Tuesday, 6 May 2025
TheStatesTimes

ตำรวจภาค 4(ร้อยเอ็ด) สกัดยาบ้าทะลักเข้าทางอีสานกว่า 9 แสนเม็ด ขณะลำเลียงก่อนเข้าพื้นที่ชั้นใน

ตามนโยบายการแก้ไขปัญหายาเสพติดของนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ที่มุ่งปราบปรามผู้ผลิตและผู้ค้ายาเสพติด โดยใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างจริงจังและเด็ดขาด รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดตามแนวชายแดน หรือใช้ประเทศไทยเป็นเส้นทางผ่าน และใช้มาตรการยึดทรัพย์เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด ตำรวจภูธรภาค 4 ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4, พล.ต.ต.ธนชาติ รอดคลองตัน รอง ผบช.ภ.4, พล.ต.ต.พิตติศักดิ์ จำรัสประเสริฐ ผบก.ภ.จว.ร้อยเอ็ด, พ.ต.อ.สุริเดช วรรณสุทธิ์ รอง ผบก.ภ.จว.ร้อยเอ็ด,พ.ต.อ.วีระ หางนาค ผกก.สืบสวน ภ.จว.ร้อยเอ็ด โดยเมื่อวันที่ 23 ต.ค.66 ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด ภ.จว.ร้อยเอ็ด สามารถสกัดจับกุมผู้ต้องหาขบวนการค้ายาเสพติด 3 คน ขณะกำลังขนยาบ้า 840,000 เม็ด เพื่อนำไปส่งลูกค้าในจังหวัดร้อยเอ็ด 

โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันจำหน่ายโดยมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท1(เมทแอมเฟตามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน จนทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐและความปลอดภัยของประชาชน ก่อนการจับกุม ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด ภ.จว.ร้อยเอ็ด ได้สืบสวนติดตามพฤติการณ์ของขบวนการค้ายาเสพติดที่นำยาเสพติดจากชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ส่งไปยังลูกค้าในพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ด จนกระทั่งทราบว่าจะมีการขนยาบ้าล็อตใหญ่ผ่านทางจังหวัดร้อยเอ็ด อีกครั้ง จึงวางแผนจับกุม ต่อมาวันที่ 23 ต.ค 66 ตำรวจชุดจับกุม ได้พบรถกระบะยี่ห้อ Toyota สีดำ ทะเบียน xx 2825 อุบลราชธานี และรถกระบะยี่ห้อ Mitsubishi สีฟ้าทะเบียน xx 5891 มุกดาหาร ขับไปบนถนนสายโพนทอง อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งตรงกับข้อมูลที่สืบสวนทราบมาว่าเป็นรถขนยาเสพติด 

จึงได้สกัดจับกุม จากการตรวจค้นรถกระบะยี่ห้อ Mitsubishi ทะเบียน xx 5891 มุกดาหาร มีนายเชิดศักดิ์หรือเหลิน เป็นผู้ขับขี่ พบยาบ้าจำนวน 340,000 เม็ดภายในรถ ในขณะที่รถกระบะ Toyota ทะเบียน xx 2825 อุบลราชธานี ได้ขับขึ่หลบหนี ตำรวจชุดจับกุมจึงไล่ติดตามจนกระทั่งจับกุมได้ที่ บริเวณใกล้ป่าละเมาะข้างทาง อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ โดยมีนายธนากรหรือชล เป็นผู้ขับขี่ และมีนางประมวญหรือมวล นั่งไปด้วย ซึ่งรับว่านำยาบ้าจำนวน 490,000 เม็ด ซุกซ่อนไว้ภายในป่าละเมาะ ตำรวจชุดจับกุมยึดเป็นของกลาง จากนั้นจึงจับกุมตัวผู้ต้องหา พร้อมของกลางยาบ้ารวมทั้งสิ้น 830,000 เม็ด นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.โพนทอง ดำเนินคดีตามกฎหมาย และสอบสวนขยายผลหาผู้สั่งการและผู้ร่วมขบวนการ รวมทั้งดำเนินการตามมาตรการยึดทรัพย์ เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติดต่อไป

'ก้าวไกล' เย้ย!! ทางตัน 'ดิจิทัลวอลเล็ต' ปรับเงื่อนไขไร้กระตุ้น ศก. ลั่น!! รอบนี้ฝ่ายค้านใจดี แต่เปิดสมัยประชุมหน้า จองกฐินถล่ม

(26 ต.ค. 66) ที่รัฐสภา น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลที่มีการปรับลดเงื่อนไขว่า ปัญหาสำคัญที่จำเป็นต้องมีการปรับหลักเกณฑ์โดยการที่คัดกรองคนรวยออก ก็ชัดเจนแล้วว่ารัฐบาลน่าจะมีปัญหาเรื่องงบประมาณที่จะนำมาใช้กับนโยบายนี้แน่นอนจึงจำเป็นต้องทำจำนวนคนที่ได้รับผลประโยชน์ให้ลดลง ซึ่งถึงแม้ว่าจะลดลงแล้วก็ยังมีคนที่จะได้รับอยู่ที่ประมาณ 43-49 ล้านคนอยู่ดีดังนั้นโอกาสที่จะใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ก็มีค่อนข้างน้อย และมีข้อเสนอออกมาอีกว่าจะใช้งบผูกพันปีละ 1 แสนล้านบาทภายใน 4 ปี ตนคิดว่าก็ยิ่งชัดเจนว่างบประมาณปี 2567 มีที่ว่างให้ทำนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตเพียงแค่ 1 แสนล้านบาทเท่านั้น

