Sunday, 11 May 2025
TheStatesTimes

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ประจำปี 2566 เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและสืบสานขนบธรรมเนียมอันดีงามของไทย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปี 2566 ณ พระอุโบสถวัดตรีทศเทพวรวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 

วันพุธที่ 8 พ.ย.66 เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ 
เป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปี 2566 ณ พระอุโบสถวัดตรีทศเทพวรวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร  โดยมีผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจ และประชาชนเข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียงกัน
สำหรับพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน มีการจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นการร่วมกันทำบุญ สร้างกุศล สืบทอดขนบธรรมเนียมและประเพณีจากครั้งบรรพกาลสู่ชนรุ่นหลังธำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม อันดีงาม เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา 

ทั้งนี้ เงินบริจาคเหลือจ่ายหลังหักค่าใช้จ่าย ให้จัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายในด้านสาธารณกุศลต่าง ๆ เช่น การจัดอุปสมบทหมู่ข้าราชการตำรวจเฉลิมพระเกียรติ และโครงการปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ หรือตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เห็นสมควร ทั้งนี้ หากเหลือจ่ายให้นำเข้ากองทุนสวัสดิการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต่อไป

"รรท.ผู้ช่วยฯอ้อ"ร่วมประชุม คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร (entertainment complex) เพื่อแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมายและเพื่อประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ

วันนี้ (8 พ.ย.66) เวลา 13.30 น. ที่ห้องประชุมกรรมาธิการ CB406 อาคารรัฐสภา แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผบช.ภ.6 รรท.ผู้ช่วย ผบ.ตร. (ปป 5 , สส 3) เปิดเผยว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.(ปป) ได้มอบหมายให้ตนพร้อมด้วย ตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ - สอท. โดยมี พล.ต.ต.นิเวศน์ อาภาวศิน รอง ผบช.สอท. เป็นตัวแทน- สยศ. โดยมี พ.ต.อ.สุรพงษ์ เหมือนเผ่าพงษ์ รอง ผบก.ผอ. และ พ.ต.ท.ภูมิพัฒน์ ชัยจันทร์ รอง ผกก.ปป.ผอ. เป็นตัวแทน- กมค. โดยมี พ.ต.อ.กมล เอื้อจารุพร ผกก.กลุ่มงานกฎหมาย เป็นตัวแทน

ร่วมเป็นตัวแทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมประชุม คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร (entertainment complex) เพื่อแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมายและเพื่อประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ ครั้งที่ 2/2566 โดยมี นาย จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ประธานคณะกรรมาธิการฯ เป็นประธานการประชุม "รรท.ผช.ผบ.ตร.กล่าว"

‘อิหร่าน’ เจ๋ง!! ส่งออกรถแทรกเตอร์ 25 ประเทศทั่วโลก ‘สินค้าคุณภาพสูง-ราคาย่อมเยา’ แต้มต่อการแข่งขัน

เมื่อไม่นานมานี้ Mostafa Vahidzadeh CEO ของ Iran Tractor Manufacturing Company (Tractorsazi) บริษัทผู้ผลิตรถแทรกเตอร์อิหร่าน ประกาศว่า สามารถส่งออกผลิตภัณฑ์ของบริษัทไปยัง 25 ประเทศทั่วโลก อาทิ ตุรกี อุซเบกิสถาน รัสเซีย คิวบา โคลอมเบีย อิรัก กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฯลฯ

Vahidzadeh ระบุว่า ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง ราคาที่ค่อนข้างถูก ซึ่งเป็นราคาที่แข่งขันกับประเทศต่าง ๆ ได้นั้น เป็นเหตุผลและปัจจัยหลักในความสำเร็จของการส่งออกผลิตภัณฑ์รถแทรกเตอร์ 

Vahidzadeh กล่าวเสริมว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ (21 มีนาคม - 22 กันยายน 2023) มีการส่งออกรถแทรกเตอร์ของอิหร่าน 1,500 คัน มูลค่า 22 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (2022) 

นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนหล่อขึ้นรูปของรถแทรกเตอร์ยังส่งออกไปยังหลายประเทศในยุโรป อาทิเช่น ตุรกี เยอรมนี และอิตาลี หนึ่งในผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทนี้คือ รถไถนาซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีจำหน่ายในบางประเทศเท่านั้น โดยคุณสมบัติของรถไถอเนกประสงค์รุ่นนี้ คือ น้ำหนักเบา มีกำลัง 45 แรงม้า ตัวถังรถสูง และกันน้ำได้

CEO ของบริษัทผู้ผลิตรถแทรกเตอร์ของอิหร่าน (Tractorsazi) ระบุว่า ร้อยละ 92 ของชิ้นส่วนรถแทรกเตอร์สามารถผลิตได้ในประเทศ และอีกร้อยละ 8 มาจากต่างประเทศ เนื่องจากไม่สามารถผลิตในประเทศได้ นอกจากนี้แล้วบริษัทฯ ยังมีสายการผลิตในเวเนซุเอลาและทาจิกิสถานอีกด้วย และจะมีการเปิดตัวสายการผลิตในอีกสองประเทศในเอเชียซึ่งอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการดำเนินการ

ทั้งนี้ Iran Tractor Manufacturing Company ก่อตั้งขึ้นในเมือง Tabriz ในปี ค.ศ. 1968 โดยเป็นบริษัทร่วมหุ้นพิเศษโดยมีส่วนร่วมกับโรมาเนีย เพื่อผลิตรถแทรกเตอร์และเครื่องจักรอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ ในเมือง Tabriz บนพื้นที่ 400 เฮกตาร์ เริ่มจำหน่ายรถแทรกเตอร์ยี่ห้อ UTB ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975 การผลิตรถแทรกเตอร์เหล่านี้ค่อย ๆ ยุติลง และเริ่มการผลิตรถแทรกเตอร์ MF แทน ด้วยการเข้ามาร่วมทุนของบริษัท Messi Ferguson จากอังกฤษ เมื่อเวลาผ่านไป ด้วยการปรับเทคโนโลยีการผลิตรถแทรกเตอร์ให้เข้ากับท้องถิ่น ผลิตภัณฑ์ของบริษัทจึงได้รับการผลิตและจำหน่ายภายใต้แบรนด์ ITM ในประเทศ

ในปี ค.ศ. 1996 บริษัท ผู้ผลิตรถแทรกเตอร์อิหร่าน กลายเป็นบริษัทมหาชนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในปี พ.ศ. 2008 เพื่อดำเนินการตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ จึงมีการโอนจำหน่ายหุ้นไปยังภาคเอกชน ปัจจุบันบริษัทนี้มีกำลังการผลิตระบุอยู่ที่ราว 30,000 คันต่อปี ได้แก่ รถแทรกเตอร์ในช่วง 38 ถึง 150 แรงม้า ซึ่งรวมถึงรถแทรกเตอร์ขนาดเบา ขนาดกลาง กึ่งหนัก และหนัก คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 95% ของตลาดในประเทศ และยังเป็นผู้ผลิตรถแทรกเตอร์รายใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทผู้ผลิตรถแทรกเตอร์ของอิหร่านให้ความสำคัญกับการใช้มาตรการในด้านความพอเพียงมากขึ้นในการผลิตชิ้นส่วนและส่วนประกอบรถแทรกเตอร์เชิงกลยุทธ์ เช่น เพลาหน้า กระปุกเกียร์กลาง ชุดประกอบไฮดรอลิก ฯลฯ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ เช่น การออกแบบและ การผลิตรถแทรกเตอร์ 475, 485, 800 คัน 470 และผลิตภัณฑ์เชิงกลยุทธ์ของรถแทรกเตอร์หนัก การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการเพิ่มผลผลิตของปัจจัยการผลิตสามารถเดินตามเส้นทางแห่งความเป็นเลิศได้ แม้แต่ในช่วงปีเศรษฐกิจที่ยากลำบากไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้

Tractorsazi Industrial Group ในฐานะผู้ผลิตอุปกรณ์การเกษตรรายใหญ่ที่สุดในอิหร่านมีการดำเนินงานยาวนานกว่าห้าทศวรรษ ทั้งยังมีบริษัทดาวเทียม 10 แห่งในประเทศ และอีก 2 บริษัทในต่างประเทศ ด้วยการผลิตรถแทรกเตอร์ที่มีกำลังตั้งแต่ 35 ถึง 150 แรงม้า กลุ่มผู้ผลิตนี้สามารถตอบสนองความต้องการรถแทรกเตอร์ของเกษตรกรชาวอิหร่านได้ถึงร้อยละ 99 และยังมีส่วนร่วมในการผลิตเครื่องยนต์ 71 ประเภทในภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และยานยนต์อีกด้วย

‘ยูนิเซฟ’ จับมือ ‘พม.’ เปิดตัวแคมเปญรณรงค์ ‘สงสัยไว้ก่อน’ เตือน ‘เด็ก-เยาวชน’ รู้ทันภัยการล่วงละเมิดทางเพศผ่านออนไลน์

(8 พ.ย.66) องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ร่วมกับ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และเครือข่ายเสริมสร้างอินเทอร์เน็ตปลอดภัย ประเทศไทย เปิดตัวแคมเปญรณรงค์ ‘#สงสัยไว้ก่อน’ เพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนรู้จัก ‘คิดทบทวนให้ถี่ถ้วน’ ก่อนจะโพสต์ภาพ วิดีโอ หรือข้อมูลส่วนตัวบนพื้นที่ออนไลน์ เพื่อคุ้มครองเด็กและเยาวชนจากการล่วงละเมิดและแสวงประโยชน์ทางเพศทางออนไลน์ หลังจากที่รายงานการศึกษาล่าสุดชี้ให้เห็นว่า เด็กในประเทศไทยจำนวนมากกำลังตกเป็นผู้เสียหายจากการล่วงละเมิดและการแสวงประโยชน์ทางเพศทางออนไลน์

