Saturday, 10 May 2025
TheStatesTimes

'สส.แจ้-ปราจีนฯ' จัดหนัก!! แฉ 'เด็กก้าวไกล' เอี่ยวรับเงินโรงงานกำจัดขยะหลายล้านบาท

เมื่อวานนี้ (5 พ.ย. 66) นายวุฒิพงศ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี ที่ถูกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ขับออกจากพรรค หลังถูกตรวจสอบพฤติกรรมคุกคามทางเพศ ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Wuttiphong Thonglour - วุฒิพงศ์ ทองเหลา’ ระบุว่า "ผมหยุดให้ข่าวใดๆ หลังจากที่แถลงไปในวันแรก แต่ ผช.สส. ของกรรมการพรรคบางท่าน ยังคงไล่ตีผมไม่หยุด หรือต้องให้ผมต้องพูดทั้งหมด?"

จากนั้น นายวุฒิพงศ์ ยังได้โพสต์ข้อความลงในคอมเมนต์ อีกว่า "ตามข้อมูลหลักฐานที่ผมเคยให้พรรคไป ผู้ช่วย สส. ของปราจีนบุรี (จากโควต้าของพรรค) คนนี้ เกี่ยวพันกับการเอื้อรับผลประโยชน์จากโรงงานกำจัดขยะหลายล้านบาท ส่วนเรื่องจะทุจริตหรือไม่ทุจริตก็ไปว่ากันในพรรค ซึ่งผมเดินออกมาแล้ว คงไม่ขอก้าวล่วงกระบวนการ แต่หากพรรคยังปล่อยปะ ให้ช่วย สส. ที่เป็นถึงผู้ช่วยของกรรมการบริหารพรรค ปล่อยข่าวมูลต่างๆ และสร้างความเสียหายกับผมเช่นนี้ ผมอาจจำเป็นต้องชี้แจงจากหลักฐานทั้งหมด ผมต้องการทำ และสร้างการเมืองที่ไม่ทุจริต"

"พ.ต.อ.ทวี" ยันพื้นที่ชายแดนใต้ไม่จำเป็นต้องประกาศ “พื้นที่คุมเข้มพิเศษปราบยาเสพติด” 

เหมือนภาคเหนือ 11 อำเภอ “เชียงใหม่-เชียงราย” ที่เพิ่งประกาศดีเดย์ 1 ธ.ค. แจงภาคกลาง-ภาคใต้ คือพื้นที่แพร่ระบาดและทางผ่าน หากไม่มีเจ้าหน้าที่กับผู้มีอิทธิพลเกี่ยวข้อง ยาเสพติดย่อมไปไม่ถึง มั่นใจกลไกที่มี “เอาอยู่”

เมื่อวานนี้ ( 5 พ.ย.66 ) พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงการใช้มาตรการพิเศษในการสกัดกั้นยาเสพติดลำเลียงเข้าพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ จะมีการนำมาใช้กับชายแดนภาคใต้ด้วยหรือไม่ว่า สำหรับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังไม่ถึงขนาดต้องประกาศมาตรการพิเศษตามมาตรา 5 ของประมวลกฎหมายยาเสพติด เพราะมีกฎหมาย ศอ.บต. (พระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2553) และกฎหมายพิเศษอื่นๆ ประกาศใช้อยู่แล้ว

อนี่ง เมื่อวันเสาร์ที่ 4 พ.ย.66 พ.ต.อ.ทวี เดินทางไปที่ จ.เชียงใหม่ และเชียงราย ประชุมร่วมกับแม่ทัพน้อยที่ 3 และสำนักงาน ป.ป.ส.ภาค 5 พร้อมประกาศว่า รัฐบาลเตรียมใช้นโยบายสำคัญ คือ ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 5 (10) ในการกำหนดพื้นที่พิเศษ และโครงสร้างเฉพาะเพื่อดำเนินการในพื้นที่ที่มีปัญหาการนำเข้ายาเสพติดรุนแรง ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ และเชียงราย ใน 11 อำเภอ โดยจะมีการจัดตั้ง “หน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์” เป็นหน่วยที่มีเอกภาพในการบริหารจัดการอย่างเบ็ดเสร็จ เพื่อสกัดกั้นไม่ให้ยาเสพติดเข้าสู่เขตภาคเหนือ ในระยะ 1 ปี โดยจะเริ่มต้นในวันที่ 1 ธ.ค.2566 จนถึงสิ้นปี 2567 ให้ทางกองทัพภาคที่ 3 และ ป.ป.ส. เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนภารกิจ ควบคู่ไปกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามแนวชายแดน

“การแก้ปัญหายาเสพติดเป็นนโยบายของรัฐบาลที่เป็นปัญหาเร่งด่วน เป็นปัญหาสำคัญที่ต้องการแก้ไขให้เห็นผลภายใน 1 ปี ทว่าแต่ละพื้นที่มีลักษณะแตกต่างกัน คือยาเสพติดโดยเฉพาะยาบ้า จากการตรวจพิสูจน์ ไม่มีโรงงานผลิต ในประเทศไทย ทั้งหมดเป็นยาเสพติดที่ถูกลักลอบนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน การประกาศนโยบายแต่ละพื้นที่จึงมีลักษณะที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะพื้นที่ทีมีการลักลอบนำเข้ายาเสพติด คือภาคเหนือกับภาคอีสานของประเทศไทย โดยเฉลี่ยภาคเหนือประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ ภาคอีสานประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ จึงต้องใช้มาตรการพิเศษในการสกัดกั้น” 

“แต่พื้นที่ที่มีการแพร่ระบาด พื้นที่ที่เป็นทางผ่าน คือพื้นที่ทางภาคกลางและภาคใต้ การแก้ปัญหาเรื่องผู้เสพยาเสพติด ผู้ค้ารายย่อย ผู้มาเกี่ยวข้องในพื้นที่ภาคใต้นั้น อาจจะไม่ถึงขนาดต้องประกาศตามมาตรา 5 เรามีกฎหมาย ศอ.บต. และกฎหมายเกี่ยวข้องใช้ในพื้นที่อยู่แล้ว” พ.ต.อ.ทวี อธิบาย 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าอวีกว่า มาตรการสำคัญที่ต้องดำเนินการทั่วประเทศ คือต้องทำให้ประชาชนที่ติดยาเสพยาได้รับการแก้ไข สิ่งหนึ่งคือต้องบำบัดฟื้นฟู ไม่ว่าเม็ดเดียวหรือหลายเม็ด ถือเป็นรายย่อย 

“เรื่องยาเสพติด ถ้าไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐหรือผู้ที่มีอิทธิพลเข้าไปเกี่ยวข้อง เข้าไปอยู่เบื้องหลังแล้ว ยาเสพติดจะไปไม่ถึงภาคใต้ และเราควรจับมือกับมาเลเซียเพื่อร่วมกันทำงาน ต่อไปนี้อยากเห็นชุมชน สถาบันการศึกษา ร่วมกันบำบัดฟื้นฟู เอาเยาวชนที่มีคุณภาพกลับคืนสู่ครอบครัว กลับคืนสู่โรงเรียนและสังคมให้ได้ นี่เป็นวาระที่เราจะทำภายใน 1 ปี”

@@ ยาบ้าเกิน 5 เม็ดถือเป็นผู้ค้า ส่อทำนักโทษพุ่ง 1 หมื่นคน

ต่อข้อถามถึงจำนวนยาเสพติดที่เคยเสนอว่าหากครอบครองเกิน 10 เม็ดจะถือเป็นผู้ค้า ถ้าต่ำกว่า 10 เม็ดเป็นผู้เสพ ต้องเข้ารับการบำบัด ทว่าสุดท้ายหน่วยงานอื่น รวมทั้งกระทรวงสาธารณสุขสรุปตัวเลขที่ 5 เม็ด หากครอบครองเกิน 5 เม็ดจะเป็นผู้ค้า จะทำให้มีปัญหาตามมาหรือไม่ 

