป็น
 - อาวุธปืนมีทะเบียน จำนวน 219 กระบอก
 - อาวุธปืนไม่มีทะเบียน จำนวน 1,789 กระบอก (แบลงค์กัน จำนวน 528 กระบอก / บีบีกัน 202 กระบอก)
 - กระสุนปืนจำนวน 75,973 นัด
และได้ทำการปิดกั้นสื่อสังคมออนไลน์ที่เข้าถึงในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน รวม 291 บัญชี

2. นโยบายเน้นหนัก
2.1 มาตรการดูแลนักท่องเที่ยว ดำเนินการตามนโยบาลรัฐบาลโดยการฟรีวีซ่า จีน คาซัคสถาน อินเดีย ไต้หวัน เพิ่มการขยายระยะเวลาอยู่ในไทยให้รัสเซีย (ผ.90) ระงับการแจ้งใช้บัตร ตม.6 ด่าน ตม. สะเดา โดยสถิติคนต่างด้าวเดินทางเข้าประเทศไทย ภาพรวม 2566 (1 ม.ค.-1 พ.ย.66)  26,257,809 ราย โดยมีคนมาเลเซีย จีน ลาว อินเดีย เกาหลีใต้ เข้าประเทศสูงสุด 5 อันดับแรก และคาดว่าจะจะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอยากต่อเนื่อง

2.2 ยาเสพติด เน้นหนักมาตรการป้องกันปราบปรามยาเสพติด เฉพาะเดือน ต.ค.66 จับกุมคดียาเสพติดได้ถึง 16,418 คดี ผู้ต้องหา 16,102 ราย พร้อมสั่งการให้ขยายผลสืบสวนถึงเครือข่าย และใช้มาตรการริบทรัพย์ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด 

2.3 อาชญากรรมออนไลน์ ยังคงขับเคลื่อนมาตรการป้องกันและปราบปราม ควบคู่กับการให้ความรู้แก่พี่น้องประชาชนในการป้องกันภัยอาชญากรรมออนไลน์ โดยมีสถิติรับแจ้งความออนไลน์ (ตั้งแต่ 1 มี.ค.65-31 ต.ค.66) เป็นคดีออนไลน์ 354,635 คดี อายัดได้ทัน 1,316 ล้านบาท  ความเสียหายรวม 48,137 ล้านบาท โดยมี 3 ประเภทคดีสูงสุดได้แก่ คดีหลอกซื้อขายสินค้าและบริการฯ(ไม่เป็นขบวนการ), หลอกให้โอนเงินเพื่อทำงาน, หลอกให้กู้เงิน 

 2.4 การสร้างขวัญกำลังใจผู้ใต้บังคับบัญชา การมอบรางวัลอัศวินแหวนเพชร, การมอบรางวัลสืบ ภ.2, มอบเงินวิจัย รร.นรต., การมอบพระประจำหน่วยคอมมานโด, การตรวจสถานีตำรวจ สภ.หนองปลิง จว.นครสวรรค์, สภ.แม่ยาว จว.เชียงราย, ด่าน ตม.เชียงแสน  และลงพื้นที่ความมั่นคง จว.ปัตตานี, จว.ยะลา

3. นโยบาย Quick Win “Police’s Home : เราดูแลคุณ เพื่อให้คุณดูแลประชาชน”
3.1 การปรับทรงผมและมอบเสื้อกั๊ก
- ผบ.ตร.ได้ลงนามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการปฏิบัติตนของข้าราชการตำรวจเมื่อแต่งเครื่องแบบ พ.ศ.2566 ปรับแก้ไขให้มีความเหมาะสมกับการปฏิบัติหน้าที่ราชการ  เจ้าหน้าที่มีความปลอดภัยในการปฏิบัติงานเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ หรือภารกิจแต่ละหน่วย โดยให้ผู้บังคับบัญชาหน่วยพิจารณาตามความเหมาะสมได้เอง เช่น การปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยง ฝ่ายสืบสวนหาข่าว หรือป้องกันปราบปรามยาเสพติด
- ผบ.ตร.มอบเสื้อกั๊กสะท้อนแสง สีเขียวอมเหลืองแบบใหม่ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจสายงานป้องกันปราบปราม ที่ปฏิบัติงานในสถานีตำรวจ นำร่องพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ตำรวจภูธรภาค 1-9 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว หรือพื้นที่ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวขนาดใหญ่ เพื่อให้ตำรวจใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว

3.2 การลดขั้นตอนการรายงาน
โดยการจัดสรรกำลังให้เพียงพอกับการปฏิบัติหน้าที่ สร้างระบบและมาตรฐานการปฏิบัติงาน ลดภาระงานทบทวนระเบียบ คำสั่ง ตร.ที่ 419/2556 หรือการรายงานที่ไม่จำเป็น (โดยให้รายงานเหตุฯ ศปก.เพียงแห่งเดียว) หรือไม่สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่

3.3 การจัดหาบ้านพัก
สั่งการให้ทุกส่วนสำรวจข้อมูลห้องพักอาศัยข้าราชการตำรวจทุกแห่ง ดำเนินการผู้ที่หมดสิทธิพักอาศัย และจัดสรรให้กับข้าราชการตำรวจผู้มีสิทธิต่อไป พร้อมสำรวจความต้องการห้องพัก ศึกษา การก่อสร้างที่พักอาศัยให้กับข้าราชการตำรวจเพิ่มเติม 