จะดีกว่าไหม? หากเราตั้งข้อสงสัยในบทสนทนาแปลก ๆ บนโลกออนไลน์ และคงจะดีกว่าถ้าเราสามารถประเมินความเสี่ยงและฉุกคิดทันก่อนที่จะสายเกินไป เพียงแค่เรา #สงสัยไว้ก่อน เพื่อไม่ให้ตกหลุมพรางของผู้ไม่หวังดีที่หวังแสวงประโยชน์ และ #สงสัยให้แจ้ง เพื่อขอความช่วยเหลือ หรือแจ้งเบาะแสผ่านช่องทางต่าง ๆ และขอให้เชื่อมั่นว่า หากเราเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ อย่าเก็บไว้คนเดียว ทุกปัญหามีทางออก มีความช่วยเหลือรอเราอยู่เสมอ

นายวราวุธ กล่าวว่า จากรายงานหยุดยั้งอันตรายในประเทศไทย (Disrupting Harm in Thailand Report) ซึ่งจัดทำโดยยูนิเซฟ ร่วมกับเอ็คแพท และอินเตอร์โพล พบว่า ในปี 2564 มีเด็กไทยอายุ 12 - 17 ปี กว่า 400,000 คน หรือเกือบ 1 ใน 10 คน เคยตกเป็นผู้เสียหายจากการล่วงละเมิดและแสวงประโยชน์ทางเพศผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้มักเกิดขึ้นผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ และรูปแบบการล่วงละเมิดที่มักเกิดขึ้นบ่อย ๆ คือ การที่ภาพหรือคลิปวิดีโอที่มีเนื้อหาทางเพศของเด็กถูกนำไปเผยแพร่ส่งต่อโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม และมีการแบล็กเมล หรือข่มขู่ให้เด็กมีสัมพันธ์ทางเพศ

นายวราวุธ กล่าวว่า “แคมเปญนี้สะท้อนความจำเป็นเร่งด่วนที่เราทุกคนต้องร่วมกันแก้ปัญหาการขู่กรรโชกทางเพศเด็กทางออนไลน์ ซึ่งเราทุกคนมีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองเด็กบนโลกออนไลน์และทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน กระทรวง พม. มุ่งส่งเสริมพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัยแก่เด็กและเยาวชน ขณะเดียวกันเรายังมีการดำเนินงานเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในการให้บริการด้านการคุ้มครองเด็ก รวมถึงการตอบสนองต่อรายงานการล่วงละเมิดและละเลยเด็ก เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อมีเหตุจำเป็นเกิดขึ้น เด็กและเยาวชนจะสามารถเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ ได้อย่างทันท่วงที” นายวราวุธ กล่าว

‘ดร.วิรไท’ แนะ 4 แกนหลัก พลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน ชี้!! ปรับปรุงโครงสร้าง-แก้กม.ให้สอดรับโลกยุคใหม่คือคำตอบ

เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 66 ภาพรวมเศรษฐกิจไทย มีพัฒนาการที่ดีและสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง แต่อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นช้าลง สะท้อนได้จากตัวเลขอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในช่วง 20 ปีย้อนหลัง พบว่าช่วงปี 2543-2552 จีดีพีขยายตัวเฉลี่ยที่ 4.3% ขณะที่ช่วงปี 2553-2562 จีดีพีขยายตัวชะลอลงมาเฉลี่ยที่ 3.6%

วิกฤตโควิด-19 กระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกเช่นเดียวกับเศรษฐกิจไทย ในปี 2563 จีดีพีหดตัว 6.1% อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยกลับมาฟื้นตัวได้ต่อ จีดีพีขยายตัวที่ 1.5% และ 2.6% ในปี 2564 และ 2565 ตามลำดับ สำหรับปี 2566 คาดการณ์จีดีพี โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดขยายตัว 2.8% ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดขยายตัว 2.8% ด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดขยายตัว 2.7% ขณะที่ธนาคารโลก คาดขยายตัว 3.4% จะเห็นได้ว่าจีดีพีไทยเติบโตช้าลง ซึ่งเหตุผลไม่ใช่เพียงภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวเท่านั้น แต่ไทยยังเผชิญปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจ ดังนั้น จึงต้องแก้ปัญหาให้ถูกจุด

โดย ดร.วิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นว่า การจะผลักดันให้เศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้ในระดับที่ดีต่อเนื่องและโตได้อย่างยั่งยืน เพื่อให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เท่าทันกับบริบทของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปและเท่าทันกับความท้าทายใหม่

แก้ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจซึ่งทำผ่าน 4 แกนหลัก เรื่องสำคัญที่สุด คือ
1.) การเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) ทั้งเรื่องคุณภาพการศึกษาเพื่อให้คนไทยเก่งขึ้น สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากขึ้นเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ ทั้งนี้ต้องเพิ่มผลิตภาพในภาคเกษตร พัฒนาพันธุ์พืชใหม่และเพิ่มผลผลิตต่อไป ด้านภาคบริการ สามารถเพิ่มผลิตภาพโดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ ภาคบริการในอนาคตต้องตั้งอยู่บนฐานเทคโนโลยี และควรเพิ่มผลิตภาพในด้านบริการภาครัฐ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจได้