“กรณีจำเป็นที่ต้องผูกพันไปถึง 4 ปี ก็เท่ากับว่าจะมีร้านค้าบางส่วนที่ไม่ได้เงินสดไปทันที และต้องรอแลกเป็นหลายรอบปีงบประมาณ ก็จะกระทบกับร้านค้า อาจจะไม่มีแรงจูงใจมากพอ ถ้าหากต้องการเงินสดมาหมุนเวียนในร้านค้าของตนเอง ก็อาจจะไม่เข้าร่วมโครงการด้วยซ้ำไป” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า สิ่งที่ตนพูด ตอกย้ำว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตมาถึงทางตันแล้ว เนื่องจากไม่สามารถให้ธนาคารของรัฐ ธนาคารออมสินดำเนินโครงการนี้ไปก่อนได้ จึงติดข้อจำกัดหลักที่เป็นตอใหญ่คือเรื่องแหล่งที่มาของเงิน ซึ่งตนคิดว่าการปรับเงื่อนไขครั้งนี้ต้องพิจารณาด้วยว่ายังคงสามารถทำได้ตามวัตถุประสงค์ดั้งเดิมผลที่คาดว่าจะได้รับดั้งเดิมหรือไม่ ถ้าเงื่อนไขเปลี่ยนไปหมดแล้ว อาจจำเป็นที่ต้องทบทวนวิธีการใหม่ทั้งหมด ทบทวนนโยบายใหม่ทั้งหมด

เมื่อถามว่าการปรับเงื่อนไขทำให้จำนวนผู้ได้รับลดลงมากน้อยอย่างไร และสะท้อนอะไรบ้าง น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่าลดไปได้นิดเดียวเองสำหรับคนที่มีเงินเดือนเกิน 25,000 บาท รวมถึงเงื่อนไขบัญชีเงินฝาก ลดไปได้ 13 ล้านคน

“ถ้าเกิดเงินเดือนเกิน 50,000 บาท ยิ่งลดไปได้น้อยใหญ่เลย ลดไปได้แค่ 7 ล้านคน ดังนั้น เกณฑ์นี้อาจจะไม่ได้ช่วยอะไรมากนักในแง่ของการที่จะประหยัดงบประมาณลง ก็เป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลต้องคำนึงถึงว่าจะทำอย่างไรกันต่อ” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า ถ้าสุดท้าย รัฐบาลกลับไปทางเลือกที่ 3 ที่ให้เฉพาะคนที่ได้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตนมองว่าอาจจะไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยซ้ำไป อาจจะเป็นโครงการประคับประคองเยียวยาค่าของชีพคนที่มีรายได้น้อยหรือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแทน จะกลายเป็นการเปลี่ยนรูปแบบวัตถุประสงค์ของโครงการเป็นชัดเจน ย้ำว่าคำว่าทบทวนหมายถึงอาจจะให้เปลี่ยนวิธีการมากกว่ายกเลิกโครงการ ตนเข้าใจดีว่าสัญญาที่เคยให้ไว้กับประชาชนก็สำคัญ

“ดิฉันเข้าใจว่าเพื่อไทยได้หาเสียงไว้ แต่ก็สามารถที่จะบอกกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมาว่าติดปัญหาในเรื่องอะไรดิฉันคิดว่าประชาชนน่าจะเข้าใจได้ว่ารัฐบาลได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่มีอุปสรรคชิ้นใหญ่คืองบประมาณ” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

เมื่อถามว่าสุดท้ายจะเหมือนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ต้องรอดูว่าจะเป็นรูปแบบนั้นหรือไม่ตอนนี้งบประมาณที่ไปทบทวนในแต่ละหน่วยงานของรัฐทำการเสร็จแล้ว และเริ่มทยอยส่งกลับมาที่สำนักงบประมาณดังนั้น สำนักงบประมาณมีข้อมูลอยู่ในมือแล้วว่าจะสามารถที่จะตัดลดงบหรือไกล่เกลี่ยงบประมาณปี 2567 ได้เท่าไหร่

“ดังนั้น ถ้าไม่ทำงบประมาณผูกพันข้ามปีทางออกทางเดียวก็คือให้เฉพาะคนที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มันก็จะไม่ใช่โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกต่อไปเป็นเพียงแค่เยียวยาค่าของชีพ” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ฝ่ายค้านจะยังรอให้มาติผลการประชุมกรรมการดิจิทัลวอลเล็ตชุดใหญ่ออกมาก่อน เรายังใจดีให้รัฐบาลกลับไปคิดทวนลงรายละเอียดทุกอย่าง และให้คณะกรรมการชุดใหญ่มีข้อเสนอกับคณะรัฐมนตรี เราจะได้ทำการตรวจสอบกันต่อไป หลายกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรก็รอที่จะพูดคุยอยู่ ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงปิดสมัยประชุม แต่หากเปิดสมัยประชุมเราก็จะมีการพูดคุยเรื่องนี้กันอย่างแน่นอน พร้อมย้ำสื่อมวลชนให้สอบถามร้านค้าว่าหากมีการทยอยจ่ายเงินสดไม่ได้ทันที ร้านค้าเข้าร่วมโครงการอยู่หรือไม่

