Tuesday, 6 May 2025
TheStatesTimes

'รศ.ดร.ษัษฐรัมย์' เผย!! คนรุ่นใหม่หนุนข้อเสนอรัฐสวัสดิการเปิดเผย ไม่เชื่อ!! ขยันแล้วชีวิตดีขึ้น เพราะเป็นเรื่องที่ถูกสร้างโดยคนมีอำนาจ

ไม่นานมานี้ เฟซบุ๊ก 'Sustarum Thammaboosadee' โดย รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

สัปดาห์ก่อน มีจังหวะโอกาส สอนที่ จุฬา เกษตร และ มธ. (ที่สอนประจำ) พร้อมกันทั้งสามมหาวิทยาลัย

ผมบอกได้ว่า unity ทางเศรษฐกิจการเมืองของคนรุ่นใหม่ชัดเจนมาก 

พวกเขาไม่เชื่อในระบบทุนนิยมเสรี แบบประชากร Gen X - GenY ส่วนใหญ่

พวกเขาส่วนใหญ่สนับสนุนข้อเสนอรัฐสวัสดิการอย่างเปิดเผย

และคิดว่า การเก่ง ขยัน ทำงานหนัก ทำให้ชีวิตดีขึ้น เป็นเรื่องที่ถูกสร้างขึ้นโดยคนมีอำนาจ และพวกเขาไม่คิดว่าคนมีอำนาจในสังคมเก่ง ขยัน หรือทำงานหนักแต่อย่างใด 

คณะแพทยฯ ม.เกษตรฯ พร้อม!! หลังแพทยสภารับรอง เริ่มรับนิสิตรุ่นแรก ปีการศึกษา 2567 ผ่าน กสพท. 21 คน

เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้แจ้งว่า หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ผ่านการรับรองจากแพทยสภาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีข้อความระบุว่า

“ประกาศ เรื่อง แพทยสภาให้การรับรองคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผ่านการตรวจประเมินหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต หลักสูตรใหม่ 2567 ณ วันที่ 15 กันยายน 2566”

ทั้งนี้ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีกำหนดรับนิสิตใหม่รุ่นละ 48 คน โดยแบ่งฝึกปฏิบัติการที่โรงพยาบาลศูนย์สกลนคร และโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช จ.สุพรรณบุรีแห่งละ 24 คน โดยขณะนี้เปิดรับสมัครนิสิตรุ่นแรก ปีการศึกษา 2567 ผ่านกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.) นำร่องจำนวน 21 คน 

สำหรับวิชาเรียน หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต ม.เกษตรศาสตร์ เรียน 6 ปี จำนวนหน่วยกิตตลอดหลักสูตร 244 หน่วยกิต จากโครงสร้างหลักสูตร วิชาเรียนในกลุ่มวิชาบังคับไม่ได้ต่างจากหลักสูตรของมหาวิทยาลัยอื่น ๆ เพราะจะเน้นการเรียนที่ปูพื้นฐานด้านการแพทย์และเจาะลึก รวมถึงการฝึกปฏิบัติงานในระดับชั้นคลินิก หรือ ในโรงพยาบาลกลุ่มวิชาเฉพาะที่ส่งเสริมสมรรถนะที่เป็นจุดเด่นของสถาบัน และกลุ่มวิชาเฉพาะที่ส่งเสริมศักยภาพ

อาทิ วิชาเวชศาสตร์ระดับเซลล์และโมเลกุลเพื่อการตรวจวินิจฉัยโรค, วิชาพันธุศาสตร์ทางการแพทย์และเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์, วิชาองค์ความรู้จากการศึกษาในต่างประเทศ, วิชาการฝึกปฏิบัติการดูแลประคับประคองสำหรับผู้ป่วยสูงอายุ, วิชากีฏวิทยาทางการแพทย์, วิชาพืชสวนบำบัดและสัตว์บำบัดเพื่อสุขภาพ, วิชาสุขภาพและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ,

วิชาการพัฒนาแอปพลิเคชันการดูแลผู้ป่วย, วิชาวิทยาศาสตร์ข้อมูลทางการแพทย์และการประยุกต์, วิชาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก, วิชาพืชสมุนไพรเพื่อสุขภาพ, วิชาสปาทางการแพทย์, วิชาการฝึกปฏิบัติเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ ฯลฯ 