2.) การกระจายผลประโยชน์อย่างทั่วถึง (Inclusivity) ซึ่งจะสะท้อนถึงการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของไทย ที่ผ่านมาภาครัฐพยายามแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านทรัพย์สิน ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ เช่น การเก็บภาษีทรัพย์สินรูปแบบใหม่ ๆ การทำระบบสวัสดิการที่จะดูแลประชาชนที่อยู่ระดับฐานล่างของสังคม และปัจจุบันต้องแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านโอกาส ทั้งโอกาสการในการเข้าถึงการศึกษาที่ดีและโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยี ซึ่งจะจำเป็นมากสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต

3.) การสร้างภูมิคุ้มกัน (Immunity) เศรษฐกิจไทยสามารถรับแรงปะทะและความผันผวนได้ค่อนข้างดี เช่น วิกฤตโควิด เราสามารถทำมาตรการต่าง ๆ ออกมารองรับได้ เพราะภาคการคลัง หนี้สาธารณะของไทยไม่ได้สูงมากนักเมื่อเทียบกับประเทศที่อยู่ในระดับการพัฒนาใกล้เคียง แต่ยังมีความท้าทายจากการที่เราเป็นสังคมสูงอายุ รายจ่ายด้านสวัสดิการจะทำให้ภาครัฐมีภาระการคลังมากขึ้นในอนาคต ส่วนภาคการเงิน เสถียรภาพด้านต่างประเทศค่อนข้างดี ทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง ด้านหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง น่าเป็นห่วงต้องเร่งแก้เพื่อให้คนสามารถออกจากกับดักหนี้ได้อย่างยั่งยืน ดังนั้น เราควรสร้างและรักษาภูมิคุ้มกันในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับประเทศลงไปถึงระดับครัวเรือน

เพราะความท้าทายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตยังมีอีกมาก ถ้าเราทำนโยบายอะไรก็ตามที่ทำลายภูมิคุ้มกันของตัวเอง เราจะไม่สามารถรับแรงปะทะที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้และจะถูกกระแทกแรงมาก

4.) ความสามารถในการปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลง (Adaptability) เพราะโลกในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงเร็ว ซึ่งจะเป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย ทั้งพัฒนาการของเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่อาจจะได้รับผลกระทบรุนแรง เพราะว่าประชาชนจำนวนมากอยู่ในภาคเกษตรและพึ่งดินฟ้าอากาศ การเปลี่ยนแปลงและความแปรปรวนจะส่งผลต่อระบบชลประทาน การขาดแคลนน้ำสะอาด มีปัญหาน้ำกร่อย น้ำเค็ม เป็นต้น ต้องปรับตัวรองรับให้ทัน เพราะเรื่องนี้กระทบกับวิถีชีวิตของพวกเราทุกคนและกระทบกับวิธีการทำธุรกิจของทุกธุรกิจ

ดร.วิรไท กล่าวว่า การจะทำเรื่องทั้ง 4 แกนหลัก แก้ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจ ต้องใช้เวลาและใช้ทรัพยากรจำนวนมาก เป็นเรื่องที่ไม่มี Quick Win ไม่ใช่เรื่องที่จะหวังผลในระยะสั้น ๆ ได้ ดังนั้น เรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ คือ ต้องปฏิรูปโครงสร้างภาครัฐที่มีลักษณะเป็นไซโล ให้สามารถทำงานสอดประสานกันได้ รวมถึงเร่งปรับปรุงและแก้กฎหมาย (Regulatory Guillotine) โดยเฉพาะกฎหมายที่ไม่เอื้อกับโลกอนาคต การแก้ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจต้องทำให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เพราะแต่ละกลุ่มก็จะมีปัญหา อุปสรรค ข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไป และต้องมีการจัดระบบแรงจูงใจให้ถูกต้อง และระมัดระวังการทำนโยบายแบบเหวี่ยงแห ที่มักจะทำให้เกิดแรงจูงใจที่ผิด ตัวอย่าง คือ นโยบายจำนำข้าว ที่ทำให้เกิดแรงจูงใจว่าคนต้องมาเร่งผลิตข้าวให้เร็วที่สุด เน้นเรื่องปริมาณแทนการเน้นผลิตภาพ เป็นการทำลายพันธุ์ข้าวดี ส่งผลต่อการยกระดับผลิตภาพในระยะยาวได้