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวด้วยว่า ตอนนี้แหล่งเงินจากธนาคารออมสินไม่สามารถใช้ได้แล้ว ถ้าจะใช้ธนาคารออมสินต้องแก้ไขกฎหมาย ส่วนการออก พ.ร.ก.กู้เงินเหมือนช่วงโควิดนั้น เป็นทางออกที่ง่ายที่สุด แต่ขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดเจนว่า พ.ร.ก. จะออกได้เมื่อมีความจำเป็นเร่งด่วนเท่านั้น ซึ่งต้องกลับไปถามสำนักบริหารหนี้สาธารณะว่าจะยอมหรือไม่ ในกรณีที่ไม่ได้มีความจำเป็นเร่งด่วนและเสี่ยงต่อการขัดต่อรัฐธรรมนูญ บอกว่าอาจเป็นการฆ่าตัวตายได้

บิ๊กดีล!! WHA เซ็นขายที่นิคมฯ 250 ไร่ให้ ‘ฉางอาน ออโต้ฯ’ ตั้งฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแห่งแรก เพื่อส่งออกทั่วโลก

(26 ต.ค. 66) บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ในเครือดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ลงนามในสัญญาซื้อขายที่ดินครั้งใหญ่กับบริษัท ฉางอาน ออโต้ เซ้าท์อีส เอเชีย จำกัด หนึ่งในกลุ่มยานยนต์ชั้นนำ 4 กลุ่มของจีน จำนวน 250 ไร่ ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์น ซีบอร์ด 4 ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป บนพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพื่อสร้างโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้า นับเป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment) ครั้งสำคัญแห่งปี 2566 สะท้อนถึงศักยภาพและการบูรณาการด้านการส่งเสริมการลงทุนอันโดดเด่นของประเทศไทย และมาตรฐานการจัดการนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์อัจฉริยะ (Smart ECO Industrial Estate) ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป นับเป็นการก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจรชั้นนำของโลก

ในพิธีลงนามในสัญญาครั้งสำคัญนี้ ได้รับเกียรติจาก มิสจาง เซียว เซียว อัครราชทูตจีน ประจำแผนกพาณิชย์ สถานทูตจีนประจำประเทศไทยร่วมเป็นสักขีพยาน โดยมีนางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และนายเซิน ซิงหัว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซ้าท์อีส เอเชีย จำกัด และกรรมการผู้จัดการและประธานกรรมการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ลงนามในสัญญา

นายเซิน ซิงหัว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซ้าท์อีส เอเชีย จำกัด และกรรมผู้จัดการและประธานกรรมการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การตัดสินใจลงทุนจัดตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ใช้เงินลงทุนในเฟสแรกกว่า 8,862 ล้านบาท เพื่อตั้งฐานการผลิตรถยนต์พวงมาลัยขวา ทั้งประเภท BEV, PHEV, REEV (Range Extended EV) สำหรับจำหน่ายในไทยและส่งออกสู่ภูมิภาคอาเซียน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อังกฤษ และแอฟริกาใต้ ด้วยกำลังการผลิตรถยนต์ 100,000 คันต่อปี รวมถึงจัดตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า คาดว่าจะเริ่มผลิตรถยนต์ได้ในปี 2568 โดยบริษัทยังเล็งเห็นถึงศักยภาพของไทยมากกว่าการเป็นฐานการผลิต จึงมีแผนจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนารถยนต์ในไทยในระยะต่อไปอีกด้วย

ด้วยทำเลที่ตั้งและชื่อเสียงของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปในฐานะผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมชั้นนำของภูมิภาค ซึ่งนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 มีทำเลที่ตั้งอันโดดเด่นบนพื้นที่เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายของอีอีซี ทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพ ระบบสาธารณูปโภคและบริการระดับเวิลด์คลาส รวมไปถึงการขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานคุณภาพสูง และการขยายคลัสเตอร์ยานยนต์ในอีอีซีด้วย

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การตัดสินใจลงทุนของฉางอานฯโดยเลือกดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ให้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการจัดตั้งฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแห่งใหม่ในไทย ซึ่งการลงนามในสัญญาซื้อขายที่ดินครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่แห่งปี ของความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชน ในการส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต และการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย ตลอดจนเป็นสิ่งยืนยันได้ว่า ประเทศไทยคือจุดหมายด้านการลงทุนอุตสาหกรรมไฮเทคจากต่างประเทศที่สำคัญของเอเชีย

