Wednesday, 7 May 2025
TheStatesTimes

รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ จัดพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายและวางพวงมาลาถวายราชสักการะ เนื่องในวันมหิดล

โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ (รพ.สก.พร.) อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี จัดพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย และวางพวงมาลาถวายราชสักการะ จอมพลเรือ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก เนื่องในวันมหิดล 

โดยมีพลเรือตรี กิตตินันท์ งามศิลป์ ผู้อำนวยการ รพ.ฯ เป็นประธานในพิธี ร่วมด้วยคณะผู้บริหาร ข้าราชการ รพ.ฯ และหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วมพิธีสงฆ์ และวางพวงมาลาถวายราชสักการะ ณ พระราชานุสาวรีย์ฯ รพ.พระนางเจ้าสิริกิติ์ พร.

เนื่องในวันมหิดล ตรงกับวันที่ 24 กันยายน ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันและการสาธารณสุขของไทย“ ด้วยพระราชกรณียกิจที่ทรงวางรากฐานทางการแพทย์และสาธารณสุขของไทย ให้มีเจริญก้าวหน้า และในปีนี้ วันมหิดล 24 กันยายน ประจำปี 2566 เป็น “วันมหิดลและวันประโยชน์ ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง”

‘ศาลฯ’ สั่ง ‘อานนท์’ จำคุก 4 ปี คดีหมิ่นสถาบัน เจ้าตัวเผย กำลังใจยังดีและการต่อสู้จะคงดำเนินต่อไป

(26 ก.ย. 66) เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีดูหมิ่นสถาบัน หมายเลขดำอ. 2495/2564 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้องนายอานนท์ นำภา อายุ 39 ปี ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เป็นจำเลยในความผิดฐานดูหมิ่น สถาบันเบื้องสูง ร่วมกันมั่วสุมชุมนุม ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง พ.ร.ก.การบริหาราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 พ.ร.บ.จราจรทางบก ฯ กรณีเมื่อวันที่ 14 ต.ค.63 จำเลยกับพวกได้ร่วมกันจัดกิจกรรมรวมกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมือง ที่บริเวณโดยรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยบางช่วงบางตอนของการปราศรัย จำเลยได้กล่าว แสดงความอาฆาตมาดร้ายดูหมิ่นสถาบันฯ

นายอานนท์กล่าวว่า ทั้งขบวนคนรุ่นใหม่ได้สร้างปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนประเทศไป จนไม่สามารถย้อนกลับไปเหมือนเดิมได้แล้ว ในแง่ของความคิดคน ตนมองว่าตอนนี้คนทั้งประเทศเชื่อในสิทธิเสรีภาพ เห็นการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นอารยะเห็นได้จากทุกรูปแบบทั้งในสื่อโซเชียล บนท้องถนน ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาก็ชัดเจนแล้ว คนรุ่นใหม่ก็โตมาโดยเชื่อในสิทธิเสรีภาพความเท่าเทียม ตนคิดว่าการชุมนุมในปี 63 ทำให้สังคมเปลี่ยนไปเยอะมากเป็นการต่อสู้ที่คุ้มค่า

เมื่อถามว่าอยากฝากอะไรถึงนักเคลื่อนไหวในตอนนี้ นายอานนท์ กล่าวว่า อยากให้กำลังใจ วันนี้เรายังไม่ทราบคำพิพากษา ถ้าออกมาในทางร้ายก็คงติดคุกซึ่งเราก็ต้องสู้ต่อไป อย่างไรก็ตามหากตนต้องถูกขังภายหลังก็ต้องเบิกตัวตนออกมาศาลเพื่อทำหน้าที่ทนายความและจำเลย เพราะตนเป็นทนายความให้กับคดีการเมือง กรณีชุมนุมที่ ห้าแยกลาดพร้าว ปี 63 จะทำหน้าที่จากในคุกและนอกคุก ฝากให้กำลังใจขอบคุณคนที่สนับสนุน ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร การต่อสู้ยังไม่สิ้นสุด

นายอานนท์กล่าวว่า ตอนนี้กำลังใจยังดี คำพิพากษาวันนี้เป็นเรื่องเมื่อ 14 ต.ค.ซึ่งตนไปปราศรัยปรามไม่ให้ตำรวจเข้ามาสลายการชุมนุม การที่วันนี้อาจจะสูญเสียเสรีภาพตามคำพิพากษา อาจจะหลายปี แต่ก็คุ้ม ที่เหตุการณ์ดังกล่าวที่เราเดินจากราชดำเนินไปล้อมทำเนียบไม่เกิดการสูญเสีย เป็นการเสียเสรีภาพโดยส่วนตัวต่อส่วนรวมที่คุ้มค่าอย่างมากด้วยความเต็มใจ

เมื่อถามว่าหากวันนี้ นายอานนท์ต้องเข้าคุก จะมีกลุ่มนักกิจกรรมออกมาเคลื่อนไหวหรือไม่ นายอานนท์กล่าวว่า แน่นอน เพราะการเคลื่อนไหวยังมีเรื่อย ๆ มีการผ่อนไปตามสถานการณ์แต่เราจะไม่หยุด การต่อสู้มีเป้าหมายชัดเจนว่าเราต่อสู้เพื่ออะไร

ล่าสุด ศาลอาญา สั่งจำคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา อานนท์ นำภา หมิ่นสถาบัน ปรับ 2 หมื่น ผิด พ.ร.ก. บริหารราชการฉุกเฉิน ฯ 2548 ม็อบ 14 ต.ค. 63

‘ปตท.’ รับรางวัลสูงสุด ‘องค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน’ ต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน สะท้อนองค์กรยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล-สร้างความเท่าเทียม-ยกระดับคุณภาพชีวิต

เมื่อเร็ว ๆ นี้ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธี มอบรางวัลองค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2566 (Human Rights Awards 2023)” จัดโดย กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ระดับดีเด่น ประเภทองค์กรรัฐวิสาหกิจ ให้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) โดยมีนายวรพงษ์ นาคฉัตรีย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารความยั่งยืน ปตท. เป็นผู้แทนรับมอบรางวัล นับเป็นรางวัลระดับสูงสุดต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 สะท้อนการดำเนินธุรกิจของ ปตท. ที่ยึดมั่นพันธกิจดำเนินงานภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี มีธรรมาภิบาล และเคารพซึ่งหลักสิทธิมนุษยชน เพื่อสร้างความเท่าเทียมให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กรในระยะยาว และยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนและสังคมไทยให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

