Tuesday, 6 May 2025
TheStatesTimes

‘จตุพร’ เชื่อมือ ‘บิ๊กต่อ’ 1 ปี มุ่งปฏิรูปสีกากี-ฟื้นความเชื่อมั่น แนะ ‘บิ๊กโจ๊ก’ ร่วมมือสร้างความเปลี่ยนแปลงระบบตำรวจไทย

‘จตุพร’ เชื่อ ‘บิ๊กต่อ’ เป็น ‘ผบ.ตร.’ คนเดียวมีฤทธิ์เดชสูง มากภูมิต้านทานแข็งแกร่ง หวังว่าเวลาไม่เป็นอุปสรรค แค่ 1 ปีมุ่ง ‘ปฏิรูปสีกากี’ ได้น้ำได้เนื้อ เร่งขจัดวิ่งเต้น สร้างยุติธรรมให้ประชาชนได้พึ่งพิงอุ่นใจ แนะ ‘บิ๊กโจ๊ก’ นำข้อมูลหารือร่วมมือ ผบ.ตร.ผ่าวิกฤตศรัทธา ฟื้นเชื่อมั่น

(29 ก.ย. 66) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ เรียกร้องให้ ผบ.ตร.คนใหม่ ใช้เวลาในตำแหน่งแค่ 1 ปีให้คุ้มค่าเกิดประโยชน์กับวงการสีกากี ด้วยการปฏิรูปตัวเอง สะสางปัญหาการวิ่งเต้นเอาตำแหน่งเติบโต ซึ่งเป็นปัญหาฉุดรั้งความยุติธรรมไม่เกิดขึ้นกับประชาชน

นายจตุพร กล่าวถึงกรณีการค้นบ้าน ‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.อ.สรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และแต่งตั้ง ผบ.ตร. รวมถึงสัปดาห์หน้าจะมีเรื่องใหญ่ในวงการสีกากี ว่า ไม่มั่นใจว่า บิ๊กโจ๊ก จะมีการเดินหน้าต่อหรือไม่ เพราะเคยบอกมีข้อมูลเยอะ ถ้าเปิดเผยออกมาจะตายหมดทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แม้เป็นคำพูดแสดงถึงความรู้สึก อารมณ์คับข้องใจก็ตาม แต่จะปล่อยให้ผ่านเลยไปไม่ได้เช่นกัน

“ยิ่งต้องยอมรับความจริงกันว่าในเวลาที่เหลืออยู่ 1 ปีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ว่าที่ ผบ.ตร.คนใหม่ ซึ่งเป็นคนเดียวที่มีฤทธิ์เดช จะสามารถปฏิรูปวงการตำรวจได้หากจะทำ ส่วน รอง ผบ.ตร. ที่เหลืออีก 3 คน คงไม่อาจทำได้ เพราะในตัวเองไม่มีภูมิต้านทานแข็งแรงเท่ากับ ผบ.ตร.คนใหม่” นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่าวว่า การได้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เป็น ผบ.ตร. ส่วนหนึ่งทำให้สังคมตำรวจหายใจโล่งขึ้น เนื่องจากหลายปีผ่านมาตำรวจเจ็บปวดกับการแต่งตั้ง โยกย้ายข้ามหน้าข้ามตาอย่างมาก หาก ผบ.ตร.ใหม่สะสางการวิ่งเต้น โดยเบื้องต้นให้ตำรวจได้รับความยุติธรรมเสียก่อน จึงจะทำให้เป็นที่พึ่งของประชาชนได้

ทั้งนี้ ความไม่ยุติธรรมในตำรวจถูกสะสมกันมายาวนาน อีกอย่างการเน้นระบบอาวุโส 33% จึงเป็นความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ทำให้ตำรวจไม่มีเส้นสายวิ่งเต้นต้องอยู่ในตำแหน่งอย่างตรอมใจ มองคนอีก 67% วิ่งเต้นก้าวข้ามไปตำแหน่งสูงขึ้นผ่านหน้าไปคนแล้วคนเหล่า จึงเป็นความอยุติธรรมที่รู้ๆกัน แต่ไม่มีการจัดการในสำนักงานตำรวจ ดังนั้นเชื่อว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เพียงคนเดียวซึ่งมีภูมิต้านทานแข็งแรง ย่อมจัดการปฏิรูปตำรวจให้มีความยุติธรรมได้

นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าระบบตำรวจไม่ต้องวิ่งเต้น ก็ไม่ต้องจ่ายเงิน แล้วไม่ไปไถ รีดนาทาเร้น เชื่อว่าระบบตำรวจจะเปลี่ยนได้ ดังนั้นเวลาในตำแหน่ง ผบ.ตร. เพียง 1 ปีจึงไม่สำคัญ และหวังว่าจะเป็นโอกาสเวลาที่ทำให้เห็นความคุ้มค่าได้เกิดขึ้นต่อตำรวจทั้งประเทศ

“ส่วน บิ๊กโจ๊ก จะเปิดเผยข้อมูลหรือไม่นั้น หากนำข้อมูลที่มีมาร่วมมือกัน โดยหารือกับ ผบ.ตร.คนใหม่ จะเกิดประโยชน์ในการแก้ไขปัญหา ชำระสะสางได้อย่างมาก เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปตำรวจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วยตัวเอง” นายจตุพร กล่าว

‘นายกฯ’ ปาฐกถา ‘Next Chapter’ ปลุกคนไทยพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง แนะทุกฝ่ายหันหน้าเจรจาลดความขัดแย้ง ย้ำ การกระทำสำคัญกว่าคำพูด

