Monday, 5 May 2025
TheStatesTimes

เปิดประวัติ ‘เทพบิว ภูริพล’ แชมป์โลกนักวิ่ง 100 เมตรชาย วัย 17 ปี ผู้ที่จะมาสร้างตำนานให้วงการกรีฑาไทย ในศึกเอเชียนเกมส์ 2022

เมื่อไม่นานนี้ ‘เทพบิว ภูริพล บุญสอน’ ถือเป็นอีกหนึ่งขวัญใจของคนไทย หลังจากที่สร้างประวัติศาสตร์ กลายเป็นนักกีฬาที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก 100 เมตรชาย ด้วยวัยต่ำกว่า 18 ปี เมื่อปีที่ผ่านมา หลังจากทำผลงานในการแข่งขันกรีฑาเยาวชนชิงแชมป์โลก และเวลานี้จะลงแข่งขันเอเชียนเกมส์ 2022 เป็นครั้งแรก

เปิดประวัติของ ‘ภูริพล บุญสอน’ ก่อนที่จะมาเป็น ‘เทพบิว’ แบบทุกวันนี้

นายภูริพล บุญสอน ชื่อเล่น ‘บิว’ เกิดวันที่ 13 มกราคม พ.ศ.2549 ปัจจุบันอายุ 17 ปี สูง 183 เซนติเมตร น้ำหนัก 70 กิโลกรัม เริ่มต้นวิ่งตั้งแต่อายุได้เพียง 8 ขวบเท่านั้น โดยปัจจุบันศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/4 โรงเรียนอัสสัมชัญสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ

ก้าวสำคัญที่ทำให้กลายเป็น ‘เทพบิว’ คือในการลงเล่นในนามทีมชาติไทยการแข่งขันซีเกมส์ 2022 ที่ประเทศเวียดนามที่ผ่านมา และสามารถคว้าเหรีญญทองได้ถึง 3 เหรียญทอง (100 ม., 200 ม. และ 4x100 ) ที่สำคัญ สหพันธ์กรีฑาโลกยังยกสถิติการวิ่ง 200 ม. ที่ ‘บิว ภูริพล’ ทำเวลาเอาไว้ 20.37 วินาที ในซีเกมส์ครั้งที่ 31  นี้ว่าเป็นสถิติที่ยอดเยี่ยม

โดยสถิติดังกล่าวถือเป็นสถิติที่ดีกว่า 2 ลมกรดชื่อดัง อย่าง ‘ยูเซน โบลต์’ และ ‘เอร์ริยอน เจ ไนต์ตัน’ ในช่วงอายุเดียวกัน ซึ่งสถิติดังกล่าวยังเป็นการทำลายสถิติซีเกมส์รอบ 23 ปี ของ ‘เหรียญชัย สีหะวงษ์’ รุ่นพี่ตำนานทีมชาติไทยลงได้สำเร็จด้วย

สำหรับ ‘บิว ภูริพล บุญสอน’ สร้างชื่อมาจากกีฬาแห่งชาติครั้งที่ 47 ที่จังหวัดศรีสะเกษ หลังคว้าเหรียญทอง พร้อมทำลายสถิติประเทศไทยที่อยู่มายาวนานกว่า 20 ปี ในการ วิ่ง 100 ม. และ 200 ม.เมื่อเดือนมีนาคม 2565

ในซีเกมส์ 2021 กัมพูชา ในประเภทวิ่งระยะสั้น 100, 200 เมตรชาย และผลัด 4×100 เมตร  สามารถพาตัวเองและทีมคว้าเหรียญทองมาได้ถึง 3 เหรียญ โดยในการวิ่ง 100 เมตร  ทำเวลา 10.44 วินาที  ส่งผลให้ ‘เทพบิว’ ภูริพล สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักกรีฑาระยะสปริ้นต์ (ระยะสั้น) ที่คว้าคนเดียว 3 เหรียญทอง ในการแข่งขันซีเกมส์ครั้งเดียว น่าเสียดายที่ซีเกมส์ ครั้งล่าสุด ที่กัมพูชา เทพบิวได้รับบาดเจ็บกล้ามเนื้อกระตุก ระหว่างแข่งหมดสิทธิ์ป้องกันแชมป์

ส่วนในการแข่งขัน กรีฑาเยาวชนชิงแชมป์โลก 2022 วิ่ง 100 เมตรชาย เทพบิวนั้นวิ่งเข้าเส้นชัยด้วยเวลา 10.09 วินาที เข้าเป็นอันดับ 1 ของฮีต พร้อมกับทำลายสถิติประเทศไทยของตัวเองที่ทำไว้ 10.19 วินาที ส่วนในรอบชิงชนะเลิศ บิว ภูริพล บุญสอน วิ่งเข้าเส้นชัย ด้วยเวลา 10.12 วินาที คว้าอันดับที่ 4 ของการแข่งขัน กรีฑาเยาวชนชิงแชมป์โลก 2022 รุ่นอายุไม่กิน 20 ปี

โดยหลังหายจากอาการบาดเจ็บซีเกมส์ ที่กัมพูชา ‘เทพบิว’ สามารถคว้าเหรียญทอง 4x100 ชิงแชมป์เอเชีย ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพเมื่อเดือนกรกฎาคม ด้วยเวลา

38.55 วินาที พร้อมทำลายสถิติกรีฑาชิงแชมป์เอเชียที่ไทยเป็นเจ้าของสถิติ โดยเคยทำเอาไว้ 38.72 วินาที ในศึกกรีฑาเอเชีย 2019 ที่กาตาร์ และทำลายสถิติประเทศไทย 38.56 วินาที

ขณะที่ในการแข่งขันเอเชียนเกมส์ 2022 ซึ่งเป็นเอเชียนเกมส์ ครั้งแรกในชีวิต ‘เทพบิว’ จะลงแข่งขันทั้งหมด 3 รายการคือ 100 เมตร, 200 เมตร และ 4×100 เมตร

ส่องเกณฑ์เลือก สว.ชุดใหม่!! 200 คน ภายใต้ รธน. 2560 มีทั้งเลือกกันเองในกลุ่ม และเลือกข้ามกลุ่มตามขั้นตอน

(1 ต.ค. 66) มึนงงกับการศึกษาที่มา สว.ใหม่ สรุปคือมี 200 คน มีทั้งเลือกกันเองในกลุ่ม และเลือกข้ามกลุ่มตามขั้นตอน

นายหัวไทร หยิบ ‘รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560’ มาอ่านอีกครั้ง เพื่อทำความเข้าใจถึงที่มาจากสมาชิกวุฒิสภา เนื่องจากว่า สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ชุดแต่งตั้งพิเศษจาก คสช.ตามบทเฉพาะกาล 250 คน ใกล้จะหมดวาระในช่วงกลางปี 2567 (พฤษภาคม) และสว.ชุดใหม่ที่มาแบบใหม่เป็น สว.ตามบทหลักภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560