‘รัฐบาลไทย’ หารือ ‘ทูตอินเดีย’ เตรียมฟื้นฟู FTA-เปิดตลาดเสรี หนุนการค้า-ลงทุนทุกมิติ ดันไทยสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจภูมิภาค

(28 ก.ย. 66) นางนลินี ทวีสิน ผู้แทนการค้าไทย เปิดเผยว่า ได้หารือกับ นายนาเคศ สิงห์ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินเดียประจำประเทศไทย โดยอินเดียพร้อมฟื้นฟูความตกลงเขตการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ไทย-อินเดีย อีกครั้ง และพร้อมแก้ไขปัญหาอุปสรรคร่วมกันอย่างเข้มแข็งและรวดเร็วที่สุด

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาไทยและอินเดียได้ทำความตกลงการค้าเสรี หรือ ‘FTA’ โดยได้เปิดตลาดสินค้าส่วนแรก (Early Harvest Scheme) จำนวน 83 รายการ ครอบคลุมทั้งสินค้าผลไม้สด ธัญพืช อาหารปรุงแต่งจากเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์แร่ เคมีภัณฑ์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า

โดยได้ยกเลิกภาษีตั้งแต่ปี 2549 ทำให้การค้าทั้ง 2 ฝ่ายขยายตัว และไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้า แต่ได้หยุดชะงักไปเมื่อปี 2559 เนื่องจากอินเดียได้หันมาผลักดันการเจรจา FTA ระหว่างอาเซียน-อินเดียแทน เพื่อขยายตลาดมายังกลุ่มอาเซียน 10 ประเทศ

นางนลินี กล่าวว่า อินเดียให้ความสำคัญกับไทยในฐานะประเทศที่มีศักยภาพด้านการค้าการลงทุนของอาเซียนและเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค โดยวันนี้ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกกลายเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจโลก ซึ่งไทยคือหนึ่งในนั้น โดยการพูดคุยหารือครั้งนี้ถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่อินเดียต้องการจะฟื้นฟู FTA

รวมทั้งยังอยากเห็นผลการดำเนินงานของคณะกรรมการร่วมทางการค้า หรือ ‘JTC’ ไทย-อินเดีย และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ ‘RCEP’ ที่เติบโตขึ้นด้วย

ทั้งนี้ ในการหารือทั้ง 2 ฝ่ายเห็นตรงกันว่า ความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ หรือ ‘BIMSTEC’ จะเป็นเวทีที่จะช่วยขจัดอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อให้ความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกเป็นไปอย่างราบรื่น โดยนายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ตั้งใจอย่างมากที่จะมาร่วมการประชุมระดับผู้นำ BIMSTEC ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2566 นี้

รวมทั้งยังหวังว่าจะมีโอกาสเดินทางเยือนระดับผู้นำอย่างเป็นทางการในโอกาสต่อไป สำหรับนโยบาย Startups India ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางการพัฒนาประเทศภายใต้แนวคิดอินเดียใหม่ (New India) เพื่อให้สอดคล้องกับที่อินเดียกำลังก้าวสู่ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจ 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2568 นั้น อินเดียได้แสดงความจำนงที่จะยกระดับความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการ Startup รุ่นใหม่ของไทยและอินเดียให้เกิดผลสำเร็จ

“มิติการเจรจาหารือทางการค้าวันนี้เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต เพราะครอบคลุมหลายด้าน โดยทูตอินเดียได้พูดถึงความต้องการส่งออกสินค้าเกษตรมายังไทย เช่น กุ้งหรือเนื้อสัตว์อื่น สินค้ายาและเวชภัณฑ์โดยเฉพาะยารักษาโรคเบาหวาน หรือแม้กระทั่งความร่วมมือด้านความมั่นคงหรือยุทโธปกรณ์ที่อินเดียมีศักยภาพ ได้แก่ เฮลิคอปเตอร์หรือเรือดำน้ำ ผ่านนโยบาย Offset Policy หรือการชดเชยในกรณีซื้อจากต่างประเทศของกระทรวงกลาโหม สำหรับมิตรประเทศอีกด้วย” นางนลินี ระบุ

ข้อมูลการค้า ไทย-อินเดีย 
จากข้อมูลรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทย ประจำปี 2565 ของกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า อินเดีย ขึ้นมาเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 7 จากอันดับที่ 10 ในปีก่อน โดยขยายตัวถึง 22.5% โดย การค้าระหว่างไทยและอินเดีย มีมูลค่า 17,702.82 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 18.06%