ปัจจุบัน การเข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของโลกจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดการขยายคลัสเตอร์ยานยนต์ในอีอีซีอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยในปัจจุบันผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีนได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยมีมูลค่าการลงทุนกว่า 1.44 พันล้านดอลลาร์ ช่วยผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึงความพร้อมของประเทศไทย ในการก้าวสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าสำคัญของโลกต่อไป โดยที่ผ่านมาบีโอไอได้อนุมัติโครงการยานยนต์ไฟฟ้าไปแล้ว 23 โครงการจาก 16 บริษัท และภายในปี 2573 รถยนต์พลังงานไฟฟ้าจะมีสัดส่วน 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดของประเทศไทย หรือ 725,000 คันต่อปี

นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 เป็นนิคมอุตสาหกรรมลำดับที่ 9 ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ในประเทศไทย มีพื้นที่ทั้งหมด 2,443 ไร่ (รวมพื้นที่ส่วนขยาย) ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ของอีอีซีที่เอื้อต่อการส่งออกสู่ภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก ทั้งทางบก ทางเรือ และทางอากาศ ได้รับการออกแบบให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์อัจฉริยะ (Smart ECO Industrial Estate)

โดยมีโครงสร้างพื้นฐาน และระบบสาธารณูปโภคที่ได้มาตรฐานระดับโลก เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมล่าสุดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการสื่อสาร การคมนาคมขนส่ง การรักษาความปลอดภัย การควบคุมด้านสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงการผลิตและการบำบัดน้ำเสีย และมีการเชื่อมต่อกับศูนย์ควบคุมส่วนกลางของดับบลิวเอชเอ (Unified Operation Center หรือ UOC) ทำให้บริษัทฯ สามารถตรวจสอบสภาวะด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ในการพัฒนาธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน The Ultimate Solution for Sustainable Growth

“การตัดสินใจลงทุนในประเทศไทยของฉางอาน ออโต้ เซ้าท์อีส เอเชีย มีความสำคัญอย่างยิ่ง ต่อการส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าบนเวทีโลก เพราะนอกจากแสดงถึงความเชื่อมั่นของฉางอาน ออโต้ เซ้าท์อีส เอเชีย ที่มีต่อประเทศไทยทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ศักยภาพของตลาด นโยบายเชิงรุกในการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งระบบโลจิสติกส์และซัพพลายเชนที่ครบวงจรพร้อมรองรับการผลิต ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป พร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐบาล โดยเฉพาะแผนยุทธศาสตร์ชาติในการผลักดันให้ประเทศไทยมุ่งสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก ตลอดจนการขยายเครือข่ายสถานีชาร์จ และการผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมให้เกิดระบบนิเวศของยานยนต์ไฟฟ้าอย่างครบวงจร สู่การบรรลุเป้าหมายการใช้ยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Emission Vehicle) ภายในปี 2573 หรือ 2030 ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ที่จะบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050” นางสาวจรีพร กล่าว

'พิธา' พบคนไทยในนิวยอร์ก เจอถือป้ายขับไล่ "คนโกหกเชื่อถือไม่ได้" ร้อนถึงพระคุณเจ้าต้องห้ามทัพ หวั่นกระทบกระทั่ง 'ด้อมส้ม'

เมื่อวานนี้ (25 ต.ค. 66) ช่วงเช้าตามเวลาท้องถิ่นของมหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล เดินทางไปพบปะพี่น้องคนไทยในเขตควีนส์ของมหานครนิวยอร์ก ทันทีที่นายพิธา มาที่วัดพุทธไทยถาวร ในเขตชุมนุมชาวไทยที่ eimhurst queens ny กับย่านไทยทาวน์ที่อยู่ใกล้เคียงกับวัด โดยมีทั้งฝ่ายสนับสนุนมาต้อนรับ กับฝ่ายตรงข้ามมาไล่ต้อน

ทั้งนี้ มีฝ่ายสนับสนุนรายหนึ่งเผยว่า ตนและเพื่อน ๆ ยอมหยุดงานมาให้กำลังใจพิธาในวันนี้ พร้อมชี้ว่าหากวันหนึ่งเมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี เธอจะเดินทางกลับไปบ้านเกิดอีกครั้ง เราต้องการนายกฯ คนรุ่นใหม่ไฟแรงเพื่อมาพัฒนาประเทศ

อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มของฝ่ายตรงข้ามที่มาถือป้ายไล่ต้อนนั้น ได้นำป้ายที่มีข้อความว่า L I A R คนโกหกเชื่อถือไม่ได้ หลอกลวง ท่ามกลางผู้สนับสนุนที่มาต้อนรับ งานนี้ร้อนถึงพระคุณเจ้าต้องเข้ามาห้ามทัพและพูดคุยทั้งสองฝ่าย โดยไม่มีรายงานว่ามีการปะทะหรือกระทบกระทั่งแต่อย่างใด ทั้งนี้ นายพิธา มีกำหนดเดินทางไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

'ชัยธวัช' โพสต์เดือด!! "ประยุทธ์คิด เศรษฐาทำ ไอ้โม่งสั่ง" หลังนายกฯ ไม่ตอบกระทู้ก้าวไกล เอาแต่ตอบเรื่องที่ตัวเองเตรียมมา

(26 ต.ค. 66) นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่าน X (ทวิตเตอร์) ภายหลังนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ไม่มาตอบกระทู้ถามสดของพรรคก้าวไกล แต่มาตอบกระทู้ของ สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ โดยระบุว่า วันนี้เป็นที่ชัดเจนว่า นายกฯ เจตนาไม่ตอบกระทู้ถามสดของพรรคก้าวไกล ต้องการจะตอบกระทู้ถามสดเฉพาะที่ตนเองเตรียมมาตอบ หรือชงให้โฆษณารัฐบาลเท่านั้น

