Tuesday, 6 May 2025
TheStatesTimes

เกม ‘Candy Crush Saga’ โกยรายได้สะสม 2 หมื่นล้านดอลฯ ผู้พัฒนาเกมเตรียมเพิ่มเลเวลเป็น 1.5 หมื่นด่าน เอาใจขาประจำ

(27 ก.ย. 66) บริษัทคิง (King) บริษัทผู้ผลิตและพัฒนาเกม Candy Crush Saga Farm Heroes Saga และอื่น ๆ ได้ออกมาเปิดเผยว่า เกมแคนดี้ ครัช ซาก้า (Candy Crush Saga) เกมจับคู่ของหวานที่มีผู้เล่นหลายล้านคนระหว่างการเดินทาง มีรายได้แตะ 2 หมื่นล้านดอลลาร์แล้วนับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2555 และเตรียมจะเพิ่มเลเวลถึง 15,000 ด่านสำหรับผู้เล่นที่ทุ่มเทให้กับเกมนี้มากที่สุด

เกม Candy Crush Saga เริ่มแรกเป็นเกมบนเว็บไซต์ จากนั้นก็มาอยู่ในแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ก และพัฒนามาเป็นเกมในโทรศัพท์มือถือ โดยมียอดดาวน์โหลดถึง 5 พันล้านครั้ง

นอกจากนี้ Candy Crush Saga ยังเป็นหนึ่งในเกมที่บุกเบิกฟรีเมียม โมเดล (Freemium Model) หมายความว่า เกมนี้เล่นได้ฟรี แต่ผู้เล่นสามารถใช้เงินจริง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกมของตน หรือสามารถดูโฆษณาเพื่อให้สามารถเล่นเกมต่อได้

นายโชดอล์ฟ ซอมเมสตัด ประธานบริษัทคิงกล่าวว่า เกม Candy Crush Saga และเกมอื่น ๆ เช่น ฟาร์ม ฮีโร่ ซาก้า (Farm Heroes Saga) เป็นข้อพิสูจน์ว่าเกมบนมือถือสามารถดึงดูดใจได้อย่างยั่งยืน

นายซอมเมสตัดให้สัมภาษณ์ว่า “เราได้พิสูจน์แล้วว่า เราสามารถสร้างเกมที่อยู่ได้ยาวนานหลายปี และรักษาให้อยู่รอดได้เป็นเวลา 10 ปี หรือนานกว่านั้น และทำลายสถิติแม้กระทั่งในช่วงหลาย 10 ปีที่ผ่านมา”

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า Candy Crush เป็นแฟรนไชส์เกมที่ทำรายได้สูงสุดในแอปสโตร์ของสหรัฐฯ ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา โดยความจริงที่นายซอมเมสตัดกล่าวนั้นได้ตอกย้ำถึงทั้งความสำเร็จในกลยุทธ์ของคิง และความท้าทายสำหรับผู้พัฒนาเกมหน้าใหม่

‘มนุษย์เงินเดือน’ โอด ‘ข้าวของแพง-ค่าครองชีพพุ่ง’ แถมรายรับสวนทางกับรายจ่าย วอนภาครัฐช่วยดูแลด่วน

(27 ก.ย.66) ทีมข่าวลงพื้นที่สำรวจความคิดเห็นมนุษย์เงินเดือนบอกว่าค่าใช้จ่ายทุกวันนี้ส่วนใหญ่หมดไปกับค่าเดินทาง รวมๆ แล้ววันละ 200-300 บาท รวมถึงค่าอาหารที่แพงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ราคาต้นทุนจะลดลงบ้าง แต่ราคาที่ปรับขึ้นไปแล้วไม่ได้ปรับลดลง ส่วนสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ ก็ยังแพงเช่นเดียวกัน อยากให้ภาครัฐออกมาตรการดูแลประชาชนให้มากกว่านี้โดยเร็ว

ผลสำรวจ นีลเส็น ล่าสุดระบุว่า คนไทยยังกังวลกับภาวะค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้กระทบต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า และยังพบว่าคนไทย 57% กังวลเรื่องรายรับที่ไม่เพียงพอกับรายจ่ายด้วย ซึ่งตัวแปรที่กระทบต่อค่าครองชีพพุ่ง มาจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น และดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

'ดร.หิมาลัย' ให้กำลังใจ 'พล.ต.ท.ไตรรงค์' หลังเจอแรงกดดันจากสังคม ขอให้นึกถึงคำสอนของพ่อ ยึดถือความถูกต้องในฐานะตำรวจน้ำดี

(27 ก.ย. 66) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ อดีตนายทหารชื่อดัง และ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

คิดถึง…พ่อ 

ปกติ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ท่านจะเข้ามากราบแม่ที่บ้านเป็นประจำ เฉลี่ยอาทิตย์ละครั้งโดยประมาณ ถ้าช่วงไหนมีงานมาก ก็จะให้พาแม่ไปหาที่ทำงาน ซึ่งไม่บ่อยนัก หรือเวลาคุณแม่ไปหาหมอที่ รพ.ตำรวจ ก็จะคอยรอรับ คุณพ่อของพวกเราเสียไปหลายปีแล้ว ยังมีคุณแม่อยู่เป็นขวัญและกำลังใจของลูกๆ