(29 ก.ย. 66) ที่โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้าร่วมงานเสวนา “ถอดรหัสลงทุน ก้าวข้ามวิกฤต” ซึ่งจัดโดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ โดยมี น.ส.ปานบัว บุนปาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน), นายปราปต์ บุนปาน รองกรรมการผู้จัดการสายเทคโนโลยีและดิจิทัลมีเดีย, นางสาวดิษณีย์ นาคเจริญ บรรณาธิการประชาชาติธุรกิจ, นายพัฒนพันธุ์ วงษ์พันธุ์ กรรมการบริษัท และที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการ, นายวรศักดิ์ ประยูรศุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท งานดี จำกัด, นายสุริวงค์ เอื้อปฏิภาน รองกรรมการผู้จัดการ ระบบสื่อออนไลน์และบรรณาธิการข่าวสด, นายจำลอง ดอกปิก บรรณาธิการมติชน และนายสมปรารถนา คล้ายวิเชียร ผู้อำนวยการ Digital Media พร้อมคณะผู้บริหารเครือมติชน และผู้บริหารกองบรรณาธิการประชาชาติธุรกิจ รวมทั้งวิทยากร นักธุรกิจที่เข้าร่วมงานเสวนา ให้การต้อนรับ

จากนั้น คณะผู้บริหารเครือมติชนเชิญนายเศรษฐา นายกฯ นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมวิทยากร และผู้บริหารภาคธุรกิจร่วมรับประทานอาหารเช้า พร้อมพูดคุยหารือร่วมกัน

ต่อมา ที่ห้องแกรนด์ฮอลล์ ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก (เพลินจิต) นายเศรษฐากล่าวปาฐกถาพิเศษ “Next Chapter ประเทศไทย” ตอนหนึ่งว่า เป็นคนที่ชัดเจนมาโดยตลอด ถ้าคนที่รู้จักตนจะรู้ว่าเป็นคนที่พูดน้อยและให้ได้ใจความ เมื่อมายืนอยู่ตรงนี้ตนก็เป็นส่วนหนึ่งของการที่อาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งเกิดขึ้น แต่เราเองต้องมีการปรับปรุงตัวเพื่อให้ลดความขัดแย้งลงไปจากการพูดจา ที่พูดอาจจะพูดเป็นเหมือนเป็นคอนเซปต์ หลายท่านอาจจะไม่เข้าใจ ก็จะขอยกตัวอย่างโดยที่ไม่ได้ต้องการจะไปว่า หรือตอบโต้กับใครทั้งสิ้น ในเรื่องของการที่เราใช้คำว่าปฏิรูป สังคายนา ล้างบาง ขอยกตัวอย่างเป็นคำพูดอย่างนี้แล้วกัน

นายเศรษฐากล่าวว่า คิดว่าทุกๆ คนก็มีความภาคภูมิใจและความหวังดีต่อองค์กรของตัวเอง เข้าใจว่าทุกองค์กรมีคนดี คนไม่ดี แต่การที่เราใช้คำพูดที่รุนแรง วิธีการที่ก่อให้เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวกที่ชัดเจนมันเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาหรือเปล่า หรือการแก้ปัญหามันอยู่ที่การกระทำ ไม่ได้อยู่ที่การพูด ซึ่งตนเชื่อว่าอยู่ที่ส่วนหลัง มันอยู่ที่การกระทำและวิธีการในการทำ

“การเอาสถาบันต่างๆ มาพูดในที่สว่าง มีคำพูดที่รุนแรง ผมเชื่อว่าไม่เป็นการแก้ไขปัญหา การแก้ไขปัญหาคือการที่พูดคุยกันในภาษาที่ทุกคนยอมรับได้ แต่ไปเน้นหนักเรื่องการกระทำ เรื่องกระบวนการในการแก้ไขปัญหาที่จะทำให้สังคมดีขึ้น ผมเชื่อว่าผมไม่ต้องพูดเยอะในเรื่องนี้ ผมเชื่อว่าทุกคนตระหนักดีอยู่แล้ว” นายเศรษฐากล่าว

นายเศรษฐากล่าวต่อว่า การกระทำตัวของทุกๆ คนในสังคมมีส่วนช่วยทำให้สังคมลดความเหลื่อมล้ำ คนที่มีเยอะเรื่องของการใช้โซเชียลมีเดียในการอวด ในการแสดงตนว่าเหนือชั้น หลายๆ เรื่องพวกนี้ถ้าเกิดลดลงไปได้บ้างคนที่อยู่ชายขอบของสังคมเขาก็จะมีความสบายใจขึ้น

“ผมเชื่อว่าทุกท่านในที่นี้อาจจะรวมถึงตัวผมเองก็อาจจะเป็นส่วนที่ต้องรับผิดชอบไปเหมือนกัน แต่มันไม่สายเกินไปหรอกครับ เราลองมาช่วยเยียวยาสังคมให้มันดีขึ้นจากการกระทำของพวกเราเองทุกคน” นายเศรษฐา กล่าว พร้อมทิ้งท้ายว่า อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ยอมเปลี่ยนแปลงก็ยากจะอยู่รอด สำหรับแนวทางการบริหารที่รวดเร็ว Speed To Market ให้ความสำคัญกับเป้าหมาย ซึ่งก็คือชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชน น่าจะทำให้การปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ Next Chapter ประเทศไทย มองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับประเทศได้อย่างชัดเจน

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม 2566

‘ควาย’ เมื่อมันติดหล่ม มันยังรู้จักถอนตัว แต่เมื่อคนไปตกอยู่ในอารมณ์ทำไม ...ไม่รู้จักถอนตัว
ไปปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ทำไม เศร้าหมองทำไม …“ต้องถอนออกมาเลย”

- หลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ -

เปิดเบื้องหลังการเชิญ 'ลิซ่า' มาแสดงในไนต์คลับดัง Crazy Horse Paris ช่วยสะท้อนความภาคภูมิใจ อิสรภาพ ความอยากรู้อยากเห็นของผู้หญิง

(29 ก.ย.66) เพจ 'ข่าวสารบันเทิงจีน' ได้เผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ผู้เกี่ยวข้องกับการเชิญลิซ่ามาแสดงคาราบาเรต์โชว์ในไนต์คลับสุดไอคอนนิกอย่าง Crazy Horse Paris ได้เปิดเผยเบื้องหลังการที่ลิซ่ามาแสดงโชว์ที่นี้ลงใน นิตยสาร ELLE ว่า...