แต่จากการอ่านหมวด ว่าด้วยสมาชิกวุฒิสภา มาตรา 107 เขียนไว้ซับซ้อนเข้าใจยากถึงที่มาจาก สว.ชุดใหม่ ต้องไปอ่านพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ก็พอจะเข้าใจในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ลึกซึ้งมากนัก ต้องหาผู้รู้ด้านกฎหมายมหาชนมาอธิบายอีกครั้ง

เอาคร่าวๆ นะครับว่า ตามมาตรา 107 ของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 กำหนดให้มี สว. 200 คน เลือกกันเองจากกลุ่มอาชีพต่างๆ และกลุ่มพิเศษคัดเลือกกันเอง

รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดหลักการที่มาและจำนวนวุฒิสภาตามบทบัญญัติหลัก โดยให้ สว.มีแค่ 200 คน วาระดำรงตำแหน่งคราวละห้าปี ซึ่งจะเริ่มนับอายุตั้งแต่วันที่กรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศผล มีที่มาจากการที่ผู้สมัครตามแต่ละกลุ่มอาชีพ ‘เลือกกันเอง’ โดยบุคคลที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ อาชีพ ลักษณะหรือประโยชน์ร่วมกัน ทำงานหรือเคยทำงานด้านๆ ต่าง ที่หลากหลายของสังคม ซึ่งรายละเอียดการจัดสรรกลุ่มอาชีพต่างๆ จำนวนและหลักเกณฑ์ขั้นตอนการเลือกกันเองอย่างชัดเจนจะถูกลงไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งวุฒิสภา พ.ศ. 2561 (พ.ร.ป.วุฒิสภา)

พ.ร.ป.วุฒิสภา มาตรา 10 และมาตรา 11 กำหนดให้ผู้สมัคร สว.สามารถเลือกสมัครเป็นตัวแทนจากกลุ่มต่างๆ ได้ โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มอาชีพต่างๆ ซึ่งมีจำนวน 18 กลุ่ม และกลุ่มพิเศษอีกสองกลุ่มคือ กลุ่มสตรี และกลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการหรือผู้ทุพพลภาพรวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์ รวมจำนวนทั้งหมด 20 กลุ่ม ดังนี้...

- กลุ่มการบริหารราชการแผ่นดินและความมั่นคง เช่น อดีตข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน
- กลุ่มกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น ผู้พิพากษา อัยการ ตำรวจ ผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมาย หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน
- กลุ่มการศึกษา เช่น ครู อาจารย์ นักวิจัย ผู้บริหารสถานศึกษา หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน
- กลุ่มการสาธารณสุข เช่น แพทย์ทุกประเภท เทคนิคการแพทย์ พยาบาล เภสัชกร หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน
- กลุ่มอาชีพทำนา ปลูกพืชล้มลุก หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน
- กลุ่มอาชีพทำสวน ป่าไม้ ปศุสัตว์ ประมง หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน
- กลุ่มพนักงานลูกจ้างที่ไม่ใช่ราชการหรือหน่วยงานรัฐ ผู้ใช้แรงงาน อื่นๆ ในทำนองเดียวกัน
- กลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านสิ่งแวดล้อม ผังเมือง อสังหาฯ และสาธารณูปโภค ทรัพยากรธรรมชาติ พลังงาน หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน
- กลุ่มผู้ประกอบกิจการขนาดกลางและขนาดย่อยตามกฎหมาย หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน
- กลุ่มผู้ประกอบกิจการอื่นนอกจาก (9)
- กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจหรืออาชีพด้านการท่องเที่ยว เช่น มัคคุเทศก์ ผู้ประกอบกิจการอื่นหรือพนักงานโรงแรม หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน
- กลุ่มผู้ประกอบอุตสาหกรรม หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน
- กลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสาร การพัฒนานวัตรกรรม หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน 
- (กลุ่มพิเศษ) กลุ่มสตรี 
- (กลุ่มพิเศษ) กลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการหรือผู้ทุพพลภาพ กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มอัตลักษณ์อื่น หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน 
- กลุ่มศิลปะ วัฒนธรรม ดนตรี การแสดงและบันเทิง นักกีฬา หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน 
- กลุ่มประชาสังคม กลุ่มองค์กรสาธารณประโยชน์ หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน 
- กลุ่มสื่อสารมวลชน ผู้สร้างสรรค์วรรณกรรม หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน
- กลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน 
- กลุ่มอื่นๆ

โดยผู้สมัครจะต้องมีไม่มีลักษณะต้องห้ามต่างๆ ตามมาตรา 14 เช่น ไม่เป็นข้าราชการ ไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง และต้องมีคุณสมบัติครบตามมาตรา 13 ดังนี้...

- มีสัญชาติไทยโดยการเกิด 
- อายุไม่ต่ำกว่า 40 ปี ในวันสมัครรับเลือก
- มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ หรือทำงานในด้านที่สมัครไม่น้อยกว่า 10 ปี 
- ผู้สมัครต้องมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ คือ เกิดในอำเภอที่สมัครรับเลือก, มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในอำเภอที่สมัครรับเลือกเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าสองปีนับถึงวันสมัครรับเลือก, เคยทำงานหรือเคยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านอยู่ในอำเภอที่สมัครรับเลือก แล้วแต่กรณีเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าสองปี, เคยศึกษาในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในอำเภอสมัครรับเลือกเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าสองปีการศึกษา

ทั้งนี้ คุณสมบัติเรื่องความรู้ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ หรือทำงานไม่น้อยกว่า 10 ปี นั้น จะไม่ถูกนำมาใช้กับผู้ที่สมัครในกลุ่มสตรีหรือกลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการหรือผู้ทุพพลภาพ กลุ่มชาติพันธุ์ และกลุ่มอัตลักษณ์อื่น นอกจากนี้ หากเป็นผู้ประกอบอาชีพที่อยู่ในข่าย ‘อื่นๆ หรือในทำนองเดียวกัน’ จะต้องเป็นไปตามประกาศของคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ด้วย

ส่วนที่มา สว. ให้เวียนเลือกกันเอง ตั้งแต่ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด จนถึงระดับประเทศ

โดยที่มาของ สว.ชุดใหม่ เมื่อผู้สมัครคุณสมบัติผ่านฉลุย ก็จะเข้าสู่กระบวนการเลือกกันเองภายใน 20 กลุ่ม ซึ่งผู้สมัครแต่ละคนมีสิทธิเลือกสมัครได้แค่หนึ่งกลุ่มและในหนึ่งอำเภอเท่านั้น (มาตรา 15) ซึ่งทุกกลุ่มจะทำการเลือกกันเองตั้งแต่ในระดับอำเภอ พอได้ตัวแทนระดับอำเภอก็ไปคัดเลือกกันเองต่อในระดับจังหวัด จากนั้นค่อยไปคัดเลือกกันเองต่อในระดับประเทศ จนได้สมาชิกครบ 200 คน ซึ่งขั้นตอนต่างๆ มีดังนี้...

