Tuesday, 6 May 2025
TheStatesTimes

กงสุลใหญ่สปป.ลาว ณ ขอนแก่นพบผู้ว่ากาฬสินธุ์พร้อมเชื่อมสัมพันธ์การค้าท่องเที่ยววัฒนธรรม กงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ณ ขอนแก่น ราชอาณาจักรไทยเข้าพบผู้ว่าฯกาฬสินธุ์ พร้อมร่วมมือเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

ที่ห้องรับรองแพรวา ชั้น 2 ศาลากลาง จ.กาฬสินธุ์ นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ ให้การต้อนรับท่านสมสัก วิไลทอน กงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ณ ขอนแก่น ราชอาณาจักรไทย พร้อมด้วยนางคำวา วิไลทอน ภริยา และนายบุนเนือง เกดแก้ว กงสุลฯ ในการเข้าเยี่ยมคารวะ พบปะและแนะนำตัวกับผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ เป็นกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ณ จังหวัดขอนแก่น คนที่ 7 

โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมทั้ง 20 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมหารือข้อราชการในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องโดยให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในระดับจังหวัด และขยายความสัมพันธ์ด้านต่างๆ เช่น ด้านการค้า การท่องเที่ยว การลงทุน วัฒนธรรม และด้านการศึกษา ซึ่งมีนายประยูร ศิริวรรณ หัวหน้าสำนักงานจังหวัดกาฬสินธุ์ เข้าร่วมต้อนรับด้วย

นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า จ.กาฬสินธุ์ยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการเดินทางมาเยือนของกงสุลใหญ่ฯ และคณะในครั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้มีการสถาปนาความสัมพันธ์ พัฒนาความร่วมมือกันในหลาย ๆ ด้านโดยเฉพาะโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ  อีกทั้งเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีและภาษาที่คล้ายกัน เช่น วัฒนธรรมชนเผ่าภูไท 

ทั้งนี้ จ.กาฬสินธุ์มีการจัดงานมหกรรมภูไทนานาชาติ ขึ้นเป็นงานประจำทุกปี โดยได้เชิญชนเผ่าภูไท และศิลปินนักร้อง จากประเทศเพื่อนบ้านเข้าร่วมงานทุกปี จึงทำให้มีความผูกพันและใกล้ชิดกันมากขึ้นนอกจากนี้ จ.กาฬสินธุ์ยังเป็นหนึ่งในสมาชิก 3 ประเทศ ที่ใช้เส้นทางหมายเลข 12 (ไทย ลาว เวียดนาม) ซึ่งเป็นแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor: EWEC) เชื่อมมหาสมุทรอินเดียสู่มหาสมุทรแปซิฟิก เชื่อว่าจะได้มีการสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือทางการค้าและด้านอื่น ๆ ระหว่างกันเพิ่มมากขึ้นในโอกาสต่อๆ ไป

'ผศ.ดร.อานนท์' โพสต์!! เป็นพยานผู้เชี่ยวชาญในคดี กรณี 'อานนท์ นำภา' ถูกจำคุก 112 ไม่รอลงอาญา 4 ปี

(27 ก.ย. 66) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒน บริหารศาสตร์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก 'Arnond Sakworawich' ระบุว่า...

คดีที่อานนท์ นำภา ถูกศาลพิพากษาจำคุกมาตรา 112 ป.อาญา ไม่รอลงอาญา 4 ปีนั้น อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ เป็นพยานผู้เชี่ยวชาญในคดีนี้เองครับ และทนายอานนท์ นำภา เป็นทนายความว่าความให้ตัวเองด้วยตัวเองด้วยครับ

นอกจากนี้ ผศ.ดร.อานนท์ ยังได้ยกข้อความปราศรัยช่วงหนึ่งของนายอานนท์ นำภา อีกด้วย ระบุว่า…

นอกจากนี้ อัยการยังเห็นว่าอานนท์ปราศรัยเข้าข่ายความ ผิดตามมาตรา 112 โดยกล่าวคำปราศรัยผ่านเครื่องขยายเสียงในพื้นที่ชุมนุมว่า "ข้อที่ 3 มาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ข้อเรียกร้องมีสามข้อเท่านั้น วันนี้ จะไม่เหมือนเมื่อวานเพราะพี่น้องที่มาจากต่างจังหวัดทยอยมาสมทบกันเรื่อย ๆ และ นิสิตนักศึกษาก็ทยอยมาเรื่อย ๆ ถ้ามีการสลายการชุมนุมวันนี้ คนที่จะสั่งสลายการชุมนุมมีเพียงคนเดียว คือ ถ้ามีการสลายการชุมนุม ไม่ต้องไปหาคนอื่นใด"

"อย่างที่ผมเรียนไว้ ถ้ามีการสลายการชุมนุม คนอื่นจะสั่งไม่ได้นอกจาก…"

“อย่างที่บอกถ้าวันนี้มีการสลายการชุมนุม คนที่จะสั่งได้คนเดียว คือ…ให้รู้ไว้เช่นนั้น"