"เดิมก่อนที่ลิซ่าจะมาแสดงที่นี้ เธอเคยมาดูโชว์ของ Crazy Horse หลายครั้ง ในช่วงที่แบล็คพิ้งค์มาทัวร์คอนเสิร์ตที่ปารีส และเธอประทับใจในโชว์มาก เธอได้มาเยี่ยมชมเหล่านักแสดงที่หลังเวที และเธอก็ตอบรับการมาแสดงอย่างไม่คาดคิด แน่นอนว่าไม่ใช่เธอขาดแคลนเงิน แต่เธอคิดว่าการแสดงของที่นี้มันน่าสนใจ

"หลังจากนั้นลิซ่าก็เป็นผู้นำในการวางแผนการแสดงทั้งหมด โดยไม่ได้จัดเวทีใหม่ แต่ทำเวทีเดิมให้เสร็จเรียบร้อย และบอกว่าลิซ่ารับหน้าที่ดูแลการแสดงของเธอที่ Crazy Horse เธออยู่ที่ปารีสและมาที่นี่เพื่อฝึกซ้อมครั้งแล้วครั้งเล่า เธอเป็นเหมือนมืออาชีพและทำงานได้ดีมาก เธอยังมาที่นี่เพื่อฝึกซ้อมตอนที่เตรียมตัวด้วย

นอกจากนี้เขายังเผยอีกว่าเหตุผลที่เชิญลิซ่ามา ก็เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าหญิงสาวให้กลายมาเป็นลูกค้าใหม่ “ท้ายที่สุดแล้วพวกเธอคือ ผู้ชมของเราในอนาคต เพราะการแสดง Crazy Horse ของเราเป็นสัญลักษณ์ของความภาคภูมิใจ อิสรภาพ และความอยากรู้อยากเห็นของผู้หญิง โดยการแสดงครั้งนี้ฉันคิดว่า ลิซ่าก็โชว์สัญลักษณ์นั้นด้วย”

‘พิพัฒน์’ จ่อหารือขึ้นค่าแรง เป็น ‘ของขวัญปีใหม่’ ให้คนไทย ยัน!! ขั้นต่ำไม่กระทบ ‘เอสเอ็มอี’ คาด ได้ข้อสรุปสิ้นเดือน พ.ย.นี้

(29 ก.ย. 66) ประเด็นการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวัน ร้อนแรงนับตั้งแต่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประกาศว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน และจะขยับให้ได้ตามอัตราดังกล่าวโดยเร็วที่สุด คาดมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 2567 ส่งผลให้กระทรวงแรงงาน ซึ่งมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ จากพรรคภูมิใจไทย นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการ ถูกจับตามองว่าจะสามารถขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวได้หรือไม่ ภายใต้โจทย์เศรษฐกิจไทยสุดท้าทาย โดยเฉพาะภาวะเงินเฟ้อและค่าครองชีพพุ่ง กดดันทั้งตลาดแรงงานและผู้ประกอบการ

นายพิพัฒน์ เปิดเผยว่า รัฐบาลจะมีการประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นของขวัญปีใหม่มอบแก่ภาคแรงงานแน่นอน แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะปรับขึ้นเป็นอัตราขั้นต่ำ 400 บาท/วันหรือไม่ เพราะต้องขอหารือร่วมกับคณะกรรมการค่าจ้างกลาง ซึ่งเป็นคณะกรรมการไตรภาคีที่ประกอบด้วยตัวแทนนายจ้าง ตัวแทนลูกจ้าง และตัวแทนภาครัฐ เพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมว่าจะปรับขึ้นได้กี่เปอร์เซ็นต์ตามความเหมาะสม บนพื้นฐานค่าแรงขั้นต่ำของแต่ละจังหวัด ค่าแรงในแต่ละอุตสาหกรรมซึ่งไม่เท่ากัน รวมถึงอัตราเงินเฟ้อของประเทศไทยมาเป็นฐานตั้งต้น โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในสิ้นเดือน พ.ย. 2566

“การประกาศปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปี 2567 ฝ่ายนายจ้างจะต้องไม่เดือดร้อนด้วย โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SME) ต้องไม่หายตายจากไป เนื่องจากผู้ประกอบการ SME ถือครองแรงงานก้อนใหญ่ที่สุดของทั้งแรงงานชาวไทยและต่างด้าว” นายพิพัฒน์ กล่าว