3.4 การแต่งตั้ง
ผบ.ตร.ได้ให้ความสำคัญเรื่องความเป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ โดยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ในระดับ ผบช. ถึง ผบก. เป็นการแต่งตั้งที่โปร่งใส และได้รับการชื่นชมอย่างดีจากทุกภาคส่วน ถือเป็นนิมิตหมายอันดีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติยุคใหม่ และสั่งการให้การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจในระดับ รอง ผบก.ถึง สว.ในทุกหน่วยให้ถือปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 และข้อกำหนด ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2566 อย่างเคร่งครัด ให้คำนึงถึงประโยชน์ทางราชการ ภารกิจการรักษาความสงบเรียบร้อย ตลอดจนความสุขของประชาชนเป็นสำคัญ เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายแก้ปัญหาอาชญากรรมที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น อาทิ ปัญหายาเสพติด อาชญากรรมเกี่ยวกับการท่องเที่ยว และอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เป็นต้น 

3.5 การจัดตั้งศูนย์อาชญากรรมพิเศษ 11 ศูนย์ 
ผบ.ตร. ได้มีคำสั่ง ตร.ที่ 600/2566 เรื่องการมอบหมายหน้าที่ความรับผิดชอบให้ รอง ผบ.ตร., จตช., ผู้ช่วย ผบ.ตร และรอง จตช. ในงานศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมพิเศษและศูนย์ปฏิบัติการ ตร. โดยยกเลิกศูนย์ฯ ของเดิม 8 ศูนย์ คงเหลือศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมพิเศษและศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจ 11 ศูนย์  มอบหมายให้ รอง ผบ.ตร. และผู้ช่วย ผบ.ตร.ขับเคลื่อน โดยเน้นให้กำลังพลได้ทำหน้าที่ต้นสังกัดให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
4. ด้านอื่นๆ การออกแนวทางรองรับการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัย และการขับเคลื่อนป้องกันปราบปรามหนี้นอกระบบและการดูแล รปภ. นักท่องเที่ยว และควบคุมสถานบริการฯลฯ

ทั้งนี้ ผบ.ตร. ขอฝากประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ “ฉลาดโอน”  chaladohn.com ที่ช่วยเหลือประชาชน เพื่อป้องกันภัยการฉ้อโกงออนไลน์ ประชาชนสามารถตรวจสอบข้อมูลมิจฉาชีพได้แก่ เลขบัญชีธนาคาร / เบอร์โทร / SMS หลอกลวง เว็บไซต์ฉลาดโอนช่วยให้ประชาชนมีเครื่องมือสำหรับใช้ในการตรวจสอบข้อมูลมิจฉาชีพ เป็นเสมือนศูนย์กลาง ในการตรวจสอบข้อมูลของมิจฉาชีพที่อยู่ทั้งในและนอกประเทศ โดยมี 4 ฟังก์ชั่นการทำงาน ได้แก่ ระบบเช็คก่อนโอนตรวจสอบข้อมูล / ระบบแจ้งคนโกง / ระบบช่วยรวมหลักฐาน รับฟัง จัดลำดับเหตุการณ์ / ระบบยืนยันตัวตนผู้ขาย โดยระบบจะเริ่มใช้งานได้ในวันที่ 8 พ.ย.66 เป็นต้นไป โดยพบว่า มีประชาชนเข้าไปเช็คคนโกงกว่า 3,389,840 ครั้ง เช็คตัวต้นผู้ขายกว่า 24,629 ครั้ง แจ้งคนโกงกว่า 410,900 ราย มีสมาชิกจำนวนกว่า 32,412 ราย

ขอให้พี่น้องประชาชนตรวจสอบข้อมูลจากเว็บไซต์ฉลาดโอนทุกครั้งก่อนโอนเงิน และหากมีข้อมูลมิจฉาชีพ กรุณาช่วยแจ้งข้อมูลให้เว็บไซต์ฉลาดโอนเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ประชาชนท่านอื่นถูกหลอกโอนเงินเพิ่ม ทุกข้อมูลที่ท่านส่งมา ล้วนมีประโยชน์ และสามารถลดอาชญากรรมออนไลน์ในสังคมของเราได้ ผบ.ตร. มุ่งมั่นตั้งใจทำหน้าที่เพื่อให้สังคมสงบสุข และลดเหยื่ออาชญากรรมออนไลน์ให้เหลือน้อยที่สุด

'พิมพ์ภัทรา' หารือ 'กมธ.อุตสาหกรรม' กรุยทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ยก!! 'เปลี่ยนยุค EV - เหมืองโปแตซ - ฮาลาลสากล' วาระใหญ่

(9 พ.ย.66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ประชุมร่วมกับคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร นำเสนอแผนการขับเคลื่อนนโยบายอุตสาหกรรมเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืนคู่ชุมชน การปรับภารกิจเข้าสู่ดิจิทัลอย่างเป็นระบบ (Digital Government) การบูรณาการการกำกับดูแลโดยใช้กลไกทางกฎหมาย และกองทุนพัฒนาอุตสาหกรรม ตลอดจนแผนการดำเนินงานของหน่วยงานในสังกัด ในโอกาสที่คณะกรรมาธิการฯ เดินทางเข้าพบ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นสำหรับการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมในชั้นกรรมาธิการต่อไป

โดยที่ประชุมได้หารือในประเด็นต่างๆ อาทิ การส่งเสริมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเดิมให้สามารถปรับไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า สำหรับผู้ประกอบการที่มีศักยภาพความพร้อม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และการนำเสนอแนวโน้มทิศทางอุตสาหกรรมโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการที่ยังไม่พร้อมปรับแผนการผลิต รวมทั้งการสนับสนุนแหล่งเงินทุนสำหรับการเปลี่ยนผ่านจากกองทุนพัฒนาอุตสาหกรรม และการส่งเสริมการทำเหมืองโพแตซ ให้สามารถผลิตปุ๋ยได้เองภายในประเทศ ซึ่งช่วยลดรายจ่ายจากการนำเข้าปุ๋ยปีละกว่า 2 หมื่นล้านบาท โดยในส่วนนี้คณะกรรมาธิการฯ ได้เน้นย้ำให้ผู้ประกอบการเหมืองแร่ ประกอบธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ และบริหารความสัมพันธ์ให้สามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างเป็นสุข

นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้หารือเกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ รวมทั้งมาตรการควบคุมดูแลกากอุตสาหกรรม พร้อมชื่นชมการขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมฮาลาลของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง โดยขอให้พิจารณาเกณฑ์การรับรองมาตรฐานให้เหมาะสม และมีความรวดเร็วเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือกับคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.) ในการยกระดับหน่วยงานดำเนินการขึ้นเป็น กรมอุตสาหกรรมฮาลาล

"อย่างไรก็ดี กระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมให้ความร่วมมือกับ คณะกรรมาธิการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ในการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงาน รวมทั้งการรับฟังเสียงสะท้อนจากภาคประชาชนเพื่อยกระดับการขับเคลื่อนนโยบายอย่างเต็มศักยภาพ" นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวทิ้งท้าย

นราธิวาส-รองเลขาธิการ กอ.รมน.ภาค 4 สน. ตรวจเยี่ยม ศปก.อ. และ ชคต. พื้นที่ จ.นราธิวาส ย้ำกำลังพลต้องมีความตื่นตัวตลอดเวลา และไม่ประมาท พร้อมปฏิบัติงานทันต่อสถานการณ์

พันเอก อนุชา โนนคู่เขตโขง รองเลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม ติดตามการปฏิบัติหน้าที่ของศูนย์ปฏิบัติการอำเภอ (ศปก.อ.) และ ชุดคุ้มครองตำบล (ชคต.) ในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ประกอบด้วย อำเภอบาเจาะ, อำเภอยี่งอ, อำเภอตากใบ, อำเภอเมืองนราธิวาส เพื่อรับทราบการปฏิบัติงานที่ผ่านมา พร้อมสอบถามปัญหาข้อขัดข้อง และร่วมหารือแนวทางการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ประจำปีงบประมาณ 2567 โดยมีผู้แทนสำนักอำนวยการ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ร่วมติดตามคณะฯ และมีผู้แทนหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่, นายอำเภอ, ปลัดอำเภอ, กำนัน, ผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่อาสารักษาดินแดน ร่วมให้การต้อนรับ

โดยช่วงเช้าที่ผ่านมา พันเอก อนุชา โนนคู่เขตโขง รองเลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมคณะฯ ลงพื้นที่ศูนย์ปฏิบัติการอำเภอบาเจาะ และ อำเภอยี่งอ  จังหวัดนราธิวาส เพื่อรับฟังการดำเนินงานและรับฟังปัญหาข้อขัดข้องของชุดคุ้มครองตำบลกาเยาะมาตี และ ชุดคุ้มครองตำบลลูโบ๊ะบือซา พร้อมย้ำว่าได้นำข้อห่วงใยจาก พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 และคณะผู้บังคับบัญชา มายังเจ้าหน้าที่ชุดคุ้มครองตำบลในพื้นที่ พร้อมกล่าวชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่ภาพรวมมีความเข้มแข็ง แม้มีการปรับลดอัตราเจ้าหน้าที่ก็ตาม พร้อมย้ำว่ากำลังพลต้องมีความตื่นตัวตลอดเวลา ไม่ประมาท มีสติ เพราะบางพื้นมีการเคลื่อนไหวของผู้ก่อเหตุรุนแรงหลายจุด กำชับต้องบูรณาการทำงานร่วมกับทุกฝ่าย เพื่อดูแลพื้นที่ร่วมกันให้มีความรัดกุมและปฏิบัติตามแผน 3 นอก 4 ใน อย่างเคร่งครัด เน้นการมีส่วนร่วมกับชุมชนในการรักษาความปลอดภัยพื้นที่

จากนั้น รองเลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมคณะฯ ลงพื้นที่ศูนย์ปฏิบัติการอำเภอตากใบ และอำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส พร้อมรับฟังการดำเนินงานและรับฟังปัญหาข้อขัดข้องของชุดคุ้มครองตำบลเกาะสะท้อน, ชุดคุ้มครองตำบลไพรวัน และ ชุดคุ้มครองตำบลกะลุวอ จังหวัดนราธิวาส  โดยกำชับกำลังพลทุกนายต้องทำการลาดตระเวนเส้นทางตลอดเวลา รู้จักสังเกต วิเคราะห์ วางแผนการปฏิบัติงานให้รอบคอบ และต้องเตรียมพร้อมร่างกาย และจิตใจอยู่เสมอ พร้อมย้ำว่าให้นำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาเป็นบทเรียน และนำมาปรับปรุงแก้ไข เพื่อปรับเปลี่ยนแผนการลาดตระเวนรอบฐานปฏิบัติการ กำชับต้องหมั่นซักซ้อมแผนเผชิญเหตุ และการปรับแผนปฏิบัติงานอยู่ตลอดเวลา เพื่อสามารถปฏิบัติงานได้จริง ทันต่อสถานการณ์อยู่เสมอ

‘WHO’ เผย 'เด็กในฉนวนกาซา' เสียชีวิต 160 รายต่อวัน ความชอบธรรมแก่พลเรือนในกาซา ที่ไม่มีใครหยิบยื่น

