Wednesday, 7 May 2025
TheStatesTimes

‘ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ไทย’ ติดส่งออกอันดับที่ 25 ของโลก ‘ไม้-หวาย-ยางพารา’ จุดแข็งด้านวัตถุดิบของประเทศ

(26 ก.ย.66) นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ทำการวิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจที่น่าจับตามอง ช่วงไตรมาส 3 ของปี 2566 พบว่า หนึ่งในธุรกิจที่มีความโดดเด่น ผลประกอบการดีอย่างต่อเนื่องทั้งในแง่ของรายได้และผลกำไร แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจในอนาคต รวมทั้ง การเข้ามาของนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติ

‘ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์’ เป็นธุรกิจที่มีความโดดเด่นแซงหน้าหลายธุรกิจที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน ปัจจัยสนับสนุนสำคัญ คือ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทั้งจากภาคการบริการและท่องเที่ยว

โดยเฉพาะการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีแนวโน้มดีขึ้น ความต้องการที่พักอาศัยและบ้านหลังที่ 2 เพื่อรองรับการทำงานแบบ hybrid workplace สำหรับชาวไทยรายได้สูงและชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยในไทย

นโยบายภาครัฐ เช่น การลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง รวมถึงธุรกิจที่อยู่อาศัยในจังหวัดภูมิภาคที่มียอดขายเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เช่น จังหวัดชลบุรีและระยองที่ได้รับอานิสงส์จากการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)

ส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เร่งเข้ามาขยายธุรกิจเพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองและการจ้างงาน จังหวัดภูเก็ตเริ่มมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาซื้ออาคารเพื่อลงทุน เป็นต้น โดยภาพรวมหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศในปี 2565 ปรับขึ้น 14.3% อยู่ที่ 392,858 หน่วย รวมถึง การสร้างและขยายธุรกิจโรงแรมเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้น

>> 3 ปี ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ รายได้พุ่ง

พิจารณาจากผลประกอบการของธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พบว่า

ปี 2563 ธุรกิจมีรายได้รวม 151,533.16 ล้านบาท ผลกำไร 3,203.34 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้ 164,844.29 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 13,311.13 ล้านบาท หรือ 8.79%) กำไร 2,928.07 ล้านบาท (ลดลง 275.27 ล้านบาท หรือ 8.60%)
ปี 2565 รายได้ 166,576.23 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1,731.94 ล้านบาท หรือ 1.05%) กำไร 4,563.82 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1,635.75 ล้านบาท หรือ 55.87%)

จะเห็นได้ว่า ภาพรวมผลประกอบการของธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ในปี 2563 -2565 รายได้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยรายได้เฉลี่ยปีละกว่า 160,000 ล้านบาท ถึงแม้ว่ารายได้ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นแต่นับว่ามูลค่าตลาดอยู่ในระดับสูง หากพิจารณาผลประกอบการด้านกำไรในปี 2563-2565 มีความผันผวนบ้าง โดยในปี 2564 มีมูลค่าลดลงเล็กน้อย

ภาพรวมการส่งออกไปตลาดต่างประเทศ ปัจจุบันประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกเฟอร์นิเจอร์อันดับที่ 25 ของโลก โดยไทยมีจุดแข็งด้านวัตถุดิบในประเทศ เช่น ไม้ หวาย และยางพารา เป็นต้น แรงงานที่มีความประณีตและเชี่ยวชาญ

จากข้อมูลของศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ พบว่า มูลค่าการส่งออกเฟอร์นิเจอร์ของไทยโดยรวมยังปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปี 2565 มียอดส่งออกรวม 81,179 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 5%

ตลาดหลัก 5 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย และมีการขยายตัวอย่างโดดเด่นในประเทศแถบเอเชียและในกลุ่มอาเซียน เช่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย โดยหากรวมมูลค่าส่งออกเฟอร์นิเจอร์ของทั้งโลกแล้ว ประเทศไทยมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 0.7% ซึ่งยังมีช่องว่างให้ขยายตลาดส่งออกได้อีกมาก

>> ต่างชาติสนใจธุรกิจ

ในส่วนของการเติบโตในธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ของนักลงทุนชาวไทยและต่างชาติ พบว่า

ปี 2563 มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ 399 ราย ทุนจดทะเบียน 1,225.11 ล้านบาท
ปี 2564 จดทะเบียน 382 ราย (ลดลง 17 ราย หรือ 4.26%) ทุน 1,052.56 ล้านบาท (ลดลง 172.55 ล้านบาท หรือ 14.09%)
ปี 2565 จดทะเบียน 368 ราย (ลดลง 14 ราย หรือ 3.67%) ทุน 1,362.47 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 309.91 ล้านบาท หรือ 29.45%)

ทั้งนี้ สำหรับปี 2566 (มกราคม – สิงหาคม) มีการจดทะเบียน 315 ราย (เพิ่มขึ้น 42 ราย หรือร้อยละ 15.39% เมื่อเทียบกับปี 2565 (มกราคม – สิงหาคม) ที่มีการจดทะเบียน 273 ราย) ทุน 759.42 ล้านบาท (ลดลง 319.60 ล้านบาท หรือ 29.62% เมื่อเทียบกับปี 2565 (มกราคม – สิงหาคม) ที่มีทุน 1,079.02 ล้านบาท)

ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนของคนไทย มีมูลค่าการลงทุน 48,017.18 ล้านบาท คิดเป็น 98.00% ของการลงทุนในธุรกิจทั้งหมด ขณะที่การลงทุนจากต่างชาติสูงสุด คือ จีน มูลค่า 5,606.99 ล้านบาท (0.89%) รองลงมา คือ สิงคโปร์ มูลค่า 2,238.51 ล้านบาท (0.32%) ญี่ปุ่น มูลค่า 479.56 ล้านบาท (0.31%) และอื่นๆ มูลค่า 4,628.19 ล้านบาท (0.48%)