ประเด็นนี้ พ.ต.อ.ทวี ตอบว่า “จะ 5 เม็ดหรือ 10 เม็ดอยู่ที่เป้าหมาย ถ้าเป็นผู้เสพต้องดูข้อมูลความรุนแรงทางการแพทย์ เทียบกับปริมาณการใช้ แต่ถ้าเป็นผู้ค้า ถ้ากำหนด 10 เม็ด เขาก็พกพา 9 เม็ด ถ้ากฎหมายกำหนด 5 เม็ด เขาก็จะพกพา 4 เม็ด คาดการณ์ว่าหลักเกณฑ์ใหม่นี้จะทำให้มีนักโทษเพิ่มขึ้นประมาณ 10,000 คน”

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

ผบ.ตร. สุ่มตรวจเยี่ยมหน่วย ด่านตม.เชียงแสน

ผบ.ตร. สุ่มตรวจเยี่ยมหน่วย ด่าน ตม.เชียงแสน ไม่แจ้งล่วงหน้า กำชับ 4 เน้นหนัก "ความปลอดภัยนักท่องเที่ยว ปราบปรามยาเสพติด อาชญากรรมเทคโนโลยี และสวัสดิการขวัญกำลังใจผู้ใต้บังคับบัญชา" เพื่อเร่งขับเคลื่อนการดูแลพี่น้องประชาชนตามนโยบายรัฐบาล

วานนี้ (5 พ.ย.66)  เวลา 13.45 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมด่านตรวจคนเข้าเมืองเชียงแสน จว.เชียงราย ซึ่งเป็นการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า พบ ร.ต.อ.มานพ ใจปลา รอง สว.ด่าน ตม.เชียงแสน พร้อมเจ้าหน้าที่ ด่าน ตม.เชียงแสน  อยู่ปฏิบัติหน้าที่

ผบ.ตร. ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ด่าน ตม.เชียงแสน ให้ความสำคัญกับอาชญากรรมที่สร้างความเดือดร้อน เอารัดเอาเปรียบพี่น้องประชาชนคนไทยที่อาจถูกหลอกลวงให้เดินทางไปทำงานที่ผิดกฎหมายในประเทศเพื่อนบ้าน อีกทั้งเน้นย้ำให้ความสำคัญกับการป้องกันการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในประเทศ โดยให้ร่วมบูรณาการกำลังกับหน่วยที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ และขอให้ดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวที่เดินทางผ่านด่านเชียงแสนอย่างเต็มกำลัง เพื่อตอบสนองนโยบายสำคัญของนายกรัฐมนตรี 

โดย ผบ.ตร. ยังได้ร่วมรับประทานอาหารกับเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองเชียงแสนอย่างเรียบง่าย เพื่อพูดคุย สอบถามสภาพปัญหา ข้อขัดข้อง ในการทำงาน และอยากทราบข้อเสนอแนะเพื่อนำไปพิจารณาจัดสรรสวัสดิการ เสริมสร้างขวัญกำลังใจของพี่น้องข้าราชการตำรวจและครอบครัว 

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้กล่าวชื่นชมข้าราชการตำรวจทุกนายที่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลัง แม้จะเป็นการมาตรวจเยี่ยมโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า แต่รู้สึกประทับใจ โดย ผบ.ตร. ยังย้ำเสมอ ไม่ต้องการให้ข้าราชการตำรวจมาดูแล ผบ.ตร. ขอให้เอาเวลาที่มีไปดูแลพี่น้องประชาชนให้ดี และผู้บังคับบัญชาต้องเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อร่วมกันสร้าง "องค์กรปราบปรามอาชญากรรมและบังคับใช้กฎหมาย ในระดับมาตรฐานสากลที่ประชาชนเชื่อมั่นศรัทธา" ไปด้วยกัน

คำต่อคำ 'คุณหญิงกอแก้ว-ณพ' เปิดข้อมูลชนะคดี WEH 6 ปี 6 คดี ศาลยกฟ้องหมดทุกคดี 'โกงเจ้าหนี้-ปลอมลายเซ็น-ปลอมเอกสาร'

เมื่อวันที่ 2 พ.ย. 66 นายณพ ณรงค์เดช และคุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา พร้อมที่ปรึกษากฎหมาย จัดแถลงข่าวเปิดข้อมูลสำคัญและยืนยันความบริสุทธิ์คดีครอบครัวและคดีหุ้น บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (WEH) หลังศาลชั้นต้นพิพากษาชนะ 6 คดี 

>> ‘คุณหญิงกอแก้ว’ พ้นผิด 

คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา เปิดเผยว่า ที่มาไม่ได้ออกมาพูดหรือให้ข่าวใด ๆ เพราะต้องการความชัดเจนของกฎหมายและศาล ตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าดิฉันไม่โกงใคร และไม่ได้ปลอมลายเซ็นใครตามที่กล่าวหา 

ที่ผ่านมามีการเผยแพร่ข่าวที่ไม่ครบถ้วน ทำให้สาธารณชนเข้าใจผิด ดิฉันในวัย 70 ปี ครอบครัวของดิฉันอยู่อย่างสงบร่มเย็นเป็นสุข และใช้ชีวิตอย่างสบาย ๆ ไม่ได้ต้องการอะไรของใคร

จนกระทั่งวันหนึ่ง นายณพ ณรงค์เดช ซึ่งเป็นสามีของลูกสาว และเป็นพ่อของหลาน 2 คน มาขอความข่วยเหลือ ดิฉันก็ต้องช่วยเหลือ ซึ่งในวันนั้นไม่มีใครให้ความช่วยเหลือเขาเลย และไม่มีใครอยากจะยุ่งกับ บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (WEH) ดิฉันเมื่อรักลูกรักหลาน ดิฉันก็ต้องรักลูกเขยด้วย วันนั้นถ้าดิฉันไม่ได้ซื้อหุ้น WEH ไว้ บริษัทอาจถึงขั้นล้มละลาย เพราะธนาคารไทยพาณิชย์ ก็จะไม่ให้สินเชื่อ

“ณพ มาพูดกับดิฉันว่าเป็นคนสุดท้ายที่จะขอความช่วยเหลือ ดิฉันจึงตัดสินใจว่าให้ความช่วยเหลือ แต่มีเงื่อนไขว่าแม่จะไม่ออกหน้า ณพหาคนที่เชื่อใจ และไว้ใจได้มาใส่ชื่อแทนแม่”

เมื่อ WEH พ้นวิกฤต ดิฉันก็ไม่คิดเลยว่าเหตุการณ์วุ่นวายจะเกิดขึ้น เมื่อ WEH พ้นวิกฤตและทำรายได้ปีละหลายพันล้านบาท คดีความต่าง ๆ การกล่าวหาก็เกิดขึ้น เพื่อต้องการอยากได้หุ้น 

“ถ้าคุณลงทุนคุณก็ต้องได้หุ้น ถ้าคุณไม่ลงทุนคุณย่อมไม่มีสิทธิ์ อันนี้เป็นสิ่งที่เราชัดเจน เมื่อไม่ลงทุนแต่อยากได้หุ้น เมื่อไม่ได้หุ้นก็เบี่ยงเบนหลักฐาน ความจริง แต่ทุกอย่าง การเงิน เรามีครบไม่ใช่พูดไปเรื่อย พูดไม่ครบ พูดเบี่ยงเบน ไม่ครบประโยค ไม่ครบเรื่อง พูดแต่เป็นบางส่วน หยิบมาทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย ตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าศาลได้มีคำพิพากษาออกมาทั้ง 3 ศาล ว่าดิฉันไม่ได้โกง และไม่ได้ปลอมลายเซ็นใครอย่างที่กล่าวหา” 

