Tuesday, 6 May 2025
TheStatesTimes

‘พีระพันธุ์’ สร้างแรงบันดาลใจเยาวชน ทำเพื่อชาติ-สังคม หนุนเป็นผู้นำที่ดี ยึดมั่นใน ‘ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์’

รมว.พลังงาน ร่วมพูดคุยกับเยาวชนในโครงการ UTN Academy Young Leadership สร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนเป็นผู้นำทางสังคมที่มีแนวคิดที่ดี ย้ำ ขอให้ใช้ความรู้ความสามารถเพื่อชาติบ้านเมือง โดยยึดสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นสำคัญ

เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 66 ที่อาคารรัฐสภา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ รศ.พิเศษ ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค พร้อมสมาชิกรุ่นใหม่พรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมพบปะพูดคุยกับผู้นำทางสังคมยุคใหม่ ในโครงการ UTN Academy Young Leadership ที่เดินทางมาเยี่ยมชมการทำงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่รัฐสภา

นายพีระพันธุ์ ได้กล่าวต้อนรับเยาวชนผู้ร่วมโครงการ พร้อมทั้งร่วมพูดคุยอย่างเป็นกันเองโดยได้เล่าถึงประสบการณ์ในการเรียนและการทำงานของตนทั้งในฐานะผู้พิพากษา จนเข้าสู่การทำงานทางการเมือง กระทั่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยระบุว่าที่ผ่านมาตนทำงานโดยมีเป้าหมายต้องการทำงานให้กับประเทศชาติ และประชาชนจนลืมวันเวลา มาถึงวันนี้จึงรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก ดังนั้น จึงอยากจะแนะนำกับเยาวชน ว่า เมื่อเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จึงควรใช้เวลาให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ทั้งการให้ความสำคัญกับครอบครัว และประเทศชาติ เพราะประเทศชาติก็เปรียบเสมือนบ้านของทุกคน เมื่อดูแลครอบครัวอย่างดีแล้ว ขอให้ใช้ความรู้ความสามารถเพื่อบ้านเมืองด้วย

นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อว่า มาถึงวันนี้มีคนถามว่าคุณสมบัติของผู้นำที่ดีควรเป็นอย่างไร ส่วนตัวตนเห็นว่า การจะเป็นผู้นำที่ดีได้จะต้องทำตัวเองให้ดีก่อน นั่นคือ มีความรับผิดชอบกับตัวเอง เพราะหากนำตัวเองให้ดีไม่ได้ ก็ไม่สามารถจะไปนำคนอื่นได้

ขณะเดียวกัน ยังต้องเป็นผู้ที่มีระเบียบวินัย และมีความรับผิดชอบต่อสังคม รวมทั้งต้องเชื่อมั่นในตัวเอง แต่ก็ต้องเป็นผู้ฟังที่ดี ยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์จากผู้อื่นอย่างมีเหตุผล จากนั้นจึงนำมาปรับปรุงตัวเอง ทุกอย่างนี้จะต้องเริ่มที่ตัวเองก่อน

“สิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องไม่ลืมความเป็นไทย ภาคภูมิใจในความเป็นประเทศไทยที่มีประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมประเพณีที่ดีมายาวนาน และจะต้องการยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์”

นายพีระพันธุ์ ยังได้ตอบคำถามเยาวชนที่สอบถามถึงแนวนโยบายการแก้ปัญหาหนี้สินของคนไทยของพรรครวมไทยสร้างชาติว่า ปัญหาหนี้สินเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับทุกกประเทศในโลก ไม่เพียงเฉพาะคนไทย

ดังนั้น การแก้ปัญหาหนี้สิน จึงไม่สามารถแก้ไขได้ 100% เนื่องจากหนี้สินมีที่มาจากหลากหลายสาเหตุ โดยในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น เรามีแนวนโยบายการแก้หนี้ให้กับกลุ่มผู้ที่มีความยากจน และผู้ที่มีความยากลำบากในการทำมาหากิน เช่น ชาวนา หรือเกษตรกร โดยเรามีนโยบายจัดตั้งกองทุนประชาชน เพื่อดูแลเรื่องหนี้สินของประชาชน เพื่อปลดหนี้ให้พ้นจากหนี้นอกระบบ

ทั้งนี้ แนวทางดำเนินการ คือ การใช้เงินจากหลายกองทุน ซึ่งปัจจุบันกองทุนเหล่านั้น ยังไม่ได้ใช้เงินส่วนดังกล่าว ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นกองทุนให้กับประชาชนได้กู้ยืมไปใช้ประโยชน์ก่อน เพื่อแบ่งเบาภาระ แทนการเป็นหนี้นอกระบบ ให้มาเป็นหนี้กับรัฐแทน ซึ่งรัฐสามารถช่วยเหลือยืดหยุ่นการใช้หนี้คืนให้ได้ เชื่อว่าจะช่วยแบ่งเบาภาระเรื่องหนี้ให้กับประชาชนได้

นายพีระพันธุ์ ได้กล่าวกับเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการในตอนท้ายว่า การทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองนั้นไม่จำเป็นต้องเข้ามาเป็นนักการเมือง เพราะไม่ว่าจะเป็นอาชีพใด ก็สามารถที่จะทำงานเพื่อประเทศชาติได้ แต่หากใครอยากจะเข้ามาทำงานด้านการเมือง ก็ขอให้มุ่งมั่น และมองเรื่องของส่วนรวมเป็นหลัก ที่สำคัญขอให้ยึดมั่นใน 3 สถาบันหลักของชาติเป็นสำคัญ

ด้าน รศ.พิเศษ ดร.ดวงฤทธิ์ กล่าวว่า สำหรับโครงการ UTN Academy Young Leadership เป็นโครงการที่เกิดขึ้นตามนโยบายของ นายพีระพันธุ์ หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ต้องการสร้างผู้นำทางสังคมที่มีแนวคิดที่ดี เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ในการทำงานเพื่อส่วนรวมในอนาคต โดยครั้งนี้เป็นการริเริ่มครั้งแรก ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการ เนื่องจากกิจกรรมที่จัดขึ้นไม่ได้เป็นเพียงการประชุม แต่มีกิจกรรมที่ให้ทุกคนได้ทำอย่างสนุก มีการพูดคุยกับ ส.ส. หรือผู้นำทางสังคมต่างๆ ทำให้หลายคนประทับใจ

