Friday, 9 May 2025
TheStatesTimes

พี่โจ๊ก ควงพี่ปิ่น ตรวจสภาพการจราจรพื้นที่ CBD ดูสภาพความเป็นจริง และให้กำลังใจตำรวจจราจรในพื้นที่

วันนี้ (วันศุกร์ที่ 3 พ.ย.66) เวลาประมาณ 07.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.(มค) รับผิดชอบงานจราจร พร้อมด้วย พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. (อดีต ผบก.จร.) ร่วมกันลงตรวจสภาพการจราจรในพื้นที่ธุรกิจหลัก หรือ CBD ของกรุงเทพมหานคร ในเส้นสาทร วิทยุ เป็นหลัก ร่วมกับ พล.ต.ต.ธวัช วงศ์สง่า รรท.รอง ผบช.น. ที่รับผิดชอบงานจราจร, พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ บัณฑิต รรท.ผบก.จราจร และ พ.ต.อ.สามารถ พรหมชาติ รรท.ผบก.น.6 เพื่อให้เห็นสภาพความเป็นจริง โดยลงพื้นที่หน้าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ซึ่งเป็นโรงเรียนหลักบนถนนสาทรใต้ ที่มีผู้ปกครองเดินทางมาส่งบุตรหลานเป็นจำนวนมาก อาจส่งผลต่อสภาพการจราจรบนถนนสาทรใต้ ต่อเนื่องสะพานตากสิน ที่ข้ามมาจากฝั่งธนบุรีได้ แต่ก็พบว่าทาง สน.ยานนาวา ได้ร่วมกับสมาคมผู้ปกครองของโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ช่วยกันอำนวยความสะดวกการจราจร ดูแลบุตรหลานและประชาชนบริเวณดังกล่าวได้เป็นอย่างดีเยี่ยม ไม่มีปัญหารถสะสมบริเวณหน้าโรงเรียนแต่อย่างใด หลังจากนั้นได้ไปตรวจสภาพการจราจรบริเวณแยกสาทร-สุรศักดิ์ และแยกวิทยุ ตรวจเยี่ยมให้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรที่ปฏิบัติหน้าที่ มอบกาแฟกระป๋อง ไว้เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ และเมื่อเห็นสภาพความเป็นจริงแล้ว ได้เดินทางต่อไปยัง บก.จร. ณ ศูนย์ควบคุมและสั่งการจราจร (บก.02) เพื่อดูภาพรวมการจราจรทั้งพื้นที่ รับฟังสรุปปัญหาการจราจรทั้งหมด

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ รอง ผบ.ตร.(มค) เปิดเผยว่า ท่าน ผบ.ตร. ได้มอบหมายให้รับผิดชอบดูงานจราจรภาพรวมทั้งประเทศ ก่อนหน้านี้ก็ได้รับรายงานถึงปัญหาการจราจรต่าง ๆ มาแล้ว วันนี้จึงตัดสินใจลงมาให้เห็นด้วยสายตาตัวเอง และต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้พี่น้องประชาชน พ่อแม่ ครู ผู้ปกครอง ผู้อำนวยการโรงเรียนต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันปัญหาการจราจรเป็นหนึ่งในปัญหาหลักของประเทศ ที่ตำรวจต้องร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ช่วยกันแก้ไขปัญหา จะทำเพียงหน่วยงานเดียวไม่ได้ โดยคิกออฟด้วยการสั่งให้สำรวจสภาพปัญหาทางกายภาพ ปัญหาภูมิประเทศ ที่ส่งผลต่อการจราจร ทำให้การจราจรติดขัด ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เช่น พื้นผิวการจราจรที่ขรุขระ เป็นหลุม เป็นบ่อ แล้วประสานงานกับหน่วยงานอื่น ๆ ร่วมกันช่วยกันแก้ไขปัญหา โดยตัว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ เอง จะลงมาช่วยเสริมเติมเต็มในการช่วยประสานงานกับหน่วยงานข้างเคียง 

ส่วนในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย มีกฎหมายใหม่ออกมาหลายฉบับ เช่น พ.ร.บ.เปรียบเทียบปรับเป็นพินัย ที่ออกมาเพื่อให้สอดคล้องและคุ้มครองสิทธิของพี่น้องประชาชน บรรเทาความเดือดร้อน ซึ่งวันนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ ก็จะไปเข้าพบปรึกษาหารือกับ ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรโณ ประธานกรรมการว่าด้วยการปรับเป็นพินัย ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อนำข้อหารือ องค์ความรู้ มาทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรทั้งประเทศในสัปดาห์หน้า เพื่อให้ลูกน้องมีความเข้าใจ มีความมั่นใจ เดินหน้าไปในทิศทางเดียวกันว่าการบังคับใช้กฎหมายจะบังคับใช้อย่างไร การบังคับใช้กฎหมายเราต้องทำเพื่อการจัดการจราจร จัดระเบียบสังคม ต้องไม่ทำเพื่อหวังเงินค่าปรับหรือเงินรางวัล และการตั้งด่านจราจรก็ทำเพื่อสร้างความปลอดภัยบนท้องถนน เรายังต้องตั้งด่านตามปกติ แต่ต้องไม่มีการเรียกรับผลประโยชน์ที่ด่านจราจร เพราะด่านคือตัวแทนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องทำให้ประชาชนเชื่อมั่น เห็นด่านต้องวิ่งเข้าด่าน เพราะเขามั่นใจในความปลอดภัย

ในเรื่องสถิติการเกิดอุบัติเหตุจราจรต่าง ๆ ต้องลดลง และต้องลดลงอย่างมีนัยนะสำคัญ ไม่ใช่ลดลงด้วยการทำตัวเลข ต้องเอาเรื่องจริงมาพูดคุยกัน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ ก็จะมาช่วยเสริมเติมเต็ม ซึ่งที่ผ่านมาในพื้นที่ก็ช่วยกันทำงานดีอยู่แล้ว และในวันนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยท่าน ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ ก็ได้เตรียมการ เตรียมแผนในเทศกาลลอยกระทง เทศกาลปีใหม่ไว้เรียบร้อยแล้ว จุดประสงค์เพื่อทำให้พี่น้องประชาชนเดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย มีความเชื่อมั่น มีความมั่นใจ และกลับมาทำงานด้วยความปลอดภัย สิ่งสำคัญคือการสร้างองค์ความรู้ด้านกฎหมาย สร้างวินัยจราจร สิ่งใดที่เป็นควิกวินที่ต้องรีบทำ ต้องเร่งดำเนินการ เช่น การรณรงค์ให้สวมหมวกกันน็อค การรณรงค์เมาไม่ขับ เรื่องฟุตบาท ทางเท้าต่าง ๆ เป็นต้น ทั้งหมดนี้เป็นการสนองตอบต่อนโยบายรัฐบาล ที่ต้องการให้เกิดความปลอดภัยกับพี่น้องประชาชน ประชาชนมีความเชื่อมั่น