>> ‘อภิมุข ทองคำ’ ลงลึกชนะ 5 คดี  

นายอภิมุข ทองคำ ที่ปรึกษากฎหมาย กล่าวว่า วัตถุประสงค์ในการแถลงข่าวครั้งนี้ เพื่อต้องการให้เกิดความชัดเจนทั้งในมุมมองของสื่อมวลชนและสาธารณชนที่จะได้รับทราบข้อมูล

ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นมาหลายปี มีการออกข่าวทั้งแบบที่ครบถ้วน ไม่ครบถ้วนบ้าง ในฐานะที่ช่วยดูแลคุณหญิงกอแก้ว และคุณณพ ณรงค์เดช

โดยปัจจุบันมีคดีที่มีผลพิพากษาออกมาแล้ว ถึงแม้จะเป็นคำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่ก็มีข้อเท็จจริง มีเหตุผลในการใช้ดุลยพินิจของศาลที่วินิจฉัยและฟังพยานหลักฐาน จนมีความพิพากษาออกมา

ดังนั้นอยากให้สื่อมวลชนได้รับทราบข้อเท็จจริงที่ลึกขึ้นจากการวิเคราะห์คำพิพากษาของศาลในประเด็นที่เป็นเหตุเป็นผลและเกี่ยวข้อง คือ 

1.ใครเป็นเจ้าของหุ้น WEH มีบุคคลใดบ้างเป็นเจ้าของหุ้น
2.ใครจ่ายเงินค่าหุ้น WEH บ้าง
3.ปลอม-ไม่ปลอมเอกสาร / ใช้-ไม่ใช้เอกสารปลอมที่ไหนบ้าง 

โดยมี 5 คดีหลัก ๆ ที่เกี่ยวพันในเรื่องที่เกิดขึ้นจากความเข้าใจผิดหรือคลาดเคลื่อนกับข้อเท็จจริง

คดีที่ 1 - คดีฮ่องกง HCA 1525/2018 (ศาลเขตปกครองพิเศษฮ่องกง)
เกษม ณรงค์เดช เป็นโจทก์ ฟ้องโกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด จำกัด จำเลยที่ 1 ณพ ณรงค์เดช จำเลยที่ 2 คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา จำเลยที่ 3 เรื่องละเมิดและขอคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว เมื่อปี 2561 

คำพิพากษา: อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง โดยให้ชำระค่าใช้จ่ายในอัตราสูงสุด ให้แก่จำเลย   

คดีที่ 2 - คดีใช้เอกสารปลอม อ.2497/2561 (ศาลอาญา รัชดา)
เกษม ณรงค์เดช เป็นโจทก์อ้างว่าตนเองในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท โกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด จำกัด ฟ้องคุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา จำเลยที่ 1 ณพ ณรงค์เดช จำเลยที่ 2 และสุรัตน์ จิรจรัสพร จำเลยที่ 3 เรื่องความผิดเกี่ยวกับเอกสาร เมื่อปี 2561 

คำพิพากษา: ยกฟ้อง พยานผู้เชี่ยวชาญยันกันไม่อาจรับฟังเป็นยุติ ลายมือชื่อไม่ได้ผิดแผกแตกต่างให้เห็นชัดเจนว่าเป็นลายมือชื่อปลอม เงินช่วยเหลือจากครอบครัวก็เป็นเงินกู้ยืม ซึ่ง ณพ รับผิดชอบภาระหนี้และการบริหารจัดการคนเดียวจึงไม่ใช่การร่วมลงทุนในความหมายของกฎหมาย พยานโจทก์รับฟังไม่ได้โดยปราศจากข้อสงสัย ว่าเอกสารทั้ง 3 ฉบับเป็นเอกสารปลอม 

คดีที่ 3 - คดีเรียกทรัพย์คืน พ.1031/2562 (ศาลแพ่งกรุงเทพใต้) 
เกษม ณรงค์เดช เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลย 14 คน และมีจำเลยร่วมอีก 31 คน เมื่อปี 2562 เรื่องให้เรียกทรัพย์คืน (หุ้นบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด) 

คำพิพากษา: โจทก์ขอถอนฟ้อง ไปเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2566 ซึ่งเรื่องนี้ โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง หลังจากที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเพิกถอนการอายัตเงินปันผลของบริษัท วินด์ฯ โดยให้เหตุผลชัดเจนว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง แม้หากฟังว่า เกษม ให้หุ้นดังกล่าวแก่ ณพ การเรียกคืนจะต้องปรากฏว่า ณพ ประพฤติเนรคุณ แต่ไม่ปรากฏเหตุว่า ประพฤติเนรคุณ

คดีที่ 4 - คดีผิดสัญญา เรียกทรัพย์คืน พ.978/2565 (ศาลแพ่งกรุงเทพใต้)
กฤษณ์ และกรณ์ ณรงค์เดช เป็นโจทก์ร่วมฟ้อง ณพ ณรงค์เดช เป็นจำเลยที่ 1 บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด เป็นจำเลยที่ 2 บริษัท โกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด จำกัด เป็นจำเลยที่ 3 และคุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา เป็นจำเลยที่ 4 เมื่อปี 2565 เรื่องสัญญาเพิกถอนนิติกรรม เรียกทรัพย์คืน 

คำพิพากษา: ยกฟ้อง โจทก์ทั้งสองไม่สามารถนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่า เอกสารดังกล่าวในการโอนหุ้นไม่เป็นเอกสารที่แท้จริง หรือเป็นพยานเอกสารที่รับฟังไม่ได้เพราะเหตุใด ข้อกล่าวอ้างต่าง ๆ เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักหักล้างข้อสันนิษฐานกฎหมาย เมื่อโจทก์สืบไม่ได้จึงต้องฟังว่า การโอนหุ้นพิพาทหรือการซื้อหุ้นพิพาทมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ก็ทำถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำหนดไม่เป็นโมฆะ เรื่องความเห็นเจ้าของหุ้นของโจทก์ทั้งสอง เมื่อได้ความว่า เงินที่ซื้อหุ้นพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ทั้งสองและไม่ปรากฏว่าเอกสารที่อ้างเป็นเอกสารปลอม การโอนหุ้นพิพาทถูกต้องตามแบบของกฎหมาย จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของหุ้นพิพาท ไม่จำต้องโอนหุ้นคืนแก่โจทก์ทั้งสอง

คดีที่ 5 - คดีปลอมลายเซ็น อ.1708/2564 (ศาลอาญากรุงเทพใต้) 
คดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด (สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1) เป็นโจทก์ฟ้อง ณพ ณรงค์เดช กับพวกรวม 3 คน เมื่อปี 2564 ในฐานความผิด ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอม ร่วมกันปลอมเอกสาร และใช้เอกสารปลอม 

คำพิพากษา: ยกฟ้อง ศาลใช้ดุลพินิจรับฟังว่า เอกสารทั้ง 6 ฉบับปลอม แต่ทางนำสืบและพยานหลักฐานรวมทั้งคำเบิกความของเกษมไม่มีข้อเท็จจริงใดที่ยืนยันว่า ณพ คุณหญิงฯ และสุภาพร เป็นผู้ปลอม มีส่วนเกี่ยวข้องในการลงลายมือชื่อหรือนำมาใช้หรืออ้างชื่อใด ซึ่ง กฤษณ์ ก็เบิกความว่า ไม่ทราบว่าใคร เป็นผู้ลงลายมือชื่อปลอม ส่วน กรณ์ ก็เบิกความว่า ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ในขณะลงลายมือชื่อ จึงไม่ทราบว่า ผู้ใดลงลายมือชื่อ จึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสามไม่ได้ร่วมกันปลอมหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการปลอม

>>‘ณพ’ เปิดข้อมูลพิสูจน์ความบริสุทธิ์หุ้น WEH 

นายณพ ณรงค์เดช ระบุว่า เป็นเวลาเกือบ 6 ปีแล้ว ที่มีบุคคล 2 กลุ่ม คือนายนพพร ศุภพิพัฒน์ ผู้ขายหุ้น บริษัท วินด์ เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง (WEH) ให้กับผม และพี่กับน้องของผม คือ นายกฤษณ์ ณรงค์เดช และนายกรณ์ ณรงค์เดช ได้ทำการเผยแพร่ และให้ข่าวเกี่ยวกับการที่พวกเขามาฟ้องคดีผม และคุณหญิงกอแก้ว โดยใช้วิธีการให้ข่าวที่เบี่ยงเบนประเด็น โดยไม่ให้ข้อเท็จจริงครบถ้วน เพื่อทำให้ผู้ติดตามข่าว เกิดความเข้าใจผิดว่าผมไปโกง นายนพพร ไปโกงพี่น้อง ซึ่งทำให้ผม คุณหญิงกอแก้ว ภรรยา และลูก ๆ เสื่อมเสียชื่อเสียง และได้รับผลกระทบต่าง ๆ มากมาย แต่เราเลือกที่จะไม่ตอบโต้ และรอให้ศาลมีคำพิพากษาครบทุกคดี จึงค่อยออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงทีเดียว เพื่อให้เกิดความชัดเจนในเรื่องราวที่เกิดขึ้น ความจริงคืออะไร ใครกันแน่ที่โกง

เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2565 และวันที่ 28 ก.ย.2566 ศาลอาญารัชดา และศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้มีคำพิพากษายกฟ้องทั้ง 2 คดี ในเรื่องที่พี่ชายและน้องชาย ได้ให้ นายเกษม ณรงค์เดช (คุณพ่อ) ฟ้องผม และคุณหญิงกอแก้ว ในข้อหาใช้เอกสารปลอม และปลอมเอกสาร 

ล่าสุด เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2566 ที่ผ่านมา (คดีที่ 6) ศาลแขวงพระนครใต้ ซึ่งเป็นคดีที่ นายนพพร ศุภพิพัฒน์ อดีตผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นใหญ่ WEH ได้ฟ้องผมและพวกเป็นคดีอาญาฐานโกงเจ้าหนี้ ซึ่งเป็นคดีสุดท้ายที่รอฟังคำพิพากษาอยู่ ศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทุกคนเช่นเดียวกัน

ดังนั้น วันนี้ผมจึงพร้อมชี้แจงข้อเท็จจริงอย่างครบถ้วน เพื่อชี้แจงให้เห็นถึงการเบี่ยงเบนประเด็นที่ทำให้ผมเป็นคนผิด ทั้ง ๆ ที่พยานหลักฐานชัดเจนแล้วว่าผมไม่ได้ทำผิดใด ๆ 

โดยเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เกิดจากการที่ผมเข้าไปซื้อหุ้น WEH จากนายนพพร ซึ่งหลบหนีออกนอกประเทศไทยจากการเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาฐานทำร้ายร่างกาย และหน่วงเหนี่ยวกักขัง ซึ่งกระทำการผิดตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา จึงมีความจำเป็นต้องขายหุ้น WEH ออกมา เป็นการขายหุ้นแบบขายขาด และได้โอนหุ้นให้ผมก่อน แล้วค่อยชำระเงินค่าหุ้นที่หลัง เพื่อแก้ปัญหาของ WEH ที่ไม่สามารถกู้เงินเพื่อดำเนินกิจการต่อไปได้ จากปัญหาที่นายนพพร เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ธนาคารจึงไม่ให้สินเชื่อ 

ทั้งนี้ เมื่อผมได้รับโอนหุ้นมาก็ได้จ่ายเงินค่าซื้อหุ้นงวดแรกให้นายนพพรไปแล้วเมื่อปลายปี 2558 จำนวน 90.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณกว่า 3,000 ล้านบาท แต่เมื่อนายนพพรได้รับเงินไปแล้ว ได้ไปฟ้องคดีเรียกหุ้นคืน ซึ่งแพ้คดี อนุญาโตตุลาการบังคับให้นายนพพรปฏิบัติตามสัญญา คือ ให้รับชำระเงินค่าหุ้นในส่วนอื่น ๆ ต่อไป และจะเอาหุ้นคืนไม่ได้ 

ผมจึงได้ชำระเงินค่าหุ้นส่วนที่เหลือ 85.75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,000 ล้านบาท ให้นายนพพรไปตั้งแต่ต้นปี 2561 ครบถ้วนตามสัญญา เหลือเพียงเงินโบนัสที่ยังโต้แย้งกันอยู่ในคดีของศาลไทยเท่านั้น และเมื่อนายนพพรได้รับเงินไปแล้ว แต่ไม่ได้หุ้นคืน ก็ไปฟ้องคดีอื่น ๆ ตามมาอีกหลายคดี ทั้งในเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ในประเทศไทย และในประเทศอังกฤษ

สำหรับคดีทุก ๆ คดี ทั้งในเขตบริหารพิเศษฮ่องกง และในประเทศไทย ศาลได้ตัดสินให้คุณหญิงกอแก้วและผมชนะทุกคดี มีเพียงศาลอังกฤษเพียงศาลเดียวที่ตัดสินคดีบนกฎหมายไทย ตัดสินให้คุณหญิงกอแก้วและตนเองแพ้คดีต้องชดใช้เงินจำนวนมหาศาลให้แก่นายนพพร โดยศาลอังกฤษนี้ อ้างความชอบธรรมที่จะฟังความจากนายนพพรเพียงข้างเดียว โดยเขียนคำพิพากษาในทำนองว่านายนพพร เป็นผู้สุจริต โดยไม่โต้แย้ง หรือเขียนถึงข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่ฝ่ายผมในฐานะจำเลยได้นำสืบว่านายนพพรเป็นคนไม่สุจริตไว้ในคำพิพากษาเลย

ข้อยกตัวอย่าง 4 ข้อ 1.นายนพพร ถูกพิพากษาจำคุกโดยศาลชั้นตนและศาลอุทธรณ์ในประเทศไทย ฐานความผิดยักยอกทรัพย์ 2.นายนพพร เป็นผู้ต้องหาหนีคดีอาญาฐานทำร้ายร่างกายและหน่วงเหนี่ยวกักขัง และกระทำผิดมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา

3.นายนพพร ถูกศาลฮ่องกงพิพากษาว่าจงใจปกปิดข้อเท็จจริงสำคัญในการดำเนินคดีที่ศาลญี่ปุ่น และ 4.นายนพพร ได้ขัดขวางไม่ให้ผมหาเงินกู้มาชำระค่าหุ้น WEH ให้กับนายนพพรให้ทันที่กำหนด เพื่อให้ผมผิดนัด และให้นายนพพรอ้างเป็นเหตุบอกเลิกสัญญาซื้อขาย เพื่อเรียกเอาหุ้น WEH คืนทั้งหมด ตามที่นายนพพรวางแผนไว้ ซึ่งในที่สุดผมก็เป็นผู้ชนะคดี

ขณะที่คดีที่ศาลอังกฤษ นายนพพร ได้ใช้สื่อที่วางแผนเอาไว้ประโคมข่าวอย่างหนัก โจมตีว่าคุณหญิงกอแก้ว และผม โกงเขา ซึ่งในคำพิพากษาที่ศาลอังกฤษที่ได้ใช้กฎหมายไทยนี้ได้ถูกศาลแขวงพระนครใต้ของไทยตัดสินกลับแล้วเมื่อวันที่ 31 ต.ค.2566 ที่ผ่านมา ในคดีที่นายนพพรฟ้องผมและพวกเป็นคดีอาญาฐานโกงเจ้าหนี้ ซึ่งศาลไทยได้มีคำพิพากษาว่าไม่มีการโกงเจ้าหนี้ และให้ยกฟ้อง