(9 พ.ย. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา คริสเตียน ลินด์ไมเออร์ โฆษกองค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่าผู้คนในฉนวนกาซาถูกสังหารแล้วกว่า 11,000 ราย หรือราวร้อยละ 0.5 ของประชากรทั้งหมด โดยพบเด็กเสียชีวิตเฉลี่ย 160 รายต่อวัน

ลินด์ไมเออร์ แถลงว่า ปัจจุบันมีบุคลากรการแพทย์เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่แล้ว 16 ราย โดยองค์การฯ กำลังทำงานเพื่อสนับสนุนบุคลากรการแพทย์ในกาซา พร้อมเรียกร้องการรับรองความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้อีกครั้ง

ลินด์ไมเออร์ กล่าวว่า มีการโจมตีสถานพยาบาลในกาซา 102 ครั้ง ในเขตเวสต์แบงก์ 121 ครั้ง และในอิสราเอล 25 ครั้ง ขณะโรงพยาบาลในกาซา 14 แห่ง ไม่สามารถให้บริการได้เนื่องจากขาดแคลนเชื้อเพลิงและได้รับความเสียหาย

เมื่อวันอังคาร (7 พ.ย.) ถือเป็นวันครบรอบหนึ่งเดือนที่กลุ่มฮามาสเปิดฉากโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค. โดยลินด์ไมเออร์เผยว่า ผู้คนในอิสราเอลหวาดกลัวและกังวลเรื่องตัวประกันมากกว่า 200 คน พร้อมเรียกร้องให้ปล่อยตัวประกันทั้งหมดทันที ซึ่งหลายคนในจำนวนนี้จำเป็นต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์อย่างเร่งด่วน

นอกจากนั้น ลินด์ไมเออร์ ย้ำว่า ไม่มีสิ่งใดสามารถสร้างความชอบธรรมให้แก่ความหวาดกลัวที่พลเรือนในกาซาต้องเผชิญ พวกเขาต้องการน้ำ อาหาร และการรักษาพยาบาล ขณะระดับความอันตรายถึงชีวิตและความทุกข์ทรมานที่พวกเขาเผชิญอยู่นั้นยากจะหยั่งรู้ได้

ด้าน เจนส์ ลาร์เคอ โฆษกประจำสำนักงานเพื่อการประสานงานกิจการด้านมนุษยธรรมขององค์การสหประชาชาติ (UN) กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่ารถบรรทุกจำนวน 561 คันได้เข้าไปในกาซาตั้งแต่วันที่ 21 ต.ค. แต่ไม่มีรถบรรทุกคันใดบรรจุเชื้อเพลิงเนื่องจากคำสั่งห้ามของทางการอิสราเอล

ส่วนอเลสซานดรา เวลลุชชี ผู้อำนวยการฝ่ายบริการข้อมูลขององค์การฯ ในเจนีวา กล่าวว่าผู้คนในกาซามากกว่า 1.5 ล้านคนต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่น โดยเกือบครึ่งหนึ่งลี้ภัยอยู่ในค่ายพักพิงขององค์การฯ

‘บ.มะกัน’ ผลิต ‘น้ำมหัศจรรย์’ ช่วยลดอาการเมาค้าง เคลม!! ขจัดแอลกอฮอล์ในเลือดครึ่งหนึ่ง ภายใน 30 นาที

(9 พ.ย. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า บริษัทในสหรัฐอเมริกาอ้าง กำลังผลิต ‘น้ำมหัศจรรย์’ ดื่มแล้วลดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดได้ครึ่งหนึ่ง ภายใน 30 นาที ลดปัญหาอาการเมาค้าง

ปัจจุบันมีอาหารเสริมและเครื่องดื่มมากมายที่มีสรรพคุณโฆษณาชวนเชื่อแปลกใหม่ ชวนให้น่าลิ้มลอง ไม่ว่าจะเป็นช่วยเรื่องความสวยความงาม ลดน้ำหนัก เพิ่มพลังงานสมอง บำรุงสายตา เรื่องเพศ จนถึงตัวช่วยในการดื่มแอลกอฮอล์

ล่าสุดบริษัทหนึ่งในอเมริกาก็ประกาศจะว่าจะเปิดตัวเครื่องดื่มดีท็อกซ์แอลกอฮอล์ในเลือดตัวใหม่ปลายปีนี้ที่จะทำให้อาการเมาค้างหายเป็นปลิดทิ้ง

ว่ากันว่าสูตรที่ได้รับการจดสิทธิบัตรนี้สามารถลดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของคนลงได้ครึ่งหนึ่งในเวลาเพียง 30 นาที ลดความเสี่ยงต่อพิษจากแอลกอฮอล์และอาการเมาค้าง

โดยใช้ส่วนผสมที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ เพิ่มเส้นทางการเผาผลาญที่สลายระดับแอลกอฮอล์ในเลือดและสร้างชั้นป้องกันรอบกระเพาะอาหารเพื่อป้องกันการดูดซึมแอลกอฮอล์ที่ตกค้างเข้าสู่ร่างกาย

ซึ่งจะวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาในเดือนธันวาคมของปีนี้ และตลาดอื่น ๆ คาดว่าจะตามมา เครื่องดื่มมหัศจรรย์นี้จะจำหน่ายในกระป๋องขนาด 12 ออนซ์ ราคา 4.99 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 177 บาท) เบื้องต้นเครื่องดื่มดังกล่าวจะวางจำหน่ายในร้านขายยาทั่วสหรัฐอเมริกา

‘น้องอิน-น้องเอม’ 2 พี่น้องเยาวชนไทยหัวใจนักอนุรักษ์ ผู้ริเริ่มโครงการอิ่มท้องน้องเต่า ช่วยชีวิตเต่าทะเล