ในช่วงประมาณ อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมสังเกตว่าท่านเข้ามาบ่อยผิดปกติ เลยถามเด็กที่บ้านดู ได้ความว่า ประมาณสองสามอาทิตย์มานี้ ท่านเข้ามากราบคุณย่าบ่อยมาก (เด็กที่บ้านจะเรียกคุณแม่ของผมว่าคุณย่า) 

ผมก็คิดอยู่ว่าท่านน่าจะมีเรื่องไม่สบายใจ จนประมาณวันจันทร์ที่ผ่านมา (18 ก.ย.66) ผมกลับเข้าบ้านประมาณทุ่มนิดๆ เดินเข้าไปกราบแม่ เจอท่านนั่งอยู่แล้ว กำลังจะกลับ เลยถามว่าพอจะมีเวลานั่งคุยกันสักพักไหม ท่านบอกว่าได้สักครึ่งชั่วโมงแล้วต้องไปทำงานต่อ เลยออกมานั่งคุยกันที่ห้องรับแขก ในระหว่างคุย ดูท่านมีสีหน้าเคร่งเครียด เหมือนมีเรื่องหนักใจ อยู่ดีๆ ท่านก็พูดขึ้นมาว่า "พี่อ๊อด อรรถคิดถึงพ่อ"

พูดถึงคุณพ่อ ท่านเป็นผู้ที่มีอิทธิพลทางความคิดต่อท่านไตรรงค์มาก ย้อนไปตอนที่ท่านไตรรงค์จะสอบเข้าเตรียมทหาร จะเลือกเหล่าระหว่างนายร้อยตำรวจกับนายร้อย จปร. คุณพ่อท่านพูดว่า "เป็นตำรวจ ทำบุญได้ทุกวัน แค่ทำตามหน้าที่ก็ได้บุญแล้ว เพราะคนที่มาหาตำรวจ คือ คนที่เดือดร้อน เขาจึงหวังมาพึ่งตำรวจ" 

หลังจากฟังคุณพ่อพูด ท่านไตรรงค์ก็ตัดสินใจเลือกสอบเข้าเตรียมทหารเหล่าตำรวจ หลังจากเรียนจนจบการศึกษารับพระราชทานกระบี่ คุณพ่อได้อวยพรให้ประสบความสำเร็จในชีวิตรับราชการ และยังสอนอีกว่า "การประสบความสำเร็จในการรับราชการนั้น ไม่ได้วัดที่ว่าเราจะมียศอะไร ตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหน แต่ให้ดูวันที่ลูกเกษียณอายุราชการแล้ว มองกลับมา ว่าเราได้ทำอะไรไว้ให้กับสังคมและประเทศชาติบ้าง ความสำเร็จของเราวัดที่ตรงนั้น" 

คุณพ่อผมท่านมักจะสอนอย่างนี้เสมอ ท่านสอนให้เราให้คุณค่าของความดีมากกว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ ท่านเป็น พระมหา (ผู้ที่สอบได้เปรียญธรรมตั้งแต่ 3 ประโยค ขึ้นไป) ก่อนลาสิกขาออกมารับราชการ

พอผมได้ยินว่าท่านคิดถึงคุณพ่อ ผมก็ทราบว่าท่านต้องมีเรื่องไม่สบายใจแน่ๆ ก็ได้แต่นั่งเงียบๆ รอท่านพูดต่อ สักพักใหญ่ๆ ท่านก็พูดว่า "พี่อ๊อด อรรถมาได้ถึงวันนี้ ก็มาได้ไกลมากแล้ว อรรถมีเรื่องต้องตัดสินใจบ้างอย่าง อรรถค่อนข้างกังวล อรรถว่า อรรถจะยึดถือคำพูดของพ่อที่ท่านสอนไว้ตอนรับราชการใหม่ๆ ต่อไปหนทางของอรรถอาจจะลำบาก แต่ถ้าอรรถไม่ทำ เมื่อนึกถึงคำสอนของพ่อที่อรรถยึดถือเสมอมา อรรถก็คงต้องรู้สึกผิดไปตลอด คนเก่งใน สตช.มีเยอะ แต่คนกล้าที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง จะมีสักเท่าไร อรรถไม่แน่ใจ"

หลังท่านพูดจบ เราก็นั่งกันอยู่เงียบๆ จนท่านขอตัวกลับ ผมก็บอกท่านไปว่า "ไม่สบายใจก็เข้ามากราบแม่ กราบพระ กราบพ่อ บ่อยๆ จะได้มีกำลังใจ ขอบารมีท่านคุ้มครองให้ปลอดภัย พี่เอาใจช่วยครับ"