สุดท้ายในการตรวจเยี่ยม การลงพื้นที่ ดูการปฏิบัติหน้าที่ของเพื่อนข้าราชการตำรวจ ก็จะได้นำความห่วงใยจากท่าน ผบ.ตร. ลงไปให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ สร้างขวัญและกำลังใจ ช่วยเสริม เติมเต็มเป็นสำคัญ และในช่วงบ่ายโมงวันนี้ ก็จะเดินทางไปโรงพยาบาลตำรวจ เพื่อเยี่ยมดูอาการ ส.ต.อ.นฤพล สมจิตต์ ผบ.หมู่ ศูนย์ควบคุมจราจรวิภาวดี/ทางพิเศษ ที่ประสบอุบัติเหตุถูกรถชนบนถนนวิภาวดีรังสิตขณะยืนปฏิบัติหน้าที่ถวายความปลอดภัยในเส้นทางเสด็จฯ เมื่อวันที่ 1 พ.ย.66 โดยได้รับบาดเจ็บข้อมือขวาหัก ฟันหัก 1 ซี่ และมีบาดแผลตามร่างกาย ต่อไป

‘พระพยอม’ จวกยับ!! ‘ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ’ หลังมีคนปั๊มยาบ้าเป็น ‘เศียรพระ’ ลั่น!! 'คนคิดคนทำชีวิตคงไม่สูงส่งอะไร-หากินแบบหาเวรหากรรม'

จากกรณีที่ เพจหลวงพี่มาแล้ว โพสต์ภาพยาบ้าอัดเม็ดในรูปแบบใหม่ เป็นเศียรพระพุทธรูป จนมีคนเข้ามาคอมเมนต์จำนวนมาก

(2 พ.ย. 66) ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่วัดสวนแก้ว ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี เพื่อสอบถาม พระราชธรรมนิเทศ หรือ พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว โดยพระพยอมมองว่า อัปยศที่สุดของความชั่วของความเลว เอายาบ้ามาทำเป็นเศียรพระพุทธรูปโดยไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษอะไรเลย สังคมสมัยนี้ศีลธรรมตกต่ำถึงสุดขีด ถึงกับเอายาบ้ามาปั๊มเป็นเศียรพระพุทธรูปได้ ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งที่เคารพบูชาสูงสุด คนส่วนใหญ่กราบไหว้ แต่นี่เอามาทำแบบไร้ค่า ด้อยค่าพระพุทธศาสนา คนคิดคนทำชีวิตคงไม่สูงส่งอะไร

พระพยอมกล่าวว่า การนำยาบ้ามาปั๊มแบบนี้น่าจะเป็นวิธีการจูงใจลูกค้า หรือคนเสพให้หันมาสนใจมากขึ้น ด้วยรูปลักษณะที่แปลกหูแปลกตา กระตุ้นให้คนอยากเสพ เพราะเห็นเป็นรูปลักษณ์ที่ไม่น่าเกลียด ถ้าไปทำรูปน่าเกลียดคนก็คงไม่ซื้อ ไม่สนใจ พอมาทำเป็นเศียรพระพุทธรูปก็เหมือนเพิ่มแรงโน้มน้าว เอาศาสนาไปเป็นเครื่องมือทำมาหากินกัน หากินแบบหาเวรหากรรม

ทดลองวิ่ง ‘หัวรถจักรไฟฟ้าจาก EA’ สู่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ แบตเตอรี่ 4.1 MWh - วิ่งฉิวกว่า 300 กม. - ชาร์จเร็วเพียง 1 ชม.

ถือเป็นก้าวสำคัญที่ยิ่งใหญ่ที่ระบบขนส่งทางรางของไทยจะได้ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาด ไร้มลพิษ พร้อมมีความมั่นคงทางด้านพลังงาน ภายใต้บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA และ CRRC Dalian ผู้ผลิตรถไฟรายใหญ่จากประเทศจีน ได้ร่วมกันพัฒนา ‘หัวรถจักรไฟฟ้า’ (EV) หรือ ‘MINE Locomotive’ 

บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ ได้รับโอกาสจากทางกระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และภาควิชาการ ร่วมผลักดันนโยบาย EV on Train โดยได้ทดสอบระบบสับเปลี่ยนขบวน (Shunting) ณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ไปเมื่อต้นปี 2566 ที่ผ่านมา 

ความพิเศษของหัวรถจักรไฟฟ้า (EV) หรือ ‘MINE Locomotive’ พร้อมตู้แบตเตอรี่แยก (Power Car) เพื่อเพิ่มระยะทางการวิ่ง รวมแบตเตอรี่ขนาด 4.1 MWh สามารถชาร์จเต็มภายใน 1 ชั่วโมง ออกแบบตามมาตรฐานการรถไฟไทยเพื่อการใช้งานหลากหลาย ทั้งการสับเปลี่ยนขบวน (Shunting) เข้าชานชาลาสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ เพื่อลดมลพิษในอาคารผู้โดยสารและสามารถลากขบวนสินค้า (Cargo train) จาก ICD ลาดกระบังถึงแหลมฉบัง และขบวนโดยสาร (Passenger Train) ในเขตเมืองและระหว่างจังหวัด ด้วยความเร็วสูงสุด (Max Operating Speed) 120 km/h พร้อม Regenerative Braking ที่สามารถชาร์จไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่จากการเบรก โดยจากการทดสอบประเมินว่าสามารถวิ่งได้ระยะกว่า 300 กิโลเมตร ตามแต่การใช้งาน ซึ่งจะประหยัดต้นทุนพลังงานได้ถึงร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับการใช้น้ำมันดีเซล สามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว ลงทุนต่ำกว่าระบบไฟฟ้าเหนือหัวกว่าครึ่งและสามารถขยายได้ทั้งประเทศ

นอกจากนี้ EA ได้ออกแบบพัฒนานวัตกรรมระบบชาร์จ Ultra Fast Charge ในเวลา 1 ชม. ในระยะแรก และ Battery Swapping Station เพื่อการสลับเปลี่ยนแบตเตอรี่ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ลดเวลาการรอชาร์จ และนำมาขยายผลใช้งานในระบบขนส่งได้จริง สามารถขยายผล ยกระดับการขนส่งโดยสารเมืองรอง สามารถรองรับการใช้งานทุกระดับ และนำไปพัฒนาระบบ Light Rail Transit (LRT) สำหรับขนส่งตัวเมือง