>> ด่านแรก เลือกกันเองในระดับอำเภอ (มาตรา 40) 
- ขั้นแรก เลือกกันเองภายในกลุ่มเดียวกัน เพื่อให้ได้ห้าอันดับแรกของแต่ละกลุ่ม
เริ่มด้วยการเลือกกันเองภายในกลุ่มที่ผู้สมัครเลือกสมัครก่อน ซึ่งจะเลือกบุคคลในกลุ่มเดียวกันได้ไม่เกินสองคน โดยจะลงคะแนนให้ตัวเองก็ได้ แต่ไม่สามารถลงคะแนนให้ผู้ใดได้เกินหนึ่งคะแนน ผู้ได้คะแนนสูงสุดห้าอันดับแรก ถือเป็นผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของแต่ละกลุ่ม

- ขั้นที่สอง เลือกผู้สมัครต่างกลุ่ม เพื่อให้ได้สามอันดับแรกของแต่ละกลุ่มไปเลือกกันต่อในระดับจังหวัด
กลุ่มแต่ละกลุ่มเมื่อได้ผู้ได้รับเลือกขั้นต้นแล้ว จะถูกจัดแบ่งออกตามสาย แบ่งออกเป็นไม่เกินสี่สาย และให้มีจำนวนกลุ่มเท่าๆ กัน ผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของแต่ละกลุ่มจะต้องเลือกผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของกลุ่มอื่นที่อยู่ในสายเดียวกัน โดยให้เลือกบุคคลจากกลุ่มอื่นในสายเดียวกัน กลุ่มละหนึ่งคน ห้ามเลือกคนที่อยู่กลุ่มเดียวกันหรือเลือกตนเองในขั้นนี้ ผู้ได้คะแนนสามลำดับแรกของแต่ละกลุ่ม ถือเป็นผู้ได้รับเลือกในระดับอำเภอสำหรับกลุ่มนั้น และเข้าสู่การคัดเลือกต่อในระดับจังหวัดต่อไป 

>> ด่านที่สอง เลือกกันเองในระดับจังหวัด (มาตรา 41) 
- ขั้นแรก เลือกกันเองภายในกลุ่มเดียวกัน เพื่อให้ได้ห้าอันดับแรกของแต่ละกลุ่ม
ผู้ได้รับเลือกระดับอำเภอแต่ละกลุ่ม ลงคะแนนเลือกกันเองภายในกลุ่ม ซึ่งจะเลือกบุคคลในกลุ่มเดียวกันได้ไม่เกินสองคน โดยจะลงคะแนนให้ตัวเองก็ได้แต่ไม่สามารถลงคะแนนให้ผู้ใดได้เกินหนึ่งคะแนน ผู้ได้คะแนนสูงสุดห้าอันดับแรก ถือเป็นผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของแต่ละกลุ่ม

- ขั้นที่สอง เลือกผู้สมัครต่างกลุ่ม เพื่อให้ได้สองอันดับแรกของแต่ละกลุ่มไปเลือกกันต่อในระดับประเทศ
กลุ่มแต่ละกลุ่มเมื่อได้ผู้ได้รับเลือกขั้นต้นแล้ว จะถูกจัดแบ่งออกตามสาย แบ่งออกเป็นไม่เกินสี่สาย และให้มีจำนวนกลุ่มเท่าๆ กัน ผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของแต่ละกลุ่มจะต้องเลือกผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของกลุ่มอื่นที่อยู่ในสายเดียวกัน โดยให้เลือกบุคคลจากกลุ่มอื่น กลุ่มละหนึ่งคน ห้ามเลือกคนที่อยู่กลุ่มเดียวกันหรือเลือกตนเอง ผู้ได้คะแนนสูงสุดสองลำดับแรกของแต่ละกลุ่ม ถือเป็นผู้ได้รับเลือกในระดับจังหวัดสำหรับกลุ่มนั้น และเข้าสู่การคัดเลือกต่อในระดับประเทศต่อไป

>> ด่านที่สาม เลือกกันเองในระดับประเทศ (มาตรา 42)
- ขั้นแรก เลือกกันเองภายในกลุ่มเดียวกัน เพื่อให้ได้ 40 คนแรกของแต่ละกลุ่ม
ผู้ได้รับเลือกระดับจังหวัดแต่ละกลุ่ม ลงคะแนนเลือกกันเองภายในกลุ่ม ซึ่งจะเลือกบุคคลในกลุ่มเดียวกันได้ไม่เกิน 10 คน โดยจะลงคะแนนให้ตัวเองก็ได้แต่ไม่สามารถลงคะแนนให้ผู้ใดได้เกินหนึ่งคะแนน ผู้ได้คะแนนสูงสุด 40 อันดับแรก ถือเป็นผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของแต่ละกลุ่ม ในขั้นนี้หากแต่ละกลุ่มได้ไม่ครบ 40 คน ก็ให้ถือตามจำนวนเท่าที่มี แต่จะน้อยกว่า 20 คนไม่ได้ โดยผู้อำนวยการเลือกตั้งระดับประเทศจะจัดให้ผู้ที่ไม่ได้รับเลือก ซึ่งยังอยู่ ณ สถานที่เลือกนั้น เลือกกันเองใหม่จนกว่ากลุ่มนั้นจะมีจำนวนอย่างต่ำถึง 20 คน

- ขั้นที่สอง เลือกผู้สมัครต่างกลุ่ม โดย 10 คนแรก ที่ได้รับคะแนนสูงสุดของแต่ละกลุ่ม ถือเป็นผู้ได้รับเลือกให้เป็น สว.
กลุ่มแต่ละกลุ่มเมื่อได้ผู้ได้รับเลือกขั้นต้นแล้ว จะถูกจัดแบ่งออกตามสาย แบ่งออกเป็นไม่เกินสี่สาย และให้มีจำนวนกลุ่มเท่าๆ กัน ผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของแต่ละกลุ่มจะต้องเลือกผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของกลุ่มอื่นที่อยู่ในสายเดียวกัน โดยให้เลือกบุคคลจากกลุ่มอื่น กลุ่มละไม่เกินห้าคน ห้ามเลือกคนที่อยู่กลุ่มเดียวกันหรือเลือกตนเองในขั้นนี้ ผู้ได้คะแนนสูงสุด 10 ลำดับแรกของแต่ละกลุ่ม ถือเป็นผู้ได้รับเลือกให้เป็นสว. สำหรับกลุ่มนั้น และผู้ที่ได้ลำดับที่ 11 ถึง 15 จะเป็นผู้ที่อยู่ในบัญชีสำรองของกลุ่มนั้น 

โดยสรุป เมื่อผ่านการเลือกกันเองของกลุ่มผู้สมัคร สว.ทั้งหมดสามด่านแล้ว ก็จะได้ตัวแทนจากแต่ละกลุ่ม กลุ่มละ 10 คน เป็นตัวจริงที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งเป็น สว. ยกตัวอย่างเช่น...