มาถึงต้นอาทิตย์นี้ มีข่าวใหญ่เกิดขึ้น พี่ดูข่าวแล้ว บางทีก็นึกน้อยใจ เหมือน สตช. มีอรรถทำงานอยู่คนเดียว ช่วงแรกๆ โดน Social ถล่มอย่างหนัก มาวันนี้ ยังพอมีผู้ที่มีใจเป็นธรรมออกมาพูดให้กำลังใจ สนับสนุนอยู่บ้าง สังคมบางส่วน อาจจะสงสัย ตั้งประเด็นจากจินตนาการส่วนบุคคลกันมากมาย จนลืมข้อเท็จจริงตามกฎหมาย ... นิสัยอรรถ จะเป็นคนไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว อาจจะชี้แจงช้าไปบ้าง พี่เองก็คงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะงานของอรรถ พี่ก็ไม่มีความรู้ แต่พี่เชื่อว่า คนที่คบหาและได้สัมผัสกับอรรถมา จะเข้าใจและเชื่อมั่นในตัวอรรถเสมอ เหมือนพี่ 

ข้อความนี้ พี่เขียนขึ้น เพื่อเป็นหนึ่งกำลังใจเล็กๆ จากพี่ให้น้อง พี่ที่เชื่อมั่นและมั่นใจในน้องชายคนนี้เสมอ ขอบารมีแห่งองค์หลวงพ่อโสธร และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่อรรถเคารพนับถือ บารมีของคุณพ่อ เทวดาทั้งหลาย คุณความดีที่อรรถทำเสมอมา ได้โปรดเป็นเกราะคุ้มครองป้องกัน ให้อรรถรอดปลอดภัยจากอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวง ประสบความสำเร็จในกิจการงานเพื่อประเทศชาติและส่วนรวม สาธุ

‘ไอซ์ รักชนก’ ขอโทษ ‘ต้อม ยุทธเลิศ’ คดีดูหมิ่นกล่าวหาทำร้ายร่างกาย

(27 ก.ย.66) จากกรณี ‘ต้อม ยุทธเลิศ สิปปภาค’ ผู้กำกับภาพยนตร์ กับ ‘น.ส.รักชนก ศรีนอก’ สส. พรรคก้าวไกล เขตบางบอน ได้มีปากเสียงกันในประเด็นการกล่าวหาว่ามีคนทุจริตเงินบริจาคสนับสนุนการชุมนุมทางการเมือง ของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มราษฎร บนเรือที่ชื่อว่าไฮซีซัน ที่จอดบริเวณท่าเทียบเรือแจมแฟกตอรี เมื่อคืนวันที่ 22 พ.ย. 2564 และ น.ส.รักชนก โพสต์ข้อความอ้างว่าถูกนายยุทธเลิศทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บ และได้เข้าแจ้งความต่อ สน.ปากคลองสานในเวลาต่อมา

ต่อมา เมื่อวันที่ 23 ก.ย. ทวิตเตอร์ @BadDIRECTOR_ ของ ‘ต้อม ยุทธเลิศ’ โพสต์ข้อความระบุว่า "To #ส่องทวิตยามเช้า 21 ก.ย.ที่ผ่านมา ผมไปขึ้นศาลในคดีดูหมิ่นจากเหตุการณ์บนเรือของงานส่องทวีต โดยมีผู้หญิงไอซ์เป็นจำเลย ซึ่งจำเลยให้การสารภาพ ศาลลดโทษให้กึ่งหนึ่ง จึงปรับแค่ 2,500 บาท แต่ต้องไหว้ขอโทษผมด้วยความจริงใจ ผมรับไหว้ด้วยความเต็มใจ ส่วนจำเลยจะจริงใจหรือเปล่านั้น ผมมิอาจรู้จริงๆ"

ล่าสุดวันนี้เฟซบุ๊ก ‘Rukchanok Srinork’ หรือ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส. พรรคก้าวไกล ได้ออกมาโพสต์ขอโทษ ‘ต้อม ยุทธเลิศ’ โดยระบุข้อความว่า "ข้าฯ นางสาว รักชนก ศรีนอก ขอโทษ คุณยุทธเลิศ สิปปภาค ในกรณีที่ข้าฯ ได้โพสต์เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ ที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียชื่อเสียงแก่คุณยุทธเลิศ ซึ่งต่อจากนี้ไปทั้งสองฝ่ายจะไม่กระทำการใดๆ อันเป็นการล่วงเกินซึ่งกันและกันให้เกิดเสียหายอีก"

‘ตั๊กแตน’ หอบไอโฟน-ทองเส้นโตเซอร์ไพรส์ ‘เอ ศุภชัย’ หลังครบรอบ 1 ปี ซื้อลิขสิทธิ์เพลงให้ได้ร้อง