ข้อความข้างต้น อัยการเห็นว่าไม่ใช่การกระทำหรือเป็นการแสดงความคิดเห็นและติชมโดยสุจริต เป็นการใส่ร้ายกษัตริย์ ทำให้กษัตริย์เสื่อมเสีย ถูกเกลียดชัง และทำให้ประชาชนหลงเชื่อข้อความที่จำเลยได้พูดออกไป ทำให้ไม่เป็นที่เคารพสักการะต่อกษัตริย์ ซึ่งอยู่ในฐานะที่ผู้ใดจะละเมิดมิได้

‘ปชช.เชื้อสายอาร์เมเนีย’ เร่งอพยพออกจากเมืองนากอร์โน-คาราบัค ผู้ลี้ภัยกว่า 6,500 ราย หวั่น ถูก ‘รบ.อาเซอร์ไบจาน’ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

(27 ก.ย. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ประชาชนในเมืองนากอร์โน-คาราบัค ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนเชื้อสายอาร์เมเนีย ต่างหวาดกลัวว่าหากรัฐบาลของประเทศอาเซอร์ไบจาน เข้ามาควบคุมพื้นที่ส่วนนี้ได้ จะทำให้พวกเขาไม่ปลอดภัย จึงตัดสินใจลี้ภัยไปที่ประเทศอาร์เมเนีย

โดยประชาชนที่มีเชื้อสายอาร์เมเนีย ประมาณ 6,500 คน ที่อาศัยอยู่ในนากอร์โน-คาราบัค ได้เดินทางออกจากเมืองและข้ามชายแดนลี้ภัยไปที่อาร์เมเนียแล้ว เหตุที่ทั้งหมดนั้นจะต้องลี้ภัยกันเป็นการเร่งด่วน เพราะพื้นที่ตรงนี้กำลังถูกอาเซอร์ไบจานยึดครอ งพวกเขากลัวว่าจะมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เกิดขึ้น

ต่อมาทางด้านรัฐบาลของอาเซอร์ไบจาน ได้ออกมายืนยันแล้วว่า จะมีการรวมคนเชื้อสายอาร์เมเนียในพื้นที่ส่วนนี้เข้ากับประชาชนคนอื่นๆ อย่างเท่าเทียม แต่ก็ยังไม่สามารถคลายความวิตกกังวลลงได้ เพราะเคยมีการกล่าวหาว่า อาเซอร์ไบจานพยายามกวาดล้างกลุ่มชาติพันธุ์ชาวอาร์เมเนียมาแล้วในดินแดนแห่งนี้ ซึ่งอาเซอร์ไบจานปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง

ทางด้านรัฐบาลอาเซอร์ไบจานเองก็เผชิญกับเสียงวิพาษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากชาติตะวันตก ซึ่งมองว่าการใช้กำลังทหารโจมตีกลุ่มแบ่งแยกดินแดนอย่างหนักหน่วง ไม่ใช่วิธีการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง ซึ่งควรจะมีการเจรจาเพื่อหาทางออกกันมากกว่า และยิ่งทำให้วิกฤตด้านผู้ลี้ภัยและมนุษยธรรมที่เป็นปัญหาใหญ่ของโลกต้องเลวร้ายลง โดยมีรายงานว่า วันนี้คณะผู้แทนจากอาร์เมเนียและอาเซอร์ไบจาน เตรียมพบปะกันที่กรุงบรัสเซลส์เพื่อหาทางออก

‘ททท.’ จับมือพันธมิตร นำเสนอจุดเด่นการท่องเที่ยวภาคตะวันออก ผ่านซีรีส์วาย 6 เรื่อง หวังปลุกกระแสรับนทท.รุ่นใหม่ หนุนเที่ยวยั่งยืน

เมื่อวานนี้ (26 ก.ย.66) นายอัครวิชย์ เทพาสิต ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคตะวันออก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท. ร่วมกับ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท ฮาล์ฟ โทสท์ จำกัด เปิดตัวโครงการ ‘Y JOURNEY (STAY LIKE A LOCAL)’ ยกคอนเซปต์ ‘Amazing 5F and More’ โดยเฉพาะ F-Food และ F-Film กำลังได้รับความนิยมจากกลุ่มนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ Gen X Y และ Millennial และ SDGs ถ่ายทอดผ่านมินิซีรีส์ 6 เรื่อง นำแสดงโดย 12 นักแสดงวัยรุ่นชื่อดังที่จะชวนทุกคนไปสัมผัสเสน่ห์และอัตลักษณ์ของการท่องเที่ยวภาคตะวันออกอย่างยั่งยืน พร้อมสร้างแรงบันดาลใจสู่การท่องเที่ยวจริง

นายอัครวิชย์ กล่าวว่า เราจะนำเสนอจุดเด่นของการท่องเที่ยวภาคตะวันออก อาทิ แหล่งท่องเที่ยว อาหาร สินค้าและกิจกรรมท่องเที่ยว ผนวกเข้ากับแนวคิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการออกเดินทางท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ (Experience-based-Tourism) ตามรอยภาพยนตร์ สร้าง Meaningful Relationship รับประสบการณ์ท่องเที่ยวที่มีคุณค่าและความหมาย และนำไปสู่การกระจายรายได้สู่เศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืนต่อไป