อานิสงส์ ‘ขึ้นค่าแรง’ ดูดแรงงานต่างด้าวทะลัก
ทั้งนี้ ยืนยันว่าการประกาศปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ไม่สามารถแยกใช้เฉพาะแรงงานชาวไทยได้ ต้องประกาศใช้กับแรงงานต่างด้าวด้วย เพื่อให้แรงงานทุกคนได้รับค่าแรงขั้นต่ำเท่าเทียมกัน โดยเชื่อว่าเมื่อมีประกาศปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำแล้ว จะมีแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศไทยมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีมากกว่า 5 ล้านคน และคาดการณ์ด้วยว่าในระยะยาว 20-30 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะอุดมไปด้วยแรงงานต่างด้าวเกิน 50% ของแรงงานทั้งหมด เนื่องจากปัจจัยทางประชากรศาสตร์ ประเทศไทยมีอัตราการเกิดใหม่ต่ำ ทำให้มีแรงงานชาวไทยไม่เพียงพอต่อความต้องการจ้างงาน

“กระทรวงแรงงานจะเร่งหาวิธีเพิ่มทักษะฝีมือแรงงาน (Upskill) ของแรงงานชาวไทย เพื่อให้ได้รับค่าแรงอย่างน้อย 400 บาทต่อวันให้ได้เร็วที่สุด โดยเฉพาะอาชีพสงวนของคนไทย” นายพิพัฒน์ กล่าว

เร่งจัดหา ‘แรงงานท่องเที่ยว’ ชดเชย 25% ที่หายไป
นายพิพัฒน์ กล่าวบนเวทีประชุมสมาชิกของสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ประจำเดือน ก.ย. 2566 ในหัวข้อ ‘นโยบายการยกระดับแรงงานภาคท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยว’ วานนี้ (28 ก.ย.) ว่า ย้อนไปเมื่อครั้งตนดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในรัฐบาลชุดที่แล้ว เมื่อปี 2562 ภาคท่องเที่ยวไทยที่กำลังบูมขั้นสุด มีแรงงานมากกว่า 4 ล้านคน แต่เมื่อเจอวิกฤติโควิด-19 ส่งผลให้แรงงานท่องเที่ยวหายไปมากถึง 40% โดยปัจจุบันกลับมาบ้างแล้วตามการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว แต่ยังหายไป 25% หรือคิดเป็นประมาณ 1 ล้านคน จากแรงงานท่องเที่ยวเดิม จึงมีความจำเป็นต้องเร่งจัดหาแรงงานมาชดเชย เพื่อรองรับดีมานด์นักท่องเที่ยวต่างชาติที่กำลังฟื้นตัว

หลังจากล่าสุด รัฐบาลได้ประกาศดำเนินมาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา (Visa Exemption) หรือ วีซ่า-ฟรี เพื่อการท่องเที่ยวเป็นการชั่วคราว ให้แก่นักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถาน อนุญาตให้พำนักในไทยได้ไม่เกิน 30 วัน มีผลตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย. 2566 - 29 ก.พ. 2567 เป็นระยะเวลาประมาณ 5 เดือน ซึ่งถือเป็นนโยบายที่ช่วยกระตุ้นดีมานด์การเดินทางและเศรษฐกิจในช่วงไฮซีซันนี้

ย้ำนโยบาย ‘ลดการเสียสมดุลแรงงาน’
“แต่จากที่สมาคมด้านการท่องเที่ยวต่างๆ ได้เสนอให้ปลดล็อกการนำเข้าแรงงานต่างด้าวจากประเทศอื่นๆ เพิ่มได้ เช่น จากฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เมื่อตนมารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน บอกได้เลยว่า ‘ไม่เห็นด้วย’ เพราะเราสามารถผลักดันแรงงานชาวไทยที่ยังไม่มีงานทำ โดยเฉพาะระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษาที่กำลังหางาน สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีระดับหนึ่ง ให้เข้ามาฝึกฝนความเชี่ยวชาญด้านงานบริการท่องเที่ยวและบริการได้ ซึ่งปัจจุบันมีความหลากหลายกว่า 13 สาขาวิชาชีพท่องเที่ยว” นายพิพัฒน์ กล่าว

โดยจะบูรณาการความร่วมมือกับ 4 กระทรวงด้านสังคม ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงแรงงาน ซึ่งทำงานกันอย่างใกล้ชิดภายใต้การดูแลของพรรคภูมิใจไทย ด้วยการจัดทำ MOU หรือบันทึกความเข้าใจร่วมกัน เกี่ยวกับการผลิตแรงงาน และเพิ่มทักษะฝีมือแรงงาน เพื่อสามารถผลิตแรงงานได้ทันความต้องการของผู้ประกอบการ

“อย่างแรงงานภาคท่องเที่ยวถือเป็นตลาดที่มีความต้องการสูง ทุกประเทศกำลังขาดแคลนแรงงานท่องเที่ยว เห็นได้จากแรงงานไทยบางส่วนตัดสินใจไปทำงานด้านท่องเที่ยวที่ต่างประเทศ โดยเฉพาะแถบตะวันออกกลาง เช่น นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และซาอุดีอาระเบีย ที่ให้เงินเดือนสูงกว่าในประเทศไทย โดยกระทรวงแรงงานจะเร่งผลิตคนป้อนตลาดท่องเที่ยวภายในประเทศไทยให้ได้ก่อน ผมต้องหาวิธีการ ทำทุกวิถีทาง เพื่อลดการเสียสมดุลแรงงาน” นายพิพัฒน์ กล่าว

ทัวริสต์ต่างชาติสะสม 19.5 ล้านคน
ด้านรายงานข่าวจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า จากสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมร่วม 9 เดือนแรก ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 24 ก.ย. 2566 พบว่ามีจำนวน 19,499,116 คน เพิ่มขึ้น 259% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1 มาเลเซีย จำนวน 3,184,562 คน อันดับ 2 จีน จำนวน 2,403,226 คน อันดับ 3 เกาหลีใต้ จำนวน 1,155,782 คน อันดับ 4 อินเดีย 1,128,868 คน และอันดับ 5 รัสเซีย จำนวน 976,969 คน