(27 ก.ย.66) รักสุดหัวใจเลยก็ว่าได้อีกหนึ่งท่านผู้มีพระคุณของ ‘ตั๊กแตน ชลดา’ ที่ผู้จัดชื่อดังอย่าง ‘เอ ศุภชัย’ เซอร์ไพรส์ด้วยการซื้อลิขสิทธิ์เพลงให้ตั๊กแตนร้องมาเป็นระยะ 1 ปีเต็ม ซึ่งสัญญาจะหมดลงในวันที่ 30 กันยายน 2566 แต่ก็มีแฟนเพลงผู้ใจดีได้ซื้อลิขสิทธิ์เพลงให้ตั๊กแตนได้ร้องต่ออีก 1 ปี 

บุญคุณนี้จะต้องทดแทน เมื่อ ‘ตั๊กแตน ชลดา’ และทีมงานบุกไปถึงบ้านของ เอ ศุภชัย ถึงบ้านที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อเซอร์ไพรส์ชุดใหญ่เพื่อเป็นการตอบแทนผู้มีพระคุณด้วยการมอบสร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท และ ไอโฟน 15 ใหม่ล่าสุด พร้อมทั้งเผยคลิปสุดอบอุ่นในครั้งนี้ด้วย โดยระบุว่า…

“หนูขอบคุณแม่มากๆ นะคะ ครบรอบหนึ่งปี ที่แม่ซื้อลิขสิทธิ์ให้แตน วันนี้แตนตั้งใจจะมาร้องเพลงให้แม่ฟัง รักแม่นะคะ @a_supachai1 ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ที่ลูกมอบให้แม่”

พร้อมระบุข้อความเพิ่มเติมว่า…

“ไม่รู้จะให้อะไรแม่เป็นการตอบแทน กับความรักและความหวังดีที่แม่มีให้แตน แม่มีครบหมดแล้วทุกอย่าง แต่ก็อยากให้อะไรแม่บ้างอยู่ดี วันนี้แอบมาเซอร์ไพรส์ร้องเพลงให้แม่ฟังถึงบ้าน ที่นครศรีธรรมราชกับของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ไอโฟน ไว้ให้แม่ถ่ายรูปสวยๆ ลงไอจี กับสร้อยคอทองคำให้แม่ 5 บาท ถึงแม่จะบอกว่าแค่แกงไตปลาสักถ้วย แม่ก็ชื่นใจแล้วก็เถอะ”

‘กองทุนดีอี’ ร่วมผลักดัน EEC สู่ศูนย์กลางด้านดิจิทัลของภูมิภาค ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ ผ่านโครงการจัดหาระบบ 5G Smart City

‘กองทุนดีอี’ ร่วมผลักดัน EEC สู่ศูนย์กลางด้านดิจิทัลของภูมิภาค ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ ผ่าน โครงการจัดหาระบบและอุปกรณ์ 5G Smart City สำหรับพื้นที่ EEC เพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการเมืองและส่งเสริมความเป็นเมืองน่าอยู่

โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)  เป็นโครงการพัฒนาพื้นที่ โดยมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อต่อยอดการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก ด้วยการกำกับดูแลและการกำหนดนโยบายที่ชัดเจน ทำให้แผนพัฒนา EEC ได้รับการพัฒนาแบบบูรณาการ เพื่อเป็นประตูสำคัญสู่ทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียแปซิฟิก โดยมุ่งเน้นพัฒนาพื้นที่ 3 จังหวัดในภาคตะวันออก ได้แก่ ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา โดยเล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาพื้นที่ทั้งกายภาพและทางสังคม เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เพื่อให้ EEC เป็นเมืองอัจฉริยะ สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่มีภารกิจขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศตามแนวทางประเทศไทย 4.0 และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยมีเป้าหมายพัฒนาเมืองอัจฉริยะ  7 ด้าน ได้แก่ สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment) การเดินทางและขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility) การดำรงชีวิตอัจฉริยะ (Smart Living) พลเมืองอัจฉริยะ (Smart People) พลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) เศรษฐกิจอัจฉริยะ (Smart Economy) และ การบริหารภาครัฐอัจฉริยะ (Smart Governance) ภายใต้แนวคิดการพัฒนา เมืองน่าอยู่ เมืองทันสมัย ให้ประชาชนในเมืองมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข  อย่างยั่งยืน

โครงการจัดหาระบบและอุปกรณ์ 5G Smart City สำหรับพื้นที่ EEC เพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการเมืองและส่งเสริมความเป็นเมืองน่าอยู่ นำเสนอโดย บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) เป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เนื่องจากเป็นโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่มีภารกิจขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ เพื่อพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานและบริการด้านดิจิทัลในการสนับสนุนพัฒนาพื้นที่ EEC ได้อย่างพอเพียงและมีประสิทธิภาพ โดยมีวัตถุประสงค์ ในการสร้างเครือข่าย Internet Of Thing และ CCTV พร้อมทั้งต่อยอดการพัฒนาเครือข่าย 5G Mobile และสร้างให้มีการใช้พื้นที่ที่มีศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เพื่อสร้างความพร้อมในการพัฒนา Service Platforms ควบคู่กับการพัฒนาผู้ประกอบการเพื่อให้เกิดธุรกิจใหม่ในด้านเมืองอัจฉริยะ และสร้างรายได้ให้กับเมือง และส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการแก้ปัญหา พร้อมต่อยอดการพัฒนาพื้นที่ EEC เพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการเก็บข้อมูลและการเชื่อมโยงข้อมูลในพื้นที่ เพื่อให้หน่วยงานในพื้นที่สามารถร่วมบริหารจัดการและสร้างความปลอดภัยในเขตพื้นที่ EEC และส่งเสริมพัฒนาเมืองให้เป็นเมืองอัจฉริยะตามแนวทางของ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทั้ง 7 ด้าน 