“นับเป็นโอกาสสำคัญในการพลิกโฉมประวัติศาสตร์การคมนาคมทางราง ที่จะขับเคลื่อนประเทศให้เข้าสู่สังคมปลอดคาร์บอนได้เร็วยิ่งขึ้น และช่วยเพิ่มความมั่นคงทางด้านพลังงานและการคมนาคมของประเทศ” 

ทั้งนี้ทาง EA เล็งเห็นว่า Electritication ที่เป็นเทรนด์โลกในการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานฟอสซิลไปสู่ไฟฟ้า นับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของประเทศไทยที่เอื้อให้เกิดนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เป็นของคนไทยที่ทัดเทียมกับนานาชาติได้อย่างก้าวกระโดด 

แน่นอนว่าหัวรถจักรไฟฟ้า (MINE Locomotive) จะกลายเป็นนวัตกรรมสำคัญที่จะช่วยสร้างอุตสาหกรรมและมูลค่าให้กับประเทศไทยบนพื้นฐานความยั่งยืน เพราะเป็นเทคโนโลยี Zero Emission ไม่ก่อให้เกิด PM2.5 และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลด Carbon footprint ที่เป็นพันธกิจของประเทศไทยในเวทีโลก นับเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งสำคัญนับตั้งแต่ศตวรรษที่ 19-20

นอกจากหัวรถจักรไฟฟ้า (MINE Locomotive) แล้ว EA ยังมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ ‘Green Product’ ยกระดับการขนส่งด้วยยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้แก่ รถโดยสารไฟฟ้า (MINE Bus) รถบรรทุกไฟฟ้า (MINE Truck) หัวรถลากไฟฟ้า(MINE Tractor) รถกระบะไฟฟ้า (MINE MT30) เรือโดยสารไฟฟ้า (MINE Smart Ferry) เพื่อตอบโจทย์การคมนาคมด้าน ‘รถ-เรือ-ราง’ และจะกลายเป็นนวัตกรรมสำคัญที่จะช่วยสร้างอุตสาหกรรมให้กับประเทศไทยบนพื้นฐานความยั่งยืนให้เดินหน้าพร้อมสร้างความสมดุล ในการพัฒนาสังคมและการรักษาสิ่งแวดล้อม ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของภาคธุรกิจที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมใหม่แห่งอนาคต (New S-curves) เพื่อพัฒนาประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ตามนโยบายภาครัฐที่มุ่งส่งเสริมโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG Economy)

ก็หวังว่าคนไทยจะได้ใช้บริการ ‘รถ-เรือ-ราง’ ไร้มลพิษแบบครอบคลุมทั้งระบบในเร็ววัน

‘พี่หมอกลาง’ ให้แง่คิด!! "อย่ามัวแต่รอทำอะไรดีๆ ในวันที่เขาหมดลมหายใจ" หลังรู้สึกผิด เคสลูกเพจที่เคยขอคำอธิบายโรค ลาลับ!! ไม่ทันได้ดูคลิปแนะแนว

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ใช้งานติ๊กต็อกชื่อ @d_klang ที่รู้จักในนาม ‘พี่กลาง หอสมุดแห่งชาติ’ หรือหลาย ๆ คนเรียกติดปากว่า ‘พี่หมอกลาง’ ได้โพสต์คลิปแชร์ประสบการณ์สะเทือนใจจากการทำคลิปตอบคำถามทางการแพทย์ให้แก่คนที่สนใจและคอมเมนต์ถามเข้ามา โดยเล่าไว้ในคลิปนี้ว่า…

“ทุกคนครับพี่หมอมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง พี่เก็บเรื่องนี้ไว้นานมากแล้ว ตั้งแต่เริ่มทำติ๊กต็อกมาก็เจอเรื่องเศร้าเหมือนกัน ทุกคนจะเห็นว่าพี่หมอเอาคำถามของทุกคนมาทำคลิป คอมเมนต์ไหนที่น่าสนใจพี่หมอก็จดเอาไว้ แล้วก็ทยอยทำคลิปต่อ…

“แต่ด้วยความที่เรายุ่งมาก คลิปมันก็จะออกช้านะ ทีนี้มีอยู่คอมเมนต์หนึ่ง เป็นน้องผู้ชายเข้ามาคอมเมนต์ว่าอยากให้พี่หมอเล่าเรื่อง ‘Marfan Syndrome’ หน่อย ตอนนั้นพี่หมอเห็นว่าน่าสนใจ ก็จดเอาไว้ คิดว่าน้องคนนี้น่าจะไปอ่านเจอแล้วก็อยากให้เราเล่าให้ฟัง…แต่กว่าคลิป ‘Marfan Syndrome’ จะได้ลง ก็ผ่านไป 1-2 เดือนหลังจากนั้นเลย…

“ในคลิปนั้นพี่หมอก็อธิบายว่า ‘Marfan Syndrome’ ก็คือคอลลาเจนผิดปกติ ไม่แข็งแรง มันยืดเหมือนลูฟี่ คนที่เป็น ‘Marfan Syndrome’ เวลาหักนิ้วลงมา ก็จะหักลงมาได้ถึงข้อมือเลย แต่ไม่ใช่แค่นั้น คอลลาเจนมีอยู่ในทุกอวัยวะร่างกายของเรา แปลว่าร่างกายจะไม่แข็งแรงทั้งตัวเลย…ทุกคนคิดว่าตรงไหนซีเรียสสุด ถ้าไม่แข็งแรง?...

“คำตอบคือ ‘หัวใจ’ มันจะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจยืดออกง่าย ลิ้นหัวใจจะพังง่าย หัวใจวายง่ายขึ้น ที่น่ากลัวอีกอย่างคือหัวใจบีบเลือดไปเส้นเลือด ซึ่งจะมีเส้นเลือด Aorta ที่ออกจากหัวใจ และโดนแรงดันจากหัวใจโดยตรงเลย สำหรับคนที่เป็น Marfan Syndrome ตรงนี้จะฉีกได้เลย…

“2-3 วัน หลังจากที่ลงคลิปไป เจ้าของคอมเมนต์ก็เข้ามาแสดงความคิดเห็น ที่พี่หมอรู้เพราะว่าพี่หมอจำเขาได้ โดยเขาคอมเมนต์ว่า “ขอบคุณมากนะคะพี่หมอที่มาตอบเมนต์” ตอนนั้นพี่หมอก็เอ๊ะใจใน เพราะว่าจำได้ว่าคนคอมเมนต์เป็นผู้ชาย แต่ทำไมรอบนี้เป็นผู้หญิง พี่หมอก็อ่านคอมเมนต์ต่อว่า “พอดีแฟนหนูเขาเป็น Marfan Syndrome ค่ะ เขาเลยอยากรู้ว่าโรคนี้มันเป็นยังไง แต่ตอนนี้เขาเสียไปแล้ว ถ้าเขาได้เห็นคลิปพี่หมอ เขาน่าจะดีใจมาก ๆ เลยค่ะ เป็นเอฟซีพี่หมอทั้งคู่นะคะ”...