‘ก.ยุติธรรมสหรัฐฯ’ ฟ้อง!! แกนนำพรรคเดโมแครต  รับสินบนลับจาก ‘อียิปต์’ เพื่อปลดล็อกแบนขายอาวุธ

เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 66 สำนักข่าวเอเจนซีส์ / รอยเตอร์ รายงานว่า แกนนำพรรคเดโมแครต ‘สว.บ็อบ เมเนนเดซ’ (Bob Menendez) และภรรยาล็อบบี้ยิสต์ชาวอาร์เมเนียเกิดในกรุงเบรุต ‘นาดีน เมเนนเดซ’ (Nadine Menendez) โดนกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ วันศุกร์ (22 ก.ย.) ฟ้องดำเนินคดีรับสินบนจากหลายแสนดอลลาร์จากรัฐบาลอียิปต์ เพื่อปลดล็อกแบนให้วอชิงตันขายอาวุธให้ไคโร เจ้าตัวปฏิเสธลาออกจาก สว. แต่ยอมลาออกจากตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศประจำสภาสูงสหรัฐฯ ชั่วคราว นอกจากนี้ ยังได้มีการตรวจค้นบ้านพักและพบเงินสดร่วม 500,000 ดอลลาร์แอบซุกซ่อนไว้ รวมไปถึงทองคำแท่งจำนวนมากและรถหรูอีกด้วย

สำนักข่าวเอบีซีนิวส์ของออสเตรเลีย รายงานเมื่อวันเสาร์ (23 ก.ย.) ว่า FBI ค้นบ้านพักของ ‘สว.บ็อบ เมเนนเดซ’ ในรัฐนิวเจอร์ซีที่ถูกตกแต่งพร้อมกับของกลางรถสุดหรู ‘เมอร์เซเดสเบนซ์’ จอดอยู่ในโรงรถ ล้วนแล้วมาจากนักธุรกิจนิวเจอร์ซีย์ 3 คนที่เป็นตัวกลางติดต่อกับรัฐบาลอียิปต์ ได้แก่ วาเอล ฮานา (Wael Hana), โฮเซ่ อูริบ (Jose Uribe) และเฟรด เดบส์ (Fred Daibes)

อ้างอิงจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เมเนนเดซ และภรรยา นาดีน เมเนนเดซ ในวันศุกร์ (22 ก.ย.) ถูกอัยการสหรัฐฯ ประจำเขตแมนแฮตตัน สั่งฟ้องดำเนินคดีข้อหารับสินบนจำนวนหลายแสนดอลลาร์ เพื่อแลกเปลี่ยนกับอำนาจและอิทธิพลในฐานะวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ ของเขา เพื่อปกป้องและสนับสนุนเพื่อนนักธุรกิจของตัวเองและผลประโยชน์ของรัฐบาลอียิปต์

สำนักข่าวรอยเตอร์ชี้ว่า ‘บ็อบ เมเนนเดซ’ เป็นที่รู้จักในแวดวงการเมืองสหรัฐฯ เขานั่งในตำแหน่งสำคัญประธานคณะกรรมาธิการด้านกิจการต่างประเทศสหรัฐฯ ประจำสภาสูงสหรัฐฯ ซึ่งเมเนนเดซยอมลาออกจากตำแหน่งชั่วคราวหลังเขาและภรรยาและก๊วนเพื่อนนักธุรกิจทั้งหมดโดนรัฐบาลสหรัฐฯ ดำเนินคดีทางกฎหมาย

เมเนนเดซเป็นคนใกล้ชิดของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ‘โจ ไบเดน’ จากการที่ผู้นำสหรัฐฯ ต้องการทำให้อเมริกายังคงความเป็นเจ้าอิทธิพลในเวทีโลก และในช่วงเวลาที่ไบเดนต้องการผ่าทางตันให้แพกเกจความช่วยเหลือยูเครนผ่านสภาคองเกรสหรัฐฯ ในเวลาเดียวกันกับที่ต้องต่อต้านการผงาดขึ้นมาของ ‘จีน’

สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า การสอบสวนล่าสุดนี้ถือเป็นครั้งที่ 3 ที่เมเนนเดซโดนรัฐบาลกลางสหรัฐฯ สอบ แต่ทว่าเขาไม่เคยถูกดำเนินคดีมาก่อน

อ้างอิงจากสำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษ พบว่า อัยการแมนแฮตตันกล่าวหา สว.เมเนเดซ และภรรยาจำนวน 3 กระทง ได้แก่ สมคบคิดในการรับสินบน สมคบคิดต่อไม่ซื่อตรงต่อหน้าที่ (honest services fraud) และสมคบคิดในการกรรโชก

ทั้งคู่โดนกล่าวหาว่า รับเงินสินบน เพื่อช่วยเหลือรัฐบาลอียิปต์อย่างลับๆ แต่ทว่าคนทั้งคู่ปฏิเสธอย่างหนักต่อข้อหาทั้งหมด

สำนักข่าวเอบีซีนิวส์ของออสเตรเลีย รายงานว่า เจ้าหน้าที่ FBI บุกค้นบ้านพักของ สว.สหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว และสามารถค้นพบเงินสดจำนวนไม่ต่ำกว่า 480,000 ดอลลาร์อยู่ในซองและซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้าและภายในตู้เซฟที่บ้านพัก และเงินสดอีกก้อนจำนวน 70,000 ดอลลาร์อยู่ภายในตู้เซฟนิรภัยธนาคารของภรรยา นาดีน

โดยซองเงินสดบางส่วนพบอยู่ในเสื้อแจ็กเกตที่มีชื่อของ สว.อยู่ซึ่งถูกแขวนไว้ที่ตู้เสื้อผ้า ขณะที่ซองเงินสดอื่นๆ พบลายนิ้วมือหรือดีเอ็นเอของเพื่อนนักธุรกิจนิวเจอร์ซีย์ เฟรด เดบส์ ปรากฏ