“โครงการ UTN Academy Young Leadership จะเกิดขึ้นอีกแน่นอน สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามกิจกรรมได้ผ่านสื่อของพรรครวมไทยสร้างชาติที่จะแจ้งให้ทราบต่อไป” รศ.พิเศษ ดวงฤทธิ์ กล่าว

‘เน็กซ์’ เดินหน้าส่งมอบยานยนต์หัวลากอีวี-รถบรรทุกอีวี หนุนผู้ประกอบการฝ่าวิกฤตน้ำมันแพง-ลดต้นทุนการขนส่ง

(28 ก.ย. 66) นายคณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ‘เน็กซ์’ ผู้นำนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ของเมืองไทย เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทได้ทำการส่งมอบยานยนต์หัวลากพลังงานไฟฟ้า 423.93 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ให้กับ บริษัท มนต์ทรานสปอร์ต จำกัด ซึ่งผู้นำด้านบริการขนส่งทั้งในประเทศและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อนำไปใช้ในการขนส่งสินค้า ทดแทนรถบรรทุกเดิมที่ใช้พลังงานน้ำมัน ที่ปัจจุบันต้องเผชิญกับปัญหาต้นทุนพลังงานน้ำมันในตลาดโลกที่ราคาพุ่งแรงอย่างมาก จึงเห็นว่ายานยนต์พลังงานไฟฟ้าสามารถช่วยลดต้นทุนพลังงานลงได้ และยังมีค่าใช้จ่ายในด้านการบำรุงรักษาระยะยาวที่ถูกกว่ายานยนต์ที่ใช้พลังงานน้ำมันอีกด้วย

“เรามั่นใจว่าความร่วมมือระหว่างเน็กซ์ และมนต์ทรานสปอร์ต จะเป็นตัวจุดประกายให้ผู้ประกอบการภาคเอกชนหันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดต้นทุนพลังงานน้ำมันแล้ว ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา และที่สำคัญยังช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” นายคณิสสร์กล่าว

นายคณิสสร์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ บริษัทยังได้ส่งมอบรถบรรทุกไฟฟ้า 6 ล้อ 15 ตัน ให้กับ บริษัท ซีว่า ลอจีสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการโซลูชันโลจิสติกส์และซัพพลายเชน ระดับแนวหน้าในเครือ CMA CGM Group เพื่อนำไปใช้ในการให้บริการด้านการขนส่งและจัดเก็บสินค้าให้กับลูกค้า ซึ่งความร่วมมือระหว่าง NEX กับ CEVA Logistics ในครั้งนี้ ถือเป็นการตอบโจทย์ Green Logistics Sustainability ซึ่งนอกเหนือจากการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดภาวะโลกร้อน ยังช่วยประหยัดพลังงานและลดต้นทุนในการขนส่งสินค้า เพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันในอนาคต

อย่างไรก็ตาม เน็กซ์มีความพร้อมเดินหน้าให้บริการอย่างเต็มกำลัง โดยโรงงานผลิตและประกอบยานยนต์ไฟฟ้ามีกำลังการผลิตสูงสุดถึง 9,000 คันต่อปี และอยู่ระหว่างการพิจารณาขยายกำลังการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการใช้รถอีวี โดยคาดว่าในปีนี้จะสามารถส่งมอบรถไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ทุกประเภท ทั้งรถบัสไฟฟ้า รถบรรทุกไฟฟ้า รถตู้ไฟฟ้า รถกระบะไฟฟ้า และรถโดยสารไฟฟ้า รวมไปถึงรถหัวลากไฟฟ้า ให้กับผู้ประกอบการได้ตามความต้องการ ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ เน็กซ์มีรายได้รวมเติบโตแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้

ด้าน น.ส.ธีรินทร์ อู่ทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายดูแลลูกค้า บริษัท มนต์ทรานสปอร์ต จำกัด กล่าวว่า มั่นใจว่าการจับมือกับเน็กซ์ จะมีส่วนสำคัญในการช่วยลดต้นทุน และค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถบรรทุกให้กับบริษัทตอบโจทย์ Green Logistics เพื่อลดผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างดี ทั้งนี้ บริษัท มนต์ทรานสปอร์ต จำกัด ผู้นำด้านบริการขนส่งทั้งในประเทศและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2539 ด้วยทุนจดทะเบียน 250 ล้านบาท ปัจจุบันมีรายได้กว่า 2,000 ล้านบาท ผ่านการดำเนินธุรกิจด้านการขนส่งด้วยรถบรรทุกจำนวนมากกว่า 1,000 คัน ตลอดจนการริเริ่มขยายการให้บริการในด้านบริหารจัดการคลังสินค้า

ขณะที่ นายสุตนัย เหมศรีชาติ ผู้อำนวยการขนส่งทางบก บริษัท ซีว่า ลอจีสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการโซลูชั่นโลจิสติกส์ และซัพพลายเชน ระดับแนวหน้าในเครือ CMA CGM Group กล่าวว่า ความร่วมมือดังกล่าวสอดคล้องกับแผนการดำเนินงานของบริษัทที่มีความมุ่งสู่ Green Logistics Sustainability เพื่อการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและมีความยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และช่วยลดภาวะโลกร้อน โดยวางเป้าให้บริการรถบรรทุกไฟฟ้าขนส่งสินค้า ทั้งหมด 1,450 คัน ในปี 2568 ทั่วโลก

ขอนแก่น-มข. มอบหมวกกันน็อกฟรีให้ นศ. ดัน “สวมหมวก 100% ลดอุบัติเหตุเป็นศูนย์”

มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมกับจังหวัดขอนแก่น จัดพิธีมอบหมวกนิรภัยให้นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น การดำเนินงาน “จังหวัดขอนแก่นขับขี่ปลอดภัย  365 วัน” บริเวณโถง ชั้น 1 อาคารสิริคุณากร มหาวิทยาลัยขอนแก่น วันพฤหัสบดีที่  28  กันยายน 2566

ในการนี้ รศ.นพ.ชาญชัย  พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้กล่าวต้อนรับผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น โดยระบุว่า มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ขับเคลื่อนงานเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนมาโดยตลอด  ทั้งในส่วนของการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้  การกำหนดมาตรการเพื่อความปลอดภัย  เสริมสร้างวัฒนธรรมในการขับขี่อย่างปลอดภัย ให้กับนักศึกษาและบุคลากร  รวมทั้งพัฒนานวัตกรรมด้านความปลอดภัยทางการจราจร ในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยมาอย่างต่อเนื่อง
 
การที่จังหวัดขอนแก่น โดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ได้ประกาศวาระ “จังหวัดขอนแก่นขับขี่ปลอดภัย 365 วัน” และนำหมวกนิรภัย จำนวน 500 ใบมาส่งมอบให้นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่นในวันนี้ นับเป็นโอกาสอันดียิ่ง ที่จะช่วยเสริมสร้างให้เกิดพฤติกรรมการขับขี่จักรยานยนต์อย่างปลอดภัย  เป็นส่วนผลักดันที่สำคัญ ในการลดความรุนแรงจากการบาดเจ็บ ลดความสูญเสียในชีวิต และทรัพย์สินของนักศึกษา ทางมหาวิทยาลัยขอนแก่นขอขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติร่วมในพิธีมอบหมวกนิรภัยให้นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น และขอต้อนรับทุกท่าน ด้วยความยินดียิ่ง
 

ขณะที่ รศ.เพียรศักดิ์ ภักดี รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานักศึกษาและศิษย์เก่าสัมพันธ์ กล่าวรายงานว่า ตามที่จังหวัดขอนแก่นได้ประกาศวาระ จังหวัดขอนแก่นขับขี่ปลอดภัย 365 วัน การสวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็น นักเรียน นักศึกษา ที่มีอายุระหว่าง 15 – 22 ปีนั้น สอดคล้องกับนโยบายด้านความปลอดภัยของมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่ได้จัดทำกิจกรรมรณรงค์เพื่อส่งเสริมป้องกัน รวมถึงการสร้างความตระหนักในการป้องกันการบาดเจ็บจากการใช้รถใช้ถนนของนักศึกษา และบุคลากรมาโดยตลอด

ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้สำรวจความต้องการหมวกนิรภัยของนักศึกษาจากทุกคณะ โดยมีนักศึกษาแจ้งความประสงค์ จำนวน 574 คน โดยจังหวัดขอนแก่นได้สนับสนุนหมวกนิรภัยเพื่อมอบให้กับนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น จำนวน 500 ใบ และในวันนี้มีตัวแทนนักศึกษาเข้ารับมอบหมวกนิรภัยจำนวน  90 คน
 
ด้าน นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ประธานในพิธี กล่าวว่า ทางจังหวัดจึงได้ดำเนินงาน “จังหวัดขอนแก่นขับขี่ปลอดภัย 365 วัน” มาต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยนอกจากการให้ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายจราจรแล้ว จังหวัดขอนแก่นยังดำเนินการแจกหมวกนิรภัยซึ่งเป็นหนึ่งในการป้องกันอุบัติเหตุ โดยตลอด 2 เดือนที่ทำโครงการมาพบว่า สถิติผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุลดลงจริงถึงครึ่งหนึ่ง และคาดว่าในเดือนสุดท้ายของโครงการจะมีตัวเลขลดลงต่อไป “หากขับขี่แล้วสวมหมวกนิรภัยอย่างน้อยจะช่วยลดอาการบาดเจ็บจากหนักเป็นเบา ป้องกันการสูญเสีย เพราะเรื่องอุบัติเหตุไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ หวังว่าหมวกนิรภัยนี้จะช่วยปกป้องชีวิตของน้อง ๆ ให้ขับขี่ได้อย่างปลอดภัย ขอบคุณอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่มาให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น และขอบคุณมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่ได้ร่วมผลักดันให้จังหวัดขอนแก่นกลายเป็นจังหวัดสวมหมวกกันน็อก 100%”
 
ภายในงานอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น และผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ยังได้เป็นเกียรติมอบรางวัลแก่ นายวิทวัส นามคำมูล และนายนพพล ช่างชัย นักศึกษาคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาออกแบบนิเทศศิลป์ ชั้นปีที่ 2 ผู้ได้รับรางวัลจากการประกวดโปสเตอร์รณรงค์และประชาสัมพันธ์การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ภายใต้หัวข้อ “การสวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์” จัดโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย 

นายวิทวัส และ นายนพพล กล่าวว่า หลังจากอาจารย์มาประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับโครงการนี้ทำให้ตัดสินใจเข้าร่วมประกวด และได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ทั้งเรื่องเทคนิคการจัดวางและการออกแบบโปสเตอร์จนได้รับรางวัลกลับมา ซึ่งผลงานที่ได้รับรางวัลมีจุดเด่น คือ การออกแบบ Pop art ผสมผสานกับ Isometric ส่วนอีกชิ้นงานมีจุดเด่น คือ การใช้สี โดยเลือกสีแดงและเขียว เพื่อเป็นการสื่อสารเกี่ยวกับจราจรและเป็นเฉดสีที่โดดเด่นด้วย “หวังว่าโปสเตอร์ของพวกผมจะทำให้คนเล็งเห็นว่าการสวมหมวกนิรภัยเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตประจำวัน เพราะเป็นความปลอดภัยของชีวิตทุกคน”
 