“ทุกคนพี่หมอเสียใจมากเลยอ่ะ พี่หมอทำคลิปให้เขาไม่ทัน มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่พี่หมอมีอะไรจะบอกนะ อาชีพหมอ เป็นอาชีพที่รู้จักชีวิตคนดีที่สุด คนเราไม่รู้นะว่าวินาทีไหนจะเป็นวินาทีสุดท้าย พอถึงตอนที่จะต้องไป ก็ไปเลยนะ ไม่มีเวลาร่ำลาด้วยซ้ำ แปลว่าเวลาที่ยังมีกันอยู่ตอนนี้มีค่าที่สุดเลย”

เจ้าของติ๊กต็อกรายนี้ กล่าวทิ้งท้ายว่า “อยากทำอะไรดี ๆ ให้ก็รีบทำ อยากบอกรักก็บอกเลย คิดถึงกันอยากไปหาก็ไปเลย อย่ารอจนถึงงานศพ เพราะถ้าไปหาเขาตอนนั้น ไปบอกรักตอนนั้น เขาก็ไม่รู้เรื่องแล้วครับ ฉะนั้น เวลาที่ยังมีชีวิตกันอยู่ ทำให้เต็มที่นะครับ”

‘ตร.ภาค 1’ ร่วม ‘หน่วยข่าวกรองทหาร-ป.ป.ส.’ รวบเเก๊งขนยาบิ๊กล็อต ยึดของกลางพร้อมยาบ้าได้ 4 ล้านเม็ด รวมมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท!!

(3 พ.ย. 66) ที่กองบัญชาการตำรวจภูธร ภาค 1 พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รรท.ผบช.ภ.1 ,พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมคณะแถลงผลการจับกุมยาเสพติด พร้อมของกลาง ยาบ้า จำนวนประมาณ 4,000,000 เม็ด มูลค่ากว่า 40,000,000 ล้านบาท

พล.ต.ต.จิรสันต์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากวันที่ 4 ก.ย. 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตำรวจภูธรภาค 1 ชุดที่ 3 ได้จับกุม นายนนทวัฒน์ หรือ ‘นิก’ (สงวนนามสกุล) และนายศุภวัฒน์ หรือ ‘ตาล’ (สงวนนามสกุล) พร้อมของกลางยาบ้า ประมาณ 1,600,000 เม็ด พื้นที่ สภ.หนองแค จังหวัดสระบุรี ซึ่งจากสืบสวนขยายผลในคดีดังกล่าว ทำให้ทราบว่ามีทีมลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้ามาส่งยาเสพติดในพื้นที่ภาคกลาง

โดย พล.ต.ต.วิชิต บุญชินวุฒิกุล รรท.ผบก.ภ.จ.สมุทรปราการ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่ง ผบก.ภ.จ.สระบุรี ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังติดตามและสืบสวนจับกุม ต่อมาเมื่อวันที่ 31 ต.ค. มีการสืบสวนจนทราบว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจาก จ.นครพนม มาส่งให้ลูกค้าในพื้นที่ปริมณฑลและกรุงเทพฯ โดยใช้รถบรรทุกยี่ห้ออีซูซุ สีขาว ทะเบียน 83-3754 สุรินทร์ เป็นยานพาหนะในการลำเลียงยาเสพติด และจะใช้รถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า สีขาว ทะเบียน บม 645 ร้อยเอ็ด และรถยนต์กระบะ ยี่ห้ออีซูซุ สีเทา ทะเบียน สชช 7466 กทม. ในการสำรวจเส้นทางด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

จนกระทั่งวันที่ 1 พ.ย. 66 พ.ต.อ.ไกรสร ศรีอำพร ผกก.สส.ภ.จ.สระบุรี เป็นหัวหน้า ชปส.ศอ.ปส.ภ.1 ชุดที่ 3 ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตำรวจภูธรภาค 1 ชุดที่ 3 และเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยข่าวกรองทางทหาร ร่วมกันสังเกตการณ์และพบกลุ่มรถยนต์ดังกล่าวอยู่ที่สถานีบริการน้ำมัน พีที วังน้อย (ขาออก กทม.) หมู่ 3 ต.ลำไทร จ.พระนครศรีอยุธยา จึงนำกำลังฝ้าสังเกตการณ์และสามารถจับกุมผู้ต้องหาในคดีนี้ได้ จำนวน 5 คน ได้แก่

1.) นายสุชาติ มูลสาร
2.) นายวิรอน เปรี้ยววงษ์
3.) นายวิรงค์ เปรี้ยววงษ์
4.) พงศ์อิทธิพล ขวานคร
5.) นายณัฐสิทธิ์ สักการี

โดยตรวจค้นพบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) 8 กระสอบ รวมจำนวน 2,000 มัด ประมาณ 4,000,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ภายในรถบรรทุกยี่ห้ออีซูซุ สีขาว คันดังกล่าวพร้อมด้วยอาวุธปืน 1 กระบอก และเครื่องกระสุนปืน ขนาด 9 มม. จำนวน 14 นัด และได้นำตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อดำเนินคดีในความผิด ‘ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1(ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต’ และกล่าวหาผู้ต้องหารายที่ 3 เพิ่มเติมว่า ‘มีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต’

โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจคาดการณ์ว่า หากไม่มีการจับกุมสกัดกั้นยาเสพติดดังกล่าวไว้ได้ก่อน จะแพร่กระจายสู่ท้องตลาดซึ่งจะมีมูลค่าสูงถึงประมาณ 40,000,000 บาท

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะได้ขยายผลถึงผู้อยู่ในขบวนการค้ายาเสพติด และทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการทำความผิด เพื่อนำมาดำเนินคดีต่อไป

‘กรุณพล’ เบรกโซเชียล อย่าคาดเดาชื่อ สส.โหวตมติอุ้ม 'ปูอัด' ฟากชาวเน็ต สวน!! “ถ้ากล้าไม่ขับออก ก็ต้องกล้ารับผิดชอบ!!”