สื่อออสเตรเลียเปิดเผยว่า มีการค้นพบทองคำแท่งจำนวนมากที่มีมูลค่ามากกว่า 100,000 ดอลลาร์ อยู่ภายในบ้านของเมเนนเดซ

สำนักข่าวบิสซิเนสอินไซเดอร์ ชี้ว่า เป็นที่ฮือฮาที่เมเนนเดซ ซึ่งเป็นแกนนำคนสำคัญพรรคเดโมแครต ใช้กูเกิลเพื่อค้นหาว่าทองคำหนัก 1 กิโลกรัมนั้นมีมูลค่ามากเพียงใด

ตามคำฟ้องระบุว่า อดีตประธานคณะกรรมาธิการต่างประเทศสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 21 ต.ค.ปี 2021 ได้ทำการค้นหามูลค่าของทองคำหนัก 1 กิโลกรัม

และหลังจากคำฟ้องเปิดเผยในวันศุกร์ (22 ก.ย.) พบว่าการเสิร์ชค้นหา ‘ทองคำหนัก 1 กิโลกรัม’ กลายเป็นกระแสฮิตในสหรัฐฯ ในทันที ทั้งนี้ พบว่า เขาเริ่มต้นค้นหาเกี่ยวกับมูลค่าของทองคำหลังจากนาดีน ภรรยาเดินทางกลับจากอียิปต์

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ในหลายโอกาสระหว่างปี 2018-2022 เมเนนเดซได้ยืนยันไปยังเจ้าหน้าที่อียิปต์ว่า เขาซึ่งดำรงตำแหน่งในฐานะประธานคณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศประจำวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ จะอนุมัติยกเลิกการห้ามขายอาวุธยุทโธปกรณ์ให้อียิปต์ และนาดีน ภรรยาของ สว.ได้รับคำสัญญาที่จะได้รับเงินเป็นค่าตอบแทน

นาดีนที่เป็นศูนย์กลางคดีคอร์รัปชันนี้ เธอมีบทบาทในการล็อบบี้ช่วยอียิปต์นั้นมีความน่าสนใจมาก

อ้างอิงจากสื่อนิวเจอร์ซีย์ nj.com ระบุว่า นาดีน เบนเนเดซ หรือ ‘นาดีน อาร์สลาเนียน’ (Nadine Arslanian) เป็นชาวอาร์มาเนีย เกิดในเบรุต เลบานอน ครอบครัวหนีภัยสงครามกลางเมืองเบรุตไปที่กรีซ และต่อมาย้ายไปที่กรุงลอนดอน อังกฤษ ก่อนเดินทางเข้ามาสหรัฐฯ ในที่สุด

สื่อ nj.com รายงานต่อว่า นาดีนนั้นสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กระดับปริญญาตรี และเรียกตัวว่าเป็น ‘นักธุรกิจหญิง’ เธอได้พบกับเมเนนเดซที่ร้านอาหาร IHOP เมื่อธันวาคม ปี 2018 และคนทั้งคู่สมรสระหว่างโควิด-19 เกิดระบาดในวันที่ 3 ต.ค. 2020 ทั้งสองฝ่ายต่างเคยผ่านการสมรสมาแล้วก่อนหน้า

เอบีซีนิวส์รายงานว่า นาดีน และวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ เริ่มต้นคบหาเมื่อปี 2018 โดยนักธุรกิจนิวเจอร์ซีย์ ‘วาเอล ฮานา’ ที่เป็นตัวกลางติดต่อเจ้าหน้าที่กองทัพอียิปต์นั้นเป็นเพื่อนของนาดีน

ตามคำฟ้องระบุว่า ในการพูดคุยนั้นรวมไปถึงประเด็นเงินช่วยเหลือกิจการต่างประเทศทางการทหารให้อียิปต์

ขณะที่เมนเนเดซ ปัจจุบันวัย 69 ปี ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศประจำสภาสูงสหรัฐฯ และเขาถูกเลือกให้ดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่ 3 ในสภาสูงสหรัฐฯ เมื่อปี 2018 ซึ่งเป็นปีที่เขาเริ่มต้นคบหานาดีนภรรยา

และพบว่า ช่วงที่ระหว่างกำลังคบหาภรรยานักล็อบบี้ยิสต์ พบว่า สว.เมเนนเดซได้เคยสอบถามไปยังกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ สำหรับข้อมูลที่ไม่ใช่เป็นข้อมูลลับ แต่ถือเป็นข้อมูลอ่อนไหวสูงเนื่องมาจากเหตุผลด้านความมั่นคง

สื่อออสเตรเลียกล่าวว่า เมเนนเดซต้องการทราบถึงจำนวนและสัญชาติของเจ้าหน้าที่ ที่ประจำอยู่ในสถานทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงไคโร

และในเดือนเดียวกันนั้นหลังจากอาหารค่ำมื้อหรูที่ภัตตาคารชื่อดังระดับบนที่เมเนนเดซร่วมกับเพื่อนนักธุรกิจนิวเจอร์ซีย์ ฮานา พบว่านักธุรกิจได้แอบลอบส่งข้อความไปยังเจ้าหน้าที่อียิปต์อีกคนเป็น ‘ความลับที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ’

ซึ่งในครั้งนี้เอบีซีนิวส์กล่าวว่า มันเป็นข้อความเกี่ยวข้องกับการยกเลิกการแบนห้ามส่งอาวุธเบาและกระสุนไปให้อียิปต์

“นี่หมายความว่าการขายสามารถเริ่มต้นได้ ที่จะรวมถึงปืนไรเฟิลรวมไปถึงสิ่งอื่นๆ” หนึ่งในข้อความที่ถูกส่งไป

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับ เครือเจริญโภคภัณฑ์และบมจ.ซีพี ออลล์ เตือนภัยออนไลน์

วันที่ 26 กันยายน 2566 เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.สมพงษ์  ชิงดวง ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ที่ปรึกษาพิเศษ ตร.) พล.ต.ท.ธิติ  แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) พล.ต.ต.ฐายุฏฐ์ จันทร์ถาวร รองผู้บัญชาการ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (รอง ผบช.สอท.) พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 (ผบก.น.5) และ พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผู้บังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 