จริง ๆ ประเด็นสำคัญของปัญหาที่ผมต้องการถามนายกฯ จะเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจที่มีลักษณะ “ประยุทธ์คิด เศรษฐาทำ ไอ้โม่งสั่ง” ด้วย

นายชัยธวัช ระบุเพิ่มเติมว่า น่าผิดหวังที่นายเศรษฐา กล้าใช้อำนาจในลักษณะที่อาจผิดกฎหมาย ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ที่ควรปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ และเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้อง แต่ไม่กล้าเผชิญหน้าการตรวจสอบจากฝ่ายค้านในสภา ตั้งใจไม่มาตอบกระทู้ถามสดของก้าวไกลแล้วเข้ามาตอบกระทู้ถามอื่นได้ในเวลาติดกัน

หลังจากเผยแพร่โพสต์ดังกล่าวปรากฏว่า มีชาวเน็ตแห่เข้ามาคอมเมนต์ถาม ไอ้โม่งคือใคร

พิษณุโลก สายธารน้ำใจ สู้ภัยน้ำท่วม มทบ.39 ร่วมกับ โรงพยาบาลค่ายฯ และ ปตท.สผ. ช่วยเหลือพี่น้องชาวบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2566 เวลา 1000 นาฬิกา พลตรี กฤษณะ  ภู่ทอง ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 39 / ผู้บัญชาการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยมณฑลทหารบกที่ 39 ลงพื้นที่อำเภอบางระกำ โดยมี นายอำเภอบางระกำ และผู้นำท้องที่ - ท้องถิ่น ให้การต้อนรับ และร่วมภารกิจ “สายธารน้ำใจ สู้ภัยน้ำท่วม” นำโดยชุดแพทย์เคลื่อนที่โรงพยาบาลค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ร่วมกับผู้บริหาร บริษัท ปตท. สำรวจ และผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพสิ่งของอุปโภคบริโภค – ยารักษาโรคและตรวจสุภาพให้กับพี่น้องประชาชนผู้ประสบอุทกภัย จากสถานการณ์น้ำในแม่น้ำยมเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านเรือนและที่พื้นที่ทำกิน ในพื้นที่ชุมชนหลังวัดสุนทรประดิษฐ์ ตำบลบางระกำ อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและสร้างขวัญกำลังใจให้กับพี่น้องประชาชน ก้าวผ่านสถานการณ์นี้ไปด้วยกัน

มณฑลทหารบกที่39 #ทหารเป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกโอกาส ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยมณฑลทหารบกที่39 ปตท.สผ.

‘เศรษฐา’ ชี้!! ‘พ.ร.บ.ภาพยนตร์’ ล้าหลัง-ต้องเร่งปรับปรุงโดยด่วน หากหวังปั้นความคิดสร้างสรรค์ ดันหนังไทยเฉิดฉายระดับโลก

(26 ต.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงการชมภาพยนตร์เรื่อง ‘สัปเหร่อ’ เมื่อช่วงค่ำวันที่ 25 ต.ค. ว่า…

“ก็ดีนะครับ เป็นภาพยนตร์ที่สนุก และเชื่อว่าเรื่องของอาชีพที่หลายคนไม่รู้จัก อย่าว่าแต่ฝรั่งเลย อาชีพที่คนไทยไม่รู้จักก็ถูกหยิบยกขึ้นมาพูด รวมถึงเรื่องการใช้ภาษา เรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน สิ่งเหล่านี้เชื่อว่าจะทำให้ผู้คนรู้ซึ้งถึงวัฒนธรรมของไทยได้ดีขึ้น ก็ยินดี สนับสนุน ผู้กำกับเก่ง ก็อยากสนับสนุนผู้กำกับที่มีฝีมือให้มาช่วยผลักดันในเรื่องของภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นหนังสั้น หนังยาว ให้มีเวทีในการที่จะแสดงความสามารถได้ ผมสนับสนุนเต็มที่”

นอกจากนี้ ยังได้มีการพูดคุยกันถึงเรื่องของการสนับสนุนที่อยากให้ภาครัฐเอาภาพยนตร์หรือผู้กำกับไปเฉิดฉายในเวทีแสดงหนังโลก ซึ่งทางรัฐบาลจะสนับสนุนในส่วนนี้ แต่เรื่องหนึ่งที่ยังติดอยู่คือ ‘พ.ร.บ.เซ็นเซอร์’ อันนี้ก็เป็นอะไรที่ต้องใช้คำว่าอาจจะ ‘ล้าสมัย’ ต้องมีการปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัยใหม่หน่อย จะได้มีการแสดงในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ได้ดียิ่งขึ้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า หนังฟอร์มเล็กของเรามีดีๆ เยอะ จะสนับสนุนอย่างไร เพราะหนังเหล่านี้ไม่มีทุนเหมือนรายใหญ่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เดี๋ยวมานั่งพูดคุยกัน ตรงนี้ตนคิดว่าคณะทำงานซอฟต์พาวเวอร์เล็งเห็นอยู่แล้วในเรื่องของการขาดทุนทรัพย์