(3 พ.ย. 66) หลังจากที่ประชุมร่วมกันของกรรมการบริหารพรรคและสส.ของพรรคก้าวไกล พิจารณาเรื่องร้องเรียนกล่าวหา สส.มีพฤติกรรมคุกคามทางเพศ โดยลงมติขับ นายวุฒิพงศ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี พ้นสมาชิกภาพ และคาดโทษ นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ สส.กทม. เขตจอมทอง-บางขุนเทียน-ท่าข้าม ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงบรรทัดฐานในมติดังกล่าว

โดยผู้ใช้ X ในชื่อ @HiHextor โพสต์ภาพ สส.กทม.พรรคก้าวไกล ที่กากบาทว่าสส.คนใดโหวตแบบไหนบ้าง พร้อมข้อความว่า คาดเดาล้วน ๆ แต่พอตัดชื่อออกแล้วเหลือ 22 ท่านพอดีเลย

ทำให้ นายกรุณพล เทียนสุวรรณ สส.ส.บัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคก้าวไกล Petchkaroonpon @petchy66 โพสต์ข้อความตอบกลับว่า

อย่าเดาเลยครับ มันจะสร้างความเสียหายให้บุคคลอื่นได้ หากบางท่านอ่านเพียงผ่านๆ ตอนโหวตหลายท่านก็ก้มหน้า บางท่านก็หลับตาเพราะต้องการแสดงออกเฉพาะความเห็นของตัวเองไม่ก้าวก่ายความเห็นที่แตกต่างของท่านอื่น และไม่ว่าจะออกแบบไหนพวกเราทุกคนในพรรคก็ต้องรับผลนั้นไปด้วยกันครับ

นอกจากนี้มีผู้โพสต์แสดงความคิดเห็นสนับสนุนให้เปิดชื่อด้วยว่า

จริงๆพรรคไม่ควรปล่อยให้พวกเราๆต้องเดานะครับ มันเป็นเรื่องใหญ่ ควรชี้แจงให้ชัดเจน และโปร่งใส อย่างที่ได้รับปากประชาชนไว้ในช่วงแรกๆ

มันควรเปิดเผยนะครับ กล้าลงมติไม่ขับออก ก็ต้องกล้ารับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองลงไป กล้าเปิดหน้าชี้แจงเหตุ

‘โรงเรียนภาคค่ำ’ สถานที่รวมตัว ‘พนักงานออฟฟิศเซี่ยงไฮ้’ ใช้เวลาหลังเลิกงาน เรียนรู้วัฒนธรรม-ดนตรี-ศิลปะของจีน

เมื่อวานนี้ (3 พ.ย. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า หลังจากถึงเวลาเลิกงาน เหล่าพนักงานออฟฟิศจำนวนมากในนครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีนต่างเร่งรีบไป ‘โรงเรียนภาคค่ำ’ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พวกเขาใช้เรียนรู้วิชาศิลปะหลากหลายแขนง นอกเหนือจากการเรียนรู้อ่านเขียนดังเช่นในอดีต

เครื่องดนตรีแบบดั้งเดิม การวาดภาพสีน้ำและหมึก อุปรากรปักกิ่ง และการสานไม้ไผ่ ล้วนแล้วแต่เป็นหลักสูตรที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่หลักสูตรศิลปะจีนหลากหลายประเภท

การรวมกลุ่มคน 9-5 คนเพื่อมาโรงเรียนภาคค่ำกำลังกลายเป็นไลฟ์สไตล์ทันสมัยสำหรับหนุ่มสาวในเซี่ยงไฮ้

“โรงเรียนภาคค่ำแห่งนี้อยู่ใกล้บ้านมาก ๆ ค่ะ มันช่วยให้พนักงานออฟฟิศอย่างฉันได้เรียนชั้นเรียนเหล่านี้ด้วยราคาสมเหตุสมผล” หวัง นักเรียนโรงเรียนภาคค่ำคนหนึ่งกล่าว

คณะอาจารย์ในโรงเรียนภาคค่ำส่วนใหญ่มีประสบการณ์และอาจเป็นถึงศิลปินที่มีชื่อเสียง เช่น อาจารย์สอนอุปรากรปักกิ่งบางคนที่เป็นนักแสดงระดับชาติ ขณะชั้นเรียนงานฝีมือบางวิชาถูกสอนโดยผู้สืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้

“ผมเริ่มสอนจงร่วน (เครื่องดนตรีสายประเภทหนึ่งของจีน) ช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ผมเล่นเครื่องดนตรีหลายประเภทได้ดี เลยสอนกลองแอฟริกัน อูคูเลเล่ และกีตาร์ในโรงเรียนภาคค่ำด้วย นักเรียนทั่วไปของที่นี่มีอายุ 18-50 ปี และส่วนใหญ่มีอายุ 25-35 ปี” หลิวอวิ๋นฉี อาจารย์ประจำโรงเรียนภาคค่ำกล่าว

การเข้าเรียนชั้นเรียนภาคค่ำซึ่งผสมผสานการศึกษาเข้ากับวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม ไม่ได้เป็นเพียงวิธีการสร้างความสนุกสนานเท่านั้น แต่ยังเป็นวิธีหนึ่งในการดื่มด่ำกับประวัติศาสตร์และเข้าใจคุณค่าของมันด้วย

หลักสูตรที่ครอบคลุมหมวดหมู่ศิลปะมากกว่าสิบประเภท พร้อมด้วยเหล่าอาจารย์ผู้สอนระดับมืออาชีพ ทำให้โรงเรียนภาคค่ำในเซี่ยงไฮ้กำลังเป็นกระแสจนยากจะจับจองที่นั่ง โดยช่วงสูงสุดมีผู้ลงทะเบียนเพื่อจองเรียนออนไลน์พร้อมกันกว่า 650,000 คน

“ชาวเน็ตหลายคนบอกว่าโรงเรียนภาคค่ำกลายเป็น ‘ไนต์คลับ’ สำหรับพนักงานออฟฟิศในเซี่ยงไฮ้ไปแล้ว ผมคิดว่านอกเหนือจากการไปโรงหนัง บาร์ และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอื่น ๆ พวกเราสามารถเลือกมาโรงเรียนภาคค่ำที่ดีต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตได้ด้วย ที่นี่พวกเราสามารถทำความรู้จักเพื่อนใหม่ไปพร้อมกับสร้างความบันเทิงให้กับตัวเอง ขณะเดียวกันเราก็สามารถเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ไปด้วย” หลิวบอกเล่า

“เซี่ยงไฮ้เป็นมหานครระดับนานาชาติ ผมเลยคิดว่าชั้นเรียนพวกนี้มีประโยชน์มาก ๆ ต่อการส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรม รวมถึงพวกเครื่องดนตรีแบบดั้งเดิมด้วยนะครับ” สวี นักเรียนโรงเรียนภาคค่ำคนหนึ่งกล่าว