(ผบก.ตอท.บช.สอท.) พร้อมด้วย ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหาร ยุทธศาสตร์ข้อมูลและการสื่อสาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ นายวรวิทย์ เจนธนากุล กรรมการบริหาร บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร นายวิชัย จันทร์จริยากุล  กรรมการผู้จัดการ (ร่วม) บมจ.ซีพี ออลล์ นายสุชาติ วัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีพี ออลล์ นายศุภชัย ศรีทับทิม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และ เซเว่น เดลิเวอรี่ ร่วมเปิดโครงการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้และป้องปรามภัยอาชญากรรมออนไลน์ ณ ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น (7-11) ชั้น 1 อาคารซีพี ทาวเวอร์ ถนนสีลม

พล.ต.อ.สมพงษ์  ชิงดวง ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จัดทำระบบรับแจ้งความ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2565 เปิดดำเนินการรับแจ้งความออนไลน์และนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อหามาตรการในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี  ได้จัดทีมวิทยากรของคณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และครูไซเบอร์ทั้งครู ก. และครู ข. ออกบรรยายให้ความรู้ รวมทั้งได้มีการนำแบบทดสอบ วัคซีนไซเบอร์ จำนวน 40 ข้อ มาประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนได้ทำแบบทดสอบ เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้มีภูมิคุ้มกันภัยออนไลน์ ขณะเดียวกันได้มีการขับเคลื่อนกิจกรรมโครงการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ ทั้งในช่องทางออนไลน์ (Online) และออนไซต์ (Onsite) อีกทั้งได้ผนึกกำลังร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการรณรงค์ประชาสัมพันธ์เพื่อแจ้งเตือนให้ประชาชนทราบและมีภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์ในหลายวิธี หลายช่องทาง  ถึงแม้การรับแจ้งความออนไลน์มีสถิติลดลง แต่ยังไม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากยังมีประชาชนตกเป็นเหยื่อของคนร้ายอยู่ จึงต้องเร่งประชาสัมพันธ์ในช่องทางอื่นเพิ่มเติม และได้เล็งเห็นว่าร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น (7-11) มีการเปิดให้บริการอยู่ในชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศ มีผู้ใช้บริการในแต่ละวันจำนวนมาก 

จึงได้มีการประสานงานไปยัง บมจ.ซีพี ออลล์ เพื่อขอความอนุเคราะห์ติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์เตือนภัยออนไลน์บริเวณที่ประชาชนสามารถมองเห็นได้ง่าย  เป็นการเพิ่มช่องทางให้ประชาชนได้รู้เท่าทันภัยออนไลน์เพิ่มมากขึ้น และวันนี้ได้รับความร่วมมือจาก เครือเจริญโภคภัณฑ์ และบมจ.ซีพี ออลล์ ให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ในครั้งนี้เป็นอย่างดียิ่ง เชื่อว่าการประสานความร่วมมือในครั้งนี้จะขยายการรับรู้ถึงข้อมูลและข่าวสารของประชาชนในกลุ่มต่างๆ ที่เข้ามาใช้บริการร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น (7-11) ทั่วประเทศเป็นอย่างดี  

พล.ต.อ.สมพงษ์  กล่าวเพิ่มเติมว่า “เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รู้เท่าทันภัยออนไลน์อย่างต่อเนื่อง จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ทำแบบทดสอบวัคซีนไซเบอร์ จำนวน 40 ข้อ โดยเริ่มทำแบบทดสอบได้ตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2566 จนถึง วันที่ 30 กันยายน 2566 หากทำแบบทดสอบครบ 40 ข้อแล้ว จะได้รับ Whoscall Premium Gift Code ฟรี ซึ่งสามารถใช้บริการ Whoscall Premium Feature ได้ฟรี เป็นระยะเวลา 1 ปี หากทำแบบทดสอบได้ถูกต้องตั้งแต่ 35 ข้อ ขึ้นไป จะมีสิทธิ์ลุ้นรางวัล iPhone 14 เดือนละ 20 รางวัล เป็นเวลา 3 เดือน รวม 60 รางวัล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จับรางวัลผู้โชคดีประจำเดือน กรกฎาคม และ สิงหาคม 2566 เดือนละ 20 รางวัล รวม 40 รางวัลไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับผู้โชคดีสามารถตรวจสอบรายชื่อได้ที่ช่องทาง www.เตือนภัยออนไลน์.com และขอให้พี่น้องประชาชนได้ช่วยกันประชาชนสัมพันธ์ ช่วยกันแชร์แบบทดสอบเพื่อให้พี่น้องประชาชนได้ทำแบบทดสอบและรู้เท่าทันกลโกงของคนร้ายบนโลกออนไลน์ และไม่ตกเป็นเหยื่อ รวมทั้งขอประชาสัมพันธ์ช่องทางการแจ้งความ แจ้งเบาะแส  และให้คำปรึกษา ได้ที่ www.thaipoliceonline.com หมายเลขโทรศัพท์ 081-866-3000 หรือโทรผ่านสายด่วน 1441 สำหรับช่องทางประชาสัมพันธ์เตือนภัยออนไลน์ ประชาชนสามารถศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับภัยออนไลน์รูปแบบต่างๆ  ผ่านทาง www.เตือนภัยออนไลน์.com และ Facebook https://www.facebook.com/เตือนภัยออนไลน์” (QR CODE ข้อสอบ 40 ข้อ สำหรับประชาชน)