จากนั้นผู้บริหารมหาวิทยาลัยขอนแก่น และผู้บริหารจังหวัดขอนแก่น ได้ร่วมมอบหมวกนิรภัยให้แก่ตัวแทนนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยตัวแทนนักศึกษาคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี ชั้นปีที่ 3 ระบุว่า ในมหาวิทยาลัยขอนแก่นนักศึกษาใช้รถมอเตอร์ไซค์เยอะ โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ฝนตก หากมีอุปกรณ์ที่มาช่วยป้องกันอุบัติเหตุให้เราได้แบบนี้ก็เป็นเรื่องที่ดีมาก ซึ่งนอกจากแจกหมวกกันน็อกแล้ว มหาวิทยาลัยยังได้จัดกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายจราจรและอบรมเกี่ยวกับใบขับขี่มาอย่างต่อเนื่อง ขอบคุณทางมหาวิทยาลัยที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของนักศึกษาจริง ๆ

พิธีรับ ส่งหน้าที่ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 อย่างสง่างามและสมเกียรติ

เมื่อ 27 ก.ย.66 ที่หน้ากองบัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พลเรือโท พิชัย ล้อชูสกุล ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 ทำพิธีรับ-ส่งหน้าที่ พร้อมมอบธงการบังคับบัญชาให้กับ พลเรือโท สุระศักดิ์ สิงขรวัฒน์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 (ท่านใหม่ ) ซึ่งได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป โดยมี ผู้บังคับบัญชา ข้าราชการ ทหาร พนักงานราชการ เข้าร่วมในพิธี

พลเรือโท พิชัย ล้อชูสกุล ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 กล่าวว่า ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 ท่านใหม่ เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถผ่านการปฏิบัติงานในหน่วยงานต่างๆ ในกองทัพเรือ มาแล้วหลายหน่วยงาน เคยดำรงตำแหน่งสำคัญมาแล้วหลายตำแหน่ง ซึ่งจากประสบการณ์ของท่านที่ผ่านมา มีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านจะเป็นผู้นำความสำเร็จ ในภารกิจและความเจริญก้าวหน้ามาสู่ ทัพเรือภาคที่ 1 ได้เป็นอย่างดี และมั่นใจว่าผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 จะสามารถบริหารจัดการภารกิจ ที่ได้รับมอบหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมที่จะพัฒนาแก้ปัญหาทั้งมวล ควบคู่ไปกับผู้ใต้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น เพื่อความเจริญก้าวหน้าสืบไป ในภายภาคหน้าได้อย่างแน่นอน

สำหรับทัพเรือภาคที่ 1 นับเป็นหน่วยรบที่มีสรรพกำลังทางเรือ ทางบก และทางอากาศ รับผิดชอบดูแลความมั่นคง รักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เขตทะเลอ่าวไทยตอนบน ตั้งแต่จังหวัดชุมพร ถึงจังหวัดตราด ถือว่ามีพื้นที่รับผิดชอบอย่างกว้างขวาง

‘ธนาคารไทยเครดิต’ เดินหน้าแผน IPO หลัง ก.ล.ต. ได้นับหนึ่งไฟลิ่งเรียบร้อยแล้ว

ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง ‘ธนาคารไทยเครดิต’ พร้อมเดินหน้าแผน IPO สร้างความแข็งแกร่งด้านเงินทุน รุกธุรกิจการเงิน - ขยายพอร์ตสินเชื่อ

นายวิญญู ไชยวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) (“ธนาคารฯ”) กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบไฟลิ่ง เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจำนวนหุ้นที่คาดว่าจะเสนอขายทั้งหมด (รวมหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกและเสนอขายโดยธนาคารฯ และหุ้นสามัญที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม) ไม่เกิน 347,029,122 หุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 28.2 ของจำนวนหุ้นจดทะเบียนและชำระแล้วทั้งหมดของธนาคารฯ ภายหลังการทำ IPO  ซึ่งนับเป็นธนาคารพาณิชย์ที่เสนอขายหุ้น IPO ในรอบ 10 ปี โดยมี ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินในครั้งนี้ 

อย่างไรก็ดี ธนาคารฯ เป็นธนาคารพาณิชย์ที่มุ่งเน้นให้บริการสินเชื่อนาโนและไมโครเครดิตเพื่อคนค้าขาย (Nano and Micro Finance) และสินเชื่อธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี (Micro SME) แก่กลุ่มลูกค้าในประเทศไทยที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้เท่าที่ควร ซึ่งกลุ่มลูกค้าดังกล่าวเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ  

สำหรับวัตถุประสงค์ของการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเงินกองทุนของธนาคารฯ เพื่อใช้เป็นเงินทุนสำหรับการขยายพอร์ตสินเชื่อ รวมทั้ง นำไปใช้ปรับปรุงและพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล (Digital Transformation) และโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Security and Infrastructure) ด้วยเป้าหมายมุ่งสู่การเป็นธนาคารพาณิชย์ที่ให้บริการสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการรายย่อยและลูกค้าบุคคล รวมไปถึงความมุ่งหวังที่จะช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบให้เข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ เป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมในประเทศ และสอดคล้องกับปรัชญาการดำเนินธุรกิจของธนาคาร “Everyone Matters ทุกคนคือคนสำคัญ” 

ด้านนายกนต์ธีร์ ประเสริฐวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า หลังจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งไฟลิ่งธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าธนาคารฯ จะเสนอขายและเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในหมวดกลุ่มธุรกิจการเงิน / ธนาคาร ตามแผน IPO 

สำหรับ ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ให้บริการทางการเงินชั้นนำเพื่อลูกค้ารายย่อย ด้วยประสบการณ์การให้บริการสินเชื่อเพื่อรายย่อยที่หลากหลายมากว่า 10 ปี ทำให้ธนาคารฯ มีความเข้าใจในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง ประกอบกับการมีผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าหลากหลายขนาดและประเภทธุรกิจ รวมถึงการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและการบริหารจัดการความเสี่ยงที่รัดกุม ทำให้เชื่อว่าธนาคารฯ อยู่ในจุดที่สามารถขยายพอร์ตสินเชื่อในการสนับสนุนกลยุทธ์ทางธุรกิจ ซึ่งแสดงให้เห็นได้จากการเติบโตอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่งของเงินให้สินเชื่อของธนาคารฯ ในระหว่างปี 2563 ถึงปี 2565 ที่อัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมร้อยละ 33.0 ต่อปี และยังมีศักยภาพในการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจสู่ตลาดที่มีขนาดใหญ่แต่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินนี้ ด้วยรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่เป็นเอกลักษณ์ 