โดยไทยส่งออกไปอินเดีย มูลค่า 10,524.68 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยนำเข้าจากอินเดีย มูลค่า 7,178.14 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สินค้าส่งออกสำคัญของไทย อาทิ เม็ดพลาสติก ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ เคมีภัณฑ์ อัญมณีและเครื่องประดับ และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์

ส่วนสินค้านำเข้าสำคัญของอินเดีย อาทิ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ สินแร่โลหะอื่นๆ เศษโลหะ เคมีภัณฑ์ และพืชและผลิตภัณฑ์จากพืช

‘วัยรุ่นมะกัน’ นับร้อย ปลอมตัวบุกห้าง-ร้านค้า ในฟิลาเดลเฟีย ขโมยสินค้า-ทำลายข้าวของ-ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ รปภ.

(28 ก.ย. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าเมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย ของสหรัฐฯ เกิดเหตุที่กลุ่มคนจำนวนมากกรูกันเข้าไปขโมยหยิบฉวยสิ่งของ และรีบสลายตัวไปอย่างรวดเร็วโดยร้านค้าที่ตกเป็นเป้าหมาย ส่วนใหญ่เป็นร้านสาขาภายในห้างสรรพสินค้าที่ตั้งอยู่ริมถนน ซึ่งมีทั้งช็อปของ Lululemon แบรนด์ชุดออกกำลังกายดัง และร้าน Foot Locker ร้านค้าปลีกสินค้ากีฬา

หลังเกิดเหตุพบว่าสภาพภายในช็อป เสียหายยับเยิน กระจกแตก และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำช็อปหลายคนถูกทำร้ายร่างกาย เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ระดมกำลังออกระงับเหตุ ระบุว่า มีแก๊งวัยรุ่นเข้าร่วมปล้นสะดม 100-200 คน หลายคนเลือกที่จะสวมหน้ากากเพื่อปิดบังใบหน้าเบื้องต้น มีรายงานผู้ก่อเหตุถูกจับกุมไปจำนวนหนึ่ง แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ

สรุปสถานการณ์ตลาดน้ำมันสัปดาห์ที่ 18 - 22 ก.ย. 66 จับตาปัจจัย ‘บวก-ลบ’ ชี้แนวโน้ม 25 - 29 ก.ย. 66

ราคาน้ำมันดิบทุกชนิดเฉลี่ยสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 22 ก.ย. 66 เพิ่มขึ้นจากอุปทานน้ำมันสำเร็จรูปตึงตัว หลังกระทรวงพลังงานรัสเซียประกาศห้ามส่งออก Gasoline และ ดีเซลไปยังทุกประเทศ ยกเว้นอดีตรัฐโซเวียต 4 ประเทศ ได้แก่ เบลารุส คาซัคสถาน อาร์เมเนียและคีร์กีซสถาน เป็นการชั่วคราว มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 21 ก.ย. 66 เพื่อสร้างเสถียรภาพตลาดภายในประเทศ 

วันที่ 22 ก.ย. 66 บริษัทผู้ดำเนินการท่อขนส่งน้ำมัน Transneft ของรัสเซียหยุดลำเลียงดีเซลทางท่อสู่ท่าส่งออก Primorsk ชายฝั่งทะเล Baltic ปริมาณ 400,000 บาร์เรลต่อวัน และท่าส่งออก Novorossiysk ชายฝั่งทะเลดำ ปริมาณ 180,000 บาร์เรลต่อวัน (รวมคิดเป็น 60% ของปริมาณส่งออกดีเซลของรัสเซีย) ซึ่งในช่วงปี 2566 รัสเซียส่งออกดีเซลเฉลี่ยประมาณ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่ส่งออก Gasoline ประมาณ 160,000 บาร์เรลต่อวัน และอุปทานน้ำมันโลกตึงตัวจากมาตรการควบคุมการผลิตน้ำมันดิบของ OPEC+

วันที่ 20 ก.ย. 66 ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐฯ (Federal Open Market Committee: FOMC) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 5.25 - 5.50% อย่างไรก็ตาม ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve: Fed) นาย Jerome Powell ส่งสัญญาณอาจปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นสู่ระดับ 5.50 - 5.75% ภายในสิ้นปี 2566 (การประชุม FOMC ครั้งถัดไปวันที่ 31 ต.ค. - 1 พ.ย. 66) และจะเริ่มปรับลดในปี 2567 และ 21 ก.ย. 66 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (Monetary Policy Committee) ของธนาคารกลางอังกฤษ (Bank of England: BoE) มีมติ 5-4 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 5.25%  