ปัจจุบัน ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ที่ดำเนินกิจการอยู่ในประเทศไทย ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2566 มีจำนวน 6,292 ราย คิดเป็น 0.71% ของธุรกิจทั้งหมดที่ดำเนินการอยู่ และมีมูลค่าทุน 60,970.43 ล้านบาท คิดเป็น 0.28% ของธุรกิจทั้งหมดที่ดำเนินการอยู่ในประเทศไทย

ธุรกิจตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 2,377 ราย (37.77%) รองลงมา คือ ภาคกลาง 1,971 ราย (31.32%) ภาคเหนือ 532 ราย (8.46%) ภาคตะวันออก 478 ราย (7.60%) ภาคใต้ 415 ราย (6.60%) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 381 ราย (6.06%) และ ภาคตะวันตก 138 ราย (2.19%)

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ควรมีการปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าและแนวโน้มความต้องการเฟอร์นิเจอร์รูปแบบต่างๆ ของตลาดโลก โดยเฉพาะปัจจุบันที่พฤติกรรมผู้บริโภคและภาคธุรกิจต่างๆ หันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

ทำให้เกิดกระแส ‘เฟอร์นิเจอร์รักษ์โลก หรือ Green Furniture’ และกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ สำหรับสินค้าเฟอร์นิเจอร์ ถือเป็นโอกาสสำคัญของธุรกิจในการปรับตัวและพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก และเพื่อความยั่งยืนของธุรกิจ ทั้งนี้ ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ของไทยมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่องระยะยาว” อธิบดีฯ กล่าวทิ้งท้าย 

'หมอชลน่าน' แง้ม!! ทิศทาง 'กัญชา' อาจคืนบางส่วนเป็นยาเสพติด กั๊กตอบกัญชาสันทนาการ ต้องดู 'มิติสังคม-สุขภาพ' ควบคู่กัน

(26 ก.ย.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงแนวทางการควบคุมการใช้กัญชา หลังมีบุคลากรทางการแพทย์กลุ่มหนึ่ง อยากให้ รมว.สาธารณสุข ประกาศเป็นนโยบายเร่งด่วน (Quick Win) ในการประกาศควบคุมการใช้กัญชา ขณะที่มีภาคประชาชนบางกลุ่มไม่เห็นด้วยในการห้ามปลูกบ้านละ 15 ต้น รวมถึงการให้กลับไปเป็นยาเสพติด ว่า เรื่องนโยบายเร่งด่วนกระทรวงสาธารณสุขนั้น ประกาศออกมาเป็นภาพรวมเรื่องเศรษฐกิจสุขภาพ หมายความว่า จะนำสุขภาพไปสร้างเศรษฐกิจในมิติสุขภาพที่มีหลายองค์ประกอบ อาทิ ศูนย์กลางการแพทย์ (เมดิคัลฮับ) ซึ่งสามารถดำเนินการได้ตั้งแต่เรื่องวิชาการ ผลิตภัณฑ์สุขภาพ ซึ่งกัญชาอาจจะอยู่ในมุมนี้ การให้บริการรักษาพยาบาล การดูแลสุขภาพ มิติเหล่านี้อยู่ในการประกาศนโยบายเร่งด่วน ไม่ได้เน้นไปที่กัญชา

ผู้สื่อข่าวถามว่า แล้วความชัดเจนเรื่องกัญชาเป็นอย่างไร เนื่องจากรอกฎหมายมาควบคุมอยู่นานมากแล้ว นพ.ชลน่าน กล่าวว่า หลังจากกระทรวงสาธารณสุขรับนโยบายจากนายกรัฐมนตรีแล้ว เราได้เร่งรัด โดยตั้งคณะทำงานมาพิจารณาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงสาธารณสุข โดยนโยบายได้เน้นย้ำว่ากัญชาทางการแพทย์ เพื่อสุขภาพ ซึ่งเป็นมุมโดยตรงของกระทรวง จึงต้องไปดูกฎหมายที่จำเป็น ออกมาใช้บังคับ จะพยายามจัดทำกฎหมายและเสนอโดยเร็วที่สุด ในส่วนของพรรคภูมิใจไทยซึ่งเป็นรัฐบาลร่วมกัน ก็ต้องปรึกษาหารือร่วมกัน

เมื่อถามถึงกรณีการอนุญาตปลูก 15 ต้น จะมีความชัดเจนอย่างไร นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เมื่อมีในกฎหมายเดิม ก็ต้องไปพิจารณาว่า การปลูกเพื่อนำไปสู่การผลิต เพื่อการแพทย์และสุขภาพนั้น ปลูกอย่างไรที่จะได้คุณภาพมาตรฐาน หากปลูกแล้ว ไม่สามารถนำไปใช้ในเรื่องการเข้าสู่อุตสาหกรรมทางการแพทย์เพื่อสุขภาพก็จะทำให้พี่น้องขาดโอกาส ดังนั้น แล้วแต่กฎหมายที่จะเขียนมา เพราะในมุมการผลิตนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับกระทรวงสาธารณสุข

ผู้สื่อข่าวถามว่า จากนี้เรื่องสันทนาการจะไม่สามารถทำได้แล้วหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ตามนโยบายเราต้องเน้น เพื่อการแพทย์ เพื่อสุขภาพ เพราะถ้านอกจากนี้ก็ไม่ใช่มุมของเพื่อการแพทย์และสุขภาพ ดังนั้นต้องมีกฎหมายออกมาว่า จะควบคุมดูแลกันอย่างไร การใช้จะใช้อย่างไร เพื่อไม่ให้กระทบต่อสุขภาพ ซึ่งถ้าจะมีกฎหมายมารองรับ เช่น พ.ร.บ.กัญชง กัญชา ที่เคยพิจารณากันมาแล้ว ก็ต้องไปดูในรายละเอียดว่า จะมีบทบัญญัติใดมาควบคุมดูแล ที่นอกเหนือไปจากการแพทย์ และสุขภาพอย่างไร

ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากนี้ผู้ประกอบการที่เปิดเพื่อเสพแบบสันทนาการยังเปิดต่อไปได้หรือไม่ นพ.น่าน กล่าวว่า เราต้องคิดใน 2 มิติ กระทรวงสาธารณสุข เป็นกระทรวงที่ต้องสร้างสุขภาพ ถ้ากิจการ หรือกิจกรรมที่เขาทำนั้นไม่กระทบต่อสุขภาพ ไม่มีผลต่อสุขภาวะโดยรวม เรื่องมิติเชิงสังคม ก็อาจจะมีกฎหมายเข้าไปกำกับดูแล ควบคุม ส่วนจะปูพรมตรวจร้านที่เปิดสันทนาการหรือไม่ นั้นอยู่ที่ตัวกฎหมายให้อำนาจไว้ อย่าไปคิดว่าจะปูพรมหรือไม่ปูพรม ตอนนี้เราต้องพยายามทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทุกฝ่ายได้ประโยชน์บนพื้นฐานที่ไม่ทำลายสุขภาพ ไม่ทำลายพัฒนาการและการเจริญเติบโตของเด็ก เยาวชนในสังคมไทย

"ขอย้ำว่า การนำสารเสพติดเข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่ไม่เหมาะสม หรือเกินกว่ากำหนด ในระยะเวลาที่มากกว่ากำหนดไว้ ก็จะเป็นผลร้ายต่อสุขภาพ เช่น บุหรี่"

เมื่อถามถึงความคืบหน้าการประกาศกระทรวงสาธารณสุข ที่จะคืนบางส่วนของกัญชาให้กลับเป็นยาเสพติด นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เรื่องนี้สามารถพิจารณาควบคู่ไปได้ เพราะ พ.ร.บ.ต้องยกร่างเข้าสภา ส่วนประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่ใช้ขณะนี้คือประมวลกฎหมายยาเสพติด ให้อำนาจไว้ และอยู่ในความรับผิดชอบของ ป.ป.ส.และกรรมการควบคุมป้องกันยาเสพติด และกระทรวงสาธารณสุข หากเห็นพ้องต้องกันที่จะประกาศ ว่าอะไรที่จะเป็นยาเสพติด สำหรับตัวที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ซึ่งไม่ใช่แค่กัญชาตัวเดียว แต่ถ้ายกตัวอย่างกัญชา คือพืชที่มีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทอยู่ในตัว หากจะประกาศให้เป็นยาเสพติด ก็ต้องไปทำข้อตกลงแล้วจึงประกาศบังคับใช้ ซึ่งจะทำได้เร็วกว่าการตรา พ.ร.บ.และขณะนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันว่า จะคืนส่วนใดบ้าง กำลังปรึกษาหารือกับกระทรวงยุติธรรม โดยจะนัดหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่า เราจะมองเห็นร่วมกันอย่างไร ไม่ให้กระทบ หรือทำลาย กดทับในส่วนที่ทำให้คนสูญเสียโอกาส ส่วนตนยึดหลักเรื่องการแพทย์ และสุขภาพเป็นหลัก

เมื่อถามย้ำว่า การปรับปรุงประกาศกระทรวง และผลักดันร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง จะประกาศเป็นนโยบายควิกวินหรือไม่ นพ.ชลน่าน ไม่ เพราะไม่ได้อยู่ใน 13 นโยบายควิกวินที่ประกาศแล้วในตอนแรก เนื่องจากกฎหมายต้องใช้เวลา เพราะควิกวิน เป็นแผนเร่งรัดปฏิบัติการ ต้องเร่งทำให้เกิดผลสำเร็จภายในเวลาที่ต้องการ ผลลัพธ์ที่ได้ต้องพิสูจน์ได้ จับต้องได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องกัญชามีสิ่งที่จะต้องร่วมกันพิจารณาอย่างมาก ทั้งตัวประกาศและข้อกฎหมายต่างๆ และผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ดังนั้น หากประกาศบนพื้นฐานของความไม่รอบคอบก็จะส่งผลเสียมากกว่าผลดี

‘นักเทนนิสเกาหลี’ ฉุนขาด หลังเสียหน้าแพ้ไทย ไม่จับมือ-เขวี้ยงไม้ ด้านชาวเน็ตสวดยับ!! ไม่มีน้ำใจนักกีฬา-ไร้วุฒิภาวะ-สร้างความอับอาย

เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 66 การแข่งขันเทนนิส กีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 19 ที่สนามโอลิมปิกเทนนิส เซ็นเตอร์ เมืองหางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน วันที่ 2

โดยประเภทชายเดี่ยว รอบสอง (32 คน) ‘บูม กษิดิศ’ สำเร็จ นักเทนนิสไทย วัย 22 ปี มือ 636 ของโลก พบงานหนักอย่าง ‘ควอน ซุนวู’ จากเกาหลีใต้ วัย 25 ปี ที่เคยขึ้นไปอยู่อันดับ 52 ของโลกแต่ปัจจุบันอยู่อันดับที่ 112 ของโลก

‘บูม กษิดิศ’ สามารถชนะ ‘ควอน ซุนวู’ และผ่านเข้ารอบสาม หรือ 16 คนสุดท้าย ไปพบ ‘คูโมยัน ซุลตานอฟ’ จากอุซเบกิสถาน

ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องราวที่น่ายินดี แต่ก็เกิดดรามาขึ้น เมื่อจบการแข่งขันเซตสุดท้ายและประกาศผลผู้ชนะ ตามธรรมเนียมก็ต้องมีการจับมือแสดงความยินดีระหว่างนักกีฬา

แต่ผู้แพ้อย่างควอน ซุนวู กลับเขวี้ยงไม้เทนนิส และฟาดลงกับพื้นซ้ำ ๆ จนไม้เทนนิสหัก และเมื่อ บูม กษิดิศก็เดินเข้าไปพยายามที่จับมือ แต่อีกฝ่ายกลับเมินไม่สนใจ

เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นเดือด หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่า ควอน ซุนวู ที่เป็นตัวเต็งของรายการนี้อาจรับไม่ได้ที่ตัวเองแพ้ และอาจเสียหน้าที่แพ้ไทยซึ่งอันดับต่ำกว่า

ยังมีกรณีหนึ่ง คือ คาดหวังจะได้เหรียญจะได้ไม่ต้องเข้ากรม เพราะเกาหลีใต้เพิ่งเปลี่ยนกฎใหม่เกี่ยวกับการบังคับเกณฑ์ทหาร

ทัวร์ไทยลงว่าหนักแล้ว ทัวร์เกาหลีลงหนักกว่า ชาวเน็ตหลายคนถึงกับไล่ให้ออกจากทีมชาติ เพราะมีพฤติกรรมไม่มีน้ำใจนักกีฬา สร้างความอับอายให้ประเทศ

ในส่วนของเรื่องราวนอกสนาม ควอน ซุนอู เปิดตัวคบหากับ ยูบิน สาวรุ่นพี่ที่อายุมากกว่า 9 ปี อดีตสมาชิกวง Wonder Girls (วันเดอร์ เกิร์ลส์) เกิร์ลกรุ๊ประดับตำนานจนเป็นข่าวใหญ่ระดับประเทศไปเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

‘เกลือ กิตติ’ โชว์บัตรนักศึกษาในวัยเลข 4 หลังตัดสินใจเรียนป.ตรี สาขาวิชาเกี่ยวกับจิตวิทยา เพื่อเป็นประโยชน์กับตัวเองในอนาคต

(26 ก.ย.66) ไม่มีใครแก่เกินเรียน…เช่นเดียวกับ ‘เกลือ กิตติ เชี่ยววงศ์กุล’ ในวัย 44 ปี ที่ล่าสุดออกมาโพสต์ภาพถ่ายบัตรประจำตัวนักศึกษาหลังตัดสินใจลงเรียนปริญญาตรีใบที่สอง ในสาขาวิชาเกี่ยวกับเรื่องจิตวิทยา โดยเกลือได้เขียนข้อความบอกเหตุผลที่เรียนครั้งนี้ว่า

“กลับมาเป็นนักศึกษาอีกครั้ง ในวัยเลขสี่ด้วยเหตุผลหลายข้อ ข้อแรก เราคิดว่าการเรียนจิตวิทยาน่าจะเป็นประโยชน์ต่ออาชีพพิธีกร เพราะการเข้าใจมนุษย์ น่าจะสำคัญพอๆ กับการสื่อสาร ซึ่งการสื่อสารเราได้เรียนไปแล้ว แล้วตอนทำรายการก็มีน้องหลายคนมาปรึกษา เราได้แต่ตอบจากประสบการณ์ชีวิตซึ่งบางทีอาจจะไม่ใช่คำปรึกษาที่ดีที่สุดสำหรับเขาทั้งหลาย ข้อสอง อยากเอาชนะความกลัวของตัวเอง ความกลัวเรียนไม่จบมันหลอนมาตั้งแต่เด็ก บางคืนยังมีแอบฝันว่าตัวเองเรียนไม่จบ เลยเรียนป.ตรีมันอีกใบซะเลย และข้อสุดท้าย อยากเรียนเพื่อเป็นตัวอย่างให้ลูกๆ ได้เห็นว่า ชีวิตของเรานั้นต้องเรียนรู้ตลอดทั้งชีวิต ไม่มีใครแก่เกินเรียน จะเรียนจบหรือไม่นั้นก็ต้องพยายามดู เป็นกำลังใจให้ข้าพเจ้าด้วยยย #รามคำแหง”

สื่อจีนชื่นชม 'ป๊อปปี้' ผู้ประกาศ Top News หลังแต่งชุดไทย ร่วมพิธีเปิดเอเชียนเกมส์

(26 ก.ย.66) กลายเป็นที่ฮือฮาและพูดถึงกันเป็นอย่างมาก เมื่อ พรสวรรค์ จารุพันธ์ หรือ ‘ป๊อปปี้’ ผู้ประกาศข่าว Top News โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘พรสวรรค์ จารุพันธ์-Poppy-Phonsawan Jarupan’ ระบุว่า เก็บตกบรรยากาศ #พิธีเปิดเอเชียนเกมส์ 2022 ครั้งที่ 19 ที่เมืองหางโจว ประเทศจีน ปธน.สี จิ้นผิง และภริยาเผิง ลี่หยวน เป็นประธานในพิธี ซึ่งมีโชว์การแสดงแสง สี เสียง ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และปีนี้งดใช้พลุไฟ (จากคาร์บอนที่สร้างมลพิษ และฝุ่น PM 2.5) แต่ใช้พลุแบบดิจิทัล ผ่านเทคโนโลยี AR

ส่วนทัพนักกีฬาไทย เดินขบวนเข้าสนามลำดับที่ 38 โดยมี ‘ธันยพร พฤกษากร นักกีฬายิงปืน’ และ ‘วีระพล จงจอหอ นักกีฬามวยสากล’ ถือธงไตรรงค์ นำนักกีฬาไทยเข้าสู่สนาม

พอสัมผัสภายในงานแล้ว ยิ่งใหญ่อลังการมากๆ เลยค่ะ ที่สำคัญ ใน #สนามหางโจวโอลิมปิกสปอร์ตเอ็กโปเซนเตอร์ กว่าจะเข้าไปถึงได้…ต้องผ่าน Security หลายด่าน ขึ้นลงรถบัสอีกหลายต่อกว่าจะถึงสนาม และห้ามนำของเหลว เจล สเปรย์และทุกอย่างที่เป็นแอลกอฮอล์ ของมีคม รวมถึงทุกอย่างที่เป็นด้ามๆ (เช่น ร่ม ธงชาติพันไม้ฯ) อาหาร ขนม และทุกอย่างที่เป็นบลูทูธ ห้ามนำเข้าไปในสนามโดยเด็ดขาด เหตุผลด้านความปลอดภัย