นอกจากนี้ ธนาคารฯ ยังมีโครงสร้างต้นทุนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ จากเครือข่ายสาขาที่มีต้นทุนการดำเนินงานต่ำ ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 ธนาคารฯ มีสาขาทั้งสิ้น 527 แห่งทั่วประเทศไทย ประกอบไปด้วยสาขาสินเชื่อเพื่อรายย่อย สำนักงานนาโนเครดิต และสาขาที่ให้บริการเงินฝาก ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ในพื้นที่หรือใกล้เคียงกับกลุ่มลูกค้า รวมทั้งมุ่งเน้นการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมผ่านช่องทางดิจิทัล โดยบริษัทไทยไมโคร ดิจิทัล โซลูชันส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของธนาคารฯ ได้นำแพลตฟอร์มด้านเทคโนโลยีมาใช้เพื่อสร้างเสริมประสบการณ์ของลูกค้าผ่านแอปพลิเคชัน “ไมโครเพย์” ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้งานที่ผ่านกระบวนการ KYC ถึง 384,460 ราย เป็นปัจจัยที่ทำให้ธนาคารฯ สามารถรักษาอัตราส่วนค่าใช้จ่ายดําเนินงานต่อรายได้รวม (Cost-to-Income Ratio) ไว้ได้ในระดับต่ำ หรือเท่ากับร้อยละ 36.0 ในงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2566 

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานงวด 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2563 - 2565)  และ ณ งวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2566  เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ของธนาคารฯ มีจำนวนเท่ากับ 68,562.4 ล้านบาท 97,728.7 ล้านบาท 121,298.0 ล้านบาท และ 132,758.1 ล้านบาท ตามลำดับ โดยมีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยสะสมต่อปีระหว่าง 2563-2565 (Compound Annual Growth Rate: CAGR) อยู่ที่ร้อยละ 33.0 ต่อปี 

เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ของธนาคารฯ สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์ประกอบด้วย (1) สินเชื่อสำหรับสินเชื่อธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี (2) สินเชื่อนาโนและไมโครเครดิตเพื่อคนค้าขาย (3) สินเชื่อบ้าน (4) สินเชื่อหมุนเวียนส่วนบุคคล (5) สินเชื่อรายย่อยอื่นๆ

นอกจากนี้ สำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2566  ธนาคารฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,830.7 ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมในระหว่างปี 2563 ถึงปี 2565 ร้อยละ 30.9 ต่อปี

ส่องคอมเมนต์ชาวเวียดนาม หลังไทยคว้าเหรียญทองเอเชียนเกมส์ การเป็นเจ้าเหรียญทองซีเกมส์ ทำไมช่างดูไร้ความหมาย

(29 ก.ย. 66) ผลสรุปการแข่งขัน ‘เอเชียนเกมส์ 2022’ ครั้งที่ 19 นครหางโจว ที่ประเทศจีน

- อันดับ 1 ยังเป็น จีน เจ้าภาพที่คว้าเหรียญทอง ไปแล้ว 90 เหรียญทอง 51 เหรียญเงิน 26 เหรียญทองแดง
- อันดับ 2 เกาหลีใต้ 24 เหรียญทอง 23 เหรียญเงิน 39 เหรียญทองแดง
- อันดับ 3 ญี่ปุ่น มี 18 เหรียญทอง 30 เหรียญเงิน 30 เหรียญทองแดง

ส่วนทีมชาติไทย ได้เพิ่มมา 1 เหรียญทองแดง จากกีฬาเทนนิส ประเภทชายคู่ โดย ‘ณัฐ ปรัชญา อิสโร’ และ ‘แม็กซ์ แม็กซิมัส ภราพล โจนส์’

ล่าสุด ทีมเซปักตะกร้อหญิงไทย คว้าเหรียญทองมาให้ทัพนักกีฬาไทยเพิ่มอีก 1 เหรียญ จากการแข่งขันเซปักตะกร้อหญิง ที่ทีมชาติไทยลงสนามพบกับทีมตะกร้อหญิงเกาหลีใต้ โดยทีมชาติไทย เอาชนะเกาหลีใต้ไปได้ 2-0 เซตรวด 21-13, 21-4 คว้าเหรียญทองได้อีกสมัย

ทำให้ทัพนักกีฬาไทย ได้มา 7 เหรียญทอง 3 เหรียญเงิน 9 เหรียญทองแดง อยู่อันดับที่ 6 บนตารางเหรียญเอเชียนเกมส์ 2022

อย่างไรก็ตาม ไทย ยังมีลุ้นเหรียญทองในวันต่อๆ ไปจากการแข่งขันกีฬาประเภทอื่น เช่น มวยสากล, แบดมินตัน, กรีฑา, วอลเลย์บอลหญิง เป็นต้น

จากการผลสรุปการแข่งขันนี้ ทำให้ชาวเวียดนามได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก หลังจากที่ไทยคว้า 7 เหรียญทองมาครองได้สำเร็จ ในศึกเอเชียนเกมส์ 2022 โดยความคิดเห็นส่วนใหญ่แสดงให้เห็นถึงความผิดหวังในตัวนักกีฬาทีมชาติของเวียดนามเอง ที่ยังความพร้อมและทักษะในการแข่งขันกีฬาในระดับภูมิภาคเอเชีย อาทิ