‘นายกฯ’ ปักหมุดไทยศูนย์กลางผลิตรถ EV - ชิ้นส่วนในอาเซียน พร้อมหนุนสร้างศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ เฟส 2

(26 ต.ค. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวถึงเรื่องการเร่งเครื่องลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ทั้งแบบสันดาปและอีวี ว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศไทยเป็นเบอร์ 1 ที่มีโรงงานผลิตรถยนต์อีวี และมีอัตราการใช้รถอีวีที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด ซึ่งตนได้ให้ความมั่นใจกับนักลงทุนในสหรัฐฯ ไปว่า มีการสนับสนุนการประกอบรถยนต์อีวีอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่ทราบว่าสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีจะให้ได้นานขนาดไหน ซึ่งไทยจำเป็นต้องดูแลพาร์ตเนอร์เก่ารายใหญ่ที่สุดในรอบ 50-60 ปี คือญี่ปุ่น ซึ่งเป็นรถแบบสันดาป แต่ก็กำลังค่อย ๆ เฟดลงไป

ส่วนการขับเคลื่อนโครงการสร้างศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ ที่เป็นสนามทดสอบสมรรถนะและความเร็วของรถซึ่งสร้างที่จังหวัดฉะเชิงเทราไปแล้วเฟสแรก เพื่อรองรับ จะสนับสนุนการลงทุนในเฟสที่ 2 ต่อหรือไม่ อย่างไรนั้น นายกฯ กล่าวว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดของโครงการนี้ จึงต้องขอดูเรื่องก่อน แต่ยืนยันว่า ถ้าเป็นเรื่องที่ดี ทำให้ชีวิตของพี่น้องประชาชนดีขึ้นก็พร้อมสนับสนุน

สำหรับความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ ซึ่งสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เป็นผู้ดำเนินโครงการดังกล่าว โดยดำเนินอยู่บนพื้นที่ 1,235 ไร่ บริเวณเขตสวนป่าลาดกระทิง ตำบลลาดกระทิง อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยการลงทุนของภาครัฐทั้งหมดภายใต้กรอบวงเงิน 3,705.7 ล้านบาท  

ซึ่งเมื่อวันที่ 10 ก.พ. 66 ที่ผ่านมา นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการ พบว่าได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จกว่า 55% ใช้งบประมาณไปแล้ว 2,038 ล้านบาท คงเหลือการดำเนินงานอีก 45% ในวงเงินประมาณ 1,667.69 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2569 หากแล้วเสร็จสมบูรณ์ ศูนย์ทดสอบแห่งนี้จะกลายเป็นฮับการทดสอบมาตรฐานอันดับ 1 ในอาเซียนและอันดับที่ 11 ของโลก

ล่าสุดทางสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดให้มีการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ โครงการประกวดราคาจ้างก่อสร้างสนามทดสอบความเร็วและสมรรถนะ และการป้องกันดินสไลด์สู่สนามทดสอบยางล้อ ตามมาตรฐาน UN R117 ต.ลาดกระทิง อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา 1 สนาม ได้โดยมีข้อมูลอยู่ในระบบอีบิดดิ้ง มีผู้แข่งขัน 2 รายและมีผู้รับการคัดเลือก เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยบริษัทผู้รับคัดเลือกมีราคาต่ำสุด อยู่ที่ 844,230,000 บาท  

โดยคาดว่าจะมีการประกาศรายชื่อบริษัทที่ชนะการประกวดราคาทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเดินหน้าก่อสร้างโครงการดังกล่าวในเร็ว ๆ นี้ ให้สามารถดำเนินโครงการในแต่ละระยะให้แล้วเสร็จทั้งโครงการและเปิดใช้บริการได้ในปี 2569 ตามกรอบเวลาของโครงการ

เตือนกลุ่มเสี่ยง!! หลังคนไทยเสียชีวิตที่ 'ลี่เจียง' ผลข้างเคียงจากการขึ้นไปในระดับพื้นที่สูง

(26 ต.ค. 66) กลายเป็นเรื่องต้องระวังอย่างจริงจัง หลังจากผู้ใช้โซเชียลท่านหนึ่งไม่ระบุนาม ได้เผยว่า ไม่นานมานี้ เพื่อนแพทย์รุ่นเดียวกับเขาได้เสียชีวิต จากการไปเที่ยวที่สูงใน 'ลี่เจียง' ประเทศจีน โดยเกิด Pulmonary edema ซึ่งเป็นกลุ่มอาการจาก High altitude sickness จึงฝากเตือนคนไทยในยามนี้สำหรับบุคคลที่อาจจะเจออาการเสี่ยงดังกล่าวได้ พร้อมทั้งแนบคำเตือนจากกระทรวง ตปท.ไทย ที่เคยเตือนไว้ตั้งแต่ปี 2562 และมีการแก้ไขอัปเดตเนื้อหาเมื่อปี 2565 โดยมีรายละเอียด ดังนี้...