จากโลกยุคสมัยใหม่ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเทคโนโลยี่อนาคตเข้ามาและขยายวงกว้างขึ้นจนผู้คนห่างเหินธรรมชาติ สัตว์ป่าสัตว์ทะเลเริ่มลดน้อยลงเนื่องจากเด็กรุ่นใหม่ส่วนใหญ่เกาะติดวัตถุนิยมกันมากกว่าใช้ชีวิตสัมผัสกับธรรมชาติ จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันมีการรณรงค์ให้รักและหวงแหนธรรมชาติมากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เด็กหรือเยาวชนไม่สนใจเลย เช่น นายอริณชย์ หรือน้องอิน ทองแตง อายุ 16 ปี และ ด.ญ.อริสา น้องเอม ทองแตง อายุ 14 ปีสองพี่น้องที่ถือได้ว่าเป็นเยาวชนหัวใจนักอนุรักษ์ ที่ร่วมกันทำโครงการชื่อ Below the Tides: Zero Starving Sea Turtles (อิ่มท้องน้องเต่า)

โดยการเชิญชวนพี่ ๆ น้อง ๆ ทุกคนร่วมกันอนุบาลลูกเต่าทะเล เพื่อเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตของเต่าทะเลจาก 0.1% กรณีที่ปล่อยไปตามธรรมชาติให้สูงขึ้นถึง 70% ปัจจัยหลักในการมีชีวิตรอดคือไม่ตกเป็นเหยื่อสัตว์นักล่าอื่น ๆ ซึ่งโอกาสรอดจะอยู่ที่ขนาดและน้ำหนักที่เหมาะสมของลูกเต่าทะเล ซึ่งน้ำหนักต้องไม่ต่ำกว่า 2 กิโลกรัม และความยาวไม่น้อยกว่า 30 เซนติเมตร ขณะปล่อยคืนสู่ท้องทะเล

นายอริณชย์ เปิดเผยว่า เกิดจากพวกตนสองพี่น้องมีความชื่นชอบสัตว์เลื้อยคลานโดยเฉพาะเต่า ที่บ้านจะเลี้ยงเต่า ทั้งเต่าบก และเต่าน้ำจืด ประกอบกับเมื่อปีที่ผ่านมาคุณแม่ได้พาไปเกาะมันใน จ.ระยอง เป็นที่ตั้งของศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นสถานที่อนุบาลลูกเต่าทะเลก่อนจะปล่อยลงสู่ทะเล แห่งแรกของประเทศไทย พอได้ไปเจอและรับทราบถึงปัญหาของเต่าทะเลที่ใกล้สูญพันธุ์ที่กำลังเป็นวิกฤติระดับโลก รวมถึงเรื่องของการเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของลูกเต่าหลังฟักออกมาจากไข่ ซึ่งทางผอ.ศูนย์วิจัยชายฝั่งทะเลฯ ตอนนั้นบอกอยากได้เงินมาอุดหนุนเพิ่มเติมมาอนุบาลเต่า ตรงนี้เลยเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการ ‘อิ่มท้องน้องเต่า’

นายอริณชย์ เผยอีกว่า ส่วนที่ชื่นชอบเต่าทะเลเพราะชอบและแปลกใจที่เต่าทะเลเกิดมาตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์ อายุ 110 ล้านปี ซึ่งเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์เพราะไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปเรียบร้อยแล้วแต่เต่ามันสามารถมีอายุยืนและปรับตัวจนกระทั่งอยู่มาจนถึงปัจจุบัน เป็นอะไรที่น่าพิศวงเลยทำให้สนใจ โดยเฉพาะเต่าทะเล มีความสัมพันธ์กับระบบนิเวศใต้น้ำมาก อย่างอาทิที่ชอบกินแมงกระพรุน กินในจำนวนที่มาก ๆ ก็จะคุมระบบนิเวศไม่ให้มีแมงกระพรุนมากเกินไป ช่วยกินหญ้าทะเล เป็นควบคุมปริมาณหญ้าทะเล เพราะหากมีมากเกินไปก็จะมีผลต่อระบบน้ำทำให้น้ำทะเลสูงขึ้นได้ นอกจากนั้นยังช่วยกินพวกฟองน้ำแถว ๆปะการังทำให้ตัวปะการังไม่โดนเบียดเบียนพื้นที่ทำให้เติบโตได้อย่างสวยงาม ทำให้ระบบใต้น้ำมันสมดุลย์ อีกอย่างการที่มันกินทุกอย่างเสร็จแล้วมันก็จะว่ายน้ำไปทั่วแล้วไปขยายพืชพันธุ์อย่างหญ้าทะเล ฟองน้ำในพื้นที่อื่นให้มีการเจริญเติบโตอุดมสมบูรณ์ขึ้นอีก

ด้านด.ญ.อริสา เผยว่า รู้สึกดีใจภูมิใจที่ผู้ใหญ่ให้ความสนใจและเห็นความสำคัญของโครงการ ได้มีโอกาสเข้าพบ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ทรัพยกรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยท่านบอกชื่นชมเยาวชนเด็กรุ่นใหม่ที่มีจิตอาสาสนใจประโยชน์ส่วนรวม สิ่งแวดล้อม แล้วมาแอคทีฟ เปิดโครงการแบบนี้ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างแม้จะเป็นโครงการที่ไม่ใหญ่ แต่ท่านก็มองว่าการที่เด็ก ๆ ขึ้นมาคิดทำสิ่งนี้แบบทำเองโดยที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางโรงเรียน ทำให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่ตระหนักสนใจในเรื่องของสภาพสิ่งแวดล้อมที่กำลังมีปัญหามากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบันนี้ จึงมองว่าเป็นสิ่งที่กระทรวงทรัพย์ฯ อยากจะสนับสนุนเยาชนให้เยอะเกี่ยวกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากร

ด.ญ.อริสา ยังเผยอีกว่า ทั้งนี้ท่านยังได้ถามด้วยว่าอยากให้กระทรวงฯช่วยเรื่องอะไรมากขึ้น ได้บอกไปว่าอยากให้ทางกระทรวงเพิ่มความตระหนักรู้ เพิ่มความเข้าใจในเรื่องของการดูแล รักษาเต่าทะเลให้กับประชาชนให้มากขึ้น เพราะมองว่าตอนนี้คนเข้าใจผิดว่าการปล่อยลูกเต่าทะเลตัวเท่าเหรียญบาทคืนสู่ท้องทะเลเป็นการทำบุญ แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่ กลับกลายเป็นการทำบาปเพราะปล่อยไปอย่างไรก็ตาย จึงอยากให้ทางกระทรวงฯช่วยเพิ่มความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนว่าถ้าจะให้เต่าทะเลรอดชีวิตได้ จำเป็นต้องเป็นอย่างไร ซึ่งตรงกับวัตถุประสงค์ของโครงการอิ่มท้องน้องเต่าของพวกตน คือต้องอนุบาลเต่าทะเลให้ได้ขนาดและน้ำหนักตามที่ต้องการคือ 2 กิโลกรัมเป็นอย่างน้อย หรือมีขนาดความยาว 30 ซม. หรือเลี้ยงประมาณ 200 วัน ก่อนปล่อยสู่ทะเล

“เพราะเห็นถึงความสำคัญดังกล่าว จึงร่วมกันคิดโครงการขึ้นมาเพื่อเปิดรับบริจาคเงินช่วยเหลือค่าเลี้ยงดูลูกเต่าทะเล ให้มีขนาดน้ำหนัก ความยาวตามความเหมาะสม ก่อนปล่อยคืนสู่ทะเลเพื่อความอยู่รอด โดยค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูลูกเต่าจนได้ตามขนาดที่ต้องการ เป็นค่าอาหาร และค่ายา ในการอนุบาลลูกเต่า 100 ตัว เฉลี่ยตัวละ 30 บาทต่อวัน หรือ 6,000 บาทต่อตัว ตลอดระยะเวลาประมาณ 200 วัน เพื่อให้น้อง ๆ แข็งแรงพอที่จะกลับคืนสู่บ้านใต้ท้องทะเลอีกครั้ง โดยจะนำเงินบริจาคส่งมอบให้กับศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งภายใต้กระทรวงทรัพยากร เพื่อนำไปใช้เป็นค่าอาหาร ยา และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอนุบาลลูกเต่า 100 ตัว ต่อไป” ด.ญ.อริสา ระบุ

ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถร่วมสนับสนุนโครงการ ‘อิ่มท้องน้องเต่า’ - Below the Tides: Zero Starving Sea Turtles ผ่านเว็บไซต์ เทใจ เพื่อคืนความสมดุล ของห่วงโซ่อาหารในโลกใต้ทะเลได้ที่ https://taejai.com/th/d/below-the-tides-zero-starving-sea-turtles_an/

ตำรวจ ปส. โค่น 3 เครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ ยึดยาบ้ารวมกว่า 12 ล้านเม็ด ซุกรถเตรียมลำเลียงส่งลูกค้าในพื้นที่ภาคกลางและใต้ พร้อมยึดทรัพย์กว่า 9 ล้าน

ตามนโยบายการแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเร่งด่วนของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีเจตนารมณ์ที่จะลดความรุนแรงของปัญหายาเสพติด ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิต ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เร่งรัดดำเนินการปราบปรามผู้มีอิทธิพลและยาเสพติด โดยใช้มาตรการปราบปรามทางกฎหมายอย่างจริงจัง รวมทั้งการยึดอายัดทรัพย์สินเพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด ซึ่ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้กำหนดเป็นนโยบายสำคัญมุ่งเน้นแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติทั้งการปราบปรามผู้ผลิตและผู้ค้ายาเสพติด โดยใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างจริงจังและเด็ดขาด เป็นไปตามการขับเคลื่อนการทำงานของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์  รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. 

วันนี้ 9 พ.ย.66 เวลา 10.00 น. พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย รรท.ผบช.ปส. เป็นประธานแถลงผลการปราบปรามเครือข่ายยาเสพติด พร้อมด้วย พล.ต.ต.สมเกียรติ วัฒนพรมงคล, พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง, พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ รรท.รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต. พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4, พล.ต.ต. ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2,พ.ต.อ.อดิศ  เจริญสวัสดิ์ รรท.ผบก.ปส.3, พ.ต.อ.วิทัศน์ บริรักษ์ รรท.ผบก.สกส. และ พ.ต.อ. อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร รรท.ผบก.ขส. ซึ่ง พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ระบุว่า กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เดินหน้าปราบปรามเครือข่ายยาเสพติดทุกเครือข่ายที่ยังมีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ทั้งการสืบสวนขยายผล พร้อมทั้งใช้มาตรการยึดทรัพย์เป็นเครื่องมือ เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติดของเครือข่าย ขณะเดียวกันก็ได้ขับเคลื่อนงานป้องกันอาชญากรรมควบคู่ไปด้วย ล่าสุด ตำรวจ ปส. สามารถตรวจยึดยาบ้าได้ 11,540,000, เม็ด และยึดทรัพย์สินไว้เพื่อตรวจสอบมูลค่า 8,690,000 บาท    