คาดการณ์ราคา ICE Brent สัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 90-97 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

‘ดร.ดนุวัศ’ สรุป ‘10 เทคโนโลยีเกิดใหม่มาแรงปี 2023’ ส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคม ใน 3-5 ปีข้างหน้า

เมื่อไม่นานมานี้ รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสภาการศึกษา อาจารย์คณะรัฐประศาสนศาสตร์ นิด้า ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘Danuvas Sagarik’ ถึง 10 เทคโนโลยีเกิดใหม่ที่มาแรงสุดในปี 2023 โดยระบุว่า…

😀10 อันดับ เทคโนโลยีเกิดใหม่สุดปัง ที่มาแรงสุดในปี 2023🌈

🎉 World Economic Forum ได้เผย 10 เทคโนโลยีเกิดใหม่ที่น่าจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคม ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า ได้แก่

📌 1. แบตเตอรี่แบบยืดหยุ่นได้ (Flexible Batteries)

ในอนาคต อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ จะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น จะเห็นได้จากพัฒนาการของอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น หน้าจอคอมพิวเตอร์พับได้ สมาร์ทโฟนพับได้

ทำให้แบตเตอรี่แบบแข็งอาจถูกแทนที่ด้วยแบตเตอรี่ที่ทำจากวัสดุน้ำหนักเบา บาง สามารถบิด งอ หรือยืดหยุ่นได้ง่าย 

📌 2. ปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง (Generative AI)

เป็นปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถในการ ‘สร้างใหม่’ จากชุดข้อมูลที่มีอยู่ด้วยอัลกอริทึม 

Generative AI กำลังได้รับความนิยม จากการปรากฏตัวของ ChatGPT และถูกนำไปประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลายในหลากหลายอุตสาหกรรม

📌 3. เชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel)

เป็นอีกเทคโนโลยีที่ทั่วโลกให้ความสนใจ ท่ามกลางกระแสการคมนาคมสีเขียว (Green Transportation) ซึ่งรวมไปถึงความนิยมการใช้รถ EV 

แม้ปัจจุบัน Sustainable Aviation Fuel ถูกใช้ในสัดส่วนไม่ถึง 1% ของความต้องการเชื้อเพลิงเครื่องบินทั่วโลก 

แต่สัดส่วนดังกล่าวจำเป็นจะต้องเพิ่มขึ้นเป็น 13-15% ภายในปี 2040 เพื่อให้อุตสาหกรรมการบินทั่วโลกบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050

📌 4. ไวรัสที่ถูกออกแบบ และปรับแต่งเพื่อใช้ทางการแพทย์ (Designer Phages)

เช่น สามารถใช้รักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับไมโครไบโอม เช่น กลุ่มอาการฮีโมไลติกยูรีมิก ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้ยาก แต่ร้ายแรง ซึ่งส่งผลต่อไตและการแข็งตัวของเลือด ซึ่งเกิดจากเชื้ออีโคไลบางชนิด

📌 5. Metaverse เพื่อสุขภาพจิต (Metaverse for Mental Health)

Metaverse หรือโลกเสมือนที่เปิดให้ผู้คนเข้าไปทำกิจกรรมหรือมีปฏิสัมพันธ์กัน ผ่านการใช้เทคโนโลยี AR และ VR

ปัจจุบัน Metaverse ถูกนำไปใช้ในการรักษาสุขภาพจิตในหลายวิธี ซึ่ง Metaverse ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยผ่านการรักษาทางไกล

เช่น บริษัท DeepWell Therapeutics ที่สร้างวิดีโอเกมเพื่อรักษาอาการซึมเศร้าและความวิตกกังวล

และบริษัท TRIPP ซึ่งสร้าง ‘Mindful Metaverse’ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนผ่านการเจริญสติ และการทำสมาธิ 

📌 6. เซ็นเซอร์ติดที่พืช (Wearable Plant Sensors)

องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ระบุว่า การผลิตอาหารของโลกจะต้องเพิ่มขึ้น 70% เพื่อเลี้ยงประชากรทั้งโลกให้เพียงพอ ภายในปี 2050 