ข่าวประชาสัมพันธ์สถานกงสุลใหญ่ ณ นครคุนหมิง

เรื่อง แจ้งเตือนคนไทยที่จะเดินทางไปยังประเทศจีนที่มีระดับพื้นที่สูง

สถานกงสุลใหญ่ ณ นครคุนหมิง ขอแจ้งข่าวประชาสัมพันธ์มายังประชาชนชาวไทยที่ประสงค์จะเดินทางไปท่องเที่ยวหรือพำนักในมณฑลยูนนาน โดยเฉพาะเมืองลี่เจียงและเมืองแชงกรีล่าซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังที่มีระดับความสูงเหนือน้ำทะเลประมาณ 3,000 - 4,000 เมตร หรือเมืองอื่น ๆ ในประเทศจีนที่เป็นเขตพื้นที่ราบสูง เช่น ทิเบต, ซินเจียง, ชิงไห่ ซึ่งมีคนไทยหลายรายประสบปัญหาด้านสุขภาพเป็นโรคแพ้พื้นที่สูง หรือ High altitude sickness เมื่อเดินทางมายังพื้นที่เหล่านี้

โรคแพ้พื้นที่สูง คือ อาการของร่างกายที่ขาดออกซิเจนจากการอยู่บนที่สูง ซึ่งมีอากาศเบาบาง (ยิ่งสูง ออกซิเจนก็ยิ่งน้อยลง) เนื่องจากบนที่สูง ความหนาแน่นของโมเลกุลออกซิเจนจะน้อยกว่าอากาศในที่ต่ำใกล้ระดับน้ำทะเลอย่างประเทศไทย ฉะนั้นการสูดลมหายใจเต็มปอด 1 ครั้ง จะได้จำนวนปริมาตรของอากาศน้อยลงกว่าเดิม ทำให้เกิดอาการขาดออกซิเจนแบบไม่รู้ตัว และร่างกายทำงานหนักขึ้นเพื่อปรับตัว เช่น หัวใจเต้นเร็วขึ้น กระดูกไขสันหลังผลิตเม็ดเลือดมากขึ้น เพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนในร่างกาย เป็นต้น จนทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ตามมา ตั้งแต่อาการเล็ก ๆ น้อย ๆ จนกระทั่งรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต โดยคนทั่วไปมักจะเริ่มมีอาการเมื่ออยู่บนพื้นที่สูงตั้งแต่ 3,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งมีปริมาณออกซิเจนเพียง 75% ของอากาศระดับน้ำทะเลในปริมาตรที่เท่ากัน 

อย่างไรก็ดี บางคนอาจมีอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้ และเหนื่อยง่ายได้ แม้ว่าจะอยู่ในระดับความสูงเพียงประมาณ 1,800 เมตรอย่างในนครคุนหมิง

โรคแพ้พื้นที่สูงแบ่งเป็น 3 กลุ่มอาการ ได้แก่...

1. Acute Mountain Sickness (AMS) เป็นอาการเริ่มแรก เช่น มีอาการปวดหัวเล็กน้อย นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ เป็นต้น หากมีอาการเช่นนี้ ให้พักผ่อนมาก ๆ หลีกเลี่ยงการขึ้นไปยังที่สูงกว่านี้ ควรพักผ่อนจนกว่าจะอาการดีขึ้นถึงไปต่อ หากแย่ลง อาการจะหนักขึ้นไปเป็นกลุ่มอาการที่ 2 หรือ 3

2. High Altitude Cerebral Edema หรือภาวะสมองบวมจากการแพ้พื้นที่สูง อาการนี้เป็นอาการต่อเนื่องจาก AMS โดยมีอาการปวดหัวรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียนมาก เดินเซ ชัก พูดไม่รู้เรื่อง โคม่า หรือเสียชีวิต หากมีอาการดังกล่าว ควรรีบลงจากระดับความสูงนั้นให้เร็วที่สุด และไปพบแพทย์ในทันที

3. High Altitude Pulmonary Edema (HAPE) หรือน้ำท่วมปอดจากการแพ้พื้นที่สูง จะมีอาการเช่น เหนื่อยมากขึ้น โดยมักมีอาการเหนื่อยตอนกลางคืน และไอแห้ง ๆ ข้อแตกต่างระหว่างอาการกลุ่ม AMS และอาการกลุ่มนี้ คือ หากเป็น AMS เมื่อหยุดพักแล้ว จะมีอาการดีขึ้น แต่หากเป็นกลุ่มอาการ HAPE แม้ว่าจะพักสักระยะหนึ่งแล้ว ก็ยังมีอาการเหนื่อยมากขึ้น และอยู่เฉย ๆ ก็รู้สึกเหนื่อย ซึ่งแสดงถึงอาการที่อันตรายมาก ต้องพบแพทย์และลงจากที่สูงในทันที

สำหรับอาการของโรคแพ้พื้นที่สูง ในช่วง 6-12 ชั่วโมงแรก ร่างกายอาจจะยังไม่รู้สึกผิดปกตินัก เนื่องจากอาจจะยังมีออกซิเจนสะสมในร่างกายอยู่ แต่เมื่อออกซิเจนในร่างกายน้อยลง จะเกิดอาการดังนี้...