- “ดูตารางเหรียญแล้วรู้สึกเศร้าแทนทีมกีฬาเวียดนาม”
- “เพราะเหตุใดในซีเกมส์ เวียดนามมักจะอยู่ในอันดับต้นๆอยู่เสมอ แต่ในเกมระดับเอเชียเวียดนามกลับอยู่ต่ำกว่าไทย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์เสมอเช่นเดียวกัน”
- “ผมไม่แน่ใจว่า นักกีฬาของเราจะสามารถแข่งขันในระดับทวีปได้หรือเปล่า แล้วเราจะไปโอลิมปิกได้อย่างไร”
- “บอกตามตรงนะ ผมคิดว่าเวียดนามไม่มีคุณสมบัติที่เพียงพอ”
- “50 เหรียญทองในซีเกมส์ยังไม่เทียบเท่ากับการได้ 1 เหรียญทองของเอเชียนเกมส์เลย นี่มันคงเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับเวียดนาม ในการคว้าเหรียญทองในการแข่งขันที่ไม่ใช่ระดับหมู่บ้าน”

- “ปัญหาทางด้านกีฬาของเวียดนามยังมีอยู่เป็นเวลานานแล้ว เราไม่มีการลงทุนที่เพียงพอ และที่สำคัญเราไม่สามารถเข้าถึงเงินทุน และทรัพยากรการลงทุนเหล่านั้นได้”
- “ในซีเกมส์ เวียดนามมีอันดับเหนืออินโดนีเซียและไทย แต่ทำไมในระดับเอเชียนเกมส์มันถึงแตกต่างกันมาก”
- “นี่เป็นผลจากการลงทุนน้อย และการลงทุนของเราก็เปล่าประโยชน์”
- “เมื่อออกทะเลใหญ่เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามหาสมุทรกว้างใหญ่ขนาดไหน โดยเฉพาะเมื่อเราเคยชินกับการพายเรือเล่นในหนองน้ำหมู่บ้าน”
- “ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ได้โปรดหยุดรอเวียดนามสักครู่…”

- “อยากจะเปลี่ยนเหรียญทองซีเกมส์ทั้งหมด มาเป็นเหรียญทองเอเชียนเกมส์ ไม่รู้จะได้หรือเปล่า?”
- “วงการกีฬาของเวียดนามควรจะมีการเริ่มต้นลงทุนได้แล้ว”
- “ในเรื่องการกีฬาการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจิตวิทยาของนักกีฬาของบ้านเรานั้นมันอ่อนแอ”
- “ไม่แน่ใจว่าพวกเขาเต็มใจที่จะอุทิศให้กับการกีฬาของประเทศมากน้อยเพียงไหน เหรียญทองคือบทพิสูจน์ที่สำคัญที่สุด”
- “รู้สึกว่าทีมกีฬาเวียดนามในครั้งนี้ ไม่ได้เตรียมตัวเป็นอย่างดีสำหรับการแข่งขันเหมือนกับครั้งที่แล้ว”

- “นักกีฬาหลายคนไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองได้ นี่ยังไม่ต้องพูดถึงความหวังรุ่นเหรียญรางวัล”
- “เวียดนามเก่งแค่ระดับหมู่บ้านเท่านั้น”
- “ออกมาสู่ระดับเอเชีย เห็นได้ชัดเลยว่าการอยู่อันดับ 1 ในกีฬาซีเกมส์นั้นมันไม่มีความหมาย”
- “เรารู้ตัวดีว่าระดับของเวียดนามอยู่ในระดับของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
- “เวียดนามจำเป็นต้องทบทวนกลยุทธ์การพัฒนากีฬาของตนให้ครอบคลุมมากขึ้น ตอนนี้เวียดนามกำลังล้าหลังอยู่”

- “เราใส่ใจแต่เหรียญทองซีเกมส์จนมากเกินไป ตอนนี้เหรียญโอลิมปิกก็เลิกฝันไปได้เลย”
- “หลายประเทศมีประชากรน้อยกว่าเวียดนาม แต่พวกเขาก็ได้อันดับที่สูงกว่า และนั่นคือสิ่งที่เราต้องคิดและทบทวน”
- “กีฬาระดับนี้ เป็นตัววัดถึงความสามารถ ของนักกีฬาได้ดีกว่าในระดับซีเกมส์เป็นอย่างมาก เรามาดูกันว่าเวียดนามจะอยู่ที่อันดับไหน”
- “นี่คือระดับที่แท้จริงของกีฬาเวียดนาม”
- “ถ้ายังเป็นแบบนี้ความหวังในการคว้าเหรียญโอลิมปิกคงจะไม่เกิดขึ้น”

- “ระดับเอเชียทำให้เห็นว่า กีฬาของเวียดนามยังอ่อนแอมาก ไม่รู้ว่าเราจะมาลงทุนกับ Tournament อย่างซีเกมส์ทำไม ยิ่งทำแบบนั้นเราก็ไม่สามารถไล่ทันไทยอินโดนีเซียหรือว่ามาเลย์ได้”
- “ผมรู้สึกเสียใจมากกับระดับเอเชียของเรา ถึงแม้ว่าจะได้แชมป์ซีเกมส์ แต่ว่าก็อ่อนแอมากในระดับเอเชีย นี่คือความน่าผิดหวังอย่างแท้จริง”
- “เอเชียนเกมส์ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเรายังตามหลังไทย อยู่มากไม่ต้องพูดถึงประเทศอื่นๆ ในเอเชียเลย”
- “พอไปสนามระดับเอเชีย เวียดนามแพ้ทุกประเทศในภูมิภาค เราเก่งเฉพาะในซีเกมส์เท่านั้น 
ประเทศไทยนำโด่งไปแล้วสำหรับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
- “ประเทศเพื่อนบ้านของเราได้เหรียญทองกันหมดแล้ว แล้วเวียดนามล่ะ?”

