Tuesday, 6 May 2025
TheStatesTimes

‘จีน’ ส่งยาน ‘Shenzhou-17’ ขึ้นสู่สถานีอวกาศเทียนกงสำเร็จ พานักบินอายุน้อยที่สุดเดินหน้าปฏิบัติภารกิจโครงการอวกาศ

(26 ต.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว, จิ่วเฉวียน รายงานว่า องค์การอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุมแห่งประเทศจีน (CMSA) รายงานการปล่อยยานอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุม ‘เสินโจว-17’ (Shenzhou-17) พร้อมทีมนักบินอวกาศ 3 คน เพื่อปฏิบัติภารกิจบนสถานีอวกาศจีนในวงโคจรประมาณ 6 เดือน

รายงานระบุว่า ยานอวกาศฯ ซึ่งติดตั้งอยู่ด้านบนสุดของจรวดขนส่ง ‘ลองมาร์ช-2 เอฟ’ (Long March-2F) ทะยานออกจากศูนย์ปล่อยดาวเทียมจิ่วเฉวียนทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน โดยทีมนักบินอวกาศประจำภารกิจเสินโจว-17 ประกอบด้วยทังหงโป ‘ถัง เซิ่งเจี๋ย’ และ ‘เจียง ซินหลิน’

‘ทัง หงโป’ เกิดปี 1975 รับหน้าที่เป็นผู้บัญชาการภารกิจเสินโจว-17 และเคยเป็นนักบินอวกาศประจำภารกิจเสินโจว-12 ในเดือนมิถุนายน 2021 ส่วนถังเซิ่งเจี๋ย เกิดปี 1989 เป็นนักบินอวกาศหน้าใหม่และนักบินอวกาศอายุน้อยที่สุดที่จะได้เข้าสู่สถานีอวกาศจีน ขณะเจียงซินหลิน เกิดปี 1988 เป็นนักบินอวกาศหน้าใหม่เช่นกัน

ก่อนหน้านี้เมื่อวันพุธ (25 ต.ค.) ‘หลิน ซีเฉียง’ รองผู้อำนวยการองค์การฯ แถลงข่าวว่าทีมนักบินอวกาศประจำภารกิจเสินโจว-17 จะทำการทดสอบและทดลองอุปกรณ์บรรทุก (payload) ทางวิทยาศาสตร์และการใช้งานในวงโคจรหลายรายการ

นอกจากนั้น ทีมนักบินอวกาศทั้งสามจะทำกิจกรรมนอกยานอวกาศ ติดตั้งอุปกรณ์บรรทุกนอกยานอวกาศ ดำเนินการบำรุงรักษาสถานีอวกาศ รวมถึงทดลองทำการบำรุงรักษานอกยานอวกาศเป็นครั้งแรก ซึ่งถือเป็นงานที่มีความท้าทายมาก

หลิน กล่าวว่า ขยะอวกาศที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อยานอวกาศ ที่ดำเนินงานระยะยาวอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง โดยการตรวจสอบเบื้องต้นพบปีกแผงโซลาร์เซลล์ของสถานีอวกาศจีน ถูกอนุภาคขนาดเล็กในอวกาศพุ่งชนหลายครั้งจนเกิดความเสียหายเล็กน้อย

อย่างไรก็ดี หลิน เสริมว่า องค์การฯ คำนึงถึงกรณีเหล่านี้ตั้งแต่ขั้นตอนออกแบบสถานีอวกาศแล้ว โดยปัจจุบันตัวบ่งชี้การทำงานและประสิทธิภาพทั้งหมดของสถานีอวกาศยังคงเป็นไปตามข้อกำหนด

ทีมนักบินอวกาศประจำภารกิจเสินโจว-17 ยังจะเดินหน้าการประเมินการทำงานและประสิทธิภาพของสถานีอวกาศ ทดสอบการประสานงานและความสอดคล้องของศูนย์สนับสนุนภาคพื้นดิน ในการปฏิบัติการและการบริหารจัดการของสถานีอวกาศ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน และความสามารถแก้ไขข้อบกพร่องของสถานีอวกาศ

ระทึก!! สะพานกระจก ‘The Geong’ แตกกะทันหัน ทำนักท่องเที่ยวดิ่งพื้น 15 เมตร ดับสลด 1 ราย

เมื่อวานนี้ (25 ต.ค. 66) สื่อต่างประเทศรายงานว่า เกิดเหตุการณ์สลด มีนักท่องเที่ยวพลัดตกสะพานกระจก ‘เดอะ กอง (The Geong)’ ที่มีความสูง 15 เมตร ในเขตป่าสนลิมปาคูวัส เมืองบันยูมาส จังหวัดชวากลาง ของอินโดนีเซีย

ตามรายงาน ขณะเกิดเหตุ มีกลุ่มนักท่องเที่ยว 13 คนเดินไปถ่ายภาพบนสะพาน ทันใดนั้นพื้นกระจกของสะพานที่มีความหนาราว 1 เซนติเมตรได้แตกและร่วงลงไป 1 แผ่น ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยว 4 คนตกเป็นเหยื่อของอุบัติเหตุครั้งนี้