นาย ก.เคยเป็นครู ทำงานมาแล้ว 20 ปี อยากเป็น สว. ดังนั้น นาย ก.จึงไปสมัครตามอำเภอที่ตนพำนัก เพื่อเข้ารับเลือกในกลุ่มอาชีพที่ตนเชี่ยวชาญคือ กลุ่มการศึกษา เมื่อตรวจคุณสมบัติผ่านก็ต้องเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกกันเองสามด่าน ซึ่งนั่นหมายความว่า นาย ก. จะเป็นทั้งผู้มีสิทธิเลือกสว.และเป็นผู้มีสิทธิได้รับเลือกให้เป็น สว.ไปพร้อมกัน

และการที่ ‘นาย ก.’ จะเป็นสว.ได้นั้น นาย ก.ต้องติด Top 40 ของประเทศที่ได้รับความไว้วางใจจากคนในกลุ่มอาชีพเดียวกัน และยังต้องได้รับความไว้วางใจจากผู้สมัครกลุ่มอื่นๆ ถูกเลือกจนกลายเป็น Top 10 ของกลุ่มการศึกษา และเป็นหนึ่งใน 200 คนที่ได้รับตำแหน่ง สว. ในที่สุด

การได้มาซึ่ง สว. ด้วยวิธีการ ‘คัดเลือกกันเอง’ นับว่าเป็นแบบไม่ง้อการเลือกตั้งจากประชาชน โดยนายมีชัย ฤชุพันธ์ อดีตประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ เคยให้สัมภาษณ์ ไว้ว่า “ประชาชนเขาจะเข้ามามีส่วนร่วมได้โดยตรง และไม่ต้องอิงกับพรรคการเมือง เพราะไม่ต้องหาเสียง เขาก็คุยกันเฉพาะแต่ในกลุ่มบุคคลที่สมัคร กลไกในลักษณะนี้จะทำให้ สว.ปลอดจากการเมือง มาจากทุกสาขาอาชีพ มาจากคนทั่วประเทศ และกลุ่มบุคคลเหล่านี้ก็คือ ‘ประชาชน’”

อ่านทั้งรัฐธรรมนูญ และ พรป.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.ก็พอจะประมวลได้แค่นี้ แต่ก็ยังยากจะเข้าใจอยู่ ยังต้องหากูรูกฎหมายมหาชนมาอธิบายคำว่า ‘กลุ่ม’ กับ ‘สาย’ และ ‘ขั้น’ ต่างๆ ที่เขียนไว้ซับซ้อนไม่น้อย

สรุปง่ายๆ คือ สว.มี 200 คน ในขั้นต้นเลือกกันเองในกลุ่มอาชีพเดียวกัน ค่อยไปเลือกข้ามกลุ่มเมื่อมีการแบ่งสาย ค่อยๆ ทำความเข้าใจไปครับ

‘นางสาวไทยปี 66’ ชื่นชมโครงการ ‘หยุดเผาเรารับซื้อ’ หวังเป็นจุดเริ่มต้นคืนอากาศบริสุทธิ์เชียงใหม่อย่างยั่งยืน

ผลพวงจากไฟป่าและหมอกควันที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อสุขภาพและเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงใหม่ หลาย ๆ กิจกรรมต้องหยุดชะงัก โดยเฉพาะภาคการศึกษาที่ต้องหยุดการเรียนการสอน หลาย ๆ ภาคส่วนพยายามที่จะรณรงค์เพื่อให้หยุดการเผาทำลายป่า

แต่ทว่า ไฟป่าก็ยังคงเกิดขึ้นทุกปี ในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวของทางจังหวัดเชียงใหม่ 

นางสาวชนนิกานต์ สุพิทยาพร นางสาวไทยประจำปี 2566 ในฐานชาวเชียงใหม่โดยกำเนิด ได้สะท้อนมุมมองต่อปัญหาดังกล่าวว่า ในฐานะคนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่มาทั้งชีวิต และต้องเผชิญกับปัญหาหมอกควันและฝุ่นพิษมาทุกปี ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตอย่างมาก ทั้งในแง่สุขภาพ และการเรียน เพราะในบางวันที่สถานการณ์รุนแรง จะต้องหยุดเรียน รวมถึงหยุดกิจกรรมกลางแจ้งทั้งหมด  

แน่นอนว่า เรื่องของหมอกควันหรือฝุ่น PM2.5 เป็นเรื่องที่ทุกคนควรจะร่วมแรงร่วมใจ ร่วมกันแก้ไขปัญหาจากต้นเหตุที่ไม่ใช่แค่ปลายเหตุ และในฐานะของอดีตนายกสโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อยากสะท้อนให้เห็นปัญหาหลัก คือเรื่องของการศึกษา การที่ต้องหยุดเรียนทําให้เหมือนถูกลิดรอนสิทธิในการที่จะได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกับคนจังหวัดอื่นๆ ที่ยังได้เรียนอยู่ตามปกติ 

เพราะฉะนั้น ต้องกลับมาอีกคิดกันใหม่ การแก้ไขปัญหาบางทีอาจจะไม่ใช่แค่การหลีกเลี่ยงฝุ่น แต่ควรจะมาเริ่มจากการแก้ไขที่ต้นเหตุ ว่าจะทํายังไงให้ประชาชนหรือเกษตรกรหยุดการเผา หรือแม้กระทั่งการปลูกฝังจิตสํานึกให้กับเด็กรุ่นใหม่ว่า การหันกลับมาช่วยเหลือบ้านเมือง เป็นเรื่องสําคัญมาก

อย่างไรก็ดี จากการที่ภาครัฐและเอกชนได้รวมตัวเป็นภาคีเครือข่ายเชียงใหม่ร่วมขจัด PM2.5และลดโลกร้อน ร่วมผลักโครงการหยุดเผาเรารับซื้อ ด้วยการรับซื้อเศษตอซังข้าวโพดจากเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเปลี่ยนเศษซากทางการเกษตรเป็นเชื้อเพลิงชีวมวล เชื่อว่า โครงการนี้จะช่วยลดการเผาป่าและจะช่วยคืนอากาศบริสุทธิ์ให้กับชาวเชียงใหม่ เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุที่สำคัญ ที่หวังว่าจะทำให้เกษตรหยุดการเผาได้อย่างยั่งยืน

‘3 นักกิจกรรม’ เล่าเปิดใจ หลังเกิดปรากฏการณ์ ‘ส้มเทิร์นแดง’ แฉ!! การเมืองไม่ตรงปก-ระบบทำงานเละเทะ-ใช้วิธีหาเสียงโจมตีคนอื่น

เมื่อไม่นานมานี้ เว็บไซต์ประชาไทได้ตีพิมพ์รายงานหัวข้อ ‘เมื่อรักและศรัทธาเสื่อมลง เปิดใจ 3 วัยรุ่นส้มเทิร์นแดง’ เป็นการสัมภาษณ์นักกิจกรรม 3 คน ที่เคยสนับสนุนนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคก้าวไกล แต่ได้เปลี่ยนใจมาสนับสนุนพรรคเพื่อไทย เรียกว่า ‘ปรากฏการณ์ส้มเทิร์นแดง’ โดย น.ส.ศุกรียา วรรณายุวัฒน์ หรือ ‘มายมิ้นต์’ นิสิตคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ย้อนกลับไปเมื่อปี 2562 ชื่นชอบพรรคอนาคตใหม่ เพราะเป็นการเมืองใหม่ ชื่นชอบนายธนาธร ถึงขนาดในวันที่มีงานแฟนมีตนายธนาธร ตนเป็นแฟนคลับบัตร 2,500 บาท นั่งแถวหน้าถ่ายรูป จับมือ ตอบคำถาม เหมือนกับศิลปิน