ด้าน ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหาร ยุทธศาสตร์ข้อมูลและการสื่อสาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า เรื่องของอาชญากรรมทางไซเบอร์ นอกจากบทบาทของภาครัฐแล้ว ในส่วนของภาคเอกชนมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างความตระหนักรู้ ซึ่งในตอนนี้การจ่ายเงินผ่านช่องทางออนไลน์เป็นที่นิยมมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เป็นการเปิดช่องให้มิจฉาชีพใช้รูปแบบใหม่ๆ มาหลอกลวงประชาชน ดังนั้นสิ่งที่ประชาชนสามารถทำได้เลยคือ การแบ่งเงินที่จะใช้จ่ายมาไว้ในกระเป๋าเงินดิจิทัล ซึ่งเป็นการกระจายความเสี่ยงป้องกันการถูกหลอกจากมิจฉาชีพ เพราะวงเงินที่ถูกหลอกไปจะเป็นวงเงินที่จำกัดอยู่ในกระเป๋าเงินดิจิทัลเท่านั้น นอกจากนี้้ในแง่ของเทคโนโลยีควรจะใช้เทคโนโลยีที่มีการยืนยันตัวตนในหลายขั้นตอน เช่น การให้สแกนใบหน้า การยืนยันตัวตนผ่าน OTP ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของอาชญากรรมทางไซเบอร์ได้ โดยการแก้ปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งนี้ ต้องขอขอบคุณสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการรณรงค์ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ป้องกันภัยอาชญากรรมไซเบอร์ และขอขอบคุณทาง บมจ.ซีพี ออลล์ บริษัทในเครือซีพีที่ให้ความร่วมมือในครั้งนี้
 
นายวิชัย จันทร์จริยากุล กรรมการผู้จัดการ (ร่วม) บมจ.ซีพี ออลล์  ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และ เซเว่นเดลิเวอรี่ กล่าวว่า “เป็นที่ทราบกันว่า ในปัจจุบันปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ   อาชญากรรมทางไซเบอร์ เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวทุกคนมากขึ้น เนื่องจากมีการนำเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนสำคัญในชีวิตประจำวัน  ส่งผลให้จำนวนของผู้ที่ถูกหลอกลวงและรับผลกระทบจากอาชญากรรมดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ดังนั้นทุกภาคส่วนต้องช่วยกันป้องกันและชี้ให้เห็นอันตรายของภัยไซเบอร์ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน และตระหนักถึงกลโกงของเหล่ามิจฉาชีพ

เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) จึงได้ดำเนินโครงการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้และป้องปรามภัยอาชญากรรมออนไลน์ ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำสื่อโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ในเรื่องที่เกี่ยวกับพ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566  และ บัญชีม้า เผยแพร่ภายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น กว่า 14,000 สาขาทั่วประเทศ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการฯนี้จะช่วยประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนได้เข้าใจ ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน รู้ทันกลโกง และตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยออนไลน์ได้มากขึ้น”
 
ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาเครือซีพี ได้ร่วมมือกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ ว่าด้วยการประชาสัมพันธ์สื่อสร้างภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี  หรือ โครงการ “ผนึกกำลังร่วมใจ ต้านภัยไซเบอร์ ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน รู้ทันกลโกง” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างเครือข่าย สร้างภูมิคุ้มกันแก่ประชาชนได้รู้เท่าทันกลโกงในรูปแบบต่างๆ ที่ผ่านมาได้ร่วมมือกับกลุ่มธุรกิจในเครือ อาทิ บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) (แม็คโคร และ โลตัส) สถานีข่าว TNN รวมถึงมีการส่ง SMS เตือนภัยผ่านเครือข่ายทรูมูฟ เอช ซึ่งมีผู้ใช้บริการรวม 37 ล้านเลขหมาย เพื่อช่วยประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการเตือนภัยออนไลน์ สอดคล้องกับค่านิยม 3 ประโยชน์ที่เครือฯ ยึดมั่นในการตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน สร้างประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประชาชนเป็นสำคัญ

‘สตรีมมิ่ง’ ฟู่ฟ่าก้าวกระโดด สวนทาง ‘วงการโทรทัศน์’ ที่นับถอยหลัง รอวัน ‘ล่มสลาย’

ต้องยอมรับว่า ‘สตรีมมิ่ง’ ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะคอนเทนต์ละคร ซีรีส์ที่เสิร์ฟให้เป็นรสชาติแปลกใหม่ สร้างความสนุก ตื่นเต้น เร้าใจ มีหลากหลายสัญชาติ ไม่ว่าจะเป็น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี หรือโซนตะวันตกก็มีให้ดูแบบฟินจุใจ ดูเมื่อไหร่ ที่ไหนก็ได้ตามแต่จะสะดวก

ความนิยมดูสตรีมมิ่งของคนในยุคปัจจุบัน สะท้อนถึงการล่มสลายของวงการโทรทัศน์อย่างเห็นได้ชัด เพราะทุกวันนี้ คน ‘ดีใจ’ ที่ละคร/ซีรีส์ ได้รับกระแสตอบรับดีในระบบสตรีมมิ่ง

คุณธิติพร จุติมานนท์ หรือ Boy Entertain บรรณาธิการบริหารฝ่ายข่าวบันเทิงช่อง One ก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นนี้เช่นกัน โดยระบุว่า "ทำไมคนทำละครถึง 'ภูมิใจ' เวลากระแสดีที่ Netflix หรือมันชี้ชัดแล้วว่า 'คนไทยไม่ดู TV' ...หนึ่งในความสยอง วงการ TV เริ่มนับถอยหลังแล้วใช่ไหม"

ข่าวดีส่งออก!! สิงหาฯ พลิกบวกครั้งแรกในรอบ 11 เดือน รับอานิสงส์ 'เกษตร-อุตฯ' หนุน ส่วนนำเข้าลดลง 12.8%

(26 ก.ย. 66) นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทย ในเดือนส.ค.66 ว่า การส่งออกมีมูลค่า 24,279 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2.6% จากตลาดคาด -3.5 ถึง -5.0% ซึ่งถือว่าเป็นการพลิกกลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 11 เดือน

จากผลของกลุ่มสินค้าเกษตร ที่กลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 4 เดือน และกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ที่กลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 3 เดือน

ขณะที่การนำเข้าเดือนส.ค.มีมูลค่า 23,919 ล้านดอลลาร์ ลดลง 12.8% ส่งผลให้ในเดือนส.ค.66 ไทยเกินดุลการค้า 360 ล้านดอลลาร์