นายอัครวิชย์ กล่าวว่า โครงการประชาสัมพันธ์ ‘Y JOURNEY (STAY LIKE A LOCAL)’ ได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ฮาล์ฟ โทสท์ จำกัด เป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานมินิซีรีส์ทั้ง 6 เรื่อง โดยมี 12 นักแสดงวัยรุ่นชื่อดังร่วมถ่ายทอดเรื่องราวการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนตามอัตลักษณ์ของแต่ละจังหวัดในภาคตะวันออก ทั้ง 6 จังหวัด โดยแต่ละเรื่องจะมีรูปแบบการท่องเที่ยวที่แตกต่างกันออกไป โดยมีรายละเอียดดังนี้

มินิซีรีส์ 1 เรื่อง ‘เพื่อนรักแอบรักเพื่อน’ นำแสดงโดย ‘แฟรงค์-ธนัตถ์ศรันย์ ซําทองไหล’ และ ‘หล่งซื่อ ลี’ ถ่ายทอดเรื่องราวการท่องเที่ยวสายมู เส้นทางแหล่งท่องเที่ยวจังหวัดฉะเชิงเทราและสมุทรปราการ วัดหงษ์ทอง วัดอโศกการาม วัดจีนประชาสโมสร ตลาดบ้านใหม่ ผสมผสานกับวัฒนธรรมอาหารถิ่น เช่น ข้าวห่อใบบัว ขนมเกสรลำเจียก ขนมเปี๊ยะสดนายเล้ง ผัดไทนายแกละ ออกอากาศเป็นตอนแรกในวันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม 2566

มินิซีรีส์ 2 เรื่อง ‘คำสารภาพ’ นำแสดงโดย ‘เน็ต-สิรภพ มานิธิคุณ’ และ ‘เจมส์-ศุภมงคล วงศ์วิสุทธิ์’ ถ่ายทอดเรื่องราวการลดขยะอาหาร Zero Food Waste ด้วยการแปรรูป ผ่านเส้นทางท่องเที่ยวจังหวัดจันทบุรี ชุมชนตลาดเก่าริมน้ำจันทบูร น้ำตกพลิ้ว ศาลเจ้าตั้วเล่าเอี๊ย และเพ็ญทิวาทุเรียนทอด และอาหารท้องถิ่น เช่น ยำมังคุดกุ้งสด กวยจั๊บป้าไหม แกงหมูใบชะมวง ไอติมจรวด แกงมัสมั่นทุเรียน ออกอากาศในวันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม 2566

มินิซีรีส์ 3  เรื่อง ‘เฮียไม่ปลื้ม’ นำแสดงโดย ‘ฟลุ้ค-ณธัช ศิริพงษ์ธร’ และ ‘ยูโด-ธรรม์ธัช ธารินทร์ภิรมย์’ ถ่ายทอดเนื้อหาวิถีชีวิตและการจ้างงานชุมชนท้องถิ่น ผ่านเส้นทางท่องเที่ยวจังหวัดตราด ชุมชนท่าระแนะ ประภาคารแหลมงอบ หาดตาลคู่ สะพานวัดใจ พร้อมสอดแทรกอาหารท้องถิ่น เช่น ข้าวผัดพริกเกลือ อาหารซีฟู้ด ปลาโคกหว่น ปลาทราย-ปลาซิวทอด  เป็นต้น ออกอากาศในวันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม 2566

มินิซีรีส์ 4 เรื่อง ‘คู่กัดออกทริป’ นำแสดงโดย ‘แม้ก-กรธัสส์ รุจีรัตนาวรพันธุ์’ และ ‘ณฐ-ณฐสิชณ์ เอื้อเอกสิชฌ์’ ถ่ายทอดเนื้อหาการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ ผ่านเรื่องราวของเส้นทางท่องเที่ยวจังหวัดนครนายก อ่างเก็บน้ำทรายทอง-เขาช่องลม และจังหวัดปราจีนบุรี น้ำตกเขาอีโต้-วัดพระใหญ่-ศูนย์ส่งเสริมการควบคุมไฟป่าปราจีนบุรี ผสมผสานอาหารท้องถิ่น ได้แก่ ไผ่ตงหวาน ต้มหน่อไม้ ส้มตำไผ่บงหวาน ออกอากาศในวันอาทิตย์ที่ 22 ตุลาคม 2566

มินิซีรีส์ 5 เรื่อง ‘สมมติว่าเป็นแฟน’ นำแสดงโดย ‘มอส-ภาณุวัฒน์ โสประดิษฐ’ และ ‘แบงค์-มณฑป เหมตาล’ ถ่ายทอดเนื้อหาของการรีไซเคิลพลาสติกที่มาจากทะเล ผ่านเส้นทางท่องเที่ยวจังหวัดระยอง เขาแหลมหญ้า สะพานคู่หาดแม่รำพึง วิสาหกิจชุมชนแยกขยะวัดชากลูกหญ้า และอาหารท้องถิ่น เช่น ยำผักกระชับ แกงส้มปู แกงคั่วเล เส้นหมี่น้ำแดงโบราณ ต้มหมูชะมวง เป็นต้น  ออกอากาศในวันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม 2566