“เศรษฐกิจไทยปัจจุบันเปรียบเหมือน ภูเขาน้ำแข็ง หรือ ‘Iceberg’ เราจะมองเห็นและให้ความสำคัญเฉพาะภูเขาน้ำแข็งที่ลอยอยู่เหนือน้ำหรือในด้านของ อัตราการเติบโตเศรษฐกิจ แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่าคือสิ่งที่อยู่ใต้น้ำ สิ่งที่มองไม่เห็นซึ่งอาจจะทำให้เกิดภัยพิบัติขึ้นได้ นั่นก็คือเรื่องของโครงสร้างเศรษฐกิจ มองว่าเศรษฐกิจไทยไม่ได้อยู่ในสภาวะวิกฤต แต่อาจจะอยู่ในสภาวะที่เทคออฟได้ช้ากว่าเศรษฐกิจอื่น เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถก้าวต่อไปได้อย่างเข้มแข็งหากเราสามารถตั้งเข็มทิศได้ถูกต้อง ผมจึงให้น้ำหนักเรื่องระยะยาวเพราะความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของเราไม่รุนแรง

เหมือนกับความจำเป็นในการที่ต้องเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อสร้างบุญใหม่ให้กับเศรษฐกิจ ถ้าเรายังคงอยู่กับโครงสร้างแบบเดิม ทำแบบเดิม ไม่สามารถที่จะปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ก็หนีไม่พ้นที่จะกินบุญเก่า ซึ่งบุญเก่าก็จะหมดลงเรื่อย ๆ” ดร.วิรไท กล่าว

เศรษฐกิจไทยยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก หากเราสามารถเพิ่มผลิตภาพโดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ปัจจุบันพัฒนาไปไกลมากและสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และใช้เทคโนโลยีสนับสนุนให้การทำธุรกิจสะดวกมากขึ้น ต้นทุนถูกลง สามารถแข่งขันได้ เอื้อกับการทำธุรกิจที่มีผลิตภาพสูง เชื่อว่าจะมีผู้ประกอบการธุรกิจอีกจำนวนมากที่จะเข้ามาลงทุนต่อยอดกับสิ่งที่เรามี เช่น ภาคเกษตร ภาคการท่องเที่ยว บริการทางการแพทย์ เศรษฐกิจที่อิงกับความคิดสร้างสรรค์ที่เป็น ซอฟต์พาวเวอร์ไทย ตลอดจนธุรกิจใหม่ ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับความยั่งยืนซึ่งเป็นเทรนด์ของโลก

นอกจากการให้ความสำคัญเรื่องโครงสร้างเศรษฐกิจแล้ว โจทย์ใหญ่อีกเรื่องที่ต้องเร่งแก้ปัญหาคือ เรื่องคอร์รัปชัน เพราะคอร์รัปชันเป็นตัวทำลายผลิตภาพ ทำลายการแข่งขันที่เป็นธรรม

การแข่งขันจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าใครเก่งกว่าใคร แต่การแข่งขันจะขึ้นอยู่กับว่าใครรู้จักใคร ใครยินดีที่จะจ่ายใต้โต๊ะมากกว่า ใครมีช่องทางในการเข้าถึงอำนาจรัฐและใช้อำนาจรัฐได้มากกว่า

ทั้งนี้ คอร์รัปชันทำให้ต้นทุนของทุกคนสูงขึ้น ต้นทุนการใช้ชีวิต ต้นทุนการทำธุรกิจ และยังเป็นปัจจัยทำลายความไว้วางใจ เวลาที่เราพูดถึงเศรษฐกิจไทย สังคมไทย ที่จะต้องปรับโครงสร้างให้เท่าทันกับโลกใหม่ ๆ ในอนาคต แปลว่า เราจะต้องมีความไว้วางใจกันในการที่จะเริ่มทำเรื่องใหม่ ๆ แต่หากเราอยู่ในสังคมที่มีคอร์รัปชันเป็นบรรทัดฐาน การเริ่มทำเรื่องใหม่จะทำได้ช้ามาก เพราะเกิดการตั้งข้อสังเกตว่าใครหวังอะไร ใครกำลังจะได้อะไร ใครจ่ายใต้โต๊ะ นโยบายที่กำลังจะทำเอื้อต่อใคร ซึ่งการจะเริ่มทำเรื่องใหม่ในประเทศไทยทำได้ช้า ขณะที่ประเทศอื่นสามารถที่จะก้าวไปได้เร็วกว่าเรา

ดังนั้น หากสถานการณ์คอร์รัปชันของเรายังไม่ดีขึ้น จะเป็นความเสี่ยงฉุดเศรษฐกิจไทยเข้าสู่หลุมดำได้

'พัชรวาท' ลุย เชียงใหม่ ระดมทุกหน่วย เตรียมรับมือไฟป่า หมอกควัน พื้นที่ภาคเหนือ 17 จังหวัด ดูแลประชาชน เน้นย้ำ แจ้งเตือนสถานการณ์ PM 2.5 ต้อง 'ทั่วถึง เท่าเทียม ทันท่วงที'

วันที่ 8 พ.ย. ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมการมอบนโยบายเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 2567 โดยได้มอบนโยบายให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 17 จังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 

พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการแก้ไขปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 ดังที่ปรากฏในคำแถลงนโยบาย มีการลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และใรการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 16 ต.ค.และ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา ได้เร่งรัดมาตรการเพื่อลดฝุ่น PM 2.5 ทั้งระบบให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ขณะนี้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ร่วมกับภาคส่วนต่างๆกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษปี 2567 เพื่อใช้รับมือกับการควบคุมไฟในป่าการเผาพื้นที่ทำการเกษตร และการควบคุมการเกิดฝุ่นในพื้นที่เมือง ซึ่งสถานการณ์ฝุ่นในปี 2566 จากปรากฏการณ์เอลนีโย่ เตือนให้เราเห็นแล้วว่าในปีหน้าสถานการณ์จะรุนแรงขึ้น ดังนั้นทุกหน่วยงานจะต้องนำมาตรการที่กำหนดร่วมกันไปปฏิบัติอย่างเร่งด่วน อย่างทันที ด้วยความตระหนักถึงการปกป้องสุขภาพของประชาชน ทำให้ประชาชนมีความมั่นใจ เห็นความพร้อมและรับรู้ว่าภาครัฐทำอย่างเต็มที่ ไม่ได้มีการละเลย 

"ต้องลดการเผาไหม้ทั้งในพื้นที่เกษตรเผาไหม้ซ้ำซาก  พื้นที่ป่า จะมุ่งเป้าไปที่ป่าอนุรักษ์ ป่าสงวนแห่งชาติที่มีสถานการณ์ไฟป่ารุนแรงโดยเฉพาะพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ต้องตรึงพื้นที่ในพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า เราจะมีการจัดระเบียบการเก็บหาของป่าโดยอนุญาตเฉพาะคนในพื้นที่เท่านั้น ผ่านการลงทะเบียน ส่วนพื้นที่ป่าอนุรักษ์จะต้องมี จุดตรวจ จุดสกัด เพื่อมิให้เกิดการลักลอบเผาป่า เมื่อเข้าห้วงสถานการณ์ฤดูไฟป่าจะต้องมีผู้บังคับบัญชาเหตุการณ์ มีกำลังพล และเครื่องมือพร้อมปฏิบัติในการดับไฟป่าและสามารถสับเปลี่ยนกำลังระดมพลช่วยกันดับไฟป่าได้อย่างทันท่วงทีโดย ผ่าน war room ระดับพื้นที่ และดึงหมู่บ้านเครือข่ายดับไฟป่า (อส.อส.) มาร่วมในการดับไฟป่าด้วย โดยมีเป้าลดพื้นที่ ไฟไหม้ลดลง 50 % จากปี พ.ศ.2566" พล.ต.อ.พัชรวาทกล่าว   

พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวอีกว่า การควบคุมการเผาจากแหล่งกำเนิด คือหัวใจ ทุกหน่วยงานทุกภาคประชาสังคม ต้องช่วยสื่อสารกับประชาชน ซึ่งนอกจากการดูแลตัวเองแล้ว ต้องให้ความร่วมมือปฏิบัติตามคำแนะนำคำร้องขอของภาครัฐด้วย การแจ้งเตือนสถานการณ์ฝุ่นต้องทั่วถึงเท่าเทียมทันท่วงทีเพื่อให้ประชาชนรับทราบข้อมูล ที่รวดเร็วถูกต้อง 

พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า นายกฯ ได้มีการสั่งการให้ตั้งคณะกรรมการระดับชาติขึ้นมาเพื่อกำกับการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 โดยมอบให้ตนเป็นประธาน และนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เป็นรองประธานกรรมการคนที่ 1 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นรองประธานคนที่ 2 และเร่งจัดตั้งศูนย์ ปฏิบัติการระดับพื้นที่เพื่อดำาเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า การเผาในที่โล่งหมอกควันและฝุ่นละออง PM2.5 ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้อำนวยการศูนย์ เพื่อเชื่อมโยงนโยบายสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ ที่มีการบริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จ

"สุดท้ายขอเน้นย้ำให้ทุกหน่วยราชการปฎิบัติการโดยความแม่นยำ รวดเร็ว ทันท่วงที และมีประสิทธิภาพ ในปีนี้ภาครัฐได้มีการเตรียมการอย่างรวดเร็วก่อนสถานการณ์ฝุ่นและพร้อมจะดำเนิน อย่างเต็มที่ ทุกฝ่ายต้องรวมพลังกัน ทุกภาคส่วนรวมถึงพี่น้องประชาชนเพื่อให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ฝุ่นที่คาดว่าจะรุนแรงได้ขอเป็นกำลังใจให้ทุกหน่วยงานปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ทุกประการ"พล.ต.อ.พัชรวาทกล่าว 

จากนั้นพล.ต.อ.พัชรวาท ได้เดินเยี่ยมชมบูธนิทรรศการของหน่วยงานต่างๆที่จัดขึ้น พร้อมทั้งทักทายและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ร่วมกันทำงานเพื่อประชาชน 

รมว.'พิพัฒน์' ห่วงใย ลงพื้นที่สงขลา รุดเยี่ยมให้กำลังใจ มอบสิ่งของช่วยผู้ประกันตนทุพพลภาพ