>> ยันครอบครัวณรงค์เดชไม่ได้ร่วมลงทุน WEH 

สำหรับเรื่องผมกับพี่น้องครอบครัวณรงค์เดชเป็นเรื่องที่มีคุณพ่อเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เป็นเรื่องที่ผมเสียใจที่สุด และไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นในชีวิตผม โดยมูลเหตุที่เกิดขึ้นมาจากการเข้าไปซื้อหุ้น WEH ที่ซื้อมาจากนายนพพร ซึ่งพี่น้องต้องการหุ้น WEH ที่ผมซื้อมาไปเป็นของเขาจำนวน 49% แบบฟรี ๆ โดยผมเป็นผู้ลงทุนคนเดียวส่วนตัว ไม่ใช่เป็นของกงสี ดังนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องนำมาหาร 3 

“ยืนยันว่าเงินที่นำไปซื้อหุ้น WEH ได้กู้ยืมจากครอบครัวณรงค์เดชมาส่วนหนึ่ง แต่ได้มีการใช้คืนพร้อมดอกเบี้ยไปแล้ว เหลืออีกเพียง 500-600 ล้านบาท เท่านั้น โดยมีการทำสัญญากู้ยืมเงินอย่างชัดเจน ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นการเข้ามาร่วมลงทุนในหุ้น WEH ในส่วนที่ผมซื้อมาจากนายนพพรแต่อย่างใด”     

ทรัพย์สินที่ถือร่วมกันของพี่น้องรอเวลาแบ่งสรรกันมีเพียงทรัพย์มรดกหลายรายการที่คุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช (คุณแม่) กำหนดไว้ชัดเจนในพินัยกรรมให้แบ่งกันระหว่างพี่น้องทั้ง 3 คน โดยกำหนดให้ นายกฤษณ์ ณรงค์เดช ในฐานะพี่ชายตนโตเป็นผู้จัดการมรดก แต่ปัจจุบันก็ยังไม่ได้มีการแบ่งออกมาตามพินัยกรรม

ส่วนธุรกิจที่มีนายกฤษณ์ นายกรณ์ และผม ถือหุ้นร่วมกันคนละ 1 ใน 3 มีเพียง บริษัท เคพีเอ็น แลนด์ จำกัด เท่านั้น ซึ่งในอดีตผมได้ทำหน้าที่ดูแลธุรกิจนี้ให้กับครอบครัวด้วยความเต็มใจ จนกระทั่งเกิดความขัดแย้งเรื่องหุ้น WEH จึงถูกกันออกมาไม่ให้ร่วมบริหาร หรือร่วมตัดสินใจใด ๆ รวมทั้งการที่ เคพีเอ็น แลนด์ เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นของ บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML ด้วย ทั้ง ๆ ที่เป็นผู้ถือหุ้นอยู่ 1 ใน 3 

ขณะที่ธุรกิจส่วนตัวในปัจจุบัน คือ สถาบันดนตรี เคพีเอ็น ที่ได้ทำขึ้นตามความปรารถนาของมารดา ปัจจุบันมีทั้งหมด 26 สาขาทั่วประเทศ และธุรกิจโรงพยาบาลนวเวช ได้ร่วมลงทุนกับผู้ถือหุ้นอีก 2 บริษัท

นายณพ กล่าวว่า ที่ผ่านมา เมื่อมีธุรกิจที่น่าสนใจ ผมจะชวนพี่กับน้องก่อนเสมอว่าสนใจร่วมลงทุนด้วยหรือไม่ รวมถึงกรณีการเข้าซื้อหุ้น WEH แต่ได้รับคำตอบว่า "เพ้อฝัน" เขาปฎิเสธที่จไม่ลงทุนกับผม ผมจึงเดินหน้าจัดหาเงินทุนด้วยตนเอง เพราะเชื่อว่าธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่มีอนาคต 

“เมื่อผมเข้าไปบริหาร WEH จนมีกำไรสามารถจ่ายเงินปันผลได้ พี่กับน้องผมก็มากล่าวอ้างว่าได้ร่วมลงทุนด้วย ผมได้ชี้แจงไปว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง และไม่เป็นธรรม แต่นายกฤษณ์ นายกรณ์ ได้ยื่นฟ้องผมต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เพื่อบังคับให้โอนหุ้น WEH ให้เขาทั้ง 2 คน รวมกัน 49% แบบฟรี ๆ โดยอ้างว่าร่วมลงทุนด้วย ซึ่งศาลพิพากษาว่าทั้ง 2 คน ไม่ได้ร่วมลงทุนซื้อ จ่ายเงินค่าหุ้น WEH ร่วมกับผม นอกจากนี้ ยังไปฟ้องคดีอาญาว่าคุณหญิงกอแก้วและผม ร่วมกันปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม เพื่อกดดันให้ผมยอมแบ่งหุ้น WEH ให้กับเขาทั้ง 2 คน ซึ่งศาลก็ได้ยกฟ้องแล้วทุกคดี” 

ส่วนการแถลงข่าวเรื่องปลอมเอกสาร ก็เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากผลของคดีที่ยกฟ้องทั้ง 2 คดี คุณหญิงกอแก้ว และผมไม่ได้ปลอมเอกสาร รวมทั้งไม่ได้ใช้เอกสารปลอม ขณะที่นายกฤษณ์ นายกรณ์ ไม่เคยให้ข่าวว่าศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้พิพากษายกฟ้องว่านายกฤษณ์ และนายกรณ์ ไม่ได้ร่วมลงทุนซื้อหุ้น WEH กับผมเลย เท่ากับไม่มีสิทธิ์ใด ๆ ในหุ้น WEH ที่พยายามบอกสื่อ เป็นเท็จทั้งสิ้นว่าผมโกง 

นอกจากนี้ นายกฤษณ์ ไม่เคยให้ข่าวเลยว่าถูกผมฟ้องฐานเป็นผู้จัดการมรดกที่ไม่ยอมแบ่งทรัพย์มรดกตามเจตนารมณ์ของคุณแม่ที่เขียนไว้ในพินัยกรรมให้แก่ผมและหลาน ๆ ตั้งแต่ปี 2556 ซึ่งเป็นเวลา 10 ปีแล้วที่คุณแม่จากไป นายกฤษณ์ ก็ยังมีพฤติการณ์เบียดบังค่าเช่าที่ดิน ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกไปเป็นของตนเองแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งผมได้ฟ้องเรื่องนี้ที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ และศาลคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก นายกฤษณ์ เป็นเวลา 12 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และยังมีพฤติการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้ ซึ่งนายกฤษณ์อาจจะต้องรับผิดเพิ่มอีกในหลายกรณี

“ที่ผ่านมาผมเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัว จึงไม่ต้องการพูดผ่านสื่อ เพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน แต่นายกฤษณ์ และนายกรณ์ ได้ใช้สื่อในการให้ร้าย กล่าวหาผมว่าเป็นคนโกงพี่โกงน้อง ทำให้ครอบครัวมีปัญหา จนเกิดความแตกแยกในครอบครัว ผมจึงถูกบังคับด้วยสถานการณ์ให้ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงให้ครบ เพื่อที่จะสรุปได้ว่าใครกันแน่ที่โกง แม้ว่าหลายปีที่ผ่านมา ผมจะไม่มีโอกาสได้เข้าไปพบคุณพ่อที่บ้านได้ ซึ่งผมและลูก ๆ เคารพคุณพ่ออย่างสูงเช่นเดิม และรอวันที่จะได้เข้าไปกราบคุณพ่อ”

>> ‘วีระวงศ์’ ไม่ฟันธงใครถือหุ้นใหญ่ WEH 

นายวีระวงศ์ จิตรมิตรภาพ ที่ปรึกษากฎหมาย กล่าวว่า การซื้อขายหุ้นระหว่างนายนพพร กับนายณพ เป็นการซื้อหุ้นของ REC ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ WEH สัดส่วน 59.45% และเนื่องจาก WEH ที่มีโครงการพลังงานลม 8 โครงการ ดำเนินการไปแล้ว 2 โครงการ และโครงการที่ 3 โครงการวัดตะแบก ธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนสินเชื่อ 8 โครงการ ได้ชะลอสินเชื่อโครงการวัดตะแบก 4,000 ล้านบาท หลังจากที่มีคดีฟ้องร้องเรื่องหุ้น WEH ที่ทางนายนพพรไปฟ้องที่ศาลในอังกฤษ