ต่อมาได้ร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองในรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับนายทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี หรือ ‘ฟอร์ด’, นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล และ น.ส.สิรินทร์ มุ่งเจริญ หรือ ‘เฟลอร์’ กระทั่งช่วงที่นักกิจกรรมถูกจับกุม มายมิ้นต์ร่วมวงรับประทานข้าวกับผู้บริหารระดับสูงของพรรคก้าวไกล มีคนในโต๊ะถามเขาว่า เมื่อไหร่นายธนาธร นายปิยบุตร แสงกนกกุล หรือว่าพรรคก้าวไกลจะออกมานำ เขาก็บอกว่า “เดี๋ยวรอลูกเข้าตีนก่อน” ทำให้เกิดคำถามว่าจะรอให้นักกิจกรรมเป็นอันตรายมากกว่านี้ก่อนหรือไม่?

“เขาจะต้องรอให้พวกเราเป็นอันตรายมากกว่านี้ก่อน หรือยังไงกันแน่ เราก็ไม่เข้าใจ สรุปว่าเราเป็นส่วนหนึ่งกันหรือไม่ สรุปว่าเราเป็นอะไรกัน เป็นคนที่สู้ด้วยกัน หรือว่าจริงๆ แล้วม็อบก็เป็นเครื่องมือหนึ่งที่คุณต้องรอจังหวะถึงจะออกมาทำ” มายมิ้นต์ระบุ

ต่อมานายอานนท์ นำภา แกนนำกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าม็อบราษฎร และแกนนำหลายคนถูกจับ เมื่อปี 2563 มายมิ้นต์กับเพื่อนจัดแฟลชม็อบที่แยกปทุมวัน ปรากฏว่ามีคนอ้างตัวว่าเป็นดอกเตอร์จากพรรคก้าวไกล ขอให้ตนปราศรัยโจมตีพรรคเพื่อไทยและคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เรื่องจับมือกับทหารตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ปรากฏว่าถูกแฟนคลับพรรคเพื่อไทยโจมตีหนัก หลังจากนั้นดอกเตอร์คนดังกล่าวได้เป็น สส. ส่วนตนเมื่อคิดทบทวนก็สงสัยว่าตนถูกใช้เป็นเครื่องมือโจมตีพรรคเพื่อไทยหรือไม่

อย่างไรก็ตาม มายมิ้นต์ไม่พอใจกรณีที่พรรคก้าวไกลใช้วิธีหาเสียงที่โจมตีคนอื่น ตนไม่มีปัญหาที่ผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลเป็นอดีต กปปส. แต่มีปัญหากับการที่คนที่เคยทำลายประชาธิปไตยมาชี้หน้าด่าว่าคนอื่นไม่มีอุดมการณ์ มาบอกว่าคนอื่นไม่สู้ ไม่เป็นประชาธิปไตย ถ้าเป็นประชาธิปไตยต้องเป็นแบบฉันเท่านั้น ทั้งที่ประชาธิปไตยมีหลากความหมาย หลายรูปแบบ หลายวิธีการ เพราะฉะนั้นคนที่เคยทำลายประชาธิปไตยมาก่อน วันหนึ่งตาสว่างแล้วคิดว่าตัวเองดีกว่าใคร เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้

ส่วนเรื่องระบบการทำงานภายในพรรคก้าวไกล มายมิ้นต์เปิดเผยว่า เคยถูกทิ้งให้รันงาน Tournament อีสปอร์ตของ สส.คนหนึ่ง ด้วยตัวเองเกือบทั้งหมด รวมถึงโปรเจกต์การศึกษาของ สส.จังหวัดหนึ่ง ที่ตนลงแรงลงใจไปมากแต่กลับถูกเทกลางทาง แม้จะเป็นประสบการณ์ส่วนตัว แต่สะท้อนการทำงานของระบบในพรรค เพราะถ้าพรรคยังไม่สามารถจัดการการทำงานในระดับเล็กๆ ให้ราบรื่นได้ แล้วจะไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประเทศได้อย่างไร

มายมิ้นต์ยังฝากความคาดหวังถึงพรรคเพื่อไทย ต้องทำตามสิ่งที่หาเสียงไว้ให้ได้ ซึ่งขณะนี้เป็นพรรคที่ฟังก์ชันที่สุดในเรื่องเศรษฐกิจ เส้นตายที่จะพิสูจน์ฝีมือคือการลดค่าครองชีพของประชาชนให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นค่าไฟ ค่ารถไฟฟ้า ฉะนั้นตนขอให้พรรคเพื่อไทยดีลอย่างไรก็ได้ให้ประชาชนได้ประโยชน์

ด้านนายภูมิภัสส์ หิรัญวีวิชญ์ หรือ ‘พัท’ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ที่เปลี่ยนใจมาเชียร์พรรคเพื่อไทย เพราะไม่ชอบระบบการทำงานและท่าทีที่ดูไม่จริงใจของพรรคก้าวไกล รวมถึงรู้สึกประทับใจนโยบายของพรรคเพื่อไทยมากกว่า ที่ผ่านมาเคยเคลื่อนไหวฟ้องศาลปกครองเลื่อนการสอบ TCAS เมื่อเดือน มี.ค. 2564 พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคเดียวที่ยื่นมือเข้ามาช่วยกลุ่มนักเรียนและติวเตอร์ โดยมีทีมกฎหมายที่คอยให้คำปรึกษา และประสานงานสื่อมวลชน

เมื่อเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พัทเคลื่อนไหวเรื่องสถาบันฯ ร่วมกับม็อบเยาวชน และเรื่องเพศกับกลุ่มเฟมินิสต์ในมหาวิทยาลัย เพราะเห็นว่าไม่มีความเท่าเทียมทางเพศในมหาวิทยาลัย และในขบวนประชาธิปไตยพบว่ามีการแอบถอดถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ซึ่งถือเป็นการข่มขืน และยังมีคนที่เป็นนักข่มขืนขึ้นปราศรัยบนเวที ตนรู้สึกโอเคกับพรรคเพื่อไทยที่ยังมีการจัดนิทรรศการ ขณะที่หลายคนในพรรคก้าวไกลก็มีประเด็นเรื่องเพศ

เช่น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ถูกตั้งคำถามเรื่องพฤติกรรมในครอบครัว ว่าดูย้อนแย้งกับคุณค่าที่พรรคก้าวไกลนำเสนอหรือไม่ เมื่อก้าวขึ้นมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี รวมถึงกรณีที่อดีตผู้สมัคร สส.ก้าวไกล จ.ชัยภูมิ ล่วงละเมิดทางเพศ ส.ก.เขตสาทร ถูกกล่าวหาว่าก่อเหตุล่วงละเมิดทางเพศ โดยผู้เสียหายบางส่วนเป็นผู้เยาว์ และ ส.ก.เขตวัฒนา ถูกกล่าวหาว่าล่วงละเมิดทางเพศอดีตลูกจ้างหญิงข้ามเพศ โดยผู้ที่ออกมาเปิดโปงถูกฟ้องหมิ่นประมาททั้งทางอาญา และแพ่ง