ส่วนการส่งออกของไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ส.ค.) มีมูลค่ารวม 187,593 ล้านดอลลาร์ ลดลง 4.5% การนำเข้า มีมูลค่า 195,518 ล้านดอลลาร์ ลดลง 5.7% ส่งผลให้ในช่วง 8 เดือนแรกปีนี้ ไทยยังขาดดุลการค้า 7,925 ล้านดอลลาร์

ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ประเมินว่าการส่งออกของไทยในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ จะขยายตัวเป็นบวกได้ เนื่องจากเป็นช่วงที่มีคำสั่งซื้อเข้ามามากตามวัฎจักร ประกอบกับในช่วงไตรมาส 4 ปี 65 ฐานต่ำ

"คาดว่าการส่งออก ต.ค.-ธ.ค. น่าจะได้เห็นอะไรดีๆ เพราะมีออร์เดอร์เข้ามาเยอะ ซึ่งเป็นไปตาม circle...ส่งออกภาพรวมทั้งปี 1- ถึง 0% น่าจะมีโอกาส ปีนี้เราข้อสอบยาก ถ้าเทียบกับกลุ่มประเทศในอาเซียน ทุกคนคะแนนไม่ดี (ส่งออกติดลบ) แต่เรายังสามารถยืนอยู่แถวหน้าได้" ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ระบุ

‘อินเดีย’ ยังไม่สามารถปลุกยานสำรวจดวงจันทร์ได้ หลังเข้าสู่โหมดนอนหลับ แม้ภารกิจจะสำเร็จแล้วก็ตาม

(26 ก.ย. 66) สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า นายเอ เอส คิราน คูมาร์ อดีตผู้อำนวยการองค์การวิจัยอวกาศอินเดีย (ไอเอสอาร์โอ) กล่าวเมื่อวันที่ 25 กันยายนว่า โอกาสที่วิกรม (Vikram) ยานลงจอดดวงจันทร์ของยานสำรวจอวกาศจันทรายาน-3 ของอินเดีย จะติดขึ้นมาอีกครั้งหลังเจอกับคืนข้างแรมอันหนาวเย็นบนดวงจันทร์ได้ลดน้อยลงไปทุกๆ ชั่วโมง แต่บรรดานักวิทยาศาสตร์จะพยายามติดต่อกับยานให้ได้จนถึงวันสุดท้ายของวันข้างขึ้น

ยานลงจอดดวงจันทร์วิกรม ซึ่งบรรจุหุ่นยนต์สำรวจดวงจันทร์ที่ชื่อปรัชญาณ ได้ลงจอดบนขั้วโลกใต้ของดวงจันทร์เมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา และได้ทำการสำรวจดวงจันทร์เป็นเวลา 2 สัปดาห์ ก่อนที่ทั้งวิกรมและปรัชญาณจะเข้าสู่ sleep mode เมื่อเข้าสู่วันข้างแรม โดยไอเอสอาร์โอหวังว่าแบตเตอรี่ของวิกรมและปรัชญาณจะถูกชาร์จใหม่และตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อถึงวันข้างขึ้นในวันที่ 22 กันยายน เนื่องจากยานทั้งสองต้องใช้แสงอาทิตย์ในการชาร์จแบตเตอรี่

อย่างไรก็ดี เมื่อถึงวันข้างขึ้น ไอเอสอาร์โอระบุว่า ทางหน่วยงานกำลังพยายามติดต่อวิกรมและปรัชญาณให้ได้ แต่ตอนนี้พวกเขายังไม่ได้รับสัญญาณใดๆ ตอบกลับมา ซึ่งขณะนี้ไอเอสอาร์โอยังไม่ได้ประกาศความคืบหน้าของความพยายามดังกล่าวแต่อย่างใด

นายคูมาร์กล่าวว่า “ยานลงจอดดวงจันทร์และหุ่นยนต์สำรวจดวงจันทร์มีส่วนประกอบหลายชิ้นที่อาจไม่รอดจากอากาศอันเยือกเย็นบนดวงจันทร์” บริเวณใกล้กับขั้วโลกใต้ของดวงจันทร์อาจมีอุณหภูมิต่ำถึง -200 ถึง -250 องศาเซลเซียสได้ในช่วงกลางคืน

“เราไม่สามารถติดต่อกับยานลงจอดดวงจันทร์ได้เลย เว้นแต่ว่าทรานสมิตเตอร์ของยานจะติดขึ้นมาอีกครั้ง มันต้องบอกเราว่ามันยังมีชีวิตอยู่ และต่อให้ระบบย่อยอื่นๆ ทั้งหมดของยานยังคงทำงานได้ แต่เราก็จะไม่มีทางทราบได้เลย” นายคูมาร์ กล่าวให้ข้อมูล

ทั้งนี้เมื่อตอนที่ไอเอสอาร์โอปรับวิกรมและปรัชญาณเข้าสู่ sleep mode ทางหน่วยงานบอกว่ายานทั้งสองได้บรรลุภารกิจทั้งหมดของตัวเองแล้วแต่หวังว่ามันจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อถึงวันข้างขึ้นครั้งใหม่ และถึงแม้ว่าวิกรมและปรัชญาณจะไม่ตื่นขึ้นมาทำงานอีกครั้ง แต่ยานทั้งสองจะอยู่บนดวงจันทร์ต่อไปในฐานะทูตดวงจันทร์ของอินเดีย

เดินหน้าพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษสายอีสานเชื่อมจีนและสปป.ลาว

มหาวิทยาลัยขอนแก่น จับมือมหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว และมหาวิทยาลัยหัวจงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประเทศจีน  ร่วมแถลงเปิดตัว (Kick off) และเสวนาทางวิชาการโครงการการศึกษาและพัฒนายุทธศาสตร์ความร่วมมือระเบียงเศรษฐกิจจีน-ลาว-ไทย : ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ห้องประชาสโมสร 1 ชั้น 2 โรงแรมอวานี ขอนแก่น โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์  นายชาญชัย  ศรศรีวิชัย รอง ผวจ.ขอนแก่น เปิดกิจกรรมเสวนาทางวิชาการ โครงการศึกษาและพัฒนายุทธศาสตร์ความร่วมมือระเบียงเศรษฐกิจ  จีน – ลาว - ไทย : ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  ซึ่งเป็นโครงการจากความร่วมมือระหว่าง มหาวิทยาลัยขอนแก่น  มหาวิทยาลัยแห่งชาติ (ลาว)  และมหาวิทยาลัยหัวจงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (จีน) ได้รับการสนับสนุนการวิจัยจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)  โดยมีผู้บริหาร ตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการ ทั้งในระเบียงเศรษฐกิจนครราชสีมา อุดรธานี ขอนแก่น หนองคาย และนครสวรรค์ และผู้ประกอบการจากต่างประเทศ ได้แก่ สปป.ลาว และสาธารณรัฐประชาชนจีน 