‘อุรุกวัย’ ผงะ!! พบ ‘แมวน้ำ-สิงโตทะเล’ ตายเกลื่อนหาดร่วม 400 ตัว คาด ‘ไข้หวัดนก’ ระบาด เตือน นทท.เลี่ยงการสัมผัสสัตว์รอบชายหาด

เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 66 ทางการของประเทศอุรุกวัย เปิดเผยว่า พบแมวน้ำและสิงโตทะเลขึ้นมาตายตามแนวชายฝั่งของประเทศเมื่อเร็วๆ นี้ รวมกันแล้วราว 400 ตัว คาดว่ามีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสไข้หวัดนก

ขณะนี้หลายกระทรวงที่เกี่ยวข้องของอุรุกวัย กำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หลังจากตรวจพบเชื้อไวรัส ‘ไข้หวัดนก H5’ ในสิงโตทะเลตัวหนึ่งเป็นครั้งแรก บนชายหาดของกรุงมอนเตวิเดโอ ซึ่งมีแม่น้ำเพลตไหลผ่านลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติก

โดยสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เสียชีวิตเหล่านี้ ถูกพบบนชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกและริมแม่น้ำ ซึ่งจนถึงตอนนี้ได้มีการฝังซากสิงโตทะเลและแมวน้ำที่พบตายบนหาดไปแล้ว 350 ตัว

‘คาร์เมน เลซาโกเยน’ หัวหน้ากรมสัตว์ประจำถิ่น กระทรวงสิ่งแวดล้อมของอุรุกวัย กล่าวว่า นี่เป็นสถานการณ์ที่มีพัฒนาการอยู่ในขณะนี้ และเราเชื่อมาจากเชื้อไข้หวัดที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ และเราต้องรอจนกว่าสัตว์เหล่านั้นจะมีภูมิคุ้มกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด

อย่างไรก็ตาม ‘อุรุกวัย’ ถือเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสิงโตทะเลและแมวน้ำ กว่าประมาณ 315,000 ตัว หลังเกิดสถานการณ์ข้างต้นขึ้น ทางการอุรุกวัยก็ได้ร้องขอให้ผู้ที่มาเที่ยวชมหาดอยู่ให้ห่างสัตว์เหล่านี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสติดเชื้อไวรัสดังกล่าว ขณะที่การติดเชื้อไข้หวัดนกในมนุษย์ยังเกิดขึ้นได้ยาก แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้

'จักพันธ์-ปชป.' อู้ฟู่ 161 ล้าน ส่วน 'พล.ต.ต.สุรินทร์' รวย 30 ล้าน ด้าน 'สส.หมิว-ก้าวไกล' มีแค่ 5 แสนกว่าบาท และยังเช่าบ้านอยู่

วันนี้ (29 ก.ย.66) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีเข้ารับตำแหน่ง สส. โดยมีบุคคลที่น่าสนใจ อาทิ นายจักพันธ์ ปิยพรไพบูลย์ สส.พรรคประชาธิปัตย์ มีทรัพย์สินรวม 161,227,934.16 บาท มีหนี้สินรวม 11,446,764.85 บาท แบ่งเป็นบัญชีเงินฝาก 3 บัญชี รวม 1,620,769.16 บาท เลี้ยงไก่ชน 500 ตัว มูลค่า 5 ล้านบาท ที่ดิน 44 แปลงใน จ.ประจวบคีรีขันธ์, นครราชสีมา, ลำปาง มูลค่ารวม 94,769,165 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 11 หลัง มูลค่ารวม 44,750,000 บาท และมีรถยนต์ 29 คัน มูลค่ารวม 14,650,000 บาท เป็นรถโดยสารประจำทาง 26 คัน

ขณะที่ทรัพย์สินอื่น คือ อาวุธปืน 8 กระบอก มูลค่ารวม 438,000 บาท นอกจากนี้ยอดเงินกู้ จากธนาคารกรุงเทพฯ และกสิกรไทย คงเหลือ 11,446,764.85 บาท

ด้าน พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ และนางจรีพรคู่สมรส แจ้งมีทรัพย์สินรวม 30,334,833.88 บาท มีหนี้สินเป็นของคู่สมรส 19,465.19 บาท ทรัพย์สินที่น่าสนใจของทั้งคู่เป็นเงินฝากรวม 13 บัญชี 5,764,833.88 บาท ที่ดินในจังหวัดสงขลา นราธิวาส รวม 9 แปลง 13,570,000 บาท บ้าน 1 หลังในอ.หาดใหญ่ จ.สงขลา 1,200,000 บาท นอกจากนี้ยังมีปืนพกสั้นกึ่งอัตโนมัติขนาด 5 มม. อาร์อาร์จี 667 กล็อค มูลค่า 1 แสนบาท

ขณะที่ สส.ใหม่พรรคก้าวไกลอย่าง น.ส.สิริลภัส  กองตระการ แจ้งว่ามีทรัพย์สิน 573,566 บาท มีหนี้สินเป็นเงินเบิกเกินบัญชี 12,625 บาท เงินฝาก 8 บัญชีรวม 144,566 บาท ยานพาหนะมูลค่า 329,000 บาท สิทธิสัมปทาน 1 แสนบาท ไม่มีรายการทรัพย์สินอื่น