สิ่งที่ไม่ชอบคือ ผู้สมัคร สส.พรรคก้าวไกลโพสต์รับอาสาสมัครในหลายพื้นที่ ตนเข้าไปช่วยเขตหนึ่งของ กทม. ผู้สมัครคนนั้นไม่มีความเป็นผู้นำที่มากพอ พรรคไม่เข้ามาควบคุม งานไม่แจกจ่ายอะไรเลย เข้าไปต้องคอยถามตลอดว่าอาทิตย์นี้จะให้ช่วยทำอะไรบ้าง

พัทกล่าวว่า เวลาที่ตนพูดเรื่องเฟมินิสต์ในโซเชียลก็จะมีทัวร์มาลง เมื่อตนเปิดตัวเชียร์พรรคเพื่อไทยทัวร์ก็ลงบ่อยและหนักขึ้นกว่าเดิม ต้องพบนักจิตบำบัดเป็นระยะ ส่วนชีวิตในมหาวิทยาลัยก็มักถูกมองว่าเป็นคนแรงๆ ที่ขับเคลื่อนทุกประเด็น เพราะรู้สึกว่าถูกเบียดขับจากความเป็นกระแสหลักที่ดูมีศีลธรรมสูงส่ง ทำให้ผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ที่เรียกตัวเองว่า ‘นางแบก’ มักมีอารมณ์ขันแบบจิกกัดตัวเอง ที่เข้าใจกันเองเฉพาะกลุ่ม

ส่วนคำว่า ‘อึงไข่’ เกิดจากการตอบโต้กันของส้ม-แดงในโลกออนไลน์ แล้วนางแบกคนหนึ่งโต้กลับว่าคนเลือกก้าวไกลมักจะบอกว่าก้าวไกลมาจากประชาชน 14 ล้านเสียง ถ้างั้นคนอีก 10.9 ล้านคนที่เลือกเพื่อไทยเป็นอึ่งไข่หรือ ตนบอกว่าเป็นอึ่งไข่ 10.9 ล้านตัวที่เลือกรัฐบาลนี้ แล้วก็มีนักวิชาการคนหนึ่งออกมาพูดว่า รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลอึ่งไข่ ที่เก็บไข่จนเต็มตัว แล้วเดี๋ยวจะต้องโดนคนอีสานจับกิน แล้วจะสูญพันธุ์ ตนจึงสงสัยว่าจินตนาการไปได้อย่างไร ตนแค่ชอบอึ่งไข่ เพราะมันอยู่ในติ๊กต็อก

ขณะที่ น.ส.น้ำฟ้า ปั้นเหน่งเพชร หรือ ‘ฟ้า’ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า ตนเคยร่วมทำกิจกรรมกับพรรคก้าวไกลมาก่อน แต่รู้สึกไม่ซื้อในพฤติกรรมหลายๆ อย่างซึ่งดูขัดกับประเด็นที่พรรคพยายามนำเสนอ ตนถูกตั้งคำถามจากคนในคณะเดียวกันว่าทำไมถึงมีจุดยืนแบบนี้ มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันบ้าง แต่เวลาคุยกับคนที่เลือกก้าวไกลก็พบว่าเขามักมีธงในใจ ถ้าตนตอบผิดแผกไปจากนั้นก็จะถูกมองว่าแบกจนบ้ง

ในช่วงที่มีกระแสข่าวลือว่าพรรคเพื่อไทยจะจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว ในคลาสเรียนหนึ่งอาจารย์พูดในห้องเรียนแบบขำๆ ทำนองว่า คนที่เลือกพรรคเพื่อไทยอาจจะคิดว่าตัวเองโง่ ไม่น่าเลือกเลย แล้วมองหน้าตน เสร็จแล้วก็หันไปมองเพื่อน บอกว่าอันนี้คือล้อกันเล่นเฉยๆ นะ พอดีว่าสนิทกัน ก่อนจะพูดว่า แต่ไม่เป็นไร คนเรามีเงื่อนไขที่ต่างกัน ทำไมถึงเลือกหรือไม่เลือก ที่ตกใจมากกว่าคือมวลบรรยากาศที่เพื่อนทั้งห้องขำ

ฟ้าเห็นว่ามหาวิทยาลัยไม่มีพื้นที่ให้กับคนที่เลือกพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว ถ้าเลือกพรรคก้าวไกลแล้วยิ่งเป็นนักกิจกรรมจะยิ่งได้รับการเชิดชูมากๆ แต่ถ้าเลือกพรรคเพื่อไทยแล้วพูดอะไรออกมาก็จะถูกจับผิด ตั้งคำถาม ถูกมองว่าจัดตั้ง เป็นไอโอพรรคจ้างมา

ในตอนท้าย ฟ้าคาดหวังต่อพรรคเพื่อไทย คือไม่ควรกระทำการที่ผิดหลักประชาธิปไตย พร้อมยกตัวอย่างเรื่องแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ว่า ส.ส.ร.ก็ควรมาจากการเลือกตั้งเป็นสัดส่วนที่ไม่ต่ำกว่า 50% แม้ว่าตนจะเห็นความเป็นไปได้ของรัฐบาลข้ามขั้วมาตั้งแต่เห็นผลการเลือกตั้งแล้วก็ตาม แต่ก็ผิดหวังที่พรรคเพื่อไทยไปจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้จับมือกับพรรคก้าวไกลแล้วไปต่อด้วยกันได้ แต่สุดท้ายถ้ามีก้าวไกลยังไงก็ไม่ผ่าน ส.ว. 250 คน จึงมองว่าก็ต้องเลือกทางที่ไปต่อได้เพื่อจัดตั้งรัฐบาลให้เร็วที่สุด

“เพื่อไทยเลือกที่จะเอาอำนาจรัฐที่จะมาจัดการปัญหาอื่นๆ ที่เกิดขึ้น ส่วนก้าวไกลกินอุดมการณ์มากกว่าที่จะดูที่การกระทำ คนอื่นอาจจะซื้อ แต่เราไม่ซื้อโซลูชันของก้าวไกล ไม่ได้บอกว่ามันไม่ดี แค่เราไม่ซื้อ” ฟ้าระบุ

‘ปารีณา’ ซัด!! ‘หมอพรทิพย์’ ดันทุรัง ร้านอาหารมีสิทธิที่จะไล่ ชี้ เป็นบุคคลสาธารณะ ต้องยอมรับผลการกระทำของตนเอง

หลังเกิดดรามา ‘คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์’ สว. ถูกชายไทยคนหนึ่งอ้างเป็นเจ้าของร้านอาหารในประเทศไอซ์แลนด์ ไล่ออกจากร้านขณะจะเข้าไปรับประทานอาหาร งานนี้ชาวเน็ตเสียงแตกเป็น 2 ฝ่าย มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมของชายคนดังกล่าว