โดยมีนักท่องเที่ยว 2 คนพลัดตกจากสะพาน เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บอีก 1 ราย ขณะที่อีก 2 คนติดอยู่บนสะพานกระจกและได้รับการช่วยเหลือออกมาอย่างปลอดภัย

พยานผู้เห็นเหตุการณ์เปิดเผยว่า ขณะนั้นเขาได้ยินเสียงดังเหมือนระเบิด ก่อนที่จะมีเสียงกระจกแตก เขาจึงรีบขอความช่วยเหลือจากผู้คนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงทันที

“มันเหมือนมีการระเบิด พื้นกระจกตกลงไป ตรงนั้นมีนักท่องเที่ยวไปเซลฟี่ 4 คน มี 2 คนร่วงลงไป ส่วนอีก 2 คนติดอยู่ด้านบน เป็นผู้หญิงทั้งหมด”

ปัจจุบันสะพานกระจกถูกปิดชั่วคราว โดยตำรวจได้ลงพื้นที่เพื่อสืบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และจะดำเนินการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยของการก่อสร้างสะพานกระจก รวมถึงสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีกด้วย

‘สมศักดิ์’ โต้ข่าวรีดเงิน ‘เปรมชัย’ แลกหลุดคุก ยัน!! ไม่เป็นความจริง มีแต่ผุดสารพัดโครงการสร้างสรรค์ ช่วยให้ผู้ต้องขังได้เริ่มต้นชีวิตใหม่

(26 ต.ค. 66) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้มีผู้ส่งข้อมูลมาให้ตนว่า ในโซเชียลมีเดีย มีผู้โพสต์ข้อความกล่าวหาตนทำนองว่าเรียกรับเงินจากผู้ต้องขังคือ นายเปรมชัย กรรณสูต โดยผู้โพสต์ได้อยู่ต่างประเทศมีข้อความว่า “ส่วนตอนที่เข้าคุกไปแล้ว นายสมศักดิ์ เทพสุทิน มาเสนอว่าจะช่วยให้ออกไปได้ แต่ต้องจ่าย 50 ล้าน แต่ตอนนั้นแกไม่ยอม เลยติดจริง”

โดยตนขอยืนยันว่า ไม่เป็นข้อเท็จจริง ซึ่งต้องขอขอบคุณ นางคณิตตา กรรณสูต ภรรยานายเปรมชัย ที่ได้ส่งจดหมายมาถึงตน เพื่อยืนยันว่า เรื่องที่ถูกกล่าวหา ไม่มีมูลความจริง โดยในจดหมายระบุว่า “ตามที่มีการพาดพิง เมื่อตอนคุณเปรมชัย กรรณสูต เข้าคุก มีการเรียกรับเงินจากครอบครัวดิฉัน 50 ล้านบาทนั้น เป็นความเท็จ” ซึ่งตนต้องขอขอบคุณครอบครัวกรรณสูตร ที่ได้ออกมาปกป้อง และได้ยืนยันว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในโซเชียลมีเดียนั้น ไม่ใช่ความจริง

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ตลอดเวลาที่ตนทำงานอยู่กระทรวงยุติธรรม ในส่วนของกรมราชทัณฑ์นั้น ไม่เคยมีการเรียกรับเงิน หรือให้ประโยชน์กับผู้ต้องขังคนใดคนหนึ่ง โดยทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบ และในทางกลับกัน กลุ่มผู้ต้องขัง ตนก็ไม่เคยทอดทิ้ง ซึ่งมีความเป็นห่วงเป็นใยในเรื่องความเป็นอยู่ รวมถึงการสร้างอาชีพ ที่ได้ผลักดันไว้หลายเรื่อง เช่น เรือนจำท่องเที่ยว โครงการนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ การสร้างอาชีพ การลอกท่อระบายน้ำ การให้ความสำคัญกับการศึกษา ทั้งภาษาจีนภาษาอังกฤษ และวิชาคณิตศาสตร์ เพราะตนกังวลว่า ผู้ต้องขังจะไม่มีรายได้ รวมถึงเมื่อออกมาจากเรือนจำแล้ว จะไม่มีงานทำ จึงให้ความสำคัญในเรื่องเหล่านี้ไว้ ดังนั้น เรื่องรับผลประโยชน์ ตนไม่มีอย่างแน่นอน

“ผมขอสังคมที่หลงเข้าใจผิด ตามที่ผู้โพสต์บิดเบือน ได้เข้าใจว่า ตลอดการทำงานการเมือง 40 ปี ผมไม่มีการเรียกรับผลประโยชน์ ซึ่งตั้งใจทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนเป็นหลัก จึงขอให้สังคมอย่าหลงเชื่อข้อมูลที่ไม่มีที่มาที่ไป เป็นเพียงข้อความสั้นๆ กล่าวหาแบบไร้หลักฐาน และเหตุผล ทำให้ผมเสียหาย ทั้งที่พี่น้องประชาชนควรจะได้รับรู้เรื่องที่ดีที่ผมได้ขับเคลื่อนไว้ แต่กลับต้องมาเสียหายจากการบิดเบือนแบบไม่มีมูลความจริงแม้แต่น้อย” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว

27 ตุลาคม พ.ศ. 2447 ไทยประกาศเลิกใช้ เงินพดด้วงทุกชนิด เหตุมีลักษณะปลอมแปลงได้ง่าย

วันนี้ เมื่อ 119 ปีก่อน ประเทศไทย ได้ประกาศเลิกใช้ ‘เงินพดด้วง’ ทุกชนิด เหตุมีลักษณะปลอมแปลงได้ง่าย

ในหลวง รัชกาลที่ 5 จึงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ออกประกาศลงวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2447 มีความสำคัญว่า ได้โปรดให้สั่งว่า เงินพดด้วงซึ่งได้จำหน่ายออกจากพระคลังฯ ใช้กันแพร่หลายอยู่ในพระราชอาณาจักรเวลานี้ มีลักษณะปลอมแปลงได้ง่าย สมควรให้เลิกใช้เงินพดด้วงเสีย โดยตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2447 เป็นต้นไป ให้เลิกใช้เงินพดด้วงทุกชนิด ยกเป็นเงินตราที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 

สำหรับ ‘เงินพดด้วง’ ทางราชอาณาจักรสุโขทัย ล้านนา กรุงศรีอยุธยา ได้ผลิตคิดค้นเงินตราขึ้นใช้ในระบบเศรษฐกิจ พร้อมกันนั้นก็ยอมรับเงินตราของต่างชาติด้วย เงินตราที่ใช้ในอาณาจักรล้านนา ได้แก่ เงินไซซี เงินกำไล เงินเจียง เงินท้อก เงินดอกไม้ ส่วนราชอาณาจักรสุโขทัยและอยุธยาได้ผลิตเงินพดด้วง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะของตนเองขึ้นใช้ และใช้เบี้ยหอยแทนเงินปลีกย่อย บางครั้งเบี้ยหอยขาดแคลนก็ได้ผลิตเบี้ยโลหะและประกับดินเผาขึ้นใช้ร่วมด้วย

ภายหลังราชอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาสลายลง กรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์ถือกำเนิดขึ้นตามลำดับ ก็ยังคงใช้เงินพดด้วงเช่นครั้งกรุงศรีอยุธยา จนกระทั่งถึงรัชกาลที่ 4 การเปิดประเทศสยามสู่อารยประเทศ มีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบเงินตราให้เป็นสากล นำไปสู่การผลิตเงินตราในลักษณะเหรียญกลมแบนออกใช้เป็นครั้งแรก ต่อมารัชกาลที่ 5 จึงทรงประกาศยกเลิกการใช้เงินพดด้วง นับตั้งแต่นั้นเงินตราไทยจึงคงเป็นลักษณะเป็นเหรียญกลมแบนต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

'อนุทิน' ย้ำ!! 'อบจ.14 จว.ใต้' มุ่งมั่นทำงานเพื่อ ปชช.ให้มากที่สุด ขจัดปัญหา 'ยาเสพติด-อาวุธ-มาเฟีย' เสริมภาพบวกท่องเที่ยว

(26 ต.ค.66) ที่รร.มุกดาราบีช วิลล่า แอนด์ สปา รีสอร์ท ต.คึกคัก อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย เป็นประธานเปิดการอบรมสัมมนาเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดภาคใต้ โดยมีนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย, นายศุภชัย ใจสมุทร ที่ปรึกษารองนายกฯ, น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รมว.มหาดไทย ผู้บริหารระดับสูง, นายบุญชู จันทร์สุวรรณ นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย, นายวิสุทธิ์ ธรรมเพชร นายกอบจ.พัทลุง ประธานสมาพันธ์องค์การบริหารส่วนจังหวัดภาคใต้, พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายก อบจ.ปทุมธานี ประธานสมาพันธ์องค์การบริหารส่วนจังหวัดภาคกลาง ตัวแทนสมาพันธ์องค์การบริหารส่วนจังหวัดภาคต่าง ๆ และบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัด 14 จังหวัดภาคใต้กว่า 1,000 คน ร่วมรับฟัง