มินิซีรีส์ 6 เรื่อง ‘ตามหาความทรงจำ’ นำแสดงโดย ‘ยุ่น-ภูษณุ วงศาวณิชชากร’ และ ‘ดิว-นิติกร ปานคร้าม’ ถ่ายทอดเนื้อหาการใช้พลังงานทดแทน ผ่านเรื่องราวจังหวัดชลบุรี ในแหล่งท่องเที่ยวสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล ม.บูรพา หาดบางแสน อ่างเก็บน้ำบางพระ แกรนด์แคนยอนชลบุรี และอาหารถิ่น เช่น ข้าวหลามหนองมน ข้าวเกรียบอ่อน ไก่ย่างบางแสน เป็นต้น ออกอากาศในวันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม 2566

ทั้งนี้ มินิซีรีส์ดังกล่าว มีกำหนดเผยแพร่ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 17.00 น. เริ่มตั้งแต่วันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม 2566 ผ่านช่องทาง แอปพลิเคชัน AIS PLAY, YouTube ของ AIS และ YouTube Channel : Amazing Thailand

'ดร.สุวินัย' ชี้!! ไม่มีใคร 'ได้เงิน-ชัยชนะ' จากเว็บพนันออนไลน์ เหตุ!! ผู้ 'แพ้-ชนะ' ถูกกำหนดล่วงหน้า ใต้ผู้ยิ่งใหญ่คอยคุมเกม

(27 ก.ย.66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Suvinai Pornavalai' ในหัวข้อ 'รู้ทันเว็บพนันออนไลน์' ว่า...

เว็บพนันออนไลน์ที่หากินกับคนไทยทุกเว็บ จะมีรายได้แบบอู้ฟู่มาก ๆ โดยไม่มีทางที่จะสูญเสียแต่อย่างใดเลย

เนื่องเพราะทุกเว็บพนันออนไลน์เหล่านี้มีการใช้ระบบ AI ที่ออกแบบมาอย่างเข้าใจจิตวิทยาและธรรมชาติของปุถุชนอย่างลึกซึ้ง

เพื่อหลอกล่อผู้คนให้หลงเข้าไปเล่นในเว็บพนันออนไลน์ จนเสพติดการพนันออนไลน์งอมแงมโงหัวไม่ขึ้น

ทั้งนี้มันได้มีการตั้งโปรแกรมดักเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะให้ผู้เล่นแต่ละรายจะชนะกี่ % และแพ้กี่ % 

สั้น ๆ มันก็เหมือนกับ AI ในเครื่อง GPS ที่รู้ตั้งแต่แรกแต่ต้นจนจบว่า ผู้เล่นคนนั้นจะลงเอยยังที่ใดตอนที่เข้ามาใช้ในแต่ละครั้ง

รายได้ของเว็บพนันออนไลน์จึงอู้ฟู่สุด ๆ ชนิดบ่อนจริงในโลกออฟไลน์ชิดซ้ายไปเลย

ยกตัวอย่าง โต๊ะบาคาร่าที่แทงกันสด ๆ และเห็นวิดีโอการแจกไพ่ เปิดไพ่ จากบ่อนปอยเปต แบบสด ๆ 

โดยแทงเสร็จปุ๊บ ก็จะเห็นสาวเขมรเปิดไพ่ให้เห็นแบบสด ๆ นั้น แท้จริงแล้ว มันเป็นภาพ AI ที่แต่งหลอกทั้งสิ้น

คนส่วนใหญ่ที่หลงเข้ามาเล่นพนันในเว็บพนันออนไลน์มักไม่ค่อยรู้กันหรอก 

เหมือนอย่างที่ Day Trader ที่เทรด Forex  มักไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเทรดกับโบรกเกอร์ที่เป็น ‘เจ้ามือตัวจริง’ ของแพลตฟอร์มที่ตัวเองใช้เทรด หาได้เข้าไปเทรดในตลาด Forex จริง ๆ ไม่

เพราะฉะนั้น คนที่เข้าไปเล่นพนันในเว็บพนันออนไลน์ แทงเท่าไหร่ ก็หมด! เพราะ AI มันจะฉลาดมาก พอรู้ว่า รายนี้เป็นนักเล่นหน้าใหม่เข้ามา มันก็จะอ่อยเหยื่อให้ได้ก่อนตามหลักจิตวิทยา 

เคยมีอินฟลูฯ คนนึงหมดไปกับบาคาร่าออนไลน์ 20 ล้าน 

และมีคดีดังคดีหนึ่งในอดีตที่หนุ่มโปรแกรมเมอร์ไทยคนนึงเข้ามาแจ้งความกับตำรวจและขอความคุ้มครองจากกระทรวงยุติธรรม เพราะว่าตนเองโดนไล่ล่าจากตำรวจใหญ่ยศนายพลคนหนึ่งที่ไปอุ้มเขาจากลานจอดรถ พร้อมข่มขู่ว่าจะฆ่า

เนื่องจากนายพลตำรวจ เจ้าของเว็บพนันออนไลน์คนนี้ ได้คาดคั้นถามเขาว่า...