ในจำนวนนี้มีอดีตนักการเมืองคนดัง ‘น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์’ อดีต สส.ราชบุรี ที่โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นในประเด็นนี้ว่า…

“#หมอพรทิพย์ #ดันทุรังเอง มันเป็นสิทธิของร้านอาหารนะ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดคือ… ไม่ต้อนรับ ไม่ให้บริการ ถ้าครั้งแรกเขาไล่ ก็ควรรีบไป ชัดเจนว่า…หมอพรทิพย์ดันทุรังอยู่ต่อ จึงต้องรับสภาพ”

“เห็นภาพ ไม่ได้รู้สึกเห็นใจท่าน สว. หรือ สส. เลย รู้สึกแต่เสียดายเงินภาษีประชาชน เมื่อช่วงที่บ้านเมืองกำลังมีปัญหาต้องแก้ไขเยอะ ช่วงที่มีประชุมสภา สส. สว. ยังจะมีอารมณ์มาเล่นดนตรีไทยที่ไอซ์แลนด์ได้อย่างไรคะ”

“สุดท้าย บุคคลสาธารณะ ต้องยอมรับผลของการกระทำตนเอง เปรียบเมื่อเจ้าฟ้าชายชาวล์เฉยเมย เมื่อรัฐบาลอังกฤษขึ้นค่าเทอมนักเรียน ถูกปาก้อนหินใส่รถ ทั้งที่ท่านไม่มีหน้าที่อะไรในรัฐบาล หรือโจ ไบเดน ถูกชาวบ้านตะโกนใส่ว่า ฟั..ก ไบเดน สาเหตุจากไบเด้รบริหารประเทศชาติได้พังพินาศ”

‘ไทย’ สุดฮอต!! ครองแชมป์เมืองท่องเที่ยวปลายทางยอดฮิต หลัง ‘นทท.จีน’ ตบเท้าเยือนช่วงหยุดยาวไหว้พระจันทร์-วันชาติ

เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 66 สำนักข่าวซินหัว, ไท่หยวน รายงานสถานการณ์ช่วงหยุดยาวเนื่องในเทศกาลไหว้พระจันทร์และวันชาติจีน (29 ก.ย.-6 ต.ค.) ถือเป็นอีกหนึ่ง ‘เวลาทอง’ ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจีน โดยบรรดานักท่องเที่ยวพากันจับจ่ายใช้สอยบนแพลตฟอร์มผู้ให้บริการด้านการเดินทาง ผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศคลาคล่ำเต็มโถงรับรองของสนามบินหลายแห่ง และแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในหลายประเทศได้ต้อนรับทัพนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนการเติบโตแบบก้าวกระโดดของตลาดการท่องเที่ยวต่างประเทศในจีน

‘หวังซื่อหัว’ ชาวเมืองไท่หยวน มณฑลซานซีทางตอนเหนือของจีน เป็นนักท่องเที่ยวอีกคนที่เลือกเดินทางเยือนต่างประเทศในช่วงหยุดยาวนี้ โดยหลังจากฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่บ้านแล้ว เขาและครอบครัวได้ตบเท้าขึ้นเครื่องบินมุ่งหน้าสู่จุดหมายยอดนิยมอย่าง ‘ประเทศไทย’ พร้อมแผนการเยือนแลนด์มาร์กชื่อดัง เช่น พระบรมมหาราชวังและเกาะเสม็ด รวมถึงสัมผัสประสบการณ์นวดไทยโบราณ และรับประทานอาหารไทยต้นตำรับรสจัดจ้าน ตลอดระยะเวลา 6 วัน

“เคยมาเที่ยวเมืองไทยแล้วเมื่อหลายปีก่อนและรู้สึกประทับใจมาก พอตอนนี้ไท่หยวนเปิดเที่ยวบินตรงไปยังไทยเลยคิดว่าต้องกลับมาเที่ยวอีก” หวัง กล่าว

ทั้งนี้ ไทยในฐานะจุดหมายปลายทางที่ครองความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวจีนมากที่สุดแห่งหนึ่งได้ประกาศนโยบายฟรีวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นระยะเวลา 5 เดือน ทำให้ปริมาณการสอบถามและจองการเดินทางสู่ไทยและพื้นที่โดยรอบเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากนโยบายดังกล่าวช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายราว 500 หยวน (ราว 2,500 บาท)

ด้านข้อมูลจากแพลตฟอร์มผู้ให้บริการด้านการเดินทางหลายรายบ่งชี้ว่าการท่องเที่ยวต่างประเทศได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงหยุดยาวเนื่องในเทศกาลไหว้พระจันทร์และวันชาติจีนปีนี้ ซึ่งถือเป็นช่วงหยุดยาวแรกหลังจากการท่องเที่ยวต่างประเทศของจีนเปิดกว้างเต็มรูปแบบในขั้นพื้นฐาน โดยสถิติจากแพลตฟอร์มซีทริป ฟลิกกี และอื่นๆ ระบุว่าการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงหยุดยาวดังกล่าวของปีนี้เพิ่มขึ้นเกือบ 20 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะกลุ่มผู้เชี่ยวชาญมองว่าจีนในฐานะแหล่งนักท่องเที่ยวขาออกขนาดใหญ่ที่สุดของโลกจะมีบทบาทเชิงบวกต่อการฟื้นฟูการท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะหลังจากเร่งเปิดกว้างการเดินทางท่องเที่ยวแบบหมู่คณะหรือกรุ๊ปทัวร์ โดยผลสำรวจจากพีดับบลิวซี (PwC) พบว่าชาวจีนร้อยละ 62 มีแนวโน้มเพิ่มการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก ส่งสัญญาณอันดีต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การบริการ และการค้าปลีก

‘ณัยณพ’ มั่นใจ!! ‘กรีฑาไทย’ เตรียมสร้างชื่อ ศึก ‘เอเชียนพาราเกมส์’ ด้าน ‘โค้ชสุพรต’ เผย ‘ทีมวีลแชร์เรสซิ่ง’ ฟิตเต็มร้อย พร้อมสู้เพื่อชาติ

(1 ต.ค. 66) ร.ท.ณัยณพ ภิรมย์ภักดี ประธานคณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทย เชื่อมั่นว่านักกรีฑาพาราไทย ทั้งประเภทแขน-ขา และ ‘วีลแชร์เรซซิ่ง’ จะสร้างผลงานได้ดีในการแข่งขัน ‘เอเชียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 4’ ระหว่างวันที่ 22-28 ตุลาคม 2566 ณ นครหางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดนครราชสีมา

‘ร.ท.ณัยณพ ภิรมย์ภักดี’ ประธานคณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทย กล่าวหลังเดินทางไปดูการฝึกซ้อมของนักกรีฑาพาราไทยว่า “ขณะนี้นักกีฬาของเรามีความพร้อม รวมถึงมีการฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทำให้มั่นใจว่านักกีฬากรีฑาของเราจะสร้างผลงานได้เป็นอย่างดี ทั้งในเรื่องของความสำเร็จ และสถิติที่นักกีฬาจะทำได้ สิ่งสำคัญคือการทำสถิติให้ดีหากเราทำได้ตามเป้าหมายเชื่อว่าเราจะสามารถประสบความสำเร็จรายการนี้ เพื่อการต่อยอดไปสู่พาราลิมปิกเกมส์ในปีหน้าซึ่งเป้าหมายใหญ่ของพวกเรา”

โดย ‘นายสุพรต เพ็งพุ่ม’ หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมวีลแชร์เรสซิ่งทีมชาติไทย กล่าวว่า สำหรับความพร้อมของทีมวีลแชร์เรสซิ่งทีมชาติไทยในเวลานี้ถือว่ามีความพร้อมแบบเต็มที่แล้วหลังจากที่เรามีการเก็บตัวมาอย่างต่อเนื่อง และนักกีฬาของเราได้ออกไปแข่งขันรายการระดับนานาชาติมาอย่างต่อเนื่องทำให้ทุกคนมีความพร้อมและมีความมั่นใจเพื่อลงทำศึกรายการนี้

“ส่วนนักกีฬาหน้าใหม่นั้นก็จะมีนักกีฬาวีลแชร์หญิงซึ่งในครั้งนี้เราหวังจะเป็นรายการที่สร้างเสริมประสบการณ์เพื่อการต่อยอดไปสู่อนาคต เพราะการได้แข่งขันกับนักกีฬาระดับโลกที่มีประสบการณ์สูงก็ทำให้เขามีพัฒนาการที่สูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งครั้งเป็นโอกาสที่ดีที่นักกีฬาหน้าใหม่จะได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์อย่างเต็มที่” 

ด้าน ‘พนม พุดซา’ โค้ชกีฬากรีฑาพาราไทย เปิดเผยว่า สำหรับทีมกรีฑาพาราไทยมีความพร้อม เพราะมีการเก็บตัวฝึกซ้อมมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่จบศึกอาเซียนพาราเกมส์ ซึ่งนักกีฬาหลายคนก็มีผลงานที่ดีขึ้น ทำให้มีความมั่นใจมากขึ้นและกระหายที่จะไปแข่งขันในเอเชียนพาราเกมส์ครั้งนี้แบบเต็มที่

“ส่วนความหวังของเราในครั้งนี้คงจะเป็นประเภทลู่ วิ่งระยะสั้น อย่าง 200 ม.หญิง อย่าง ‘อุ้ม ศศิราวรรณ อินทโชติ’ ซึ่งเพิ่งไปคว้าเหรียญทองแดง เวิลด์ พารา แอธเลติกส์ แชมเปี้ยนชิป” กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส มาได้เขาก็มีความมั่นใจมากขึ้น แต่เราก็ไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้สูง เพราะเราหวังว่าเพียงแค่ให้เขาทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่เท่านั้นเพื่อให้เป็นการกดดันนักกีฬา”

“ส่วนประเภทในประเภทลาน อยากให้โฟกัสเพียงแค่การทำสถิติของตนเองให้ดี และหากนักกีฬาทุกคนทำได้แบบที่ฝึกซ้อมเราก็มีโอกาสที่จะคว้าเหรียญรางวัลได้ ซึ่งนักกีฬาทุกคนมุ่งมั่นที่ทำผลงานให้ดีเพื่อคว้าเหรียญรางวัลมาฝากพี่น้องชาวไทยให้ได้ สุดท้ายอยากขอกำลังใจจากคนไทยช่วยเป็นกำลังใจให้นักกีฬาทุกคนด้วยและเราจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่เช่นกัน”

สำหรับนักกีฬาพาราไทยรวมถึงเจ้าหน้าที่ทีมทั้งหมด 491 คน จะลงชิงชัยใน ‘เอเชียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 4’ ทั้งสิ้น 22 ชนิดกีฬา ประกอบด้วย ยิงธนู, กรีฑา, แบดมินตัน, บอคเซีย, เรือแคนู, หมากรุก, จักรยาน, ฟุตบอล 5 คน, หมากล้อม, โกลบอล, ยูโด, ลอนโบวล์ส, ยกน้ำหนัก, เรือพาย, ยิงปืน, วอลเลย์บอลนั่ง, ว่ายน้ำ, เทเบิลเทนนิส, เทควันโด, วีลแชร์บาสเกตบอล, วีลแชร์ฟันดาบ และวีลแชร์เทนนิส

ทั้งนี้ ผลงานทัพนักกีฬาพาราไทยในการแข่งขัน ‘เอเชียนพาราเกมส์ 2018’ ครั้งที่ผ่านมา ที่ประเทศอินโดนีเซีย ทำผลงาน 23 เหรียญทอง 32 เหรียญเงิน 50 เหรียญทองแดง จบการแข่งขันในอับดับที่ 7

‘ภูมิธรรม’ สั่ง ‘พณ.จังหวัด-DIT’ ดูแล ปชช.ที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วม กำชับ!! ป้องกันการกักตุนสินค้าเข้มข้น หวั่นของขาดตลาด-ขึ้นราคา

(1 ต.ค. 66) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สั่งการให้พาณิชย์จังหวัดและกรมการค้าภายใน เข้าไปดูแลช่วยเหลือประชาชน ที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์น้ำท่วมในขณะนี้  ทั้งระหว่างน้ำท่วม และหลังระดับน้ำลดลง ไม่ให้สินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นขาดตลาด ให้มีกระจายสินค้าอย่างทั่วถึงและไม่ให้ฉวยโอกาสขึ้นราคาเอาเปรียบประชาชน ไม่ให้มีการกักตุนสินค้า หากฝ่าฝืนให้มีการดำเนินการกฎหมายอย่างเคร่งครัด และให้กระจายสินค้า ลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะผัก เครื่องมือ น้ำยาทำความสะอาดบ้านและวัสดุก่อสร้าง เพื่อซ่อมแซมบ้านหลังน้ำลดแล้ว

ขณะเดียวกันให้นำรถโมบายกระจายลงในพื้นที่ในชุมชน ขายของลดราคา จัดกิจกรรมเพิ่มรายได้ให้ประชาชน เช่น เอาสินค้าในชุมชนไปกระจายช่วยขายในพื้นที่อื่นๆ พร้อมกับขอให้เข้มงวดการติดป้ายแสดงราคาสินค้า ไม่ให้มีการฉวยโอกาส เอาเปรียบผู้บริโภค

📌สรุปเหรียญเอเชียนเกมส์ หางโจว 2022 ประจำวันที่ 30 ก.ย.66 (เฉพาะชาติในกลุ่มประเทศอาเซียน)

📌สรุปเหรียญเอเชียนเกมส์ หางโจว 2022 ประจำวันที่ 30 ก.ย.66 (เฉพาะชาติในกลุ่มประเทศอาเซียน)

ล่าสุด ‘ไทย’ ครองอันดับที่ 6 คว้าเหรียญทอง 8 เหรียญเงิน 3 เหรียญทองแดง 14 รวมทั้งหมด 25 เหรียญ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top