นวัตกรรมทางเทคโนโลยีด้านการเกษตรจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะเสริมความแกร่งด้านความมั่นคงด้านอาหารของโลก

เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ติดที่พืชกำลังกลายเป็นวิธีตรวจสอบสุขภาพและคุณภาพของพืชที่ทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้สุขภาพของพืชผลต่าง ๆ ดีขึ้น และมีผลผลิตมากขึ้น

อุปกรณ์มีขนาดเล็ก และไม่รบกวนพืช ใช้ติดเข้ากับพืชต่าง ๆ เพื่อการตรวจสอบอุณหภูมิ ความชื้น และระดับสารอาหารได้อย่างต่อเนื่อง 

ทำให้เกษตรกรควบคุมการใช้น้ำ ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง และตรวจหาสัญญาณเริ่มต้นของโรคได้ดีขึ้น

📌 7. เทคโนโลยีที่ใช้วิเคราะห์โมเลกุลในพื้นที่ที่เซลล์หรือโครงสร้างชีวภาพต่าง ๆ อยู่ (Spatial Omics)

Spatial Omics จึงอาจให้คำตอบแก่นักวิจัยได้เพิ่มขึ้น ด้วยการรวมเทคนิค ‘การถ่ายภาพขั้นสูง’ เข้ากับความเฉพาะเจาะจงและความละเอียดของการจัดลำดับ DNA 

วิธีการที่เกิดขึ้นใหม่นี้ช่วยทำให้นักวิจัยค้นพบความลึกลับของสิ่งมีชีวิตได้มากขึ้น และดูรายละเอียดเซลล์ และเหตุการณ์ทางชีววิทยาที่ไม่สามารถสังเกตได้ก่อนหน้านี้

📌 8. อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สื่อระบบประสาทแบบยืดหยุ่นได้ (Flexible Neural Electronics)

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีการสื่อสารระหว่างคลื่นสมองและคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ภายนอก อื่น ๆ หรือ Brain-Machine Interfaces (BMI) เป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อย ๆ 

และถูกนำมาใช้ในหลายกรณี เช่น การรักษาผู้ป่วยโรคลมบ้าหมู และแขนขาเทียมที่เชื่อมต่อกับระบบประสาท ทำให้เกิดการจินตนาการเกี่ยวกับศักยภาพในการควบคุมเครื่องจักรด้วยความคิดมากขึ้นเรื่อย ๆ

📌 9. คลาวด์คอมพิวติงแบบยั่งยืน (Sustainable Computing)

ขณะที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่เลวร้ายลง มนุษย์จำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็กำลังพึ่งพาข้อมูลมากขึ้น 

ทำให้การใช้พลังงานไฟฟ้าและการปล่อยความร้อนของศูนย์ข้อมูล (Data Center) สำหรับเทคโนโลยี Cloud Computing มากขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางการขยายตัวของ Metaverse AI และเทคโนโลยีอื่นๆ 

แต่คาดว่าในทศวรรษหน้า ศูนย์ข้อมูลที่ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ และ Sustainable Computing จะมีความก้าวหน้ามากขึ้นอย่างมาก 

📌 10. การดูแลสุขภาพที่ใช้ AI (AI-Facilitated Healthcare)

จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการสร้างระบบสาธารณสุขที่น่าเชื่อถือมากขึ้น 

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลายเป็นหนึ่งแนวทางสำคัญในการจัดการกับความท้าทายต่าง ๆ เช่น ลดความล่าช้าที่ผู้ป่วยจำนวนมากต้องเจอเมื่อพยายามเข้ารับการรักษาพยาบาลผ่านระบบ 

เช่น บริษัท Medical Confidence ที่ใช้ AI เพื่อจัดการความต้องการในการรักษาของผู้ป่วยให้เหมาะสมกับความพร้อมของสิ่งอำนวยความสะดวก ทำให้ช่วยลดเวลารอการรักษาได้อย่างมาก บางกรณีช่วยลดเวลารอจากหลายเดือนเหลือเพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น

นอกจากนี้ AI ยังสามารถอำนวยความสะดวกในการระบุรายละเอียดที่สำคัญทางรังสี หรือภาพ CT ที่แพทย์อาจมองข้ามได้ และการรวบรวมข้อมูลที่มีคุณภาพ ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างข้อมูลเชิงลึกต่อไปได้อีกด้วย