- เหนื่อยง่าย หายใจถี่ หัวใจเต้นเร็วขึ้น เพราะเกิดจากการปรับตัวโดยธรรมชาติของร่างกาย
- ปวดศีรษะด้านใต้ท้ายทอย เพราะเป็นสมองที่สั่งงานเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
- อาหารไม่ย่อย ท้องเสีย ปากเขียวคล้ำ ฯลฯ แล้วแต่บุคคล แต่หากมีอาการขั้นรุนแรง อาจช็อก หรือเสียชีวิตได้

>> แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองเป็นโรคแพ้พื้นที่สูงหรือไม่? และจะต้องเตรียมตัวอย่างไร?

สำหรับอาการแพ้พื้นที่สูงนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับบุคคลทุกเพศทุกวัย แม้ว่าผู้สูงอายุอาจจะมีความเสี่ยงมากกว่า เนื่องจากความสามารถในการปรับตัวของร่างกายอาจไม่ดีเท่ากับคนวัยหนุ่มสาว และอาจมีโรคประจำตัว อาทิ โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง เป็นปัจจัยช่วยเร่ง แต่ที่ผ่านมา ก็พบว่า เด็ก วัยรุ่น และคนวัยทำงาน ก็มีอาการของโรคนี้ได้เช่นกัน

ดังนั้น จึงควรเตรียมตัวให้พร้อมในการเดินทางไปยังมณฑลยูนนานหรือเมืองอื่น ๆ ในประเทศจีนที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเลในระดับที่ค่อนข้างสูง โดยควรอยู่พักในพื้นที่ที่ไม่สูงมากนักก่อนเพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว ก่อนที่จะขึ้นไปยังที่สูงขึ้นไป หากทราบว่าตนมีความเสี่ยงอยู่แล้ว ควรพกขวดออกซิเจนไว้ (ซึ่งมีจำหน่ายตามสถานที่ท่องเที่ยว เช่น ภูเขาหิมะมังกรหยกในเมืองลี่เจียง) หรือเตรียมยาประจำตัว (หากมี) ให้เพียงพอระหว่างการเดินทาง

ที่สำคัญ สถานกงสุลใหญ่ฯ ขอแนะนำให้ทุกท่านซื้อประกันสุขภาพไว้ ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมากในกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินจากการเป็นโรคแพ้พื้นที่สูงเช่นนี้ 

สถานกงสุลใหญ่ ณ นครคุนหมิง
มีนาคม 2562

‘คนเมืองผู้ดี’ เผชิญภาวะอดอยากแร้นแค้น 3.8 ล้านคน ผลจากเงินเยียวยาช่วงโควิด-19 ระบาด ไม่พอใช้จ่าย

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันอังคาร (24 ต.ค.66) ที่ผ่านมา มูลนิธิโจเซฟ ราวน์ทรี (Joseph Rowntree Foundation) เผยว่าประชาชนในสหราชอาณาจักรราว 3.8 ล้านคน ซึ่งรวมถึงเด็ก 1 ล้านคน ใช้ชีวิตอยู่กับความอดอยากยากแค้นเมื่อปีก่อน

มูลนิธิข้างต้น ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรการกุศลที่มีชื่อเสียงที่สุดในสหราชอาณาจักร เผยในรายงานว่าจำนวนดังกล่าวคิดเป็นเกือบ 2.5 เท่าของจำนวนคนอดอยากในปี 2017 และเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าในกลุ่มประชากรเด็ก ทำให้การจัดการกับความอดอยากในสหราชอาณาจักรกลายเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน

“ระดับความอดอยากในสหราชอาณาจักรเพิ่มสูงขึ้น โดยผู้คนจำนวนมากขึ้นต้องดิ้นรนหาเงินมาตอบสนองต่อความต้องการทางกายภาพขั้นพื้นฐานที่สุด ทั้งการทำให้ร่างกายอบอุ่น ไม่เปียกฝน สะอาดสะอ้าน และอิ่มท้อง” รายงานระบุ

รายงานเสริมว่าสิ่งนี้มีผลกระทบต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต และโอกาสของประชาชนอย่างลึกซึ้ง และยังสร้างความตึงเครียดให้บริการต่าง ๆ ที่แบกรับภาระมากเกินไปอยู่แล้ว โดยเกือบสามในสี่ของประชาชนที่ประสบกับความอดอยากอยู่ระหว่างการรับเงินประกันสังคม ซึ่งสะท้อนถึงสิทธิประโยชน์ที่ไม่เพียงพอ

ส่วนการสนับสนุนเฉพาะกิจจากรัฐบาลสหราชอาณาจักรซึ่งมีขึ้นครั้งแรกเมื่อช่วงการแพร่ระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) และกำลังช่วยเรื่องค่าครองชีพอยู่ในขณะนี้ ยังไม่สามารถหยุดยั้งระดับความอดอยากที่เพิ่มขึ้นได้

รายงานแนะนำให้มีการปฏิรูประบบประกันสังคมของสหราชอาณาจักรอย่างกว้างขวางขึ้น และรับรองการจัดสรรความช่วยเหลือด้านการเงินฉุกเฉินสำหรับจัดการกับหนี้ก้อนโต สวัสดิการ และปัญหาที่อยู่อาศัยที่ทำให้ประชาชนอดอยาก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top