“ทำไมจู่ ๆ รายได้จากเว็บพนันของกูลดลง”

ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้จากโปรแกรมที่ตั้งเอาไว้ นายพลตำรวจจึงคิดว่า โปรแกรมเมอร์คนนี้เป็นยักยอก จึงมาดักอุ้มและมีภาพวงจรปิดออกมาด้วย 

จากที่เล่ามาข้างต้น ‘ความจริงที่มีหนึ่งเดียว’ ก็คือ...

(1) นายพลตำรวจผู้มีอิทธิพลบางคน ล้วนเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ ไม่มากก็น้อย ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

(2) ไม่มีใครได้เงินจากเว็บพนันออนไลน์ ถ้าไปเล่นหุ้น ยังมีผู้ชนะในตลาดหุ้น 5-10% ของผู้เล่นทั้งหมด
แต่ในเว็บพนันออนไลน์ ผู้เล่นที่สามารถชนะเว็บพนันออนไลน์ได้มี 0% คือไม่มีเลย

ประชาชนจึงต้องรู้ทันกลไกและเล่ห์กลของเว็บพนันออนไลน์

เมื่อรู้ทันก็จะไม่หลงกล พลาดเสียเงินก้อนใหญ่ให้กับเว็บพนันออนไลน์

‘จ้าวลู่ซือ’ ประเดิมเมนูแรกหลังถึงไทย ซัดไข่ดาว 5 ฟอง 5 จานกินคนเดียว!!

(27 ก.ย.66) หลังจากสร้างปรากฏการณ์แฮชแท็ก #ประเทศไทยมีจ้าวลู่ซือแล้ว ครองเทรนด์ทวิตเตอร์ เมื่อนางเอกสาวสุดฮอตจากแดนมังกร ‘จ้าวลู่ซือ’ (Zhao Lusi) ลัดฟ้าถึงเมืองไทยเพื่อเตรียมมีกิจกรรมโปรโมตผลงานในไทยในวันพุธที่ 27 กันยายนนี้ กับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งชื่อดัง 

ทันทีที่มาถึงสนามบิน นักแสดงสาวชาวจีน ก็แจกความน่ารักสดใสอีกทั้งยังโชว์พูดภาษาไทย ออกเสียงชัดเจน "ขอบคุณนะคะ" และ "รักนะคะ"

ไม่เพียงแค่นั้น ‘จ้าวลู่ซือ’ ยังประเดิมเมนูแรกในไทย โดยนางเอกสาวสุดฮอตเลือกเมนูไม่ธรรมดา เรียกว่าสร้างตำนานบทใหม่กันเลยทีเดียว เมื่อ ‘จ้าวลู่ซือ’ ได้โชว์ภาพคู่กับเมนูไข่ดาว ที่ไม่ใช่แค่ไข่ดาวฟองเดียว แต่มาด้วยกันถึง 5 ฟอง 5 จาน พร้อมโชว์กินไข่ดาวโดยกินคนเดียวเองทั้งหมดไม่แบ่งใคร

สำหรับ ‘จ้าวลู่ซือ’ นางเอกจีนคนดัง มีผลงานซีรีส์ชื่อดังมากมาย อาทิ ‘ข้านี่แหละองค์หญิงสาม’ (The Romance of Tiger and Rose), ‘เทียบท้าปฐพี’ (Who Rules The World), ‘ดาราจักรรักลำนำใจ’ (Love Like the Galaxy) และล่าสุด ‘แอบรักให้เธอรู้’ (Hidden Love)

‘สุพิศาล’ แนะ ‘นายกฯ’ ดัน ‘บิ๊กรอย อิงคไพโรจน์’ นั่ง ‘ผบ.ตร.’ ชี้!! ยึดตามหลักอาวุโส หากยังเลือกไม่ได้ ให้ใช้วิธีรักษาการแทน

(27 ก.ย. 66) ที่รัฐสภา พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะอดีตผู้บังคับการกองปราบปราม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่วันนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่จะมีการประชุมโดยมีวาระสำคัญ เพื่อเลือกผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ว่า นายกฯ มีอำนาจตามมาตรา 77 ของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตำรวจแห่งชาติ โดยเลือกรองผบ.ตร. ที่มีอาวุโส ประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถ ในการสืบสวนปราบปราม ซึ่งเป็นมาตราที่บังคับให้นายกฯ ใช้ดุลยพินิจ ในฐานะผู้นำองค์กรในการคัดเลือก

พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวต่อว่า ส่วนปัจจุบันที่มีเหตุการณ์โอนย้ายถ่ายอำนาจของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ที่เป็นแคนดิเดต ผบ.ตร. แต่มีการตรวจค้นบ้าน และพบว่าลูกน้องมีความเกี่ยวข้องเส้นเงินเว็บพนันออนไลน์นั้น ก็เป็นเรื่องประจวบเหมาะ แต่ไม่เกินคาดเดา เพราะเป็นแคนดิเดตที่คนเฝ้ามองอยู่แล้ว ที่มีการคาดเดาว่านายกฯ จะเสนอ

อย่างไรก็ตาม วันนี้เร็วที่สุดคือการเลื่อนออกไป แต่หากจะพิจารณาต้องชี้แจงเหตุผลของบุคคลที่เลือกมา และหากให้นิ่งที่สุดคือการเลือกหมายเลข 1 จากคุณลักษณะเฉพาะ มองว่าจะไม่มีคลื่นใต้น้ำ