‘ธปท. - Google - TB-CERT’ จัดแคมเปญ #31Days31Tips เพิ่มทักษะดิจิทัลให้คนไทย รู้เท่าทันภัยทางออนไลน์

เมื่อวานนี้ (27 ก.ย. 66) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) Google ประเทศไทย และศูนย์ประสานงานด้านความมั่นคงปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศภาคการธนาคาร ภายใต้สมาคมธนาคารไทย (TB-CERT) ร่วมกันจัดแคมเปญ #31Days31Tips ที่จะนำเสนอคอนเทนต์ความรู้ด้านดิจิทัลและเคล็ดลับความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ในรูปแบบต่าง ๆ ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของแต่ละองค์กรตลอดเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งเป็นเดือนแห่งการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity Awareness Month) เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมและการแบ่งปันความรู้ความเข้าใจ ซึ่งจะช่วยให้คนไทยมีภูมิคุ้มกันทางไซเบอร์และใช้เทคโนโลยีออนไลน์ได้อย่างปลอดภัย

ปัจจุบัน กลโกงบนโลกออนไลน์ยังคงเป็นปัญหาที่คนไทยยังต้องเผชิญอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พบว่ากลโกงของมิจฉาชีพมีหลากหลายรูปแบบ และที่พบบ่อย ได้แก่ หลอกซื้อขายสินค้าหรือบริการ หลอกให้โอนเงินเพื่อทำงาน หลอกให้กู้เงิน และหลอกให้ลงทุน เป็นต้น ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายจากการถูกหลอกลวงกว่า 9 พันล้านบาท ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา (17 มีนาคม - 25 สิงหาคม 2566) โดยความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยทำให้การเตือนภัยทางออนไลน์สามารถเข้าถึงประชาชนในวงกว้างขึ้นผ่านเนื้อหาข้อมูลที่ถูกต้อง เป็นประโยชน์และเข้าใจง่าย อยู่ในรูปแบบที่สามารถแบ่งปันผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียที่หลายหลากได้ เพื่อให้ความปลอดภัยบนโลกออนไลน์เป็นสิ่งที่ไม่ไกลตัวประชาชนอีกต่อไป 

แจ็คกี้ หวาง Country Director, Google ประเทศไทย กล่าวว่า “ในระยะเวลา 25 ปีที่ Google ได้ดำเนินธุรกิจทั่วโลก เราได้ตระหนักและให้ความสำคัญในการเสริมสร้างความปลอดภัยบนโลกออนไลน์อย่างต่อเนื่อง ในเดือนตุลาคมซึ่งเป็นเดือนแห่งการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เราจึงได้จัดแคมเปญ #31Days31Tips เพื่อให้คนไทยมีเครื่องมือและข้อมูลในการท่องโลกออนไลน์อย่างปลอดภัย รวมถึงสามารถแบ่งปันกับคนที่ห่วงใยได้ โดยแคมเปญนี้เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของ Google ในการทำให้อินเทอร์เน็ตเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับทุกคนผ่านกลยุทธ์ใน 3 ด้าน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ (Products) ที่มีความปลอดภัยโดยค่าเริ่มต้น พร้อมด้วยการรักษาความปลอดภัยในตัว เครื่องมือ (Tools) ที่ให้ผู้ใช้สามารถควบคุมข้อมูลส่วนตัวด้วยตนเอง เช่น การตรวจสอบความปลอดภัย (Security Checkup) ตรวจสอบความเป็นส่วนตัว (Privacy Checkup) รวมถึงเครื่องมือจัดการรหัสผ่าน (Password Manager) และโครงการ (Programs) ต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ และช่วยให้คนไทยท่องอินเทอร์เน็ตได้อย่างมั่นใจ โดยเป็นการต่อยอดจากกิจกรรม “Safer Songkran” ภายใต้โครงการ Safer with Google ที่จัดขึ้นในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ในการส่งมอบความห่วงใยและส่งเสริมความปลอดภัยทางดิจิทัลให้กับตัวเองและครอบครัว”

น.ส.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการย้ำเตือนจุดยืนว่า ธปท. ตระหนักและให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาภัยทางการเงินให้ได้ครบวงจร โดยการสื่อสารให้ความรู้และข้อมูลต่าง ๆ กับประชาชนในเชิงรุกและต่อเนื่อง จะช่วยให้ประชาชนรู้เท่าทัน สามารถป้องกันตนเอง และมีภูมิคุ้มกันจากภัยออนไลน์ ซึ่งจะสอดรับกับชุดมาตรการจัดการภัยทุจริตทางการเงินที่ ธปท. ได้ดำเนินการแล้วตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา เช่น การขอให้ธนาคารยกเลิกแนบลิงก์ SMS และการยืนยันตัวตนขั้นต่ำด้วย biometrics รวมถึงการให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตาม พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี”  