นายอนุทิน กล่าวว่า "ท่านนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด ทุกคนล้วนมีความสำคัญในการทำให้พี่น้องประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากต้องบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแล้ว ยังต้องทำให้พี่น้องประชาชนมีความอุดมสมบูรณ์พูนสุขกันถ้วนหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเราทุกคนได้มาพบกันในวันนี้ เพราะเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของพวกเราทุกคนมีอยู่แค่เพียงคำเดียวคือ ประชาชน ที่พวกเราทุกคนต้องช่วยกันดูแลการพัฒนาทรัพยากรบุคคลเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ต้องทำงานเก่ง มีเพื่อนมาก มีสายสัมพันธ์ให้มาก มีความปรารถนาดีซึ่งกันและกัน และกำหนดเป้าหมายที่ดีร่วมกัน คือทำให้บ้านเมืองเจริญ ทำให้พี่น้องประชาชนมีความสุขสบาย มีความสะดวก มีโอกาส มีเงิน มีกิน มีใช้ ซึ่งเป็นภารกิจที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดทุกจังหวัดต้องร่วมกัน เพราะท่านคือหน่วยงานหลักที่มีความสำคัญต่อท้องถิ่น เป็นหน่วยบริการสาธารณะที่ใกล้ชิดกับพี่น้องประชาชนมากที่สุด เพื่อทำให้พี่น้องประชาชนได้รับบริการที่เกิดประโยชน์สุขมากที่สุด"

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า "พวกเรามีความสุขเมื่อเห็นพี่น้องประชาชนมีความสุข ตนจึงให้แนวทางการทำงานกับกระทรวงมหาดไทยว่า 'ทันโลก ทันสมัย ทันท่วงที' ต้องทำให้การทำงานต่าง ๆ ทั้งงานตามนโยบายและตามฟังก์ชัน ตามพื้นที่ ตอบสนองพี่น้องประชาชนได้ทันท่วงที การทำงานปัจจุบันเราจะล้าหลังไม่ได้ คนที่ข้าราชการต้องให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือ พี่น้องประชาชน ต้องตอบสนองสิ่งที่พี่น้องประชาชนคาดหวัง ต้องตอบสนองเสียงเรียกร้องของพี่น้องประชาชนให้มากที่สุด มากกว่าที่ผ่านมา จึงขอให้พี่น้ององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมั่นใจว่าเรามีเป้าหมายเดียวกัน มีทิศทางเดียวกัน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกระทรวงมหาดไทย เราคือเพื่อนร่วมงานกัน"

นายอนุทิน กล่าวว่า ด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านมาตรการความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ตนได้กำชับผู้ว่าราชการจังหวัดท่องเที่ยว ต้องมีการประชุมเรื่องการให้ความปลอดภัยในระดับที่มีมาตรฐาน ต้องสร้างการรับรู้ ต้องทำความเข้าใจ และให้ความมั่นใจกับนักท่องเที่ยวว่าประเทศไทยมีความปลอดภัย และเราต้องทำให้เขารู้ว่าถ้าเกิดอันตรายจะต้องทำอย่างไร โดยส่งเสริมการบูรณาการกลไกอาสาสมัคร ทั้งสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) ที่เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการดูแลความปลอดภัย ในเรื่องสถานบริการ สถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการ หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือกรมการปกครอง อยู่ระหว่างการยกร่างกฎกระทรวงขยายเวลาการให้บริการในพื้นที่ท่องเที่ยว โดยขั้นตอนหลังจากนี้ ในแต่ละพื้นที่ต้องมีการทำประชาพิจารณ์ (Public Hearing) แล้วรายงานมายังกรมการปกครองเพื่อรวบรวมประมวล นำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบกฎกระทรวงต่อไป ซึ่งจะเป็นโอกาส เป็นสิ่งที่ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น 

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า "กระทรวงมหาดไทยจะทำทุกอย่าง เพื่อให้เกิดโอกาสและสร้างรายได้ของประชาชนให้เพิ่มมากขึ้น พวกเราในฐานะผู้รักษากฎหมายต้องทำให้เกิดการบังคับใช้กฎหมาย ควบคุมให้มีการปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด ทั้งเรื่องการห้ามพกพาอาวุธ ห้ามให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์เข้า ห้ามมีการลักลอบจำหน่ายหรือเสพยาเสพติด เน้นย้ำว่ายาเสพติด อาวุธ ค้าประเวณี ใช้แรงงานเด็ก เรื่องที่ไม่สามารถรับได้ในศีลธรรมทั่วไป ห้ามให้เกิดขึ้น รวมถึงการส่งเสริมธรรมาภิบาลในจังหวัด ต้องอย่าให้ผู้มีอิทธิพลหรือผู้มีกำลังมากกว่าไปข่มเหงผู้ที่อ่อนแอกว่า ในพื้นที่คนจะมีอิทธิพลหรือบารมีกว่าไม่ว่า แต่อย่านำไปข่มเหงพี่น้องประชาชนที่อ่อนแอ เราในฐานะเจ้าพนักงานตามกฎหมายจะไม่ปล่อยให้เกิดขึ้น"

‘กรมทรัพย์สินทางปัญญา’ ขึ้นทะเบียน ‘มังคุดทิพย์พังงา’ เป็นสินค้า GI มุ่งจัดระบบควบคุมคุณภาพสินค้า-สร้างมูลค่าเพิ่ม-ดึงรายได้สู่ชุมชนอย่างยั่งยืน