ล่าสุดวันนี้ พรสวรรค์ ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความอีกว่า #ชุดไทย Hot มากกกกก ป๊อปปี้ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อจีนและสื่อต่างชาติ เป็นจำนวนมาก หลังจบพิธีเปิดค่ะ...เก็บตกพิธีเปิดเอเชียนเกมส์ 2022…

ขณะที่ เพจเฟซบุ๊ก ‘Street Hero V3’ โพสต์ภาพของ พรสวรรค์ หรือ ‘ป๊อปปี๊’ พร้อมระบุข้อความว่า “น้องป๊อบปี้ นักข่าว Top News เป็นที่สนใจของสื่อจีนเมื่อแต่งชุดไทยเข้าร่วมพิธีเปิดเอเชียนเกมส์” ทำให้บรรดาชาวเน็ตต่างพากันเข้ามาชื่นชมและแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก

ซึ่งโดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 66 นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย พร้อมด้วย พลเรือตรีหวัง เจิ้ง ผู้ช่วยทูตทหารสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ให้เกียรติเชิญ ผู้บริหารสถานีข่าว Top News นำโดยคุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม และคุณชยธร ธนวรเจต ร่วมในงานเฉลิมฉลองเนื่องในวันกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA) ซึ่งปีนี้ครบรอบ 96 ปี ที่ตรงกับวันที่ 1 สิงหาคม ที่ห้องแกรนบอลรูม ณ โรงแรมเชียงกรีล่า

นอกจากนี้ ทางสถานทูตจีน ยังได้ให้เกียรติสถานีข่าว Top News ให้เป็นตัวแทนสื่อของไทยเพียงคนเดียว คือน้องป๊อบปี้ พรสวรรค์ จารุพันธ์ ผู้ประกาศข่าว Top News เข้าร่วมโครงการ China Asia Pacific Press Center 2023 ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นเวลา 4 เดือน

โดยโครงการนี้มีนักข่าวมากกว่า 70 คนจากกว่า 60 ประเทศเข้าร่วม และโปรแกรมที่น้องป๊อปปี้ไปเข้าร่วมมีนักข่าว 16 คนจาก 12 ประเทศ เป็นการบรรยายเกี่ยวกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของจีน, การทูต, วัฒนธรรม, วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, ให้การฝึกอบรมด้านสื่อสารมวลชนและการฝึกงานด้านสื่อของจีน, จัดสัมมนาร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสถาบันคลังความคิดและองค์กรด้านสื่อ, จัดการเยี่ยมชมตามมณฑลต่างๆ และครอบคลุมถึงเหตุการณ์สำคัญในประเทศจีนด้วย

‘กองทุนดีอี’ โชว์ผลสำเร็จโครงการโดรนสำรวจพื้นที่ป่า เตรียมใช้ข้อมูลเพิ่มศักยภาพดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ

‘กองทุนดีอี’ โชว์ผลสำเร็จโครงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับและเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หลังสำรวจครบ 11 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เตรียมนำข้อมูลช่วยดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ

สถานการณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน มีการบุกรุกทำลายก่อให้เกิดผลกระทบต่อสังคม สิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทำกิน และทรัพยากรป่าไม้โดยการออกนโยบายต่าง ๆ เพื่อสงวน และอนุรักษ์ป่าไม้มาโดยตลอด แต่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งปัญหาอีกประการด้วยข้อจำกัดของเทคโนโลยีในการจัดทำภาพถ่ายทางอากาศซึ่งในอดีตไม่สามารถแสดงผลข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศความละเอียดสูง เพื่อกำหนดขอบเขตของพื้นที่ป่าอย่างชัดเจน หรือติดตามสถานการณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้อย่างละเอียด อีกทั้งยังไม่มีการประยุกต์ใช้ข้อมูลเพื่อจัดการด้านภัยธรรมชาติ เช่น ไฟป่า น้ำป่าไหลหลาก หรือดินถล่ม เนื่องจากมีข้อจำกัดทางด้านเทคโนโลยี

กองการบิน สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้นำเสนอโครงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับและเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อจัดทำภาพถ่ายทางอากาศและการบินลาดตระเวนทางอากาศ ด้วยอากาศยานไร้คนขับ ในการสนับสนุนภารกิจด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการติดตามสถานการณ์ไฟป่าและน้ำป่าไหลหลาก รวมถึงเพื่อพัฒนาระบบจัดเก็บ แลกเปลี่ยน และแสดงผลข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศความละเอียดสูงสำหรับสนับสนุนการจัดการพื้นที่ทำกิน ให้บริการแก่ประชาชนและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และแสดงผลข้อมูลสถานการณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงสถานการณ์ด้านไฟป่าและน้ำป่าไหลหลากในรูปแบบ real time บน web map service และ mobile application และเพื่อพัฒนาระบบติดตามและเฝ้าระวังพื้นที่ป่าและป่าอนุรักษ์ รวมทั้งพื้นที่ชุมชนที่อยู่อาศัยและใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่า และพื้นที่ป่าอนุรักษ์ โดยอากาศยานไร้คนขับในรูปแบบขึ้นลงทางดิ่ง (vertical takeoff and landing, VTOL) สำหรับการลาดตระเวนทางอากาศและการสำรวจจัดทำภาพถ่ายทางอากาศ 

โครงการดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ปีงบประมาณ 2564 โดยเป้าหมายของโครงการนี้เพื่อใช้อากาศยานไร้คนขับสำหรับงานลาดตระเวน ติดตามสถานการณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการบุกรุกทำลายและสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไม่ต่ำกว่า 9 ล้านไร่ อีกทั้งยังเป็นฐานข้อมูลเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนที่อาศัยและทำกินในพื้นที่ป่า และป่าอนุรักษ์ ด้านการจัดพื้นที่ทำกิน การใช้ประโยชน์ที่ดิน รวมถึงการจัดการด้านภัยธรรมชาติ เช่นไฟป่า น้ำป่าไหลหลาก หรือดินถล่ม และเป็นการเสริมศักยภาพในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจากเดิมที่ใช้อากาศยานเป็นอุปกรณ์หลักเพียงอย่างเดียว ให้มีอุปกรณ์เสริมช่วยลดความเสี่ยง และสามารถเข้าพื้นที่ได้รวดเร็ว ครอบคลุมมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาช่องทางให้บริการข้อมูลที่จำเป็นแก่ประชาชน และหน่วยงานภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ข้อมูลภาพถ่ายความละเอียดสูงแบบหลายช่วงคลื่น ประกอบภาพถ่ายสีธรรมชาติ ข้อมูลสภาพภูมิประเทศแบบสามมิติ วิดีโอในรูปแบบ real time เป็นต้น ในการสนับสนุนการตัดสินใจของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องและประชาชน

สรุปผลการดำเนินงาน โครงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับและเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีอากาศยานไร้คนขับ จำนวนทั้งสิ้น 14  ลำ โดยมีพื้นที่เป้าหมายดำเนินการใน 11 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและพื้นที่ส่วนกลางในกรุงเทพมหานคร 

ปัจจุบันได้มีการทดสอบการใช้งานจริงในพื้นที่เป้าหมายที่กำหนดซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีสภาพป่าเขา พื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ ไฟป่า และพื้นป่าที่มีประชาชนอยู่อาศัยทำกิน โดยกำหนดเป็นภารกิจการบินสำหรับการจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ การบินลาดตระเวนพื้นที่ รวมทั้งการฝึกอบรมผู้ใช้งานให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ  

จากการได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ส่งผลให้ประเทศไทยมีเทคโนโลยีสำหรับการสำรวจที่ทันสมัย เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการจัดการพื้นที่ทำกิน ด้วยข้อมูลสารสนเทศเชิงพื้นที่ความละเอียดสูงจากอากาศยานไร้คนขับ และยังเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ลดความเสี่ยงและการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติ อีกทั้งมุ่งผลลัพธ์ในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อลดการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้ โดยการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในครั้งนี้เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างยั่งยืน

9 เรื่องน่าเซ็งใน 'เยอรมนี' ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีแบบนี้ จากประสบการณ์ 4 ปี ของคนไทยที่ไปอาศัยจริง

(26 ก.ย. 66) เจ้าของช่องยูทูบชื่อ ‘pattamai’ ได้โพสต์วิดีโอบอกเล่าประสบการณ์การใช้อยู่ที่เยอรมนีตลอด 4 ปี พร้อมระบุถึง ‘ข้อเสีย’ ที่ไม่ชอบในประเทศเยอรมนี ซึ่งได้เน้นย้ำอย่างยิ่งว่าเป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่พบเจอ ทั้งหมด 9 ข้อ ดังนี้…

ข้อ 1 ระบบการแพทย์ แม้ประเทศเยอรมนีจะโดดเด่นในเรื่องการแพทย์ หรือเทคโนโลยีด้านการแพทย์ แต่สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือ ‘ระบบการแพทย์’ หรือ ‘สาธารณสุข’ ที่แม้ทุกคนจะมีประกันสุขภาพที่สามารถใช้รักษาอาการเจ็บป่วยได้ฟรี แต่สิ่งที่เป็นปัญหาหนักมาก ๆ คือ การนัดพบแพทย์ เนื่องจากบุคลากรทางการแพทย์ของเยอรมนีมีจำนวนน้อย ทำให้การนัดพบแพทย์ใช้เวลารอนาน บางครั้งอาการป่วยเล็กน้อยก็กลายเป็นอาการรุนแรง ปัญหานี้เกิดขึ้นกับทั้งคนเยอรมันและชาวต่างชาติที่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศนี้

ข้อ 2 วันอาทิตย์ที่เงียบเหงาในประเทศเยอรมนี คนที่ประเทศนี้จะให้ความสำคัญกับวันอาทิตย์มาก ๆ เพราะถือว่าเป็นหยุดและต้องใช้ชีวิตกับครอบครัว เป็นวันที่ทุกอย่างเงียบสงบจนดูเหงาหงอย และแน่นอนว่านี่คือปัญหา เพราะร้านค้า ห้าง ซูเปอร์มาร์เก็ต ทุก ๆ ที่ปิดหมด ซึ่งเรื่องนี้ไม่สอดรับกับโลกยุคปี 2023 ที่ไม่ใช่ทุกคนที่จะหยุดวันอาทิตย์ หรือทำงานแค่จันทร์ถึงศุกร์ นี่จึงเป็นปัญหาที่มองเห็นได้ชัดเจน

ข้อ 3 กฎ ข้อห้าม ข้อบังคับถี่ยิบย่อยและละเอียดเกินไป ที่ประเทศเยอรมนีจะมีกฎแปลก ๆ ที่ทำให้รู้สึกว่า มีกฎข้อนี้ทำไม ยกตัวอย่างเช่น การปั่นจักรยาน เขาจะมีกฎเลยว่า สามารถปั่นจักรยานได้ตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมง ตรงบริเวณไหนที่ต้องจูงจักรยาน เวลาไหนถึงจะขี่เล่นนี้ได้ อีกตัวอย่างหนึ่งคือ การใช้ฟิตเนส ก็มีข้อบังคับเหมือนกัน เช่น หากจะว่ายน้ำก็จะมีกฎระบุว่าเวลากี่โมงถึงกี่โมงเป็นการว่ายน้ำออกกำลังกาย หรือช่วงไหนเป็นการว่ายน้ำชิว ๆ จะมีกฎแบบนี้เยอะมาก ซึ่งคนจำไม่ได้ แต่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่จะจริงจังมาก บางครั้งก็โดนปรับแบบงง ๆ 

ข้อ 4 สังคมเงินสด ที่เยอรมนียังนิยมใช้จ่ายเป็นเงินสด น้อยมาก ๆ ที่จะจ่ายด้วยบัตรหรือการสแกนจ่ายแบบที่ไทย ระบบ banking ที่นี่ช้ามาก ไม่ได้โอนปุ๊บเงินเข้าปั๊บ แต่ต้องรอ 1-2 วันกว่าเงินจะเข้า ซึ่งถือเป็นเรื่องลำบากมากสำหรับคนที่ไม่มีเงินสด เพราะบางร้านไม่รับโอนจ่าย หรือบัตรเลย ซึ่งสังคมเงินสดนี้เกี่ยวโยงถึงการรักษาความเป็นส่วนตัวด้วย คนเยอรมันยังคงยึดถือเรื่องนี้อย่างจริงจัง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่า หากเราต้องการความสะดวกสบายในการชำระเงินผ่านระบบที่รวดเร็ว เราพร้อมที่จะแลกข้อมูลทางการเงินของเราหรือไม่?