นอกจากนี้แจ้งมีรายได้ต่อปี รวม 1,682,720 บาท เป็นเงินเดือน สส. 1,362,720 บาท เงินค่าจ้างการแสดง 320,000 บาท รายจ่ายต่อปี 1,051,810 บาท เป็นค่าเช่าที่อยู่อาศัย 132,000 บาท ค่าอุปโภคบริโภค 260,000 บาท ค่าเบี้ยประกันภัย 3,779 บาท จ่ายเงินกองทุน สส. 42,000 บาท ค่าใช้จ่ายส่วนตัว 360,000 บาท ค่าเบี้ยประกัน 13,386 บาท ค่าเบี้ยประกันรถยนต์ 645 บาท ค่าอุปการะบิดามารดา 240,000 บาท ขณะที่ข้อมูลการเสียภาษีเงินได้บุคคลในรอบปีที่ผ่านมาแจ้งว่ามีเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร 0 บาท

ทั้งนี้ น.ส.สิริลภัส เคยมีข่าวดรามาถูกถ่ายภาพนำอาหารกล่องจากสภาผู้แทนราษฎรกลับบ้าน ซึ่งเป็นอาหารที่แม่บ้านสภาฯ บรรจุกล่องไว้ เนื่องจาก สส.เข้ามาประชุมน้อยทำให้อาหารที่เตรียมไว้เหลือเป็นจำนวนมาก มีการเปิดค่าอาหาร สส.ต่อหัวในวันประชุมสภาอยู่ที่หัวละ 1,000 บาท และถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาหาร สส.แพงเกินอีกทั้งเหลือทิ้ง จนต้องมีการเรียกหารือถึงทางออกปัญหาดังกล่าว แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุป

'ดร.พงศ์ธร ธาราไชย' อัปเดต PSS ขยับตัวเสริมรายได้ยั่งยืน เล็ง!! ธุรกิจรักษ์โลก พร้อมปั้นวิลล่าสุดหรูเสิร์ฟตลาดภูเก็ต

จากรายการ THE TOMORROW ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 30 ก.ย.66 ได้พูดคุยกับ ดร.พงศ์ธร ธาราไชย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ PPS ถึงภาพรวมธุรกิจ ทิศทาง การเติบโตในปี 2566 พร้อมทั้งธุรกิจใหม่ ที่จะถูกขับเคลื่อนเพื่อสร้างรายได้ใหม่ให้กับบริษัทได้อย่างยั่งยืน ไว้อย่างน่าสนใจ...

"PPS เป็นบริษัทวิศวกรที่ปรึกษา ซึ่งคอยให้บริการทางด้านบริหารและควบคุมโครงการก่อสร้างงานแขนงต่างๆ อาทิ งานก่อสร้างอาคาร งานก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานต่างๆ งานโยธา งานโครงสร้าง งานสถาปัตยกรรม งานระบบต่างๆ งานสำรวจปริมาณงานและราคา รวมถึงโครงการก่อสร้างที่ต้องอาศัยความชำนาญเฉพาะด้าน โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งที่เป็นโครงการก่อสร้างของภาครัฐและภาคเอกชน" ดร.พงศ์ธร เล่าถึงที่มาธุรกิจของ PSS

เมื่อถามถึงผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมา? ดร.พงศ์ธร เผยว่า "ครี่งปีแรกของปี 2566 ทางบริษัทมีรายได้รวม 207.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้รวม 203.31 ล้านบาท จำนวน 4.05 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.99% และมีขาดทุนสุทธิ 5.27 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 7.51 ล้านบาท

"อย่างไรก็ตาม บริษัทมีกำไรขั้นต้น 50.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มี 47.16 ล้านบาท จำนวน 3.14 ล้านบาท จากการควบคุมต้นทุนที่ดี"

ดร.พงศ์ธร เสริมอีกด้วยว่า "ในส่วนของผลประกอบการไตรมาส 2/2566 ทางบริษัทมีรายได้รวม 105.15 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้รวม 106.04 ล้านบาท จำนวน 0.89 ล้านบาท หรือลดลง 0.84% และมีขาดทุนสุทธิ 6.63 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 8.30 ล้านบาท จำนวน 14.93 ล้านบาท"

ทั้งนี้ หากมองภาพรวมรายได้ของบริษัท ถือว่าปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากรับรู้รายได้โครงการควบคุมงานระยะสั้นจากภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทสามารถส่งมอบงานได้เร็ว ขณะที่กำไรสุทธิลดลงเนื่องจาก การตั้งคืนรายได้ของ บริษัท โปรเจคท์ ทรี เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ที่มีการปรับการรับรู้รายได้เงินในงวดสุดท้ายของการส่งมอบงานรับเหมาก่อสร้างบ้าน งวดสุดท้ายของบ้านวิลล่าที่ภูเก็ต

"สำหรับทิศทางธุรกิจครึ่งปีหลัง 2566 คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้จากโครงการใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชนที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งกระแสเงินสดของบริษัทปรับตัวดีขึ้น โดยบริษัทมีแผนชำระคืนเงินกู้ต่อเนื่อง เพื่อลดภาระดอกเบี้ยจ่าย"

เมื่อถามถึงภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้าง? ดร.พงศ์ธร มองว่า "มีแนวโน้มชะลอตัวจากงบการลงทุนภาครัฐที่ล่าช้า ส่งผลให้ภาคเอกชนชะลอลงทุนตาม"

เมื่อถามถึงการปรับตัวของ PPS ต่อจังหวะการชะลอตัวดังกล่าวของภาครัฐ? ดร.พงศ์ธร เผยว่า "ตอนนี้ต้องมองหาทางออกใหม่ๆ โดยทางบริษัทได้วางแผนเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ประจำ ด้วยการเป็นตัวแทนจำหน่ายแอปพลิเคชัน KANNA ที่ใช้ในการบริหารโครงการและควบคุมงานก่อสร้างให้กับโครงการของลูกค้าอื่นๆ รวมถึงนำมาให้บริการลูกค้าของ PPS