วันที่ 8 พฤศจิกายน 2566 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายสิรภพ ดวงสอดศรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นายธนัสถ์ ทวีเกื้อกูลกิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายอารี ไกรนรา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายภุชงค์ วรศรี ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน นายภูมิพัฒน์ เหมือนจันทร์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม คณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ได้ลงพื้นที่เยี่ยม เพื่อพูดคุยให้กำลังใจรวมถึงนำสิ่งของเครื่องอุปโภคและบริโภค ตลอดจนสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ที่จำเป็นมามอบให้กับผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพซึ่งอยู่ในความดูแลของสำนักงานประกันสังคมจังหวัดสงขลา จำนวน 2 ราย รายแรกคือ นายบุญตา ศรีสุชาติ อายุ 62 ปี เป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 ทุพพลภาพจากอาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพ เดือนละ 2,400 บาท รายที่ 2 คือ นางวันดี จันทศิริ อายุ 56 ปี เป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 ทุพพลภาพจากอาการจอประสาทตาเสื่อม เป็นเหตุให้ตาทั้งสองข้างมองเห็นไม่ชัดเจน ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพ เดือนละ 2,400 บาท   

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม พร้อมดูแลผู้ประกันตนทุกคนให้มีหลักประกันความมั่นคงและคุณภาพชีวิตที่ดี เพราะผู้ประกันตนทุกคนคือครอบครัวประกันสังคม

อดีตสต๊าฟ Celine ยกย่อง 'ลิซ่า' คนดัง 'ถ่อมตัว-ไม่ทรยศแฟนคลับ' 'ซื้อของ' ไม่ต้องเคลียร์พื้นที่ มีอาการป่วยก็ยังใส่เต็มเพื่อแฟนๆ

เมื่อวานนี้ (8 พ.ย.66) จากเพจ ‘Lisadailynews - Ldn0327’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับอดีตสต๊าฟ Celine เล่าเหตุการณ์ที่ตนรู้ประทับใจในตัว ‘ลิซ่า Blackpink’ เมื่อเข้ามาซื้อของในร้าน ว่า…

"ย้อนกลับไปตอนที่ยังทำงานอยู่ ก็ประมาณ 6 โมงกว่าๆ พอดีกำลังจะเลิกกะ แล้วบังเอิญไปเจอลิซ่าที่ร้าน Celine เธอเข้ามาที่ร้านและลองเสื้อผ้ามาใหม่หลายตัว และในที่สุดเธอก็ซื้อกางเกงยีนส์ ชุดฤดูร้อน และน้ำหอม ต่างจากตารางงานของคนดังทั่วไปที่ต้องมีการเคลียร์ล่วงหน้า เธอไปที่นั่นแบบสบาย ๆ ช้อปปิ้งโดยเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเดินทางส่วนตัวของเธอกับตัวแทนของเธอ และไม่มีการแจ้งล่วงหน้า นอกจากนี้ LVMH ที่บริษัทไม่อนุญาตให้มีการร้องขอลายเซ็นต์หรือรูปถ่าย

ไม่กี่วันต่อมา ฉันได้เข้าร่วมคอนเสิร์ตของ Blackpink โดยมีลิซ่าเป็นส่วนหนึ่งของวง และบังเอิญฉันได้ที่นั่งใกล้เวทีมากท่าทางของเธอทั้งในและนอกเวทีแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง บนเวทีเธอเต็มไปด้วยพลังงาน เหมือนกับดวงดาวที่ส่องแสง มันทำให้ฉันตระหนักว่า...ไม่ว่าเธอจะเลือกเส้นทางชีวิตใดก็ตาม อย่างน้อยเมื่อเธอเผชิญหน้ากับผู้ชม เธอก็ทุ่มเทอย่างจริงใจ นั่นคือสิ่งที่ฉันรู้สึก…ฉันไม่สามารถปฏิเสธได้

จริงๆ แล้ว…อาการของลิซ่าไม่ค่อยดีนักในตอนนั้น เธอกินยาแก้ปวดหัวหลายครั้ง เธอปรากฏตัวโดยไม่แต่งหน้า ดูเป็นธรรมชาติ และผิวของเธอก็ซีดอย่างเห็นได้ชัด พนักงานร้านชาวเกาหลีคนหนึ่งของเราถามเธอเป็นภาษาเกาหลีว่าสุขภาพของเธอสบายดีไหม และเธอก็ตอบว่า "โอเค" โดยบอกว่าตารางคอนเสิร์ตที่ยุ่งของเธอทำให้เธอมีเวลาพักผ่อนจำกัด”

'ดร.เอ้' ชี้!! ควรมี #องค์กรเพื่อความปลอดภัยสาธารณะ เสียที หลังฝาบ่อกลางถนนสุขุมวิท ยุบลึก น่ากลัว รถติด เดือดร้อนลุกลาม

เมื่อวานนี้ (8 พ.ย. 66) นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานนโยบาย กทม. พรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกสภาวิศวกร และอดีตนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘เอ้ สุชัชวีร์’ ระบุว่า…