'นายกฯ' ชี้!! 15 ธันวา ขยายตี 4 ไม่ได้เอื้อเปิดสถานบันเทิงอย่างเดียว แต่หวังกระตุ้นใช้จ่ายเงินในร้านอาหารใต้กรอบระยะเวลาที่กว้างขึ้น

(3 พ.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง พร้อมด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

โดย นายกฯ กล่าวว่า วันนี้ได้มีการประชุม 2 เรื่อง ซึ่งเรื่องแรก ได้ประชุมร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และกระทรวงมหาดไทย (มท.) เรื่องการแก้ไขหนี้สินของประชาชน โดยสิ้นเดือนนี้จะมีการแถลงข่าวใหญ่ เกี่ยวกับวิธีการแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชน ที่เกี่ยวข้องกับหนี้นอกระบบ นอกจากนี้ ยังมีการประชุมเรื่องการขยายเวลาเปิดสถานบริการถึงตี 4 โดยมี กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงมหาดไทย รวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมด้วย เพื่อดูความเหมาะสม จะเป็นตรงไหนอย่างไร

นายกฯ กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่, ชลบุรี, ภูเก็ต ซึ่งเป็นจังหวัดหลัก ที่จะให้มีการเปิดสถานบริการถึงตี 4 ตรงไหนที่สามารถทำได้ก็ทำก่อน ส่วนจะมีการเปิดเป็นโซนนิ่งหรือไม่ในอนาคต ค่อยว่ากันทีหลัง ทั้งนี้ ตนได้เน้นย้ำที่ทำเรื่องนี้เพื่อต้องการจะกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นการท่องเที่ยว ซึ่งไม่ใช่เฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเดียว ซึ่งสามารถเปิดระยะเวลาได้ยาวขึ้น ขณะที่ประชาชนที่ทำการค้าขาย เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร หรือสถานบริการอย่างอื่น สามารถเปิดบริการได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งตรงนี้มีนัยยะสำคัญหลาย ๆ นัย เช่น นักท่องเที่ยวที่มาจากต่างประเทศ เขาไม่ได้ทานข้าวเร็วเหมือนเรา บางคนทานข้าวตั้งแต่ 3 - 4 ทุ่ม ก็มี หากสถานบริการปิดเที่ยงคืน หรือตี 2 เขาก็ต้องมาเร่งเพื่อกินข้าวให้เสร็จเร็ว จำนวนอาหารที่จะสั่งก็จะน้อยลง เราไม่ได้เน้นเปิดสถานบริการแก้ไขสุราอย่างเดียว เพราะถ้าระยะเวลาน้อยการใช้จ่ายเงินก็น้อยลงไป ก็เป็นเรื่องการขยายระยะเวลา

นายกฯ กล่าวต่อว่า ในส่วนของกระทรวงมหาดไทยจะดูในเรื่องของโซนนิ่ง ใบอนุญาตต่างๆ ที่จะทยอยตามมา เดทไลน์ที่เราวางไว้ เป็นวันที่ 15 ธันวาคม 2566 ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่จะตามมา ได้สั่งการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดูแลประชาชน ซึ่งต้องทำความเข้าใจกับนโยบายนี้ ในเรื่องที่อาจจะมีเสียงรบกวน เรื่องการเมาไม่ขับหรือเรื่องของการเมาไม่ขับ ตรงนี้ตนได้เน้นย้ำไป และให้ติดกล้อง CCTV ให้มากขึ้น ทั้งนี้ การที่เอาเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม ช่วยเหลือ ให้บริการ ให้บริการเรื่องเมาไม่ขับ

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้มีการกำชับเรื่องปัญหายาเสพติดด้วยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องนี้จะต้องมีการตรวจค้นอย่างเข้มข้นต่อไป สำหรับระยะเวลาในการเปิด วางไว้ถึงตี 4 ซึ่งแล้วแต่เขตพื้นที่ และต้องเป็นไปตามกฎหมายด้วย ทั้งนี้ การเปิดตีถึงตี 4 เบื้องต้นจะให้เป็นชั่วคราวก่อน เพราะอาจจะมีการเปลี่ยนโซนนิ่ง และการปรับเปลี่ยนกฎหมายอะไรหลาย ๆ อย่าง ยืนยันว่าเป็นการจัดโซน ไม่ใช่ทั่วประเทศ ซึ่งการดำเนินการก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย และทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ให้ความมั่นใจว่าจะเป็นนโยบายของรัฐบาล กำลังพลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จะสามารถบริหารจัดการได้ นายกฯ กล่าวด้วยว่า สำหรับการเปิดบริการถึงตี 4 ยังไม่มีการคำนวณจำนวนเม็ดเงินที่จะเข้ามาว่าจะได้เท่าไหร่ 

ปปช.คัดเลือกเมืองพัทยาหน่วยงานภาครัฐบริหารงานอย่างโปร่งใส รับรางวัลเกียรติยศ ITA Awards ประจำปี 2566

วันที่ 3 พ.ย.66 ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานจากทีมประชาสัมพันธ์เมืองพัทยาว่า นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา ได้เข้ารับมอบโล่รางวัลเกียรติยศประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ประเภทพัฒนาการสูงสุด ในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 (ITA Awards) ที่จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยมี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีมอบโล่รางวัลเกียรติยศฯ พร้อมด้วย ผู้บริหารสำนักงาน ป.ป.ช. และผู้บริหารสูงสุดของทุกหน่วยงานที่ได้รับมอบรางวัลเข้าร่วมเป็นเกียรติในพิธี ที่ห้องสีฟ้า ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล กรุงเทพมหานคร

โดยเมืองพัทยาได้เข้ารับการประเมิน เป็นหน่วยงานที่มีคุณธรรมและความโปร่งใส ในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งเมืองพัทยาได้รับผลคะแนนรวม บรรลุผลตามเป้าหมายตัวชี้วัดที่กำหนดหลักเกณฑ์ในการมอบรางวัล ITA Awards  เป็นผลมาจากการบริหารจัดการและการดำเนินงานในทุกมิติอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และมีความโปร่งใส ประเภทพัฒนาการสูงสุด
    
ทั้งนี้ การได้รับโล่รางวัลเกียรติยศประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ได้สะท้อนให้เห็นว่า เมืองพัทยามีการบริหารงานและกำกับดูแลการดำเนินงานให้มีคุณธรรมและให้ความสำคัญกับความโปร่งใสขององค์กรเป็นอย่างดี