“เชื่อว่าจะเป็นที่ยอมรับของสังคมตำรวจ เพราะ พ.ร.บ.ตำรวจฯ ฉบับนี้ มุ่งเน้นอาวุโส ประสบการณ์ ความรู้ ซึ่งแคนดิเดตฯ คนที่ 1 มีครบถ้วนแน่นอน แต่คนอื่นๆ ก็มี อยู่ที่นายกฯ จะชี้แจงเหตุผลอย่างไร ซึ่งจะมีคณะกรรมการ 6 ตำแหน่งจะเป็นตัวชี้ จากการนำเสนอวิสัยทัศน์ของแคนดิเดต รอง ผบ.ตร. ถ้านำเสนอคนที่มีเหตุผลน้อยที่สุด นายก ก็ต้องชี้แจง และฟันธง” พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าว

เมื่อถามว่า การตั้งผบ.ตร.รอบนี้มีข้อแคลงใจเยอะ ควรต้องเลื่อนการประชุมวันนี้เพื่อเคลียร์ปัญหาก่อนหรือไม่ พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวว่า หากประชุมคงมีผลกระทบในที่ประชุมถึงข้อครหา ดีที่สุดคือชักออกจากบัญชี และพิจารณาแค่ 3 คน แต่ถ้าไม่ชักออกแล้วต้องการดันต่อ ก็เลื่อนการพิจารณาออกไป แต่ก็มีความจำเป็นต้องเอาเบอร์ 1 มารักษาการ แต่ถ้านายกฯ ใช้อำนาจเลือกเบอร์ 4 มารักษาการ ก็จะมีรักษาการยาวเหยียดไม่ผ่านการประชุมของ ก.ตร.

“มีกระแสคลื่นใต้น้ำแน่นอน เพราะมีการเขียนคำร้อง เนื่องจากเบอร์ 1 มีสิทธิฟ้องร้องคณะกรรมการฯ ที่เกี่ยวข้องกับการร้องเรียน ซึ่งใช้เวลา 30 วัน คงรู้ผลแพ้ชนะ” พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าว

เมื่อถามว่า หากมีคลื่นใต้น้ำเป็นไปได้หรือไม่ที่จะได้ ผบ.ตร.ส้มหล่น พล.ต.ต.สุพิศาล หัวเราะ ก่อนกล่าวว่า ก็เป็นไปได้ แต่ตามสิทธิก็ถือว่าไม่ได้ส้มหล่น

เมื่อถามว่า การที่นายกฯ เป็นพลเรือนจะทำให้ตัดสินใจยากขึ้นหรือไม่ พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวว่า เป็นพลเรือนก็ง่ายขึ้น มีความสะดวก ถ้าการพิจารณาไม่ไปตามอาณัติใคร

เมื่อถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังมีโอกาสที่จะได้เป็น ผบ.ตร.ในอนาคตหรือไม่ พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวว่า ถ้ายังอยู่ก็ต้องได้เป็น ครั้งหน้าถ้าตั้งใจทำงาน ไม่มีข้อครหา เขาก็ต้องได้ แต่แน่นอนว่าต้องมีกระบวนการเตะตัดขาอยู่แล้ว เพราะเป็นพวกเหาะเหินเดินอากาศได้

เมื่อถามว่า มองว่าสุดท้ายการประชุมวันนี้จะเป็นอย่างไร พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวว่า ตนอ่านเกมว่าดีที่สุดคือเบอร์ 1 ได้ ยึดตามกฎหมาย ระบบอาวุโส ความรู้ ความสามารถ ผ่านงานสืบสวนสอบสวน เบอร์ 1 จึงน่าจะเหมาะสมที่สุด เพราะอาวุโสกว่าคนอื่นๆ คลื่นใต้น้ำน้อยสุดหรือแทบจะไม่มีเลย เพราะอยู่อีกแค่ปีเดียว

‘Vokkee’ ผนึก ‘Omise’ ผุดแพลตฟอร์มเช่ารถแนวใหม่ ชู!! ระบบความปลอดภัย ‘คุณภาพรถ-การชำระเงิน’

(27 ก.ค.66) นายณัฐวุฒิ อรรถประสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Vokkee (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเป็นสตาร์ตอัปน้องใหม่ที่ทำธุรกิจเช่ารถแบบแชร์ริ่ง ผ่านแพลตฟอร์ม Vokkee.Com ซึ่งให้บริการแชร์รถแบบเจ้าของสู่เจ้าของ

โดยจะนำเสนอทางเลือกในการเชื่อมต่อ ระหว่างผู้เช่ารถกับเจ้าของรถ ที่ต้องการนำรถยนต์ที่ไม่ได้ใช้งาน มาสร้างรายได้ ผ่านแพลตฟอร์มดังกล่าว

สำหรับผู้ที่ต้องการเช่ารถสามารถเช่าได้ง่ายๆ และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น พร้อมมีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติรถยนต์แต่ละรุ่น โดยแพลตฟอร์มนี้มีความสำคัญในการยืนยันสภาพรถยนต์และการตรวจสอบเจ้าของรถยนต์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความรับผิดชอบในการให้บริการ