หากนายนพพรชนะ ก็จะกลับมาเป็นเจ้าของ REC ซึ่งธนาคารไทยพาณิชย์ก็จะต้องเบรกการให้เงินกู้ ซึ่งจะทำให้โครงการที่เหลือ 5 โครงการเกิดไม่ได้ และเสี่ยงถูก GE ซึ่งเป็นผู้ผลิตกังหันลมฟ้อง รวมถึงการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่เป็นคู่สัญญาซื้อขายไฟฟ้า ตนเองซึ่งเป็นที่ปรึกษากฎหมายก็แนะนำให้ปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น REC เปลี่ยนมาให้เป็นชื่อคุณหญิงกอแก้วซื้อแทนนายเกษม ในราคา Book Value ที่ 2,400 ล้านบาท ซึ่งต่อมาโอนไปให้ บริษัท โกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด จำกัด (GML) ซึ่งสุดท้าย GML ถือ WEH 37.87% เพื่อที่จะให้ธนาคารไทยพาณิชย์ให้สินเชื่อเพื่อเดินหน้าโครงการต่อไป

ทั้งนี้ นายวีระวงศ์ กล่าวอีกว่า ใครเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ WEH มีหลายเรื่องสับสน หุ้น WEH ได้กระจายออกไปหลายส่วน ประเด็น ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่การนำหุ้น WEH เข้าตลาดหลักทรัพย์ โดยประเด็นที่นายนพพรกับนายณพ ที่มีข้อตกลงว่าจะมีการจ่ายส่วนโบนัส 525 ล้านเหรียญ หาก WEH สามารถเดินหน้า 5 โครงการ และเข้าตลาดหุ้นได้ นอกจากส่วนที่นายณพ ได้จ่ายค่าหุ้นไปแล้วดังลก่าว เรื่องนี้มีคนเข้ามาเกี่ยวข้องจำนวนมากและลามไปถึงนักลงทุนอื่น เราต้องวิเคราะห์เรื่อง WEH ให้ชัดเจน

ส่วนนายณพและคุณหญิงกอแก้วถือหุ้น WEH กี่เปอร์เซ็นต์นั้น ขอเรียนว่าไม่มีใครถือหุ้น WEH ตรง ๆ เลย มาเกิดการถือหุ้นตรง ๆ ตอนที่ GML เข้ามาถือหุ้น WEH ซึ่งเมื่อศาลระบุว่าสัญญาซื้อขายหุ้น REC มาให้นายเกษม เป็นสัญญาปลอม ก็แสดงว่าโมฆะ เมื่อโมฆะ ก็ถือว่าใครที่เอาไปก็เป็นโมฆะ ดังนั้นตอนนี้ใครเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ WEH ก็ได้ตั้ง ? ไว้ เพราะยังไม่ได้มีการฟันธง

‘โตโน่’ ถ่ายคลิปสมาชิกในบ้าน หลังอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา พร้อมแวะแซว!! ‘ณิชา’ แฟนสาว "คุณเป็นใครมาอยู่บ้านผม?"

(6 พ.ย. 66) เล่นเองเขินกันเองซะงั้น เมื่อนักร้องหนุ่ม ‘โตโน่ ภาคิน’ ควงหวานใจ ‘ณิชา ณัฏฐณิชา’ ที่ว่างจากการถ่ายละครแล้ว เดินทางกลับบ้านเกิดจังหวัดขอนแก่นด้วยกัน พร้อมกับ คุณแม่น้อย สุดลมโชย และ ต้องตา น้องสาว เพื่อไปเป็นกำลังใจเชียร์เจ้าตัวลงสนามแข่งขันฟุตบอล ให้กับสโมสรขอนแก่น เอฟซี ทีมในไทยลีก 3

โดย ‘โตโน่’ ได้โพสต์คลิปผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว แนะนำคนในบ้านที่มารวมตัวกันพร้อมหน้า เริ่มจาก น้องเขย, หลาน, เพื่อนน้องสาว, น้องสาว, คุณแม่ กับหลานตัวน้อยสมาชิกใหม่ ต่อด้วยน้องสาวอีกคนนึง แล้วก็คุณป้าอีก 2 ท่าน

ก่อนจะแพลนกล้องไปที่ ‘ณิชา’ ที่นั่งอยู่บนโซฟาพร้อมกับพูดแซวขำๆ ว่า "ส่วนคุณเป็นใครมาอยู่บ้านผม ฮะคุณเป็นใคร" จากนั้นฝ่ายหญิงได้ยิ้มตอบกลับแบบเขินๆ ว่า "ฉันเป็นเพื่อนต้องตา"

งานนี้แฟนๆ ต่างเข้ามาคอมเมนต์ช่วยตอบคำถามแทนณิชากันยกใหญ่ อาทิ ชั้น…เป็นคู่ชีวิต…ของคุณ, คนสุดท้ายแฟนคนถ่ายมั้ยนะ, คนสุดท้ายสมาชิกใหม่ครอบครัวของผม, แฟนคุณไงคะ, แฟนคุณไง คุณโตโน่, ว้ายๆๆๆๆๆ….. แม่ของลูกปมครับ ฯลฯ

‘หมออั้ม’ สวน ‘ต้องเต’ ไม่เข้าใจ Soft Power อย่างแท้จริง ถามแรง!! “รู้ไหมพาหนังโกอินเตอร์ ต้องประสานหน่วยงานไหน?”

หลังจากที่ ‘ต้องเต ธิติ ศรีนวล’ ผู้กำกับภาพยนตร์ ‘สัปเหร่อ’ ออกมาพูดถึงเรื่องการผลักดันหนังไทยให้เป็น ‘Soft Power’ ว่า ประเด็นที่ผู้ดำเนินรายการสอบถามถึงการโกอินเตอร์ของภาพยนตร์ ‘สัปเหร่อ’ รวมทั้งกลายเป็นหนังซอฟต์เพาวเวอร์

โดย ‘ต้องเต’ เปิดเผยตอนหนึ่งว่า “ถ้ามีเรื่องอื่นที่ดีแล้วพาเขาไป ให้มาซัปพอร์ตจริง ๆ หน่อย ไม่ใช่แค่มาถ่ายรูป คุณอาจไม่เข้าใจหนังสัปเหร่อจริงเลย ๆ ก็ได้ แค่มาถ่ายรูปแล้วก็บอกว่าหนังสัปเหร่อเป็นซอฟต์เพาเวอร์ ตัวผมเองยังไม่รู้ว่าซอฟต์เพาเวอร์คืออะไร” 

จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ็ในโลกออนไลน์จำนวนมาก

ทางด้าน นายแพทย์อิราวัต อารีกิจ หรือ หมออั้ม อดีตศิลปินชื่อดัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘อั้ม อิราวัต’ ระบุว่า

“ข้อแรก - เพื่อไทย เขาเพิ่งเป็นรัฐบาลครับ ต้องเต
ข้อสอง - ถ้าไม่ให้เขาถ่ายรูป หรือร่วมยินดีด้วยจะให้เขาเพิกเฉย หรือไม่สนใจเหรอ? ในฐานะรัฐบาล
ข้อสุดท้าย - เออ ฟังบทสัมภาษณ์แล้วสรุปว่าไม่เข้าใจ คำว่า Soft Power จริง ๆ นั่นแหละ จะโกอินเตอร์ รู้ไหมต้องประสานกับอะไรจะไประดับนานาชาติ รู้ไหมว่าต้องผ่านหน่วยงานไหน