ข้อ 5 อินเทอร์เน็ตที่เยอรมนีช้ามาก เนื่องจากโครงข่ายที่นี่ยังเป็นเคเบิล ไม่ใช่ไฟเบอร์ออปติก จึงทำให้สัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่เร็วแรงเหมือนที่ไทยหรือประเทศโซนเอเชีย แม้จะใช้โทรศัพท์ที่รองรับ 5G แต่ก็ไม่สามารถใช้อินเทอร์เน็ตแบบรวดเร็วทันใจได้ ส่วนเรื่องไวไฟในที่สาธารณะก็น้อยและช้ามาก ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับยุคดิจิทัลในตอนนี้เลย

ข้อ 6 อาหารในเยอรมนีไม่อร่อย เนื่องจากวัตถุดิบที่เอามาทำอาหารไม่หลากหลาย รสชาติของอาหารไม่หลากหลายเหมือนไทยที่จะมีครบทุกรสชาติ แต่เยอรมนีจะมีแค่เค็ม จืด วนไปมาอยู่แบบนี้ แต่สิ่งที่อร่อยคือขนมปัง

ข้อ 7 รถไฟที่เยอรมนีมาเลท ช้า จริงอยู่ที่รถไฟเยอรมนีเคยเป็นรถไฟที่มาตรงเวลา แต่ปัจจุบันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว ตอนนี้รถไฟมาช้า หรือบางทีก็ไม่มาเลย ต้องรอนานมาก ๆ 30 นาทีขึ้นไปก็เคยมีมาแล้ว ดังนั้นใครคิดว่ารถไฟที่นี่ตรงเวลาคือคิดผิด

ข้อ 8 ระบบราชการเยอรมนีช้ามาก เนื่องจากเยอรมนีไม่ค่อยใช้ระบบดิจิทัล หรืออินเทอร์เน็ตในการทำงาน ทุกอย่างจะผ่านการพิมพ์ในกระดาษทั้งหมด ทำให้การติดต่อกับภาครัฐช้าและใช้เวลานานมาก เช่น หากจะต่อวีซ่า ต้องนัดล่วงหน้า 3-4 เดือน หรือบางครั้งอาจจะต้องรอไปอีกเป็น 5-6 เดือนเลย

ข้อ 9 คบคนเยอรมันเป็นเพื่อนยากมาก ชาวต่างชาติที่มาอยู่เยอรมนีและหวังว่าจะมีเพื่อนเป็นคนเยอรมัน ถือเป็นเรื่องที่ยากมาก เนื่องจากคนเยอรมันเขามีวัฒนธรรมอย่างหนึ่งคือเขาจะคบหรือสนิทอยู่กับเพื่อนกลุ่มเดิม ๆ เช่น เพื่อนที่เรียนมัธยมด้วยกัน คบกันนานมาก ๆ และไม่ค่อยเปิดรับเพื่อนใหม่ ๆ เข้ากลุ่ม ยิ่งเป็นชาวต่างชาติยิ่งยากเลย หลายคนที่มาอยู่ที่นี่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หาเพื่อนเยอรมนียากมาก เหมือนมีกำแพงคั่นตลอด ถึงแม้พวกเราจะคุย เล่น ปาร์ตี้กับเราปกติก็ตาม 

‘รัสเซีย’ ยกระดับเอาคืน!! ขู่ขึ้นบัญชีดำหมายหัว ‘ปธ.ศาลโลก’ ปม ‘ไอซีซี’ ออกหมายจับ ‘ปูติน’ ฐานก่ออาชญากรรมสงคราม

เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 66 ‘รัสเซีย’ ได้เปิดเผยว่าได้ใส่ชื่อ ‘ปิโอเตอร์ ฮอฟมันสกี’ (udge Piotr Hofmański) ประธานศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) ในบัญชีต้องการตัว ความเคลื่อนไหวตอบโต้กรณีที่ศาลแห่งนี้ออกหมายจับ ‘ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน’ ตามข้อกล่าวหาก่ออาชญากรรมสงคราม

‘ฮอฟมันสกี ปิโอเตอร์ โจเซฟ’ ชาวโปแลนด์ เป็นที่ต้องการตัวภายใต้มาตรการหนึ่งของประมวลกฎหมายอาญาแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย ตามประกาศฉบับหนึ่งที่ปรากฏในฐานข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยรัสเซีย

อย่างไรก็ตาม กระทรวงมหาดไทยรัสเซียไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม เกี่ยวกับคำกล่าวหาที่มีต่อ ฮอฟมันสกี

เมื่อเดือนมีนาคม ศาลอาญาระหว่างประเทศ ที่มีสำนักงานใหญ่ในเมืองเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้ออกหมายจับ ‘ปูติน’ ฐานก่ออาชญากรรมสงคราม ตามข้อกล่าวหาบังคับเนรเทศเด็กๆ ชาวยูเครนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

นอกจากนี้ ศาลอาญาระหว่างประเทศยังออกหมายจับ ‘มาเรีย ลโววา-เลโบวา’ คณะกรรมาธิการด้านสิทธิเด็กประจำทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซีย ในข้อหาเดียวกัน