นายชาญชัย ศรศรีวิชัย รองผวจ.ขอนแก่น กล่าวว่า  การดำเนินกิจกรรมและโครงการฯ เป็นความร่วมมือกันระหว่างประเทศ จีน ไทย ลาว เพื่อสร้างเศรษฐกิจบนพื้นที่ระเบียงอีสาน ซึ่งงานวิจัยนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่จะก่อให้เกิดความร่วมมือกันอย่างเป็นรูปธรรม  ที่จะสร้างเส้นทางสู่ความเป็นเมืองเศรษฐกิจ และพัฒนาการค้า โดยคาดหวังจะเป็นการสร้างเศรษฐกิจในภาพรวมในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  ที่จะได้รับประโยชน์กับการเป็นระเบียงเศรษฐกิจพิเศษในอนาคตที่จะถึงนี้

ด้าน ดร.สราวุธ  สัตยากวี รองผู้อำนวยการสำนักงานกลยุทธ์และพัฒนากองทุน (สกสว.)  กล่าวว่า การส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนการวิจัยนี้ เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจจีน-ลาว-ไทย  : ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในปัจจุบันและอนาคต

รศ.ดร.ศุภวัฒนากร วงศ์ธนวสุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาเมืองน่าอยู่และการกระจายศูนย์กลางความเจริญ (ฝ่าย 3) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ยังได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ความสำคัญของระเบียงเศรษฐกิจ ทั้งภายในและการเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจต่างประเทศ ที่จะเป็นกำลังสำคัญ ในการเชื่อมโยงผู้คน การค้าและการลงทุน ผ่านการศึกษาและการวิจัยนี้ ซึ่งผลการวิจัยจะเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจจีน-ลาว-ไทย : ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือต่อไป 

ขณะที่ ศ.ดร.รุธิร์ พนมยงค์ ได้บรรยายพิเศษ ความสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสต์ ที่จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจ พร้อมทิ้งท้ายประเด็นความร่วมกันในการพัฒนาแบบบูรณาการ เพื่อการเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ และแผนการขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่และโครงสร้างพื้นฐานระเบียงเศรษฐกิจจีน-ลาว-ไทย : ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีกด้วย 

นอกจากนี้ Professor Li Wei, Ph.D. ASEAN Research Center, Huazhong University of Science and Technology  ได้กล่าวถึงนโยบายสาธารณะ และแผนการพัฒนาเส้นทางรถไฟเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจจีน-ลาว-ไทยและอาเซียน สาธารณรัฐประชาชนจีน และสิ่งสำคัญคือเรื่องของความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม

ดร. อรรฆพร ก๊กค้างพลู (หัวหน้าโครงการ) ได้กล่าวถึง ผลการวิจัยเบื้องต้นในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา และมีประเด็นเชื่อมโยงการพัฒนายุทธศาสตร์ความร่วมมือ ผ่านการตั้งคำถามการวิจัยว่า อะไรคือโอกาส และความท้าทาย ของระเบียงเศรษฐกิจ รวมทั้งความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนนั้น จะสามารถเกิดขึ้นได้อย่างไร และต้องมีกลไกสำคัญอะไรบ้าง โดยการนำเสนอผ่านโครงการวิจัย   ซึ่งนอกจากนี้ยังมีการเสวนา การพัฒนายุทธศาสตร์ความร่วมมือ โอกาส ความท้าทาย ความร่วมมือการค้าการลงทุนบนระเบียงเศรษฐกิจจีน-ลาว-ไทย : ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดย  Assoc. Prof. Dr. Sithixay XAYAVONG (Director of research and academic service office and Director of Chinese Studies Center) , Dr. Wang Yujiao (Manager of general office of Laos Vientiane Saysettha Operation Management Co., Ltd), คุณบัญชา อาศัยราช (ประธานอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จ.หนองคาย), คุณกังวาน เหล่าวิโรจน์ ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท พัฒนาเมืองขอนแก่น (เคเคทีที) จำกัด, คุณนายนาวิน โสภาภูมิ นักวิจัย บพท. ปี 2565   รวมถึงการรับฟังความคิดเห็นร่วมกับผู้ประกอบการ นักวิชาการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียบนระเบียงเศรษฐกิจจีน-ลาว-ไทย : ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 

ทั้งนี้ มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล ข้อจำกัด และปัจจัยหนุนเสริม ที่จะช่วยขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจ และสร้างความร่วมมือกันทั้งในและต่างประเทศ โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างเข้มข้น นักวิจัย นักวิชาการและหน่วยงานภาคเอกชน และภาครัฐ ได้แก่  สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สมาคมเกษตรกรโคกระบือภาคอีสาน สภาอุตสาหกรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  สมาคมส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย จ.ขอนแก่น  สภาอุตสาหกรรม 4 จังหวัด (ขอนแก่น / นครราชสีมา / อุดรธานี / หนองคาย) หอการค้า 4 จังหวัด (ขอนแก่น / นครราชสีมา / อุดรธานี / หนองคาย)  ผู้ประกอบการ (นักลงทุน) ไทยในพื้นที่ จ.ขอนแก่น  ผู้ประกอบการ (นักลงทุน) จีนในพื้นที่ สปป. ลาว  ผู้ประกอบการ (นักลงทุน) ลาวในพื้นที่เวียงจันทน์  มูลนิธิชุมชนขอนแก่นทศวรรษหน้า  ที่ได้ร่วมแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ต่อการวิจัยและพัฒนาการศึกษาและพัฒนายุทธศาสตร์ความร่วมมือระเบียงเศรษฐกิจจีน-ลาว-ไทย : ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