ทั้งนี้ในปัจจุบัน Vokkee มีรถให้เช่าราว 50 คัน และอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลอีก 70 คัน ตั้งแต่รถเล็กขนาดกะทัดรัด จนถึงรถซีดานหรู สำหรับผู้บริหารระดับสูง หรือ สำหรับลูกค้าเช่าเพื่อใช้ในการไปเจรจาธุรกิจ ประชุมสำคัญที่ต้องการความภูมิฐาน รวมทั้งรถตู้ขับพาครอบครัวเที่ยวพักผ่อนต่างจังหวัด ซึ่งได้รับความนิยมมากที่สุด

นอกจากนี้ยังมี รถ SUV ไปจนถึงรถ Off road ไว้บริการผู้ที่ต้องการผจญภัย ซึ่งมีทั้งรถญี่ปุ่นจนถึงรถยุโรปราคาแพงลูกค้าสามารถเลือกได้หลายสไตล์ตามต้องการ

ส่วนราคานั้นทางบริษัทให้เจ้าของรถสามารถตั้งราคาเองได้ ซึ่งบริษัทไม่ได้กำหนด แต่จะมีรายได้จากการเพิ่มราคารถให้เช่าจากราคาที่เจ้าของรถกำหนดไว้ 10-15% เท่านั้น

“แพลตฟอร์มนี้เพิ่งดำเนินการ มา 1 เดือน โดยได้รับความสนใจทั้งลูกค้า และเจ้าของรถเกินความคาดหมาย เพราะธุรกิจรูปแบบนี้เป็นบริษัทแรกในเมืองไทย ที่บริษัทไม่ได้ซื้อรถมาให้เช่าแต่เป็นคนกลางระหว่างเจ้าของรถที่บางบ้านมีหลายคัน ปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ สามารถนำมาสร้างรายได้ ส่วนผู้เช่าอาจจะมีความฝันอยากขับรถในฝันแต่ไม่อยากเป็นเจ้าของก็มาเช่าผ่านแพลตฟอร์ม Vokkee” นายณัฐวุฒิ กล่าว

นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ทาง Vokkee ให้ความสำคัญมากที่สุดคือ เรื่องของความปลอดภัย โดยลงทุนพัฒนาระบบเทคโนโลยี สำหรับลูกค้าที่เป็นผู้เช่ารถ ในการทำธุรกรรมอย่างปลอดภัยผ่านระบบชำระเงินทางออนไลน์ที่ทันสมัย

โดยมี OMISE บริษัทที่มีชื่อเสียง และมีความเชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยในการทำธุรกรรมการเงินระดับโลกเข้ามาช่วยดูแลในฐานะพันธมิตรธุรกิจ ทำให้ผู้เช่ารถไม่ต้องกังวล

ในส่วนของเจ้าของรถที่นำรถมาปล่อยเช่าผ่านแพลตฟอร์มนี้ ทาง Vokkee เน้นในเรื่องความปลอดภัยเช่นกัน ได้ทำการปิดความเสี่ยงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นทุกจุด โดยได้ออกแบบการรักษาความปลอดภัยด้วยความรอบคอบทุกขั้นตอนตั้งแต่ ขั้นตอนในการเลือกรถ การจอง จนถึงการคืนรถ มีการออกแบบอย่างละเอียดที่สำคัญรถที่รับคืนจะต้องมีสภาพเหมือนเดิมทุกอย่าง

“เราได้จัดทำคู่มือฉบับสมบูรณ์แนะนำวิธีการถ่ายภาพรถยนต์เพื่อใช้เป็นเอกสารยืนยัน โดยคู่มือนี้รับประกันว่า ทั้งเจ้าของรถและผู้เช่ารถจะมีรายละเอียด ของสภาพรถทั้งก่อนและหลังการเช่า มีภาพถ่ายชัดเจนจะเป็นหลักฐานสำคัญทั้งนี้ก่อนจะเริ่มเดินทางด้วยรถเช่าผู้ใช้งานจำเป็นต้องยอมรับและปฏิบัติตามเงื่อนไขของบริษัท รวมถึงขั้นตอนการจองรถ การตรวจสอบรถยนต์ การรับรถยนต์ และการคืนรถยนต์ ความเข้าใจและการยอมรับข้อกำหนดและเงื่อนไขนี้ ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดจะทำให้การเช่ารถเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย” นายณัฐวุฒิ กล่าวเสริม

อย่างไรก็ตามแม้ว่าธุรกิจให้เช่ารถจะมีการแข่งขันสูง เรื่องภาพลักษณ์ และความหลากหลายของรถ จึงมีผลต่อเว็บไซต์และแพลตฟอร์ม การเป็นพันธมิตรกับบริษัทประกันภัย และการเสนอโปรโมชันพิเศษ การให้บริการที่ดี มีความรับผิดชอบต่อและความน่าเชื่อถือลูกค้า จึงเป็นสิ่งสำคัญในการจะช่วยดึงดูดลูกค้า