รัฐบาลเคียฟกล่าวอ้างว่า เด็กยูเครนหลายหมื่นคนถูกนำตัวไปรัสเซียนับตั้งแต่เริ่มการสู้รบ เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ปีที่แล้ว โดยมีข้อมูลว่าเด็กจำนวนมากถูกส่งไปอยู่ในสถานสงเคราะห์ และบ้านอุปถัมภ์ ภายใต้ความพยายามล้างสมองเด็กเหล่านั้นให้ฝักใฝ่สหพันธรัฐรัสเซีย

ก่อนหน้านี้ รัสเซียเคยออกหมายจับ ‘คาริม ข่าน’ อัยการของศาลอาญาระหว่างประเทศและผู้พิพากษาหลายคน

มอสโกตอบโต้ว่า ไอซีซีไม่มีอำนาจหรือความชอบธรรมในการออกหมายจับ เพราะว่ารัสเซียไม่ได้เป็นสมาชิกและไม่เคยให้การรับรองธรรมนูญกรุงโรมปี 1998 ที่จัดตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศแห่งนี้

ในเดือนกันยายน ศาลอาญาระหว่างประเทศเปิดทำการสำนักงานสนามแห่งหนึ่งในยูเครน ส่วนหนึ่งในพยายามหาทางลงโทษกองกำลังรัสเซีย ต่อปฏิบัติการรุกรานยูเครนที่ได้รับการหนุนหลังจากตะวันตก

‘ครม.’ ประกาศให้ 13 ตุลาคม เป็นวัน ‘นวมินทรมหาราช’ เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในหลวงรัชกาลที่ 9

(26 ก.ย.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ครม.เห็นชอบประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องพระราชทานชื่อวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยให้วันที่ 13 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวัน ‘นวมินทรมหาราช’ เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้า ล้นกระหม่อมแก่อาณาประชาราษฎร์ ตลอดรัชสมัยของพระองค์ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่นานัปการ เพื่อความวิวัฒน์พัฒนาของบ้านเมือง เป็นคุณประโยชน์อเนกอนันต์ และยังความผาสุก ร่มเย็นแก่ผองพสกนิกรชาวไทย พระเกียรติคุณเป็นที่แซ่ซ้องก้องประจักรทั้งแก่ปวงชนชาวไทยและนานาอารยประเทศ แม้การเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 จะล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบัน แต่พสกนิกรทุกหมู่เหล่ายังล้วนคำนึง ซาบซึ้งถึงพระมหากรุณาธิคุณอย่างไม่รู้ลืมเลือน 

นายชัย กล่าวว่า วันที่ 13 ตุลาคม 2566 เป็นวันแห่งการเสด็จสวรรคตครบ 7 ปี หรือ ‘สัตตมวรรษ’ ดังนั้นเพื่อให้วันคล้ายวันสวรรคต เป็นวันแห่งการร่วมรำลึก และน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ แห่งพระมหากษัตริย์ผู้ทรงมีคุณูปการอันยิ่งใหญ่แก่แผ่นดิน การนี้รัฐบาลจึงได้นำความกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย ซึ่งทรงพระราชกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ชื่อวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ว่าวัน ‘นวมินทรมหาราช’ ตามที่รัฐบาลได้ขอพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณ จึงเห็นสมควรกำหนดให้วันที่ 13 ตุลาคม ของทุกปีเป็นวันนวมินทรมหาราช นับตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน 2566 เป็นต้นไป

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อระดมความคิดเห็นจากข้าราชการตำรวจผู้มีประสบการณ์สูงด้านต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อระดมความคิดเห็นจากข้าราชการตำรวจที่มีประสบการณ์สูงด้านต่าง ๆ เพื่อนำมาปรับปรุงงานบริหารงานบุคคลขอสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และพิธีมอบประกาศเกียรติคุณแก่ข้าราชการตำรวจผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ และงานเลี้ยงรับรอง ประจำปีงบประมาณ 2566 ในระหว่างวันที่ 25-27 ก.ย.66 ณ โรงแรมอนันตรา ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ, 
โรงแรมอวานี พลัส ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม ซึ่งในปีนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีข้าราชการตำรวจที่มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์และจะพ้นจากราชการเนื่องจากเกษียณอายุราชการ รวมถึงข้าราชการตำรวจที่เข้าร่วมโครงการปรับเปลี่ยนกำลังพล (Early Retire) ทั่วประเทศ ตั้งแต่ระดับชั้นยศ พ.ต.อ. หรือตำแหน่งเทียบเท่า จนถึงระดับชั้นยศ พล.ต.อ. ที่เข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้น 396 นาย 

โดยแบ่งเป็นผู้ที่เกษียณอายุราชการ จำนวน 346 นาย และผู้ที่เข้าร่วมโครงการปรับเปลี่ยนกำลังพล จำนวน 50 นาย โดยในปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่จะเกษียณอายุราชการ อาทิ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.อ.ชินภัทร  สารสิน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.วิสนุ  ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ และพล.ต.อ.สมพงษ์  ชิงดวง ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น
 สำหรับการดำเนินงานโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อระดมความคิดเห็นข้าราชการตำรวจ
ที่มีประสบการณ์สูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระดมความคิดเห็นจากข้าราชการตำรวจผู้มีประสบการณ์สูงในงานด้านต่าง ๆ เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการปรับปรุงงานบริหารงานบุคคลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต่อไป โดยภายในงานสัมมนาได้มีการจัดแสดงนิทรรศการ และกิจกรรมต่างๆ อาทิ โรงพยาบาลตำรวจ จัดคณะแพทย์และพยาบาล เพื่อตรวจสุขภาพและคอยให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพเบื้องต้น, กองสวัสดิการตำรวจ จัดเจ้าหน้าที่ในการแนะนำเรื่องของสวัสดิการต่างๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังจัดให้มีการสัมมนา อภิปรายเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์แก่ผู้เข้าร่วมการสัมมนาฯ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top