โดยผลการดำเนินโครงการ ได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในพื้นที่ EEC (เมืองพัทยา) ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพและมีความพร้อมในการเชื่อมโยงและยกระดับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศเพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการเมืองและความเป็นเมืองน่าอยู่ โดยได้จัดหาระบบและอุปกรณ์ 5G Smart City ซึ่งมีอุปกรณ์ประกอบด้วย Smart Pole ชนิดความสูง 6 เมตร และชนิดความสูง 9 เมตร ที่สามารถรับสัญญาณ 5G ได้ พร้อมระบบ CCTV ระบบติดตามสภาพอากาศ ระบบไฟอัตโนมัติ ระบบ Public Wi-Fi และระบบ Emergency Call & Public Announcement โดยมีการติดตั้งเสา Smart Pole จำนวน 90 ต้น ในเขตเมือง ชุมชน และแหล่งท่องเที่ยวในเทศบาลเมืองพัทยา เพื่อประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล IoT และระบบ CCTV ผ่านเครือข่าย 5G ในการส่งเสริมการบริหารจัดการเมืองและความปลอดภัยของประชาชนและนักท่องเที่ยวในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันมีศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะ Intelligent Operation Center (IOC) ตั้งอยู่ที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา ในการบริหารจัดการและดูแลระบบในการให้บริการประชาชนและนักท่องเที่ยวเพื่อยกระดับเมืองพัทยาให้เป็น Smart City 

จากการสนับสนุนโครงการจัดหาระบบและอุปกรณ์ 5G Smart City สำหรับพื้นที่ EEC เพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการเมืองและส่งเสริมความเป็นเมืองน่าอยู่ ของกองทุนฯ ในครั้งนี้ มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้ EEC เป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลเทคโนโลยีของภูมิภาค  ส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ อีกทั้งยังช่วยยกระดับทักษะด้านดิจิทัล (Digital Skills) ของนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ช่วยลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มโอกาสของประชาชนให้เข้าถึงบริการด้านดิจิทัลอย่างเป็นธรรม ได้รับบริการที่ดีจากภาครัฐ สร้างรายได้และมีมาตรฐานชีวิตที่ดีขึ้น และยังส่งเสริมให้พื้นที่ EEC บริหารจัดการเมืองให้เป็นเมืองน่าอยู่  ยกระดับคุณภาพของประเทศในทุกภาคส่วนและขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การเป็นประเทศที่มีรายได้สูงต่อไป

‘วราวุธ’ สั่งดย.เร่งสำรวจ หวังดันค่าอาหารเด็กในสถานรองรับ ชี้ มื้อละ 19 บาท ถือว่าน้อย หากเทียบกับหน่วยงานอื่น

(27 ก.ย. 66) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยถึงการผลักดันการปรับเพิ่มงบประมาณ ค่าอาหาร สำหรับเด็กและเยาวชนในสถานรองรับเด็ก สังกัดกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ว่า ขณะนี้ มีสถานรองรับเด็ก จำนวน 31 แห่งทั่วประเทศ ที่ดูแลคุ้มครองเด็กและเยาวชนตั้งแต่แรกเกิดถึง 18 ปี จำนวนกว่า 5,000 คน แต่ได้รับค่าอาหาร 57 บาทต่อหัวต่อวัน ซึ่งเมื่อเฉลี่ยอาหารสามมื้อแล้ว จะอยู่ที่มื้อละเพียง 19 บาทเท่านั้น ถือว่าน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับเด็กและเยาวชนที่อยู่ในความดูแลของหน่วยงานอื่นๆ ทั้งที่คุณภาพของอาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อพัฒนาการและการเติบโตทั้งร่างกายและจิตใจของเด็ก 

ทั้งนี้ จึงคิดว่าเราต้องมานั่งทบทวนกันใหม่ โดยได้มอบหมายให้ ดย. สำรวจสัดส่วนที่เหมาะสม ที่ควรจะปรับเพิ่มค่าอาหารเป็นเท่าไหร่ ซึ่งช่วงวัย 0 - 6 ปีอาจจะรับประทานอาหารในปริมาณไม่มากเมื่อเทียบกับเด็กโต แต่คุณภาพอาหารนับเป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญ ซึ่งเด็กในช่วง 6 ปีแรก นับเป็นช่วงสำคัญของพัฒนาการและการซึมซับสิ่งที่มีประโยชน์เข้าสู่ร่างกาย ขณะที่เด็กโต 6-18 ปี ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบของอาหารทั้งปริมาณและคุณภาพ