นอกจากนี้ในอนาคต Vokkee จะมีการทำข้อมูล GPS จากรถยนต์ไปสู่การใช้ประโยชน์ในการตลาด การโฆษณาข้อมูลการเดินทาง และระยะทางทำให้เข้าใจแนวโน้ม และพฤติกรรมของผู้บริโภค ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางธุรกิจ

‘มท.1’ ยัน!! ‘ทูตสหรัฐฯ’ เข้าใจการเมืองไทย รับรู้!! รัฐบาลนี้ไม่ได้มาจาก ‘รัฐประหาร’

(27 ก.ย.66) ที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย กล่าวภายหลังพบหารือกับนาย โรเบิร์ต เอฟ. โกเดค เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทยว่า ได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยน เรื่องผู้อพยพเมียนมา ซึ่งอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรีและพื้นที่อื่น ๆ ในประเทศไทย โดยสหรัฐฯ ได้ขอความร่วมมือกระทรวงมหาดไทย ในเรื่องของการคัดกรอง และตรวจสอบคุณสมบัติผู้อพยพที่จะเดินทางไปตั้งรกรากที่สหรัฐอเมริกา และไม่มีการพูดคุยเพื่อให้ไทยรับผู้อพยพเพิ่ม ซึ่งสหรัฐอเมริกามีนโยบายช่วยเหลือผู้อพยพเป็นระยะ ๆ อยู่แล้ว

เมื่อถามว่า เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ได้มีการพูดคุยเรื่องสถานการณ์การเมืองภายในประเทศไทยอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลนี้ถือว่าเป็นรัฐบาลของประชาชนจริง ๆ เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ขอให้สหรัฐฯ นึกถึงไทยในรูปแบบนี้ ไม่ใช่รัฐบาลที่มีผลพวงมาจากการรัฐประหาร ซึ่งทางทูตสหรัฐฯ ก็เข้าใจบริบทการเมืองในประเทศไทย ไม่มีพรรคไหนได้เสียงข้างมากเด็ดขาดที่จะจัดตั้งรัฐบาล พรรคการเมืองอันดับหนึ่งได้ 151 เสียงพรรคการเมืองอันดับสองได้ 141 เสียง

“ผมได้บอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเส้นทางการเมืองของแต่ละพรรคที่เดินไป การที่พรรคที่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดและไม่ได้จัดตั้งรัฐบาลไม่ใช่ครั้งแรก เมื่อปี 2562 ก็เคยเกิดขึ้นแล้ว เป็นเรื่องกลไกทางการเมืองที่จะลงตัวอย่างไร ซึ่งทางสหรัฐอเมริกาก็ไม่ได้ติดใจอะไร” รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ระบุ 

ผลวิจัยชี้!! วัยรุ่นไทย 'Gen Z - Millennial' ยอมลาออก หากบริษัทไม่ยืดหยุ่นให้ 'Work - Life - Balance'

ไม่นานมานี้ ผลสำรวจจาก Deloitte Global 2023 Gen Z and Millennial Survey ที่จัดทำขึ้นโดย Deloitte ต่อเนื่องกันมาเป็นปีที่ 12 ได้ทำการสำรวจมุมมองแนวคิดเชิงลึกของคนในเจนซี และมิลเลนเนียล มากกว่า 22,000 คนจาก 44 ประเทศทั่วโลก มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะติดตามความเปลี่ยนแปลงด้านแนวคิดและมุมมองต่าง ๆ ของกลุ่มเจนซีและมิลเลนเนียลที่เป็นกำลังสำคัญในตลาดแรงงานทั่วโลก  

ในผลสำรวจฉบับนี้ Gen Z จะหมายถึง ผู้ที่มีอายุ 19-28 ปี และ Millennial จะหมายถึงผู้ที่มีอายุระหว่าง 29-40 ปี โดยประเทศไทยนั้น Deloitte ได้ทำการสำรวจ Gen Z จำนวน 200 คน และ Millennial 100 คน ในประเทศไทย 

ผลการสำรวจสะท้อนมุมมองเชิงลึกคนในเจเนอเรชันดังกล่าวที่มีต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ คือ เรื่องของสถานที่ทำงานและเวลาในการทำงาน ดังนี้...

>> ร้อยละ 86 ของ Gen Z และ ร้อยละ 65 ขอ Millennial ในไทย มีแนวโน้มจะเปลี่ยนงานใหม่ หากบริษัทผู้ว่าจ้างต้องการให้พนักงานกลับไปทำงานเต็มเวลาที่ออฟฟิศ 

>> และเกือบร้อย 70 ของทั้งคนไทยรุ่นใหม่ทั้งสองเจเนอเรชัน มีแนวโน้มที่จะขอให้บริษัทมีนโยบายการทำงานที่ยืดหยุ่น ที่มุ่งส่งเสริมแนวคิดการสร้างสมดุลให้ชีวิตและการทำงาน (Work/life Balance) ซึ่งครอบคลุม 3 ประเด็นหลัก ได้แก่...

1) มีทางเลือกในการทำงานร่วมกันได้มากขึ้น 2) ควรหาวิธีทำให้พนักงานพาร์ทไทม์ (part-time) มีโอกาสที่จะก้าวหน้าในอาชีพ และ 3) เปลี่ยนรูปแบบการทำงานเป็นทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ เป็นต้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top