(26 ต.ค. 66) นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ขึ้นทะเบียน ‘สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์’ หรือ ‘GI’ เพื่อคุ้มครองสินค้าที่มีอัตลักษณ์เฉพาะในแต่ละท้องถิ่น เพิ่มมูลค่าสินค้า สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนอีกทั้งยังเป็นการควบคุมคุณภาพสินค้าเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค

ล่าสุด กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ประกาศขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) รายการใหม่ คือ ‘มังคุดทิพย์พังงา’ พืชเศรษฐกิจที่สำคัญของจังหวัดพังงา ที่มีการเพาะปลูกกันมาอย่างยาวนาน มีชื่อเสียงและมีผลผลิตจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ โดยมีตลาดส่งออกที่สำคัญ เช่น จีน เวียดนาม เป็นต้น สร้างรายได้เข้าสู่ชุมชนกว่า 280 ล้านบาท

‘มังคุด’ ถือเป็นราชินีแห่งผลไม้เมืองร้อน รสชาติอร่อย เป็นที่นิยมของผู้บริโภค โดยชื่อ ‘ทิพย์พังงา’ มีความหมายว่า ‘ผลไม้ของเทวดาที่มีรสเลิศจากจังหวัดพังงา’ มีลักษณะเด่นคือ เป็นมังคุดพันธุ์พื้นเมือง ผลทรงกลม เปลือกค่อนข้างหนา แห้ง แตกลาย เนื้อสีขาว หนานุ่ม ไม่ฉ่ำน้ำ รสชาติหวานอมเปรี้ยว ปลูกและผลิตในเขตพื้นที่จังหวัดพังงา ซึ่งสภาพพื้นที่ส่วนใหญ่มีความลาดชัน ดินระบายน้ำดี อีกทั้งลักษณะภูมิอากาศแบบมรสุมเมืองร้อน ทำให้จังหวัดพังงามี 2 ฤดู คือ ฤดูฝนและฤดูร้อน

ด้วยสภาพภูมิประเทศและสภาพภูมิอากาศดังกล่าว ประกอบกับกระบวนการปลูกมังคุดของเกษตรกรชาวพังงาที่เน้นการดูแลรักษาแบบธรรมชาติ จึงเกิดเพลี้ยไฟในช่วงออกดอกและติดผลอ่อน มีผลดีคือ ทำให้โครงสร้างของผิวเปลือกเปลี่ยนแปลง มีรอยแยกระหว่างเซลล์เกิดเป็นช่องว่างบนผิว ทำให้ผิวของผลมังคุดส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นลาย ระบายน้ำในผลออกมาได้ดี ส่งผลให้เนื้อมังคุดสีขาว แห้ง ไม่ฉ่ำน้ำ และเปลือกมังคุดค่อนข้างหนาทำให้เนื้อมังคุดไม่ช้ำง่าย

‘มังคุดทิพย์พังงา’ ถือเป็นสินค้า GI ลำดับที่ 3 ของจังหวัดพังงา ต่อจากทุเรียนสาลิกาพังงา และข้าวไร่ดอกข่าพังงาที่ได้ขึ้นทะเบียน GI ไปก่อนหน้านี้ ซึ่งกรมทรัพย์สินทางปัญญาจะเดินหน้าส่งเสริมการจัดทำระบบควบคุมคุณภาพสินค้า และสนับสนุนช่องทางการตลาด เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า และสร้างรายได้ให้เกษตรกรในชุมชนอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ กรมทรัพย์สินทางปัญญา ขอเชิญชวนทุกท่านติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหว และร่วมสนับสนุนผู้ประกอบการสินค้า GI ได้ที่ Facebook Page : GI Thailand หรือโทรสายด่วน 1368

‘พวงเพ็ชร’ จับมือ TikTok ปั้นนักเล่าข่าวโซเชียล ชู!! ‘ถูกต้อง-แม่นยำ-รวดเร็ว’ ด้วยสไตล์ที่ดึงดูด

(26 ต.ค.66) ที่โรงแรม เอส ซี ปาร์ค นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลุยงานสื่อสารงานรัฐให้โดนใจ สไตล์ Content creator ซึ่งกิจกรรมครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารออนไลน์ของบุคลากรภาครัฐ ให้มีประสิทธิภาพและก้าวทันยุคดิจิทัล โดยเน้นการสื่อสารในรูปแบบคลิปสั้น ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยม ซึ่งเป็นเทรนด์การสื่อสารยุคใหม่ที่พบว่ามีการเข้าถึงมากขึ้น และสร้างกระแสสังคมได้รวดเร็ว ว่องไว และสามารถกระจายสู่กลุ่มเป้าหมายได้ทั่วทุกมุมโลก 