นายปรเมศวร์ นายกเมืองพัทยา กล่าวว่าเมืองพัทยาได้เข้ารับการประเมิน เป็นหน่วยงานที่มีคุณธรรมและความโปร่งใส ในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งเมืองพัทยาได้รับผลคะแนนรวม บรรลุผลตามเป้าหมายตัวชี้วัดที่กำหนดหลักเกณฑ์ในการมอบรางวัล ITA Awards จากหน่วยงานทั้งประเทศที่ได้รับการประเมินทั้งหมด 8,303หน่วยงาน โดยเมืองพัทยาเป็น 1 ใน 33 หน่วยงานที่ได้รับรางวัลในวันนี้ ในด้านการพัฒนาสูงสุดซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารจัดการและการดำเนินงานในทุกมิติอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความเป็นธรรม และมีความโปร่งใสต่อพี่น้องประชาชน และยังสะท้อนหน่วยงานของเมืองพัทยาตั้งแต่ระดับผู้บริหารจนถึงเจ้าหน้าที่ทุกคน ที่ได้มุ่งมั่นสร้างคุณธรรมและให้มีความโปร่งใสในองค์กรให้เป็นที่ประจักษ์ และถือได้ว่ารางวัลนี้เป็นรางวัลแรกที่เมืองพัทยาได้รับ และเป็นรางวัลสำหรับทุกคนตั้งแต่ระดับผู้บริหารหัวหน้าส่วน ตลอดจนพนักงานทุกคน ซึ่งถือได้ว่าเป็นผลพลอยได้ ที่ทุกคนมุ่งมั่นตั้งใจทำงานกันมาอย่างหนักตลอดปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้การได้รับโล่รางวัลเกียรติยศประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ได้สะท้อนให้เห็นว่า เมืองพัทยามีการบริหารงานและกำกับดูแลการดำเนินงานให้มีคุณธรรมและให้ความสำคัญกับความโปร่งใสขององค์กรเป็นอย่างดี และรางวัลนี้เป็นการรับประกันการทำงานของเมืองพัทยาที่ผ่านมา ในการที่จะมุ่งมั่นทุ่มเทสร้างความมั่นใจ กับการพัฒนาให้บริการแก่ประชาชน เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการตอบสนองประชาชนในเรื่องของความโปร่งใส ให้ได้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด

‘ในหลวง ร.๙’ เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมประชาชนภาคอีสาน จุดเริ่มต้น ‘จอมพล ป. พิบูลสงคราม’ ร่วงหล่นจากตำแหน่ง

พอถึงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ภาพประวัติศาสตร์หนึ่งที่จะวนมาให้เราได้ระลึกถึงกัน ก็คือการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมเยียนราษฎรภาคอีสานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (ในหลวงรัชกาลที่ ๙) ระหว่างวันที่ ๒ - ๒๐ พฤศจิกายน ๒๔๙๘ หลังจากที่พระองค์ได้เสด็จฯ เยี่ยมเยียนราษฎรในภาคกลางมาแล้วในเดือนกันยายนปีเดียวกัน ซึ่งในครั้งนั้นถือว่าเป็นการเสด็จฯ ครั้งประวัติศาสตร์ เพราะไม่เคยมีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดเสด็จฯ ทั่วทั้งภาคอีสานมาก่อน จะมีก็เพียง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ที่เคยเสด็จฯ ประพาสต้น จังหวัดนครราชสีมาโดยทางรถไฟเป็นการส่วนพระองค์ 

การเสด็จพระราชดำเนินประพาสอีสานและประเทศไทยในครั้งนั้นเกิดขึ้นจากการสนับสนุนของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น 

ทำไม ? จอมพล ป. จึงสนับสนุนการเสด็จฯ ทรงเยี่ยมราษฎร ต่างจังหวัด ของรัชกาลที่ ๙ 

สืบเนื่องจากรัฐบาลพม่าโดยนายกรัฐมนตรีอูนุ ได้กราบบังคมทูลเชิญในหลวงรัชกาลที่ ๙ เยือนสหภาพพม่าเพื่อทรงเปิดการประชุมสังคายนาพระไตรปิฎก ‘ฉัฏฐสังคายนา’ แต่ด้วยการกราบบังคมทูลเชิญในครั้งนั้นถือว่าไม่เป็นทางการเนื่องจากไม่ได้เป็นการเชิญโดยประมุขประเทศคือประธานาธิบดีบาอู พระองค์จึงทรงปฏิเสธ 

แต่จอมพล ป.เองก็ต้องการใช้การเสด็จฯ เยือนพม่าในคราวนี้ เพื่อสนับสนุนนโยบายการต่างประเทศ และการเมืองภายในประเทศของตน ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงตระหนักดีว่า พระองค์สามารถใช้เรื่องนี้ต่อรองทางการเมืองกับรัฐบาลได้ โดยพระองค์มีพระราชประสงค์จะเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎรในต่างจังหวัดเป็นการแลกเปลี่ยนกับการเสด็จฯ เยือนพม่าตามความต้องการของรัฐบาล

การต่อรองนี้เกิดขึ้นบนพื้นฐานที่ จอมพล ป. ต้องการฟื้นฟูบทบาทและกระชับความสัมพันธ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมองว่าตนเองกำลังสู่ขาลง และการใช้ประโยชน์จากสถาบันฯ จะเป็นโอกาสที่ตนจะมีฐานทางการเมืองที่มั่นคงมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นนอกเหนือจากการเสด็จพระราชดำเนินในที่ต่างๆ แล้ว จอมพล ป.ยัง สนับสนุนให้ฟื้นฟูกรมกองและพระราชพิธีต่างๆ ที่ถูกยุบไปโดยคณะราษฎรขึ้นมาอีกครั้ง แม้บางอย่างจะเป็นไปในแบบย่นย่อก็ตาม

กลับมาเรื่องของการเสด็จพระราชดำเนินประพาสอีสานกันต่อ จากการต่อรองที่เกิดขึ้น ทำให้ จอมพล ป. กุลีกุจอในการวางแผนการเสด็จฯ ของในหลวง ร.๙ ไว้ ๓ ภาค คือ ภาคอีสาน, ภาคกลาง และภาคเหนือตลอดช่วงฤดูแล้งของปี ๒๔๙๘ โดยก่อนที่พระองค์จะเสด็จฯ เยือนภาคอีสาน พระองค์ทรงขอให้รัฐบาลจัดแผนการเสด็จฯ ไปยังบางจังหวัดในภาคกลาง ซึ่งจอมพล ป. ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้รับสนองพระบรมราชโองการทันทีพร้อมอนุมัติเงินจำนวน 260,000 บาท เพื่อใช้ในการซ่อมแซมที่ประทับ ค่าใช้จ่ายในการเสด็จฯ และค่าพระกระยาหาร … เรียกว่าใจป้ำสุดๆ 