"นอกจากนี้ บริษัทยังได้วางแผนทำธุรกิจรักษ์โลกเพื่อต่อยอดการเติบโตอย่างยั่งยืน จากฐานธุรกิจการก่อสร้างของเราอีกทางหนึ่ง โดยจะเพิ่มทุนในบริษัทย่อย เพื่อดำเนินธุรกิจการตรวจวัด และการรับรองคาร์บอนเครดิต รวมไปถึงการวางแผนการลดคาร์บอนและจำหน่ายและติดตั้งอุปกรณ์ EV charger สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์เกี่ยวเนื่องเพื่อทำให้เกิดธุรกิจความยั่งยืนที่ครบวงจรอีกด้วย"

ดร.พงศ์ธร ทิ้งท้ายอีกด้วยว่า "ในส่วนของอีกผลิตผลไฮไลต์ อย่าง โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทอัลตราลักชัวรี่วิลล่าในที่ดินแหลมยามู จ.ภูเก็ต (Headland Cape Yamu) ก็ไปได้สวย โดยปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จ 2 หลัง และมีแผนที่จะร่วมออกแบบตกแต่งวิลล่า กับ หนึ่งในแบรนด์ระดับโลก เพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างภาพลักษณ์ของวิลล่า ตอบสนองความต้องการกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อระดับบน พร้อมทั้งปรับราคาขายเริ่มต้นที่ 350 ล้านบาท โดยตั้งเป้าปิดการขายปีนี้อย่างน้อย 1 หลัง"

‘ภูมิธรรม’ นั่งหัวโต๊ะประชุม ถกแผนรับมือสถานการณ์ ‘เอลนีโญ’ หวั่น ไทยแล้งยาว เล็งตั้งอนุกรรมการ ทำงานเป็นระบบสู้ภัยแล้ง

(29 ก.ย. 66) ที่สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเพื่อรองรับสถานการณ์เอลนีโญ และลานีญา ของประเทศไทย ครั้งที่ 1/2566 มีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานกรรมการฯ นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองประธานกรรมการ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล สส.แพร่ พรรคเพื่อไทย นางนลินี ทวีสิน ผู้แทนการค้าไทย และคณะกรรมการ เข้าร่วม

นายภูมิธรรม กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญเรื่องนี้สถานการณ์เอลนีโญ และลานีญา อย่างมาก โดยประกาศชัดเจนในวันแถลงนโยบายว่า ให้ความสำคัญกับเรื่องสภาพอากาศ เพราะอาจส่งผลกระทบไปถึงเรื่องเศรษฐกิจด้วย จึงตั้งคณะกรรมการชุดนี้ เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาภัยแล้งที่เป็นปัญหาใหญ่ ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างจึงต้องเตรียมการรองรับปัญหาที่จะเกิดขึ้น โดยอีก 3 ปีเราอาจจะเผชิญปัญหาดังกล่าว หากไม่เกิดเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเกิดก็ได้เตรียมไว้แล้ว ดังนั้นเราจะขับเคลื่อนงานร่วมกันไปข้างหน้า และปรับแนวทางการทำงานให้เข้ากัน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะน้ำคือชีวิต ถ้าเจอภัยแล้ง 3 ปี จะเหนื่อยมาก จึงต้องเข้าใจว่าเป็นภารกิจสำคัญ

“เราจะหลีกเลี่ยงโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้งบประมาณมาก โดยมุ่งขับเคลื่อนโครงการขนาดเล็ก เพื่อให้กระจายไปทั่วประเทศ และเมื่อเข้าสู่สถานการณ์ปกติ จะกลับมาเดินหน้าโครงการใหญ่ต่อไป เรื่องใดที่ทำได้ นายกฯให้ทำทันที แต่ถ้าติดขัดให้รีบแก้ไข โดยในช่วง100 วันแรก ตนอยากเห็นความคืบหน้าเพื่อประชาชนมีความมั่นใจ” นายภูมิธรรม กล่าว

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เราต้องเตรียมการป้องกันภัยแล้ง โดยให้มีศูนย์สั่งการ หรือ บูรณาการ โดยขอเสนอที่ตั้งศูนย์สั่งการที่กระทรวงพาณิชย์ เพราะอาคารสถานที่มีความเหมาะสม ส่วนเรื่องการจัดทำงบประมาณ รัฐบาลเพิ่งเข้ามาใหม่ เมื่อเจอภัยแล้งอาจไม่สอดคล้องกับเรื่องที่จะทำ จึงเสนอให้มุ่งเน้นไปทำโครงการขนาดเล็กเพื่อให้ทั่วถึงทั้งประเทศ เช่น โครงการธนาคารน้ำใต้ดิน ฝายแกนซอยซีเมนต์ เพิ่มพื้นที่เก็บน้ำ และความชุ่มชื้น ให้ปัญหาภัยแล้งเบาบางลง และสามารถรองรับสถานการณ์ภัยแล้งได้ถึง 3 ปี ขณะที่ฝ่ายวิศวะควรสรุปรายละเอียดการก่อสร้างฝายให้ชัดเจนว่ามี สัดส่วนเท่าไหร่ เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นว่ามีความแข็งแรง และใช้ได้นานกว่าฝายปกติ ดังนั้น การแก้ปัญหาตนมองว่า เราควรเน้นไปทำโครงการขนาดเล็ก เพื่อรักษาความชุ่มชื้น