โดยในวันนี้มีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อโซเชียลมาให้ความรู้และทักษะด้านการสื่อสารออนไลน์ในหัวข้อที่น่าสนใจ ประกอบด้วย หัวข้อ ‘ทำ Tiktok ให้เข้าถึงตรงใจได้อย่างไร’ โดย นางสาวนิดา คล้ายพันธุ์ จาก Tiktok Thailand และ นางสาวพิมญาดา เดชบุญญาภิชาติ หัวข้อ ‘เล่าข่าว ปัง ปัง กับ 3 ตัวตึง Tiktok’ โดย นายภัควัฒน์ รัตนสิริอำไพ (คุณปอนด์ ออนนิวส์) นายจิรายุ จันทรวงศ์ (คุณเบ็นซ์) และ นายกฤษฎิ์กุล ชุมแก้ว (คุณแต๋ง After Yum) หัวข้อ ‘ตัดคลิปอย่างไรให้ได้ 1 ล้านวิว’ โดย ผศ.เวทิต ทิงจันทร์ หัวหน้าภาควิชาสื่อสารดิจิทัล คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม และทีมงาน หัวข้อ ‘เส้นทางสู่นักเล่าข่าวสไตล์บอลลี่’ โดย นายศรัญ แก้วประจันทร (คุณบอลลี่ขยี้ข่าว) และทีมงานโซเชียลมีเดียกรมประชาสัมพันธ์ รวมถึงกิจกรรมประชันคลิปที่ปัง คลิปที่โดน

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในความเป็นสื่อของรัฐ นอกจากมีการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ เชื่อถือได้แล้ว ความรวดเร็วและความน่าสนใจของสื่อที่นำเสนอออกไปก็มีส่วนสำคัญ เพราะนอกจากเป็นการป้องกันการเกิดข่าวปลอม ยังเป็นการสร้างกระแสความนิยมในสื่อภาครัฐ ผ่านการนำเสนอในช่องทางโซเชียลมีเดีย ที่กำลังได้รับความนิยม อย่างเช่น Tiktok, Reels, Thread จึงถือเป็นการสื่อสารรูปแบบใหม่ที่พัฒนาตามกระแสความนิยม การประชุมเชิงปฏิบัติการในวันนี้ จึงนับว่าเป็นโอกาสดีที่ได้เห็นสื่อภาครัฐปรับตัวต่อวิธีการสื่อสาร โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ รวมถึงแนวทางการพัฒนาประเทศในทุกมิติตามนโยบายของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ผ่านการสื่อสารที่เข้าถึงได้ง่ายและเป็นกันเอง โดยวิทยากรชั้นนำและผู้มีประสบการณ์ในแวดวงสื่อออนไลน์

‘ที่ปรึกษา รมว.อุตฯ’ ร่วมเปิดงาน ‘LogiMAT 2023’ หนุน ‘โรงงาน-คลังสินค้า’ เป็นต้นแบบอุตฯ ไร้คาร์บอน

(26 ต.ค. 66) นายดนัยณัฏฐ์ โชคอำนวย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน LogiMAT | Intelligent Warehouse 2023 จัดโดย บริษัท เอ็กซ์โปลิงค์ โกลบอลเน็ทเวอร์ค จำกัด ร่วมกับสมาคมการจัดการระบบคลังสินค้าไทย โดยมีภาคส่วนเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ อิมแพค เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ ฮอลล์ 5-6 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี

ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ธุรกิจคลังสินค้าเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญ และเป็นฟันเฟืองเศรษฐกิจที่สามารถกระตุ้นรายได้มวลรวมของประเทศ โดยในปัจจุบัน ระบบคลังสินค้าได้มีการปรับเปลี่ยนสู่ระบบอัจฉริยะ ที่นำระบบคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยี จนถึงระบบอัตโนมัติ เข้ามาสนับสนุนธุรกิจ โดยสามารถช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันรวมถึงการขยายสายป่านของผลิตภัณฑ์และขอบเขตการให้บริการได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง ทำให้ระบบอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของประเทศไทยสามารถขยายตัวอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น 

การจัดงาน ‘LogiMAT Intelligent Warehouse’ ถือเป็นนิมิตหมายอันดี ที่จะสามารถนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่มีความเหมาะสมให้เข้ามาเป็นส่วนช่วยทำให้ธุรกิจอินทราโลจิสติกส์ (Intralogistics) ในประเทศไทยเกิดการเติบโตได้อย่างมั่นคง อีกทั้งช่วยสนับสนุนการขับเคลื่อนในส่วนของโรงงานและการบริหารจัดการคลังสินค้าให้เกิดต้นแบบอุตสาหกรรมคาร์บอนที่เป็นศูนย์ (Zero Carbon Industry) เพื่อรองรับการเจริญเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เน้นในภาคการผลิต การใช้พลังงานสะอาด ซึ่งเป็นกลไกหลักในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุน ในภาคอุตสาหกรรมทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมยินดีที่จะร่วมขับเคลื่อน สนับสนุนและบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อก่อให้เกิดการผลักดันและขับเคลื่อนที่เป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย

ทั้งนี้ งานแสดงสินค้าเทคโนโลยีคลังสินค้าและระบบจัดการ ‘LogiMAT IntelligentWarehouse 2023’ จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 25-27 ตุลาคม 2566 ณ อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ ฮอลล์ 5-6 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี

‘หยก’ แจง!! เหตุชูไอแพดสูง หวิดโดนหัวนายกฯ โอด!! ‘เศรษฐา’ เมินเดินหนี จึงต้องเข้าชูสูงประชิด

จากกรณีเมื่อวันที่ 25 ต.ค. 66 น.ส.ธนลภย์ (สงวนนามสกุล) หรือ ‘หยก’ เยาวชนนักเคลื่อนไหวทางการเมือง และ น.ส.อันนา อันนานนท์ ได้บุกยื่นหนังสือถึง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน เพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบเรื่องการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่คุกคามตนเอง เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 2565 ในเหตุการณ์การชุมนุม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ธนลภย์ หรือ ‘หยก’ ได้ถือไอแพดที่เขียนข้อความ “112 จะไม่ถูกใช้รังแกประชาชนในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย” และ “คดีตากใบจะสิ้นสุดในปีหน้า” โดยพยายามถือให้นายกฯ เห็นข้อความในไอแพด  โดยจังหวะหนึ่งขณะที่ น.ส.ธนลภย์ ถือไอแพด เกือบจะชนศีรษะของนายกรัฐมนตรี

หลังจากนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทีมรักษาความปลอดภัยของนายกฯ ได้พยายามเข้าไปพูดคุยกับ น.ส.ธนลภย์ เพื่อขอความร่วมมือให้หยุดเท่านี้ เนื่องจากนายกฯ ได้รับหนังสือร้องเรียนไปแล้ว

ล่าสุด วันนี้ (26 ต.ค. 66) น.ส.ธนลภย์ หรือ ‘หยก’ ได้ออกมาชี้แจงถึงเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น โดยได้โพสต์คลิปวิดีโอ พร้อมแคปชันระบุว่า…

“อธิบายสาเหตุที่ต้องชูป้ายเมื่อวาน (25 ตุลาคม 2566) เพราะสิ่งที่หยกต้องการถามนายก และพรรคเพื่อไทย คือ เรื่องความยุติธรรมตากใบก่อนคดีจะสิ้นสุดในปีหน้า และ 112 ที่เคยบอกจะไม่มีใครถูกรังแก”

โดยในคลิปวิดีโอ น.ส.ธนลภย์ หรือ ‘หยก’ ได้อธิบายไว้ว่า ตนไม่ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนเรื่องเดียวกันกับ น.ส.อันนา เนื่องจาก น.ส.อันนา นั้นได้ยื่นหนังสือร้องเรียนถึง นายเศรษฐา ทวีสิน เพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบเรื่องการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่คุกคามตนเอง เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 2565 ในเหตุการณ์การชุมนุม รวมถึงผู้เสียหายที่เกิดจากเหตุการณ์ดังกล่าวอีก 3 คนที่โดนจับ โดยมีบางคนได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว

และในส่วนของตนนั้น ต้องการที่จะถามหาความยุติธรรม กรณีเหตุการณ์ที่ตากใบ ก่อนที่คดีจะสิ้นสุดอายุความในปีหน้า (2567) และประเด็น ม.112 ที่ทางนายเศรษฐาเคยสัญญาว่าจะไม่มีใครถูกกฎหมายข้อนี้เพื่อใช้รังแกทางการเมือง แต่ตนนั้นยังไม่ทันได้พูดคุยอะไรกับนายเศรษฐา เนื่องจากนายเศรษฐา ได้เดินออกไปอีกทาง 

นอกจากนี้ หยกยังได้บอกว่า นายเศรษฐามีท่าทีที่เมินเฉยและไม่สนใจตนอีกด้วย จึงทำให้ตนตัดสินใจที่จะชูไอแพดให้สูงขึ้น เพื่อหวังจะให้นายเศรษฐา ได้เห็นข้อความที่ตนต้องการจะสื่อ และเรื่องที่ตนพยายามจะเรียกร้องกับทางนายเศรษฐา และพรรคเพื่อไทย มิได้มีเจตนาจะทำให้ไอแพดโดนศีรษะของนายเศรษฐาแต่อย่างใด

‘เทศกาลกลองฮ่องกง’ ชูแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมทางดนตรีจากทั่วโลก ปิดท้ายแสง-สี-เสียงแบบจัดเต็ม!! ประทับความสนุกในดวงใจผู้ชมไม่รู้ลืม

เมื่อไม่นานนี้ ‘ไชน่าเคม กรุ๊ป’ (Chinachem Group) ฮ่องกง ได้ร่วมจัดงานเทศกาลกลอง ภายใต้ธีม ‘One Beat, One World : Connecting Through The Drum’ และคอนเสิร์ตดนตรีสด 5G ในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปี ของเทศกาลกลองฮ่องกง ซึ่งเป็นการแสดงที่หาชมได้ยากรายการหนึ่ง จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมเชิงบวก ผ่านพลังของการตีกลอง และทำให้ฮ่องกงเป็นที่รู้จักในฐานะ ‘เมืองหลวงแห่งการจัดงาน’