นายวราวุธ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนได้มอบหมาย ดย. ให้เร่งสำรวจข้อมูล เพื่อผลักดันการปรับเพิ่มค่าอาหาร เป็นหน้าที่ของฝ่ายการเมืองที่ต้องดูแลและทำอย่างไรให้เด็กและเยาวชนที่อยู่ในความดูแลของกระทรวง พม. ได้รับอาหารที่มีคุณภาพ ต้องช่วยให้เขาเติบโตในสังคมทั้งร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง ซึ่งที่ผ่านมา บางหน่วยงาน เช่น หน่วยงานที่ดูแลผู้ต้องขัง สถานพินิจ นักเรียนทหาร เด็กนักเรียนสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ยังได้ปรับงบประมาณค่าอาหารเพิ่มขึ้น แต่ของเด็กและเยาวชนในสถานรองรับของ ดย. ยังไม่เคยได้ปรับค่าอาหารเพิ่มขึ้นมานานแล้ว 

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้อาจจะไม่ทันงบประมาณปี 2567 แต่จะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุดเพื่อให้ทันเวลาในงบประมาณปี 2568

‘จีน’ ออกหนังสือปกขาว เปิดวิสัยทัศน์มุ่งหน้าพัฒนาประชาคมโลก นำเสนอแนวทางจัดระเบียบโลกใหม่ เพื่อแบ่งปันอนาคตร่วมกัน

(27 ก.ย. 66) หลังจากที่ ‘สี จิ้นผิง’ ผู้นำสูงสุดของจีน เคยออกมาสร้างความฮือฮา ด้วยการประกาศเป้าหมายในการสร้างทางสายใหม่แห่งศตวรรษที่ 21 ด้วยโครงการยักษ์ใหญ่ ‘Belt and Road Initiative’ (ฺBRI) เมื่อปี 2013 มาแล้ว

ผ่านมา 10 ปี วันนี้ รัฐบาลจีนได้ออกหนังสือปกขาว ที่เป็นเหมือนพิมพ์เขียวฉบับใหม่ล่าสุดที่ชื่อว่า ‘A Global Community of Shared Future : China's Proposals and Actions.’ หรือ ประชาคมโลกแห่งอนาคตร่วมกัน : ข้อเสนอและแผนการดำเนินการของจีน

โดยได้นำเสนอพื้นฐานทฤษฎี, หลักปฏิบัติ และแผนพัฒนาประชาคมโลกในมุมมองวิสัยทัศน์ของรัฐบาลจีน ซึ่งต่อต้านความคิดของบางประเทศ ที่พยายามแสวงหาอำนาจสูงสุดในการครอบงำโลก ในขณะที่จีนนำเสนอวิธีในการแบ่งปันอนาคตร่วมกันระหว่างประชาคมโลก ผ่านพันธมิตรในเขตเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโปรเจกต์ BRI ของจีน

การออกสมุดปกขาวแสดงเจตจำนง และ วิสัยทัศน์ฉบับล่าสุดของจีน ที่เป็นเหมือนการปักหมุดครบรอบ 10 ปี ของการเปิดโครงการ BRI เป็นเป้าหมายใหม่ที่ท้าทายสำหรับจีนยิ่งกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้วอย่างแน่นอน

เนื่องจากโลกเพิ่งผ่านวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ อาทิ การระบาดของ Covid-19, การหดตัวทางเศรษฐกิจ ภาวะเงินเฟ้อรุนแรงในหลายประเทศ รวมถึงสงครามทางเศรษฐกิจ และภูมิศาสตร์การเมืองที่ยังคงเข้มข้น และจีนก็ถูกจับตามองมากขึ้นกว่าเมื่อ10 ปีก่อน ในฐานะที่เป็นทั้งชาติมหาอำนาจ และภัยคุกคาม

นักวิเคราะห์จีนมองว่า รัฐบาลปักกิ่งก็ตระหนักถึงความท้าทายนี้ ที่จีนมักถูกโจมตีจากสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร ด้วยวาทกรรม เช่น ‘ประชาธิปไตย vs เผด็จการ’ การเผชิญหน้ากับจีนด้วยรูปแบบการใช้พันธมิตรกดดัน การกล่าวหาจีนในเรื่องการจารกรรมเทคโนโลยี ล้วนแต่เป็นวิธีในการรักษาระเบียบโลกเก่าที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นใหญ่