ข่าวการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรภาคอีสานได้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว การร่ำลือปากต่อปากก็ทำให้แพร่ไปอย่างทั่วถึง ประชาชนแม้ในถิ่นทุรกันดารต่างหอบเสื่อหอบหมอน ข้าวปลาอาหาร จูงลูกจูงหลาน ชักชวนกันมาเฝ้า ทั้งในตัวเมืองที่กำหนดเป็นสถานที่รับเสด็จฯ หรือตามเส้นทางเสด็จผ่านทางถนนและทางรถไฟ อย่างที่สถานีรถไฟนครราชสีมา มีราษฎรมาเฝ้ารับเสด็จเป็นแสนคน โดยเดินทางมาจากอำเภอต่างๆ ทำให้โรงแรมในเมืองทุกแห่งเต็มหมดจนต้องพักกันตามศาลาวัด

“บารมีของในหลวงองค์นี้ล้นเหลือนัก” 
“เหมือนฟ้ามาโปรด” 
“แต่นี้ไปความแห้งแล้งจะหมดไปจากอีสานละ”  
“ฮ้อนปานใดก็ฮีดได้ ขอเห็นเจ้าอยู่หัวคักๆ เถอะ” 

คำเหล่านี้คือ คำพูดจากประชาชนเมื่อในหลวงรัชกาลที่ ๙ ได้เสด็จฯ โดยมีภาพจำตลอดสองข้างทางที่เสด็จฯ นั้น คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่อยากจะชื่นชมพระบารมี แม้มืดค่ำก็ไม่ได้มีความย่อท้อ ทั้งยังตั้งโต๊ะบูชาเรียงรายไว้เป็นแถว จุดธูปเทียน ทำให้แสงเทียนแวววาวอยู่ในความมืดทั้งสองฟากถนน เป็นภาพที่งดงาม ประชาชนต่างนั่งพนมมือขณะที่รถพระที่นั่งผ่าน

ในวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๔๙๘ ประวัติศาสตร์ชาติไทยต้องจารึกว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่เสด็จฯ ไปสักการะพระธาตุพนม และภาพประวัติศาสตร์นึงที่เกิดขึ้น ณ จังหวัดนครพนมนี้ก็คือภาพที่ ในหลวง ร.๙ ทรงหยุดพระราชดำเนินที่แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์ วัย ๑๐๒ ปี และโน้มพระองค์ลงจนพระพักตร์แทบแนบชิดศีรษะแม่เฒ่า แย้มพระสรวลด้วยความเมตตา พระหัตถ์แตะมือกร้านของแม่เฒ่าด้วยความอ่อนโยนถือได้ว่าเป็นภาพประวัติศาสตร์ ซึ่งแสดงถึงความอ่อนโยนของพระองค์ ที่ทรงน้อมพระองค์ลงสู่ราษฎร อันเป็นข้อหนึ่งในทศพิธราชธรรมสำหรับพระมหากษัตริย์

การเสด็จฯ เยือนต่างจังหวัดได้เปิดโอกาสให้ประชาชนร้องทุกข์ต่อในหลวงรัชกาลที่ ๙ โดยตรงแทนที่จะยื่นเรื่องผ่านส่วนราชการ ทำให้ข้าราชการได้ตื่นตัวเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ มากขึ้น เรียกได้ว่าไม่เคยเกิดขึ้นผ่านระบบการปกครองของพรรคการเมืองหรือคณะราษฎรที่ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่ ๒๔๗๕ เป็นต้นมา และในการเสด็จฯ เยือนภาคอีสานในครั้งนี้ รัชกาลที่ ๙ ยังได้ทรงพบกับ กระต่าย โดนสโสฤทธิ์ และ ผุย ชนะนิกร นายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรลาว ซึ่งเดินทางข้ามชายแดนมาเข้าเฝ้าฯ พระองค์ที่หนองคายด้วย โดยนายกฯ ลาว ถึงกับประหลาดใจที่คนไทยให้การต้อนรับในหลวงอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตนี้ 

แต่คนที่น่าจะประหลาดใจที่สุดน่าจะเป็น จอมพล ป. พิบูลสงคราม เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมเยือนราษฎรภาคอีสานในครั้งนี้ สำหรับในหลวงรัชกาลที่ ๙ ถือว่าเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์พระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักของประชาชนให้แก่พระองค์ และสำหรับจอมพล ป. แล้ว การสนับสนุนการเสด็จฯ ในครั้งนี้อาจเป็นนโยบายทางการเมืองที่ผิดพลาด เพราะนอกจากจะไม่สามารถสร้างความนิยมชมชอบตัวเขาในหมู่ประชาชนได้แล้ว กลับกลายเป็นว่าความชอบธรรมทางการเมืองและสังคมของจอมพล ป. กำลังถูกท้าทายจากบทบาทใหม่ของรัชกาลที่ ๙ ซึ่งเป็นที่นิยมชมชอบของประชาชน ซึ่งกลายเป็นชนวนที่ต่อมาจอมพล ป. ลดงบประมาณการเสด็จพระราชดำเนินภาคเหนือของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ลง 

พร้อมด้วยทัศนคติของจอมพล ป. ที่มีต่อในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั้น ‘ย่ำแย่ลง’ ตามอุปนิสัยของท่านจอมพล ที่เรียกได้ว่า ‘ขี้อิจฉา’ โดยเฉพาะจุดแตกหักเกิดขึ้นหลังจากงาน ‘งานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ’ หนังสือพิมพ์ที่ควบคุมโดย จอมพล ป. และ พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์  ที่ชื่อว่า ‘ไทเสรี’ ได้ลงข่าวโจมตีพระราชวงศ์อย่างหยาบคาย (เป็นการพาดหัวข่าวในลักษณะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ)

กระแสของสังคมได้โต้กลับหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นอย่างรุนแรง รวมทั้งการอภิปรายโจมตีรัฐบาลอย่างหนักหน่วง ทำให้ความนิยมในรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่เป็นมาอย่างยาวนาน เสื่อมลงไปอีก ทั้งยังสร้างความโกรธแค้นชิงชัง จอมพล ป. ให้เกิดขึ้นกับประชาชน จนเกิดเป็นการทำรัฐประหารยึดอำนาจจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๐ ที่มีนักวิชาการตกขอบชอบยกเหตุการณ์นี้ว่าเกิดขึ้นจากในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทั้งๆ ที่องค์พระมหากษัตริย์ในสมัยจอมพล ป. แทบจะไม่มีพระราชอำนาจใดๆ เลย และบริบททางสังคมและการเมืองในสมัยนั้นต้องการมิ่งขวัญของปวงชนมากกว่าผู้นำเผด็จการที่ชอบแอบอ้างตนและหวังการใช้ประโยชน์จากองค์พระมหากษัตริย์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top