ด้าน ดร.กิตติ โฆษะวิสุทธิ์ ประธานกรรมการ TB-CERT กล่าวว่า “วิถีชีวิตปัจจุบันในยุคดิจิทัล มีการใช้เทคโนโลยีในทุกช่วงเวลาไม่ว่าจะเพื่อการสื่อสาร ความบันเทิง สุขภาพ รวมถึงการทำงาน ซึ่งทำให้เกิดความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตประจำวัน อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของผู้ใช้งาน แต่สิ่งสำคัญที่ต้องมีควบคู่กันคือ การยกระดับความตระหนักรู้ให้เท่าทันภัยคุกคามทางไซเบอร์ ซึ่งศูนย์ประสานงานด้านความมั่นคงปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศภาคการธนาคารภายใต้สมาคมธนาคารไทยได้ให้ความสำคัญ โดยร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการจัดการภัยทางไซเบอร์ รวมทั้งสื่อสารให้ความรู้ที่เกี่ยวข้องอยู่เป็นประจำซึ่งถือเป็นหนึ่งในมาตรการหลักเพื่อสังคมไทย ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะเสริมภูมิคุ้มกันให้สังคมไทยมีความแข็งแกร่งต่อการหลอกลวงในรูปแบบต่าง ๆ และภัยไซเบอร์ที่มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเช่นกัน”

ทั้งนี้ แคมเปญ #31Days31Tips ตลอดเดือนตุลาคมนี้ จะนำเสนอเคล็ดลับและเครื่องมือที่เสริมความปลอดภัยออนไลน์ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของ ธปท. Google และ TB-CERT โดยเนื้อหาจะประกอบด้วย 4 หมวดหมู่ ได้แก่ การรักษาความปลอดภัยของบัญชีออนไลน์ การป้องกันตัวเองจากสแกม การตรวจเช็กข่าวปลอมหรือข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และการปกป้องความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ เพื่อเสริมทักษะดิจิทัลให้คนไทยรู้เท่าทันกลลวงออนไลน์รอบด้าน

‘ลูกปลา สุพินดา’ ไกด์ชาวไทย สอบใบอนุญาตไกด์ปากีสถานสำเร็จ นับเป็นชาวต่างชาติคนแรกและคนเดียว ที่ได้สิทธิ์การนำเที่ยวในประเทศ

เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 66 ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่ คุณสุพินดา บุญเกิด หรือ ‘คุณลูกปลา’ ไกด์นำเที่ยวหญิงชาวไทย ที่สามารถประกาศศักดา เป็นต่างชาติคนแรกและคนเดียว ที่สอบใบอนุญาตมัคคุเทศก์ในประเทศปากีสถานได้สำเร็จ

โดยคุณลูกปลา ไกด์ชาวไทยคนเก่ง ต้องใช้ความพยายามและความสามารถในการฝ่าด่านการสอบสุดหิน มหาโหดของรัฐบาลปากีสถาน จนกระทั่งได้รับใบอนุญาตในการนำเที่ยว ทำให้คุณลูกปลามีศักดิ์และสิทธิ์อย่างชอบธรรมในการพาเที่ยวปากีสถาน โดยอยู่ในความควบคุมและคุ้มครองจากกรมการท่องเที่ยวปากีสถาน ในนามรัฐบาลปากีสถาน

‘Swap & Go - OR’ รุกขยายสถานีสลับแบตฯ มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า เชื่อมต่อการเดินทางทุกรูปแบบ ตั้งเป้า 100 แห่ง ภายในปี 67

เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 66 ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นายสุชาติ ระมาศ ผู้อำนวยการใหญ่ นายพิมาน พูลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (โออาร์) และนางสาวอาวีมาศ สิริแสงทักษิณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สวอพ แอนด์ โก จำกัด ตอกย้ำโปรเจกต์ความร่วมมือ ‘Swap & Go - Universal Battery Swapping Network Expansion Empowered by OR’ การขยายเครือข่ายแพลตฟอร์มสถานีสลับแบตเตอรี่สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าของสวอพ แอนด์ โก ที่ใช้ได้กับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าทุกรูปแบบ (Universal Swapping) ภายในสถานีบริการ PTT Station ของโออาร์ ตอบโจทย์การเดินทางที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็ว 

เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ (Seamless Mobility) ตั้งเป้าขยายจุดให้บริการสถานีสลับแบตเตอรี่ครอบคลุมกรุงเทพฯ ปริมณฑลกว่า 100 แห่งในปี 2567 และบริการดูแลรักษาและซ่อมบำรุง ผ่านเครือข่ายสถานีบริการ PTT Station เพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้นวัตกรรมพลังงานสะอาดและเป็นทางเลือกของผู้บริโภคในการประหยัดค่าใช้จ่ายทางด้านพลังงาน โดยสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าทุกมิติ เพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเติบโตไปพร้อมกัน

'รองอ๋อง' รับหนังสือค้านโครงการแลนด์บริดจ์ จากตัวแทน จ.ชุมพร หวั่น!! 'แย่งที่ดินทำมาหากิน-ไม่อยากขายที่ดินบรรพบุรุษ'

เมื่อวานนี้ (28 ก.ย. 66) นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง รับหนังสือคัดค้านโครงการแลนด์บริดจ์ หรือ โครงการสะพานเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย-อันดามัน (ชุมพร-ระนอง) ภาคใต้ จากตัวแทนกลุ่มชาวบ้าน อ.หลังสวน และ อ.พะโต๊ะ จ.ชุมพร ผู้คัดค้านแลนด์บริดจ์ จำนวน 45 คน โดยกล่าวว่า จะนำไปศึกษาเบื้องต้นและนำเรียนประธานสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันว่าเสียงของประชาชนทุกคนสำคัญ ต้องพูดคุยกันในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อตอบสนองประชาชนไม่ใช่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า นายประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล จะนำปัญหาโครงการแลนด์บริดจ์เข้าสู่การประชุมของพรรค หลังมีการตั้งกรรมาธิการสามัญจะนำเรื่องเข้าสู่ชั้นกรรมาธิการฯ ที่เกี่ยวข้อง เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง ทั้งนี้ ชาวบ้านเชื่อว่าโครงการฯ กระทบต่อวิถีชีวิตชาวบ้านและสิ่งแวดล้อม โดยเวนคืนที่ดินชาวบ้าน นำข้อมูลผิด ๆ ให้แก่ชาวบ้าน ว่า จะให้ราคาที่ดินในราคาสูง เข้าพื้นที่ในยามวิกาล ทั้งนี้ พื้นที่ อ.หลังสวน และ อ.พะโต๊ะ เป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่สำคัญ หากโครงการมีผลกระทบกับประชาชนขอให้รัฐบาลพิจารณาโครงการอีกครั้ง

“ชาวบ้านไม่ต้องการขายที่ดินของบรรพบุรุษ แย่งที่ดินไปจากชาวบ้าน โดยออก พ.ร.บ.แลนด์บริดจ์ เวนคืนที่ดินชาวบ้านไร้มรดกสืบทอด รวมถึงทรัพยากรน้ำ ถือเป็นสินทรัพย์ของรัฐ ต้องถูกตัดไปให้แก่นิคมอุตสาหกรรมในโครงการฯ นอกจากนี้ โครงการจะกระทบแหล่งทำประมงชาวบ้านจากน้ำมัน และสารเคมีที่รั่วไหลออกสู่แหล่งน้ำและทะเล ทั้งนี้ ประชาชนมั่นใจ จ.ชุมพร-จ.ระนอง เป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่สำคัญของประเทศ นอกจากนี้ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) จะเวทีแยกส่วนในการให้ข้อมูลแก่ประชาชน จึงทำให้เกิดการตั้งคำถามจะประชาชนในพื้นที่ และสนข. ยืนยันไม่มีการตั้งโรงงานเกี่ยวกับปิโตรเคมี แต่ประชาชนทราบข่าวจากสื่อว่า ซาอุฯ จะลงทุนตั้งโรงกลั่นน้ำมันในพื้นตามที่เป็นข่าว ประกอบกับ สนข. กล่าวหาว่า พื้นที่รกร้างว่างเปล่าของโครงการฯ ที่จะตั้งอยู่ ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่ประชาชน” นายปดิพัทธ์ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top