ซึ่งจีนมองว่าทั้งแนวคิด และพฤติกรรมของชาติพันธมิตรสหรัฐฯ ทำให้เกิดความตึงเครียด และความขัดแย้งไปทั่วโลก อย่างไม่จบ ไม่สิ้น จนนำไปสู่สงครามเย็นรูปแบบใหม่ ดังนั้น จีนและอีกหลายประเทศจึงเกิดความคิดเหมือนกันว่า ควรหาหนทางจัดระเบียบโลกใหม่ ที่ให้ประชาคมโลกทั้งหมดสามารถสร้างและแบ่งปันอนาคตร่วมกันได้

ด้าน ‘ศาสตราจารย์ อู่ ซินปั๋ว’ ผู้อำนวยการสถาบันอเมริกันศึกษาของมหาวิทยาลัยฟู่ตั้น ได้กล่าวถึงสมุดปกขาวฉบับใหม่ว่า รัฐบาลจีนต้องการก้าวขึ้นมาเป็นชาติมหาอำนาจที่มีบทบาทสังคมโลกอย่างเปิดเผย และต้องการให้ชาติอื่นๆ ในประชาคมโลกสนับสนุน ดังนั้น รัฐบาลจีนจำเป็นต้องสื่อสารให้ชัดเจนถึงทิศทาง และเป้าหมายที่จีนกำลังจะมุ่งหน้าไปว่าไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของจีนชาติเดียว แต่เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในสังคมโลกด้วย

ซึ่งชัดเจนว่า สมุดปกขาวของจีน นำเสนอแนวคิดเชิงการทูตสไตล์จีน ที่ต้องการสร้างระเบียบโลกทางเลือก จากที่เคยนำโดยชาติพันธมิตรตะวันตก และเป็นการต่อยอดจากโครงการ BRI ของจีน ซึ่งจากการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคม 2023 มีประเทศกว่า 3 ใน 4 ของโลก และ องค์กรนานาชาติกว่า 30 แห่ง ได้เซ็นข้อตกลงความร่วมมือในโครงการ BRI ของจีนแล้ว ซึ่งน่าจะมีพลังมากพอที่จีนจะเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนประชาคมโลกที่เกิดจากความร่วมมือ และแบ่งปัน แทนการชี้นำโดยชาติมหาอำนาจเพียงชาติเดียว

และนี่ก็เป็นภาพรวมของยุทธศาสตร์โลกของจีน ที่หวังสร้างประชาคมโลกในอุดมคติใหม่ ท่ามกลางวิกฤติปัญหาเศรษฐกิจ และ สังคมที่รุมเร้าจีน และอุปสรรคใหญ่ที่สุดของจีน ยังคงเป็นสหรัฐอเมริกา ที่มีเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง สามารถชี้นำไปในทิศทางเดียวกันได้

ซึ่งจีนต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการสร้างความมั่นใจให้ชาวประชาคมโลก ‘ซื้อ’ ไอเดียของสมุดปกขาวนี้ และมองเห็นอนาคตในมุมมองเดียวกันกับที่จีนมอง ที่อาจต้องใช้เวลา 10 ปี หรือนานกว่านั้น 

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์

‘พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล’ รองผบ.ตร. ผู้อาวุโสลำดับที่ 4 ผงาดรับตำแหน่ง ‘ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนที่ 14’

(27 ก.ย.66) มีรายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เพื่อคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนที่ 14 แทน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ที่จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ซึ่งมีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม

การประชุมเริ่มต้นตั้งแต่ 14.00 น. ก่อนที่ประชุมจะมีมติในเวลา 16.28 น. ให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนที่ 14 ซึ่งเป็นผู้อาวุโส ชิงตำแหน่งในลำดับที่ 4 ซึ่งเป็นลำดับสุดท้าย

วาระการประชุมแต่งตั้ง ผบ.ตร. ในวันนี้อยู่ในวาระที่ 65 ซึ่งเป็นวาระสุดท้าย แต่ได้เลื่อนขึ้นมาพิจารณาก่อน เป็นวาระแรก โดยระหว่างการพิจารณาได้เชิญ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธ์เพ็ชร์ และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ผู้ชิงตำแหน่งที่มาร่วมประชุมกันเพียง 2 คน ออกจากห้องประชุม เพื่อให้คณะกรรมการได้พิจารณาเรื่องคุณสมบัติก่อนลงมติ

ทั้งนี้ ลำดับอาวุโสของ รอง ผบ.ตร. 4 นาย ที่เป็นผู้ชิงตำแหน่ง ผบ.ตร.ในวันนี้ คือ ลำดับที่ 1 พล.ต.อ.รอย, ลำดับที่ 2 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล, ลำดับที่ 3 พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ และลำดับที่ 4 พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล

ภายหลังการประชุม ก.ตร.แล้วเสร็จ และมีรายงานว่า มติที่ประชุมแต่งตั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็น ผบ.ตร.คนที่ 14

จากนั้นในเวลา 17.05 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ประธานในที่ประชุม ก.ตร.ได้เดินทางออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน

ขณะที่ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม. ในฐานะ โฆษก ตร. กล่าวว่า การประชุม ก.ตร.ครั้งที่ 10/2566 วันนี้ได้คัดเลือกแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ โดยพิจารณารายชื่อเรียบร้อยแล้ว แต่อยู่ระหว่างขั้นตอนทางธุรการ เพื่อนำความกราบบังคมทูล จึงยังไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ในวันนี้

‘แกร็บ’ จับมือ ‘เอเชีย แค็บ’ เปิดให้บริการแอปฯ เรียกรถ ‘CABB’ ต้นฉบับแบบแท็กซี่ลอนดอน หวังเจาะกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียม

‘แกร็บ’ ผนึกพันธมิตร ‘เอเชีย แค็บ’ ผู้ผลิตและผู้ให้บริการ CABB รถแท็กซี่วีไอพีต้นฉบับแบบลอนดอนแท็กซี่ เปิดตัวบริการ ‘Taxi VIP’ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเรียกใช้บริการรถแท็กซี่ CABB ผ่านแอปพลิเคชัน Grab นำร่องให้บริการแล้วในกรุงเทพฯ และภูเก็ต เล็งขยายพื้นที่การให้บริการในเมืองท่องเที่ยว อาทิ พัทยาและเชียงใหม่

(27 ก.ย. 66) นางสาวเมธิณี อนวัชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจการเดินทางและบริหารพาร์ตเนอร์คนขับ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำแพลตฟอร์มเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน แกร็บมุ่งพัฒนาบริการและเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง พร้อมนำเสนอบริการการเดินทางผ่านยานพาหนะที่หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้โดยสารในแต่ละกลุ่ม ซึ่งรวมถึงลูกค้าพรีเมียม โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายหลักที่จะช่วยสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจการเดินทางของแกร็บในปีนี้ โดยในช่วงที่ผ่านมาเราได้ปรับปรุงบริการ ตลอดจนดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อยกระดับการให้บริการกับลูกค้ากลุ่มนี้ อาทิ การปรับโฉมบริการเดินทางแบบพรีเมียมเพื่อสร้างความประทับใจผ่าน 5 ประสาทสัมผัส และการเพิ่มช่องทางการชำระเงินเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าชาวต่างชาติ”

“สำหรับการผนึกความร่วมมือกับ CABB ซึ่งถือเป็นผู้นำในตลาดแท็กซี่ระดับพรีเมียมในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มตัวเลือกที่หลากหลายในการเดินทาง ถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะช่วยเติมเต็มประสบการณ์การเดินทางให้กับลูกค้าในกลุ่มพรีเมียมของแกร็บให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ด้วยรูปลักษณ์ของรถแท็กซี่ที่มีดีไซน์โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ บริการและฟังก์ชันเหนือระดับภายในรถ รวมถึงมาตรฐานของคนขับที่ได้รับการอบรมเป็นพิเศษ โดยผู้ใช้บริการ Grab สามารถเรียกรถ CABB ได้แล้วผ่านเมนู Taxi VIP ในแอปพลิเคชันของเรา ซึ่งได้นำร่องให้บริการในจังหวัดภูเก็ตตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา และเริ่มขยายการให้บริการในกรุงเทพฯ ในเดือนสิงหาคม ซึ่งคาดว่าจะเชื่อมต่อระบบและสามารถให้บริการได้เต็มรูปแบบภายในไตรมาส 4 ของปีนี้”

นายภาสกร ดารารัตนโรจน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชีย แค็บ จำกัด กล่าวว่า “CABB เปิดให้บริการในประเทศไทยครั้งแรกในปี 2563 ปัจจุบันเรามีรถแท็กซี่ CABB ให้บริการในกรุงเทพฯ และภูเก็ตรวมกว่า 400 คัน โดยลูกค้าหลักของเราคือกลุ่มลูกค้าพรีเมียมที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ความสะดวกสบาย และเชื่อมั่นในบริการที่มีความปลอดภัย ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ที่ผ่านมาเราให้บริการผ่านทั้งช่องทางออฟไลน์ โดยลูกค้าสามารถเรียกรถ CABB ได้ตามจุดให้บริการต่างๆ และช่องทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน CABB ซึ่งมีสัดส่วนราว 40%”

“เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงฐานลูกค้าใหม่ เราจึงได้ร่วมมือกับ แกร็บ ซึ่งถือเป็นผู้นำแพลตฟอร์มเรียกรถผ่านแอปฯ เพื่อขยายฐานลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเราจะเปลี่ยนช่องทางการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน CABB ไปอยู่ที่แอปพลิเคชัน Grab เพียงช่องทางเดียว ทั้งนี้ เราตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนรถแท็กซี่ CABB เป็น 600 คันภายในสิ้นปี พร้อมเตรียมขยายบริการไปยังเมืองท่องเที่ยวสำคัญ อาทิ พัทยา และเชียงใหม่ โดยเราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยให้บริการของ CABB สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้ามากขึ้น และช่วยส่งมอบบริการขนส่งสาธารณะที่มีคุณภาพให้กับคนไทยและชาวต่างชาติ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top