- “เวียดนามแข็งแกร่งในกีฬาพื้นบ้าน ในขณะที่กีฬาที่มีการแข่งขันในระดับโอลิมปิกไม่สามารถสร้างผลงานให้ประสบความสำเร็จได้”
- “ได้โปรดเถิดนักกีฬาเวียดนาม โปรดสร้างผลงานอย่างเต็มที่ อย่าให้น้อยหน้าประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลย”
- “ไทยและอินโดนีเซียได้เหรียญทองไปแล้ว เราไม่สามารถประเมินอะไรได้เลยจากการแข่งขันกีฬาพื้นบ้านอย่างซีเกมส์”
- “มันทำให้เราไม่รู้ตัวว่าเวียดนามยังไม่ดีพอ”

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความคิดเห็นของชาวเวียดนามส่วนนึงเท่านั้น ยังมีผู้คนอีกจำนวนมากที่วิพากษ์วิจารณ์ศักยภาพของนักกีฬา สมาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวงการกีฬาของประเทศเวียดนาม ถึงความไม่เตรียมพร้อม การบริหารจัดสรรงบประมาณ และขาดทักษะสำคัญๆ หลายประการ ในการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ

สำนักงานอัยการสูงสุด จัดกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) เนื่องในโอกาสครบรอบ 130 ปี การสถาปนาองค์กรอัยการ เพื่อเป็นการสำรองโลหิต และช่วยเหลือผู้ป่วยที่ขาดแคลนโลหิต

เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 ท่านอิทธิพร แก้วทิพย์ รองอัยการสูงสุด เป็นประธานเปิดโครงการบริจาคโลหิต สำนักงานอัยการสูงสุด ครั้งที่ 15 โดยสำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมกับ สมาคมภริยาอัยการ และโรงพยาบาลวชิรพยาบาล (สภากาชาดไทย) จัดกิจกรรมบริจาคโลหิต

โดยท่านพรชัย ชลวาณิชกุล อัยการอาวุโสประธานโครงการบริจาคโลหิต สำนักงานอัยการสูงสุด ท่านศศนันท์ เจตน์เจริญรักษ์ นายกสมาคมภริยาอัยการ ซึ่งสํานักงานอัยการสูงสุด และ สมาคมภริยาอัยการ ร่วมกันจัดงานนี้ขึ้น โดยมีข้าราชการอัยการเข้าร่วมงานจำนวนมากพร้อมด้วยคณะผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิเช่น ดร.พรทิพย์ วงษ์นครินทร์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคม กต.ตร.กทม. คุณสรวีย์ รัฐพิทักษ์ถิรดา คณะกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณ วุฒิสภา ผศ.พรทิวา วิจิตรโกเมน อาจารย์คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา และ คุณณิชารัศม์ โชติอนันต์ธิคุณ ผู้ให้คำปรึกษาทางจิตสังคม ศาลอาญากรุงเทพใต้ รวมทั้ง ดารา-ศิลปิน นางงามเข้าร่วมกิจกรรมอย่างพร้อมเพรียง นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานภายนอกเข้าร่วมบริจาคโลหิต เช่น สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ กองบัญชาการกองทัพไทย  กรมข่าวทหารบก โรงเรียนช่างฝีมือทหาร ชมรมการกำลังสำรองแห่งประเทศไทย  RF Security Team เป็นต้น

ในโอกาสนี้ หอการค้าไทย ได้รับเชิญให้เข้าร่วมในกิจกรรมดังกล่าว และร่วมประชาสัมพันธ์โครงการบริจาคโลหิต เก้าแสน ซีซี 90 ปี ของหอการค้าไทย โดยคุณอภิธร อมาตยกุล รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.เมืองไทยประกันภัย และ กรรมการคณะกรรมการพัฒนาสังคมและ CSR หอการค้าไทย เป็นผู้แทนจากหอการค้าไทย เข้าร่วมในกิจกรรม พร้อมมอบของที่ระลึก และร่วมให้กำลังใจผู้บริจาคโลหิต

โครงการบริจาคโลหิต สำนักงานอัยการสูงสุดมีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาวิกฤตเลือดในคลังไม่เพียงพอ และช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีความต้องการเลือด โดยกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-27 กันยายน 2566 เวลา 08.30 - 15.30 น. ณ อาคารสมาคมภริยาอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร

‘รถยนต์ไฟฟ้าจีน’ ผงาด!! ครองอันดับ 1 ในตลาดยานยนต์ ผลจากการศึกษา-ความมุ่งมั่นทางวิทย์ฯ จนกลบทุกข้อกังขา

(29 ก.ย. 66) นายพงศ์พรหม ยามะรัต โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Pongprom Yamarat' ระบุว่า…

5-6 ปีก่อน ผมเคยบอกเพื่อน ๆ ในวงการรถยนต์ว่ารถยนต์จีนน่ากลัวนะ วันนึงจะมาแย่ง market share บนโลกได้มากมาย

แต่คำตอบคือ รถจีนหนะเหรอ? แล้วก็หัวเราะกัน

สิ่งที่ผมพยายามบอกทุกคนก็คือ นี่คือเคล็ดไม่ลับในการพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดดของจีน

‘การศึกษา’ และ ‘ความมุ่งมั่นทางวิทยาศาสตร์’ ยังไงหละครับ

เมื่อเห็นจุดเด่นตรงนี้ ก็เดาอนาคตไม่ยาก ผมพูดจนเพื่อนผมชอบบอกว่า ผมโปรจีน จริง ๆ เปล่า ผมแค่ชื่นชมญาติเรา และอยากให้ไทยทำแบบนั้นบ้างต่างหาก

ข่าวรถยนต์วันนี้ไม่มีอะไรดังไปกว่าการเปิดราคา BYD Seal แล้ว BYD Seal เป็นรถไฟฟ้า 100% ที่ค่าย BYD เคยเอามายั่วน้ำลายเมื่อตอนต้นปี แล้วเอามาเปิดตัววันนี้ ในราคาช็อกตลาด

BYD เป็นเจ้าตลาดรถ EV ในจีนมานาน ผมเคยโพสต์ไปว่า Warren Buffet เคยเลือกซื้อหุ้นบริษัทนี้ แต่ไม่ซื้อหุ้น Tesla 

จุดเด่น BYD คือเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ ที่มาทำรถยนต์ เทคโนโลยีแบตจึงเด่น ในต้นทุนที่ถูกกว่าชาวบ้าน