ด้านนายปลอดประสพ กล่าวว่า ปัจจุบันโลกร้อนขึ้น ส่งผลให้เกิดความแปรปรวน ซึ่งไทยมีทะเลทั้ง 2 ด้าน มีความแปรปรวนสูงมากขึ้น ส่งผลด้านชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ส่วนปัญหาเอลนีโญหากแย่สุดเกิด 3 ปีต่อเนื่อง น้ำก็จะลดลงจนขาดแคลน จึงต้องเร่งเก็บน้ำ บริหารความเสี่ยงให้ดี และตนมั่นใจว่า เอลนีโญเกิดขึ้นแต่จะไม่แรงจนกว่าจะเข้าหน้าแล้ง ที่จะทำให้เกิดผลกระทบเป็นปัญหาตามมาอีกมาก ทั้ง ฝุ่น PM 2.5 จะรุนแรง เกิดไฟไหม้ง่าย นกจะเข้าอาศัยบ้านคนเพราะร้อน และโรคระบาดต่างจะเกิดขึ้น ไม้ผลจะตาย พืชไร่ใช้น้ำมากจะเสียหาย ส่งผลให้ราคาสินค้าแพงขี้น น้ำกินน้ำใช้ ก็จะขาดแคลน

จึงขอเสนอ 3 มาตรการแก้ปัญหา คือ 1.) ยุทธศาสตร์และเป้าหมาย โดยคณะกรรมการชุดนี้ จะเป็นเครื่องมือรัฐบาล ในการบรรเทาผลกระทบ ทั้งระยะสั้น-ยาว 2.) ยุทธวิธีติดตามสถานการณ์เป็นรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน พร้อมสร้างคลังข้อมูลให้ลึกมากขึ้น และ 3.) ตั้งอนุกรรมการขึ้นมาขับเคลื่อน 10 คณะ จะทำให้รัฐบาลสามารถรับมือภัยแล้งได้เป็นระบบ

'อ.พงษ์ภาณุ' หวั่น!! 'ค่าเงินบาทอ่อน' สวน 'ดอกเบี้ยพุ่ง' ส่อสัญญาณขัดแย้ง 'นโยบายการคลัง-การเงิน' ไทย

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่พูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น ตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกกับความผันผวนหลังจาก ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED (Federal Reserve Bank) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 5.25-5.50% และจะส่งผลต่อตลาดการเงินไทยหรือไม่อย่างไร เมื่อวันที่ 1 ต.ค.66 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

ตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกมีความผันผวนหลังจาก Federal Reserve คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 5.25-5.50% แต่ออกการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกายังมีความร้อนแรงและอาจมีความจำเป็นต้องปรับดอกเบี้ยขึ้นอีกครั้งก่อนสิ้นปี

ตลาดการเงินไทยก็ไม่พ้นจากความผันผวนนี้ แต่น่าจะรุนแรงกว่าความผันผวนในตลาดโลกด้วยซ้ำ เพราะค่าเงินบาทอ่อนตัวลงเป็นประวัติการถึงระดับ 36.3 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี กระโดดแรงขึ้นมาอยู่ที่กว่า 3% ซึ่งถือว่าผิดธรรมชาติที่ดอกเบี้ยขึ้น แต่ค่าเงินกลับอ่อนลง

ความผิดปกติที่เกิดขึ้นในตลาดการเงินไทยเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความขัดแย้งและ/หรือความแตกต่างของทิศทางนโยบายการคลังและนโยบายการเงิน ในช่วงการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลไปสู่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน 

แน่นอนทุกฝ่ายเห็นด้วยว่าธนาคารแห่งประเทศไทย ในฐานะธนาคารกลาง ต้องมีความเป็นอิสระจากฝ่ายการเมือง แต่ความอิสระก็ย่อมต้องมีขอบเขต 

ที่ผ่านมาต้องถือว่าแบงก์ชาติผิดพลาดในเรื่องจังหวะเวลาการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายล่าช้า ทำให้ปี 2565 เงินเฟ้อไทยทะยานสูงสุดในอาเซียนที่ 6.1% แม้ว่าจะโชคดีที่เงินเฟ้อทั่วโลกลดลงในช่วงที่ผ่านมาเพราะราคาพลังงานลดลง แต่ไม่ใช่เพราะการดำเนินนโยบายการเงินที่เก่งกาจแต่อย่างไร และอัตราดอกเบี้ยระยะยาวที่กระโดดขึ้นฉับพลันก็แสดงให้เห็นว่าแบงก์ชาติไม่ยอมรับและไม่ตอบสนองต่อแนวทางของรัฐบาลใหม่ในการใช้นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (Fiscal Stimulus) แต่อย่างใด

เรื่องยังไม่จบอยู่เท่านี้ เมื่อ 27 กันยายนที่ผ่านมา กนง. มีมติปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก 0.25% เป็น 2.50% โดยไร้เหตุผลทางเศรษฐกิจสนับสนุน และน่าจะถือว่าสวนทางกับนโยบายการคลังของรัฐบาลอย่างเห็นได้ชัด 

ความขัดแย้งทางนโยบายนี้ได้ทำลายความมั่นใจและสร้างความปั่นป่วนอย่างรุนแรงในตลาดการเงิน ทั้งตลาดหุ้น ตลาดหนี้ และตลาดอัตราแลกเปลี่ยน รวมทั้งอาจทำให้นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเกิดการสะดุดได้

เราเชื่อในความเป็นอิสระของธนาคารกลาง แต่ความอิสระนี้จะต้องควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อสังคม (Accountability) ไม่ใช่นึกจะทำอะไรก็ทำได้ตามใจชอบ ความขัดแย้งระหว่างนโยบายการคลังและนโยบายการเงินที่กำลังเกิดขึ้นนี้ไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติเลย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top