ฝาบ่อกลางถนนสุขุมวิท ยุบลึก น่ากลัว รถติด เดือดร้อนถึงบางนา

จากภาพ ลองตั้งคำถามง่าย ๆ 
1. รถบรรทุก น้ำหนักเกินมาตรฐานหรือไม่ 
หรือ 2. การก่อสร้างสาธารณูปโภคกลางถนนกทม. ได้มาตรฐานหรือไม่ 
หรือ 3.ไม่ได้มาตรฐานทั้งสองข้อ 

แบบนี้ก็จบกัน 

ทางป้องกัน แก้ไข ทำให้ถนนกทม.ปลอดภัย

1. กทม. ในฐานะหน่วยงานกลาง ต้องระบุได้ว่า ถนนสายใด ตรงไหนมีความเสี่ยง ไม่ปลอดภัย ทำได้ทันที เพราะมีข้อมูลครบที่สุด 

2. ใช้เทคโนโลยีสแกนใต้ถนน ตรงจุดเสี่ยง หรือ ทดสอบความสมบูรณ์ด้วยหลักวิศวกรรม ในจุดที่อาจมีผลกระทบต่อประชาชนมาก เช่น ถนนสุขุมวิท พหลโยธิน พระรามสอง พระรามสาม พระรามสี่ และถนนที่มีการก่อสร้างรถไฟฟ้า เพื่อซ่อมแชมก่อนเกิดอันตราย 

3. จริงจังกับการควบคุมรถบรรทุก เกินมาตรฐาน ที่เข้ามาทำลายถนน และปล่อยฝุ่นพิษ PM2.5 

4. เจ้าของโครงการก่อสร้างที่รถบรรทุกผิดกฎหมายเข้ามาส่งของให้ ควรมีโทษปรับ และรับผิดชอบ ไม่งั้นบ้านเมืองพัง 

และผมยังมั่นใจว่า ถึงเวลาเสียที ที่ประเทศไทยต้องมี #องค์กรเพื่อความปลอดภัยสาธารณะ มาดูแลเรื่องความปลอดภัย แก้ปัญหาซ้ำซากนี้เสียที ช่วยกันเสนอกฏหมายตั้งองค์กรนี้ที่ suchatvee.com นะครับ เราต้องช่วยกัน

ผมเสนอด้วยหลักการ และด้วยความห่วงใย
ไม่อยากให้เกิดความสูญเสียครับ 

ศาตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์

ปิดตำนาน 20 ปี ร้านสมูทที ‘Squeeze by Tipco’ แฟนผลไม้สดปั่นหวิว ขายวันสุดท้าย 28 พ.ย.นี้

เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 66 เพจเฟซบุ๊ก ‘Squeeze by Tipco’ ของร้านสควีซ บาย ทิปโก้ โพสต์ข้อความว่า “GoodBye Squeeze by Tipco ขอขอบพระคุณลูกค้าทุกท่านที่อยู่กับเราตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ถึงเวลาต้องจากลากันแล้ว

‘Squeeze by Tipco’ แบรนด์สมูทที ผลไม้แท้เต็มแก้ว ระดับพรีเมี่ยม เปิดให้บริการมาถึง 20 ปี เราบริการลูกค้าและเสิร์ฟสมูททีที่ดีที่สุด เพื่อให้ลูกค้าพึงพอใจที่สุด พวกเราชาว Squeeze จำเป็นต้องแจ้งข่าวนี้สำหรับแฟนคลับที่รักสมูททีของพวกเรา Squeeze by Tipco จะเปิดให้บริการวันสุดท้าย คือ 28 พฤศจิกายน 2566 ทุกสาขา

ขอขอบคุณลูกค้าทุกท่าน ที่ร่วมเป็นความทรงจำดีๆ ของชาว Squeeze by Tipco ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ขอบคุณทั้งคำชื่นชม และคำติชมต่างๆ ที่ทำให้ Squeeze by Tipco ปรับปรุงและพัฒนาขึ้นมาจนถึงตอนนี้ Squeeze by Tipco จะบริการลูกค้าทุกคนอย่างเต็มที่และสร้างความทรงจำดีๆ ให้ลูกค้า จนถึงวันสุดท้ายที่เราให้บริการ หากพนักงานทำผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยลูกค้ามากๆ ค่ะ”

รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า สำหรับร้าน Squeeze by Tipco (สควีซ บาย ทิปโก้) เป็นธุรกิจค้าปลีกน้ำผลไม้สดปั่น หรือ ‘สมูทที’ (Smoothie) ก่อตั้งโดย บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) เมื่อปี 2547 มีสาขาอยู่ในชอปปิงพลาซ่า โรงพยาบาล และอาคารสำนักงาน ทั้งบริหารเองและสาขาแฟรนไชส์ ภายใต้การบริหารงานโดย บริษัท ทิปโก้ รีเทล จำกัด ข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2566 มีสาขา Squeeze by Tipco รวม 17 แห่ง โดยที่ผ่านมามีบางสาขาทยอยปิดตัวไปแล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top