ต้องผ่านกรมกองระหว่างประเทศ + งบสนับสนุนอย่างไร

รัฐบาล+คณะรัฐมนตรี กระทรวงต่าง ๆ เขากำลังช่วย แล้วมาให้สัมภาษณ์แบบนี้ มันไม่ดีต่อภาพรวมเลย แต่ก็ตามสบายเลยครับ ถ้าคิดว่าดี”

ล่าสุดวันที่ 6 พ.ย. 66 ต้องเต ให้สัมภาษณ์ผ่าน Live ‘กรรมกรข่าว คุยนอกจอ’ 6 พฤศจิกายน 2566 ทางช่อง สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว ดำเนินรายการโดย สรยุทธ สุทัศนะจินดา

ต้องเต ระบุว่า “ไม่อยากให้มันเกิดดรามารุนแรงขนาดนั้น ที่ตนพูดโดยการที่ไม่รู้ระบบ และไม่เข้าใจระบบการดำเนินการของภาครัฐ ซึ่งตนอาจจะใจร้อนด้วย”

ต้องเต กล่าวต่อว่า “แต่สิ่งที่อยากจะพูดจริง ๆ คือ อยากเป็นกระบอกเสียงในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ เพราะต้องเข้าใจว่า กระแสหนังจะมาแป๊บเดียว และจะหายไปเลย ถ้าไม่มีระบบมารับรองทัน อาจจะเสียโอกาสในการผลักดันภาพยนตร์เรื่องนี้ไปเลย มองว่า ถ้าหนังสัปเหร่อ สามารถเป็นโมเดลได้ อาจจะเป็นโมเดลที่จะขับเคลื่อนภาพยนตร์ไทยเรื่องต่อ ๆ ไปด้วย”

ต้องเต กล่าวต่อว่า “ทั้งนี้ อยากสะท้อนว่าถ้าภาครัฐอยากจะสนับสนุนอุตสาหกรรมหนังนั้น ต้องเร่งสนับสนุน เพราะกระแสหนังไปเร็ว ถ้าช้านิดนึงต่อไปอาจจะผลักดันไม่ทัน”

ต้องเต กล่าวต่อว่า “ก่อนหน้านี้ ไม่รู้จริง ๆ ว่าซอฟต์พาวเวอร์ คืออะไร และหลัง ๆ ไม่เข้าใจด้วยว่า ความรู้เกี่ยวกับซอฟต์พาวเวอร์ที่เรารู้นั้น ถูกรู้ไม่ ซึ่งสำหรับซอฟต์พาวเวอร์ ผมแค่รู้สึกว่า มันคือกระบวนการที่ทำให้เกิดค่านิยมอย่างใดอย่างหนึ่ง”

“ทั้งนี้ ผมขอบคุณ และยินดีที่มีคนบอกว่าหนังสัปเหร่อ เป็นซอฟต์พาวเวอร์ แต่แค่ งง เพราะรู้สึกว่าถ้าคนทำงานเข้าใจว่าซอฟต์พาวเวอร์ คืออะไร มีขั้นตอนกระบวนการอย่างไร ผมอาจจะทำการบ้านและทำให้หนังเรื่องนี้มันไปได้ไกลขึ้น”

ถึงเวลาสร้าง ‘ไทย’ ให้เติบใหญ่ในยุคดิจิทัล l รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก

ความ ‘เท่า’ ที่ยากจะ ‘เทียม’ หากระบบการศึกษาไทยยังย่ำอยู่กับที่และทิศทางไทยยังคงหลงอยู่กับนโยบาย

ประชานิยมที่คอยกระตุกกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียงแค่ครั้งคราว

กลับกันประเทศไทย ในวันที่เริ่มตั้งตัว ต้องหาทางตั้งทรงแบบยกแผงต้องแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะผลักดันอนาคตชาติเริ่มตั้งแต่การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในทุกภาคส่วนระบบการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา และอื่นๆ ให้เกิดรากอันแข็งแกร่ง เพื่อเป็นฐานรองรับให้ ‘คนในชาติ’ กลายเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ

Contributor EP นี้ ขอกระตุกมุมคิดคนไทยให้ร่วมมองความเจริญแห่งอนาคตที่ถูกทิศผ่านมุมคิดของ... 
รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิต พัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA ที่ขอเป็นตัวแทนพูดดังๆ ถึงทุกภาคส่วน ว่า…

ถึงเวลาแล้วที่ ‘ประเทศไทย’ ต้องปฏิรูป!!

'เพื่อไทย' ชี้!! หนี้ครัวเรือนต้องแก้ด้วยดิจิทัลวอลเล็ต ช่วย 'ลดรายจ่าย-เพิ่มรายได้-ขยายโอกาส' ให้คนไทยทุกคน

(6 พ.ย. 66) น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า หนี้ครัวเรือนต้องแก้ด้วยดิจิทัลวอลเล็ตกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เพราะ 1 ใน 3 ของคนไทยทั้งประเทศเป็น ‘หนี้’ ซึ่งกลุ่มที่มีสถานการณ์หนี้น่าเป็นห่วงมากที่สุด คือ กลุ่มเกษตรกรที่เป็นกระดูกสันหลังของประเทศ และกลุ่มผู้มีรายได้น้อย โดยสัดส่วนของหนี้ต่อรายได้ของเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยเนี่ย อยู่ที่ 34% และ 41% 

ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยย้ำมาโดยตลอดว่า จะ “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส” ให้กับพี่น้องคนไทยทุกคน และนี่จะเป็นนโยบายในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนให้กับพี่น้องประชาชน

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นประธานพิธีเปิดการประชุมใหญ่สามัญ สมาคมแม่บ้านตำรวจ

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นประธานพิธีเปิดการประชุมใหญ่สามัญ สมาคมแม่บ้านตำรวจ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 โดยสมาคมแม่บ้านตำรวจ ชูกลยุทธ์การดำเนินงาน  “จากแม่บ้านตำรวจเพื่อชีวิตครอบครัวตำรวจ เพื่อพัฒนาคน เพื่อสังคม” from Her to Our family and People for Embracing our society 

วันนี้ (6 พ.ย.66) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานพิธีเปิดการประชุมใหญ่สามัญ สมาคมแม่บ้านตำรวจ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ณ ห้องประชุมแจ้งยอดสุข ศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี คุณนิภาพรรณ สุขวิมล นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ และคณะผู้บังคับบัญชา และแม่บ้านตำรวจทั่วประเทศ ร่วมพิธี โดยการประชุมดังกล่าวจัดขึ้น วันที่ 6-7 พฤศจิกายน 2566