จุดขาย BYD Seal นี่แหละครับที่น่าสนใจ

วันนี้เค้าไม่สนใจตลาดรถ ‘ราคาถูก แต่คุณภาพต่ำ’ แต่มาเน้น ‘ราคาเอื้อมถึง ในคุณภาพที่ดีกว่าคู่แข่ง’ หรู คุณภาพสูง แข็งแรง เทคโนโลยีเยี่ยม ทนทาน ใช้งานง่าย ในราคาสบายกระเป๋า อุปกรณ์ภายในพรีเมียม ประตู ที่วางแขน บุนุ่มหมด เบาะหน้าหลัง เน้นตัวใหญ่ นั่งสบาย ไม่ลดต้นทุน

เอาจริง ๆ คือเบาะให้มาใหญ่ สบายกว่า Mercedes C-E กับ Tesla อีก

BYD Seal ใหญ่กว่า Tesla 3 ไม่มาก แต่ภายในใหญ่สู้ Camry, Accord ได้

จุดเด่นของแบตเตอรี่เค้าคือ High performance + วิ่งได้ไกล + ทนทาน + fitting กับรถง่าย + ไม่ติดไฟ 
ในขณะที่แบตรถ EV เกือบทุกยี่ห้อในโลก ติดไฟนะครับ

ราคาที่เปิดตัวมาเมื่อ 6 โมงเย็น ถือว่าทำค่ายรถญี่ปุ่นช็อกทันที เริ่ม 1.325 ล้าน จนถึง 1.599 ล้าน ราคานี้ ตั้งแต่ Honda Civic, Honda Accord, Toyota Corolla, Toyota Camry, Mazda 3 สะเทือนหนักแน่
ตัว 1.599 ล้าน เป็น dual motors 530 แรงม้า แรงบิด 670 nm. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 3.8 วินาที
นั่นคือไล่ Porsche, Lamborghini ได้แล้ว

โหดมาก วันแรก ยอดจองเกือบ 900 คันแล้ว ราคานี้ ใครกำเงินแถว ๆ นี้ ผมว่ามีเขวไป BYD กันทั้งเมือง
นี่แหละครับ

ประเทศที่เจริญเพราะความมุ่งมั่นด้านการวิจัย และวิทยาศาสตร์ยังไงหละครับ

ธอส. ประกาศตรึงดอกเบี้ยเงินกู้บ้าน ถึงสิ้นปี 2566 ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนตามนโยบายรัฐ

(29 ก.ย. 66) นายกฤษณ์ เสสะเวช กรรมการธนาคาร และรักษาการกรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2566 มีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี หรือจาก 2.25% ต่อปี เป็น 2.50% ต่อปี

ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ที่มีพันธกิจ ‘ทำให้คนไทยมีบ้าน’ พร้อมตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ในระดับปัจจุบันต่อไปจนถึงสิ้นปี 2566

ทั้งนี้ จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการชำระเงินงวดตามนโยบายรัฐบาลให้กับลูกค้าเงินกู้ในปัจจุบันของธนาคารที่มีอยู่จำนวน 1.79 ล้านบัญชี คิดเป็นวงเงินสินเชื่อคงค้างมากกว่า 1.66 ล้านล้านบาท และได้มีเวลาในการปรับตัวรับกับภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น

‘ไมเคิล แกมบอน’ เจ้าของบท ‘ศ.อัลบัส ดัมเบิลดอร์’ เสียชีวิตแล้วในวัย 82 ปี หลังจากป่วยโรคปอดบวม

(29 ก.ย. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เซอร์ไมเคิล แกมบอน นักแสดงชาวอังกฤษเชื้อสายไอร์แลนด์ ผู้รับบทศาสตราจารย์อัลบัส ดัมเบิลดอร์ ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนฮอว์กวอตส์ ในภาพยนตร์แฟรนไชส์ดังอย่าง ‘แฮร์รี พอตเตอร์’ ได้เสียชีวิตลงแล้วอย่างสงบในวัย 82 ปี ที่โรงพยาบาล

จากการแถลงการณ์ของเลดี้แกมบอน (ภรรยา) และเฟอร์กัส (ลูกชาย) ระบุว่า "เราเสียใจอย่างยิ่งที่ต้องประกาศการสูญเสียเซอร์ไมเคิล แกมบอนที่เป็นทั้งสามีและพ่ออันเป็นที่รัก เขาเสียชีวิตอย่างสงบในโรงพยาบาล โดยมีแอนน์ ภรรยาของเขาและเฟอร์กัส ลูกชายอยู่ข้างเตียง หลังจากป่วยด้วยโรคปอดบวม"

เซอร์ไมเคิล แกมบอน เกิดที่เมืองดับลิน ประเทศไอร์แลนด์เมื่อปี 1940 แต่ย้ายไปอยู่ลอนดอนตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เขาเติบโตขึ้นมาในชุมชนผู้อพยพชาวไอริชในแคมเดน และงานแรกของเขาคือช่างทำเครื่องมือฝึกหัด เขาเริ่มมีความหลงใหลในปืนโบราณ นาฬิกา และรถคลาสสิก

เริ่มต้นเส้นทางการแสดงจากการเป็นหนึ่งในสมาชิกของโรงละครรอยัล เนชันแนล เธียเตอร์ ในกรุงลอนดอน และได้แสดงในบทประพันธ์ของเชกสเปียร์หลายเรื่อง ทั้งยังได้รับพระราชทานเครื่องราชชั้นอัศวินจากการทำงานในแวดวงอุตสาหกรรมบันเทิงในปี 1998 แต่ที่เป็นที่โด่งดังที่สุดกับการรับบทศาสตราจารย์อัลบัส ดัมเบิลดอร์ ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนฮอว์กวอตส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวละครดังในภาพยนตร์เรื่องดัง ‘แฮร์รี พอตเตอร์’ ผลงานเขียนของ เจ.เค. โรว์ลิง นักเขียนนวนิยายคนดัง
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top