ศาสตราจารย์หยาน ฮุ่ยชาง ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ และผู้ควบคุมวง ฮ่องกงไชนีสออเคสตรา (Hong Kong Chinese Orchestra) กล่าวว่า วงฮ่องกงไชนีสออเคสตรา ได้นำเสนอการแสดงดนตรีสู่สาธารณชน เพื่อส่งเสริมเรื่องราวของศิลปะจีนและฮ่องกงที่วิจิตรงดงาม และสืบทอดมายาวนาน ผ่านเทศกาลกลองที่มีชื่อว่า ‘One Beat, One World : Connecting Through The Drum’ และคอนเสิร์ตดนตรีสด 5G ซึ่งได้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ ศูนย์วัฒนธรรมอาร์ตปาร์ค เกาลูนตะวันตก โดยภายในงานได้มีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ การตั้งกลองสันติภาพขนาดยักษ์สูง 3.47 เมตรให้ทุกคนได้เล่น, การแสดงบนเวทีโดยทีมที่ชนะการแข่งขันกลอง Hong Kong Synergy, ขบวนพาเหรดที่แสดงโดยทีมตีกลองจำนวน 24 ทีม และการแสดงกลองที่ถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรม หรือซอฟต์พาวเวอร์ของจีน ได้แก่ Yan'anCity An'sai Waist Drum Troupe จากมณฑลส่านซี, ทีม Chengnan Zhongjing Yingge จากซัวเถา มณฑลกวางตุ้ง และคณะกลอง Shanxi Jiangzhou

ซึ่งภายในคอนเสิร์ตการแสดงสด 5G ในรอบชิงชนะเลิศสุดอลังการนี้ ยังมีการแสดงกลองอันโดดเด่นจากทั่วโลก นำโดย ยาน ฮุยชาง (Yan Huichang ) ผู้นำวงฮ่องกงไชนีสออเคสตรา (Hong Kong Chinese Orchestra) ร่วมกับศิลปินที่มีชื่อเสียงจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งได้แก่ โดริ (Dori) จากประเทศสาธารณรัฐเกาหลี, โยสุเกะ โอดะ (Yosuke Oda) จากประเทศญี่ปุ่น, อะซากูโน (Azaguno) จากประเทศแอฟริกา, แอปบอส กรุ๊ป (Abbos Group) จากประเทศอุซเบกิสถาน และแอนโทนี เฟอนันเดส (Anthony Fernandes) ผู้มีชื่อเสียงด้านกลองระดับโลก

โดยการแสดงแต่ละชุดได้สะท้อนถึงประเพณีการตีกลองอันยาวนานจากทั่วโลก ที่ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนดนตรีและวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงตีกลองของญี่ปุ่นที่ทรงพลังและสะเทือนอารมณ์ โดนใจผู้ชมอย่างลึกซึ้ง, ซามุล โนริ (Samul nori) เครื่องเคาะจังหวะแบบดั้งเดิมของเกาหลี ที่มีลักษณะเด่นอยู่ที่จังหวะอันทรงพลัง, การเคลื่อนไหวของร่างกายที่กระฉับกระเฉง, การแสดงที่มีชีวิตชีวา และกลุ่มเครื่องเพอร์คัชชัน ของแอปบอสกรุ๊ป จากอุซเบกิสถาน ที่ทำให้ผู้ชมได้มีส่วนร่วม สร้างบรรยากาศโดยรวม ซึ่งรวมถึงกลุ่มเอ้อหูที่ได้จัดแสดงงิ้วกวางตุ้ง ‘The Floral Princess’ ที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมอย่างมาก

ซึ่งในคอนเสิร์ตครั้งนี้ได้มีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลก ผ่านเทคโนโลยี 5G ที่ได้ดึงดูดให้มีผู้เข้าชมสดและผู้ชมออนไลน์จำนวนกว่า 16,000 ราย เพื่อดื่มด่ำไปกับโลกแห่งเครื่องเพอร์คัชชันอันน่าหลงใหล น่าตื่นเต้น และจังหวะที่น่าเร้าใจบนเวที ซึ่งผู้เข้าชมสดจะได้รับกลองสีน้ำตาล สำหรับการเล่นโต้ตอบกับวงออเคสตราและนักเพอร์คัชชัน ถือเป็นการปิดท้ายคอนเสิร์ตที่เต็มไปด้วยความหลงใหล และมีชีวิตชีวามากที่สุด

ซึ่งในการจัดงานครั้งต่อไป ก็หวังว่าจะมีการแสดงกลองจากประเทศไทย อาทิ กลองสะบัดชัย หรือกลองยาว เดินทางไปร่วมภายในงาน จึงขอฝากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ไปพิจารณากันด้วย

โดยผู้สนใจจะสามารถชมวิดีโอย้อนหลังได้ที่ https://www.youtube.com/live/rohXU0OI8UQ?si=YE-OTyvxwOOnMNv0 ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สอบถามรายละเอียดติดต่อ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โทรศัพท์ 062-7341267 และ 086-4978941


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top