ทั้งนี้ สมาคมแม่บ้านตำรวจ จัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 โดยมีอุปนายก กรรมการบริหารและคณะแม่บ้านตำรวจ ระดับผู้บังคับการ เข้าร่วมงานมากกว่า 150 ท่าน ภายใต้แนวคิดกลยุทธ์ในกาดำเนินงาน  “จากแม่บ้านตำรวจเพื่อชีวิตครอบครัวตำรวจ เพื่อพัฒนาคน เพื่อสังคม” from Her to Our family and People for Embracing our society  พร้อมทั้งยังรักษาโครงการเดิมที่ดี และพัฒนาต่อยอด ให้ดียิ่งขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นโครงการที่พัฒนาชีวิตครอบครัวตำรวจ พัฒนาทักษะอาชีพให้แม่บ้าน และโครงการที่สร้างโอกาสยกระดับรายได้ ตลอดจนพัฒนาสังคมผ่านกิจกรรมการกุศล การช่วยเหลือประชาชน คุณภาพชีวิตที่ดีให้กับครอบครัวตำรวจ  โดยมีโครงการพิเศษต่างๆที่สำคัญ อาทิ 
- โครงการสินค้าแบรนด์ “ขวัญดาว” และสินค้า OPOP : เป็นการต่อยอดโดยการสร้าง แบรนด์ “ขวัญดาว” ให้มีคุณค่าเพิ่มขึ้น โดยร่วมมือกับดีไซน์เนอร์ที่มีชื่อเสียง  และศิลปินวาดภาพชื่อดัง มาร่วมพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น 
- โครงการ "ครอบครัวตำรวจ เราไม่ทิ้งกัน" สร้างอาชีพเพื่อเด็กพิเศษอยู่ยั่งยืน : มอบทุนการศึกษาบุตรข้าราชการตำรวจ สร้างขวัญกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจที่ยังอยู่ในราชการ และที่เสียชีวิต หรือบาดเจ็บทุพพลภาพจากการปฏิบัติหน้าที่ และช่วยเหลือครอบครัวข้าราชการตำรวจที่มีบุตรเป็นเด็กพิเศษโดยส่งเสริมให้  เด็กพิเศษมีโอกาสประกอบอาชีพ มีรายได้ประจำที่มั่นคง ตามศักยภาพ ความสามารถ 
- โครงการร้านค้าสมาคมแม่บ้านตำรวจ "ร้านปันรักษ์" และ "ปันรักษ์ คาเฟ่" : พัฒนาคุณภาพเมล็ดกาแฟให้ได้มาตรฐาน พัฒนาระบบร้านค้าสวัสดิการให้เป็นเชิงธุรกิจ และพัฒนาสินค้า OPOP ที่ส่งมาจำหน่ายที่ร้านปันรักษ์ ให้ขึ้นทะเบียนเป็นสินค้าปันรักษ์ทั้งหมด

ในการประชุมครั้งนี้ สมาคมแม่บ้านตำรวจได้จัดกิจกรรมสานสัมพันธ์ จัดการบรรยายจากวิทยากรด้านบุคลิกภาพผู้นำในยุคดิจิทัล และมอบนโยบายของสมาคมแม่บ้านตำรวจให้สมาชิกได้ทราบ ซึ่งในปีนี้ สมาคมแม่บ้านตำรวจได้จัดทำโครงการ แผนงาน และกิจกรรม ตามแผนกลยุทธ์ประจำปี 2567 ทั้งหมด 3 ด้าน คือ พัฒนาชีวิตครอบครัวตำรวจ พัฒนาคน และพัฒนาสังคม  

คุณนิภาพรรณ สุขวิมล นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ กล่าวว่า ทางสมาคมแม่บ้านตำรวจจะดูแลสวัสดิการแม่บ้าน ส่งเสริมชีวิตให้แก่หลังบ้าน สร้างงาน สร้างอาชีพให้กับครอบครัวตำรวจ ส่งเสริมความสามารถของแม่บ้านในการผลิตสินค้า เพื่อให้มีรายได้มาสู่ครอบครัว สร้างความมั่นคงให้กับครอบครัวต่อไป จะเพิ่มการสร้างความสัมพันธ์และสามัคคีในหมู่แม่บ้านตำรวจทั่วประเทศ ทุกคนจะได้รู้จักกัน และยินดีที่จะมาร่วมกิจกรรมเพื่อสร้างสรรผลงานให้กับสมาคมแม่บ้านตำรวจต่อไป ซึ่งจะเป็นกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจ และครอบครัวตำรวจทั่วประเทศ 

ด้าน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. กล่าวว่า สมาคมแม่บ้านตำรวจเป็นองค์การสาธารณกุศล ดำเนินกิจการเพื่อธำรงไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และกิจกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างขวัญกำลังใจแก่ข้าราชการตำรวจและครอบครัว ซึ่งสมาคมแม่บ้านตำรวจมีส่วนร่วมในการส่งเสริมนโยบายสำคัญของตน คือการดูแลตำรวจ เพื่อให้ตำรวจไปดูแลประชาชน ซึ่งสมาคมแม่บ้านตำรวจจะเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันนโยบายนี้ให้เกิดเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

'รมว.พิมพ์ภัทรา' กำชับ 'สมอ.' เชิญ 8 สถาบันเครือข่าย เร่งกำหนดมาตรฐานให้ได้ตามเป้าหมาย ทันยุคอุตฯ ใหม่

(6 พ.ย. 66) นายวันชัย พนมชัย รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า ตนได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล ให้เชิญ 8 สถาบันเครือข่าย ได้แก่...

- สถาบันอาหาร 
- สถาบันพลาสติก 
- สถาบันการก่อสร้างแห่งประเทศไทย  
- สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย  
- สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ 
- สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์  
- สถาบันยานยนต์ 
- และ สถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ 

ซึ่งทั้งหมดเป็นหน่วยงานเครือข่ายที่มีภารกิจสนับสนุนการดำเนินงานด้านการมาตรฐานของ สมอ. ทั้งการจัดทำมาตรฐาน และการตรวจสอบคุณภาพของสินค้า โดย สมอ. ให้การยอมรับว่าหน่วยงานเหล่านี้สามารถกำหนดมาตรฐานได้ หรือที่เรียกว่า SDOs (Standards Developing Organizations) มาประชุมหารือเพื่อพิจารณาแนวทางการกำหนดมาตรฐานในปี 2567

ทั้งนี้ สมอ.ได้มอบหมายนโยบายให้ SDOs ทั้ง 8 หน่วยงานเร่งรัดจัดทำมาตรฐานในปีนี้ให้ได้ไม่ต่ำกว่า 100 เรื่อง เสริมเติมจากที่ สมอ. ได้วางแผนกำหนดมาตรฐานไว้แล้ว 600 เรื่อง เพื่อให้เป็นไปตามแผนแม่บทการกำหนดมาตรฐานระยะ 5 ปี ของ สมอ. (พ.ศ.2566-2570) ที่มีอยู่จำนวน 1,777 เรื่อง เพื่อรองรับนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม เช่น มาตรฐาน EV, อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ, เครื่องมือแพทย์, อุตสาหกรรมชีวภาพ, AI,  ฮาลาล และ Soft power

ปัจจุบัน สมอ. มี SDOs จำนวน 43 หน่วยงาน ที่มีศักยภาพสามารถกำหนดมาตรฐานเพื่อให้ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ครอบคลุม 81 สาขา เช่น สาขาเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ, สีและวาร์นิช, วัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์, นาโนเทคโนโลยี, ปิโตรเลียม,  ยางและผลิตภัณฑ์ยาง, ระบบการจัดการความเสี่ยง  อาชีวอนามัยและความปลอดภัย, ระบบการจัดการความปลอดภัยของอาหาร, การยศาสตร์, ความรับผิดชอบต่อสังคม, ดิจิทัล, ผลิตภัณฑ์นวัตกรรม, หนังและผลิตภัณฑ์หนัง, ก๊าซธรรมชาติ, แบตเตอรี่, การสื่อสารโทรคมนาคม, ยานพาหนะไฟฟ้า เป็นต้น

“เบื้องต้น สถาบันยานยนต์ จะเร่งจัดทำมาตรฐานด้านความปลอดภัยของยานยนต์สมัยใหม่ รวมทั้งรถไฟฟ้า และชิ้นส่วนยานยนต์อื่นๆ สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ จะเร่งทำมาตรฐานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) เพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ที่พยายามขโมยข้อมูลสำคัญต่างๆ ของบุคคลหรือองค์กร เช่น บัญชีเงินฝาก ข้อมูลประจำตัว ข้อมูลด้านสุขภาพ หรือข้อมูลสำคัญขององค์กร เป็นต้น สถาบันสิ่งทอ จะจัดทำมาตรฐานด้านความปลอดภัยของสิ่งทอและด้านการป้องกันไฟ เช่น ผ้าม่าน, พรม, ถุงมือกันบาด และถุงมือกันสารเคมี เป็นต้น ทั้งนี้ สมอ. จะรวบรวมรายชื่อมาตรฐานที่ SDOs จะดำเนินการจัดทำทั้งหมด เสนอบอร์ด สมอ. ให้ความเห็นชอบต่อไป” นายวันชัยฯ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top