คดีแรก สืบเนื่องมาจากการจับกุมนายวิฑูรณ์ พร้อมพวก 5 คน พร้อมไอซ์ 200 กิโลกรัม ในพื้นที่ อ.สองพี่น้อง จว.สุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 10 ก.พ.66 ที่ผ่านมา ของ ตำรวจ บก.สกส. ร่วมกับ บก.ขส. ก่อนจะขยายผล และพบว่ายังมีเครือข่ายของนายวิฑูรณ์ เคลื่อนไหวอยู่ใน จว.สระบุรี มีพฤติการณ์ลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ทางภาคเหนือ เพื่อนำไปส่งมอบให้กับลูกค้าในพื้นที่ภาคกลาง และใกล้เคียง เจ้าหน้าที่จึงเฝ้าติดตามกระทั่งช่วงบ่ายของวันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา สามารถจับกุม นายอาทิตย์, นายณคฤตห์, นายจักรพรรณ, น.ส.ทวีวรรณ,น.ส.ศุภมาสและน.ส.ปรารถนา ได้ที่บริเวณบ้านเลขที่ 12 ม.9 ต.ป่าสัก อ.เชียงแสน จว.เชียงราย พร้อมยาบ้า 7,000,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ภายในห้องโดยสารและท้ายกระบะ หมายเลขทะเบียน 1ขษ 44XX กทม. จากนั้นได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 7 ราย เข้าตรวจค้นบ้านพักจำนวน 7 จุด เบื้องต้นตรวจยึดรถยนต์ 3 คัน, อาวุธปืน GLOCK 2 กระบอก และอื่น ๆ ไว้ตรวจสอบมูลค่ากว่า 8,690,000 บาท  

คดีที่ 2 ตำรวจ ปส.2 ร่วมกับ ตำรวจทางหลวง ได้ทำการสืบสวนขยายผลหลังจับกุมขบวนการค้ายาเสพติด  และทราบว่าจะมีการลำเลียงยาเสพติดจากชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ไปส่งลูกค้าในเขตพื้นที่ตอนใน โดยใช้รถยนต์หมายเลขทะเบียน Xกฒ 40XX กทม. และ หมายเลขทะเบียน กต 64XX ราชบุรี ลำเลียงยาเสพติด เจ้าหน้าที่จึงสืบสวนและเฝ้าติดตาม กระทั่งกลางดึกของวันที่ 4 พ.ย.66 พบรถยนต์เป้าหมายทั้งสองคัน ในเขตพื้นที่ จว.สกลนคร ขับตามกันมุ่งหน้า จว.อุดรธานี ต่อเนื่อง จว.ขอนแก่น เมื่อรถยนต์เป้าหมายทั้งสองคันขับขี่เข้ามาพื้นที่ อ.เมือง จว.ขอนแก่น ตำรวจจึงแสดงตัวเพื่อเข้าทำการตรวจสอบ แต่รถเป้าหมายได้อาศัยความชำนาญพื้นที่ขับหลบหนี ชุดจับกุมจึงประสานตำรวจทางหลวงตั้งจุดตรวจจุดสกัดในเขตพื้นที่และข้างเคียง กระทั่งเวลา 03.15 น. ของวันที่ 5 พ.ย.66   ตำรวจทางหลวง 2 กก.4 แจ้งว่าพบว่าพบรถเป้าหมายบริเวณริมทางหลวงหมายเลข 229 ต.กุดเค้า อ.มัญจาคีรี จว.ขอนแก่น จึงนำกำลังเข้าตรวจสอบพบ นายธนัตชัย เป็นผู้ขับขี่ ตรวจค้นภายในรถพบยาบ้า 2,540,000 เม็ด ส่วนรถยนต์อีก 1 คัน ถูกจอดทิ้งอยู่บริเวณข้างคลองน้ำบ้านหัวสระ ต.ดอนช้าง อ.เมือง จว.ขอนแก่น ในสภาพยางล้อหลังซ้ายแตก ตรวจสอบไม่พบบุคคลหรือสิ่งของที่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด 

คดีที่ 3 ตำรวจ ปส. 4 ทำการสืบสวนเครือข่ายรับจ้างลำเลียงยาเสพติดลงสู่พื้นที่ภาคใต้ พบมีการติดต่อกัน ผ่านแอปพลิเคชัน Line ต่อมาทราบว่าไปรับยาเสพติดในพื้นที่ อ.พระพุทธบาท จว.สระบุรี มาพักไว้ในพื้นที่ อ.บางปู จว.สมุทรปราการ เพื่อเตรียมส่งต่อไปยังภาคใต้ในพื้นที่ จว.พังงา และ จว.ภูเก็ต กระทั่งวันที่ 6 พ.ย.66 พบความเคลื่อนไหวของเครือข่ายขณะขับรถมุ่งหน้าพื้นที่ภาคใต้ โดยใช้เส้นทางรอง เพื่อเลี่ยงด่านตรวจยานพาหนะชุมพร ชุดจับกุมจึงเฝ้าสะกดรอยติดตาม พบว่ามีรถยนต์หมายเลขทะเบียน ฒย 8xxx กทม. และ หมายเลขทะเบียน 1 ฒศ 5xxx กทม. เป็นรถนำ และรถกระบะตู้ทึบ หมายเลขทะเบียน ยข 4xxx ชลบุรี ซึ่งเป็นรถที่ซุกซ่อนยาเสพติด โดยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 41 จนมาถึง อ.ตะกั่วทุ่ง จว.พังงา ก่อนจะเข้าพักที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด 6 ราย และตรวจสอบพบยาบ้า 2,000,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ภายในรถกระบะตู้ทึบ จากนี้ ตำรวจ ปส. จะสอบสวนขยายผลเพื่อติดตามออกหมายจับบุคคล ในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป  

สำหรับเดือน ตุลาคม 2566 ตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ได้จับกุมขบวนการค้ายาเสพติด รายสำคัญ 15 คดี ผู้ต้องหา 22 คน ของกลาง ยาบ้า 21,836,340 ล้านเม็ด, ไอซ์ 748.52 กก. เฮโรอีน 15.17 กก., และตรวจยึดทรัพย์ ไว้ตรวจสอบมูลค่าประมาณ 103,854,167 ล้านบาท 

‘JKN’ ยื่นคำร้องขอ ‘ฟื้นฟูกิจการ’ ต่อศาลล้มละลายกลาง แก้ปัญหาสภาพคล่อง-สร้างผลกําไรให้มั่นคงยิ่งขึ้นในอนาคต

(9 พ.ย.66) นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ หรือ แอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จํากัด (มหาชน) หรือ JKN รายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติให้บริษัทในฐานะลูกหนี้ ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ และเสนอผู้จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการ ต่อศาลล้มละลายกลางภายใต้พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 โดยในวันที 8 พฤศจิกายน 2566 บริษัทฯ ได้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของบริษัทแล้ว ระบุรายละเอียดในเอกสารเอาไว้ดังนี้

วันที่ 9 พฤศจิกายน 2566 เรื่อง การยื่นคําร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลางของ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จํากัด (มหาชน) เรียน กรรมการและผู้จัดการ

บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จํากัด (มหาชน) (“บริษัท”) ขอเรียนแจ้งให้ทราบว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 10/2566 เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 ได้มีมติอนุมัติให้ บริษัทในฐานะลูกหนี้ยื่นคําร้องขอฟื้นฟูกิจการ และเสนอ ผู้จัดทําแผนฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลางภายใต้พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 (รวมที่แก้ไขเพิ่มเติม) โดยในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2566 บริษัทได้ยื่นคําร้องขอฟื้นฟูกิจการของบริษัทเรียบร้อยแล้ว

ในการนี้ บริษัทขอเรียนชี้แจงสรุปสาระสําคัญของคําร้องฟื้นฟูกิจการ ดังนี้

1. บริษัทในฐานะลูกหนี้เป็นผู้ยื่นคําร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง
2. บริษัทเสนอ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จํากัด (มหาชน) เป็นผู้ทําแผน
3. แนวทางของแผนฟื้นฟูกิจการในเบื้องต้น ดังนี้

3.1 การปรับโครงสร้างกิจการ และโครงสร้างทางการเงินให้สอดคล้องกับสมมติฐานทางการเงิน และสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ตลอดจนแก้ไขปัญหาของกิจการในส่วนของเงินทุนหมุนเวียน เพื่อแก้ไขปัญหาสภาพคล่องทางการเงินของบริษัท รวมถึงการปรับโครงสร้างภายในองค์กร

3.2 การขยายระยะเวลาการชําระหนี้ การผ่อนผันในเรื่องอัตราดอกเบี้ย เพื่อให้บริษัทสามารถ สร้างรายรับจากการประกอบกิจการและนํามาจัดสรรชําระหนี้แก่เจ้าหนี้ได้อย่างครบถ้วนและบริษัทยังคงดําเนินกิจการต่อไปได้

3.3 การได้รับเงินสนับสนุนทางด้านการเงินจากแหล่งเงินทุน โดยได้รับจากผู้ลงทุนรายใหม่ หรือ สถาบันการเงินเพื่อเป็นการหมุนเวียนในกิจการของบริษัท

3.4 การจัดหาแนวทางการดําเนินการขายทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์หรือก่อให้เกิดรายได้ เพื่อนำเงินที่ได้จากการขายทรัพย์สินดังกล่าวมาชําระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย
3.5 การจัดเตรียมแผนงาน และกลยุทธ์ในการบริหารสภาพคล่องของบริษัท และการปรับปรุง ระบบ โครงสร้างภายในองค์กร และการพัฒนาต่อยอดธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ

การเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการของบริษัทจะช่วยให้บริษัทแก้ไขปัญหาสภาพคล่องของบริษัทได้อย่างมี ประสิทธิภาพ โดยมีกฎหมายรองรับ และให้ความคุ้มครองแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายอย่างเป็นธรรม อีกทั้งบริษัทยังสามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้ในระหว่างที่อยู่ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการ เพื่อการแก้ไขปัญหาของบริษัท และเพื่อสร้างผลกําไร จากการดําเนินกิจการต่อไปในอนาคตได้อย่างมั่นคง

บริษัทจะแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับความคืบหน้าใด ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการฟื้นฟูกิจการของบริษัทต่อไป จึงเรียนมาเพื่อทราบ

ขอแสดงความนับถือ นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ผู้มีอํานาจรายงานสารสนเทศ

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา แอน จักรพงษ์ ได้ทำการขายหุ้น JKN จำนวน 116 ล้านบาท โดยแจ้งกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ กลต. ว่า บริษัทมีรายการขายหุ้นและรับโอนหุ้นหลายรายการ ทั้งนี้รายการขายหุ้นนั้นมาจากบัญชี มาร์จิ้น ถูกฟอร์ซเซลล์หรือบังคับขาย เนื่องจากราคาหุ้นตกแรงกว่า 50% ในช่วงเวลาดังกล่าว จึงอาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้ JKN ต้องทำเอกสารยื่นร้องขอฟื้นฟูกิจการนั่นเอง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top