อย่างไรก็ตาม ในการเปิดตัวโครงการวิจัยเปิดตัว (Kick off) โครงการการศึกษาและพัฒนายุทธศาสตร์ความร่วมมือระเบียงเศรษฐกิจจีน-ลาว-ไทย : ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือในครั้งนี้ นับเป็นโอกาสสำคัญที่จะสร้างการรับรู้ เพิ่มเติมความเข้าใจ และประสานความร่วมมือให้แก่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

‘สทร.’ กางแผนลงทุนระบบราง 10 ปี ทุ่ม 1.8 ล้านล้านบาท ระดมสร้าง 4,746 กม. ดันไทยมีเส้นทางรถไฟทั่วประเทศ

(26 ก.ย. 66) เปิดแผนลงทุนระบบรางของไทย ช่วง 10 ปี สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (สทร.) แจ้งข้อมูลมีเงินลงทุนอย่างน้อย 1.8 ล้านล้าน ดันประเทศไทยมีเส้นทางรถไฟทั่วประเทศอีก 4,746 กม. เช็ครายละเอียดแผนทั้งหมดที่นี่

‘การพัฒนาระบบราง’ ของประเทศไทย กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ภายหลังจากรัฐบาลให้ความสำคัญในการลงทุนด้านการพัฒนาระบบราง โดยผลักดันโครงการต่าง ๆ ครอบคลุมทั้ง รถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล รถไฟทางคู่ รถไฟสายใหม่ และระบบรถไฟความเร็วสูง

พร้อมตั้งเป้าหมายในระยะเวลาอีก 10 ปี โดยเริ่มต้นนับตั้งแต่ปี 2566 กระทรวงคมนาคม ได้จัดทำยุทธศาสตร์การใช้ระบบรางผลักดันการพัฒนาประเทศ โดยประเมินว่า จะมีการลงทุนในระบบรางเป็นจำนวนเงินอย่างน้อย 1.8 ล้านล้านบาท

นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ระบุว่า กระทรวงคมนาคม มีแนวทางที่จะใช้ระบบรางเป็นเครื่องมือในการร่วมพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว กับกระแสโลกที่แข่งขันกันพัฒนาระบบราง เพราะเมื่อเทียบกับการคมนาคมในแบบต่าง ๆ แล้ว ระบบรางขนส่งผู้โดยสารได้มากกว่า ขนสินค้าได้มากกว่า ต้นทุนน้อยกว่าและผลิตคาร์บอนต่ำกว่า และช่วยตอบความต้องการของประเทศและประชาชนได้เป็นอย่างดี

สำหรับการพัฒนาระบบรางในอนาคต แยกเป็นระบบต่าง ๆ นั่นคือ

‘ระบบรางในเมือง’ ซึ่งปัจจุบันให้บริการรวมระยะทาง 241 กิโลเมตร แต่เมื่อถึงปี 2572 จะมีการบริการ 554 กิโลเมตร เป็นรถไฟฟ้าบนดินและใต้ดินรวม 17 สาย เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรได้เป็นอย่างดี

‘ระบบรถไฟทางคู่’ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการคมนาคมขนส่งทางรางไปทั่วประเทศ โดยในปัจจุบันดำเนินการอยู่รวมระยะทาง 993 กิโลเมตร แต่เมื่อถึงปี 2571 จะมีเพิ่มขึ้นอีก 1,483 กิโลเมตร

‘ระบบรถไฟความเร็วสูง’ ปัจจุบันดำเนินการในระยะทาง 250 กิโลเมตร จากแผนพัฒนาเต็มที่มีระยะทางรวม 2,249 กิโลเมตร และยังมีรถไฟเชื่อมสามสนามบินอีก 220 กิโลเมตรด้วย

แผน 10 ปี ลงทุน 1.8 ล้านล้านบาท มีอะไรบ้าง?
สำหรับแผนการลงทุนในระบบรางอย่างน้อย 1.8 ล้านล้านบาท ในช่วง 10 ปี รวมทั้งสิ้น 649 สถานี รวม 39 เส้นทาง คิดเป็นระยะทางรวมทั้งหมด 4,746 กิโลเมตร ประกอบไปด้วย

‘รถไฟในเมือง’ ตามแผนกำหนดแนวทางการพัฒนา จำนวน 168 สถานี รวม 12 เส้นทาง คิดเป็นระยะทางรวมทั้งหมด 212 กิโลเมตร มีมูลค่าการลงทุน 606,991 ล้านบาท

‘รถไฟชานเมือง’ ตามแผนกำหนดแนวทางการพัฒนา จำนวน 39 สถานี รวม 5 เส้นทาง คิดเป็นระยะทางรวมทั้งหมด 92.24 กิโลเมตร มีมูลค่าการลงทุน 124,433 ล้านบาท

รถไฟทางไกล/รถไฟขนส่งสินค้า
ตามแผนกำหนดแนวทางการพัฒนา จำนวน 416 สถานี รวม 19 เส้นทาง คิดเป็นระยะทางรวมทั้งหมด 3,614 กิโลเมตร มีมูลค่าการลงทุน 549,959 ล้านบาท

‘รถไฟความเร็วสูง’ ตามแผนกำหนดแนวทางการพัฒนา จำนวน 26 สถานี รวม 3 เส้นทาง คิดเป็นระยะทางรวมทั้งหมด 828 กิโลเมตร มีมูลค่าการลงทุน 549,231 ล้านบาท

‘เพิ่มงานวิจัยพัฒนาระบบราง’ นายโชติชัย เจริญงาม ประธานสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (สทร.) ระบุว่า ที่ผ่านมา สทร. ได้ร่วมทำงานกับกรมการขนส่งทางราง การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ทำให้เกิดการช่วยคิดเพื่อสร้างโอกาสใหม่ ๆ ที่สามารถต่อยอดจากการลงทุนด้านรางอีกเป็นจำนวนมาก

พร้อมกันนี้ สทร. ยังทำงานโดยการสร้างระบบความร่วมมือกับบริษัทต่างประเทศ สถาบันการศึกษาในประเทศ และเอกชนในประเทศ โดยในระยะเวลา 2 ปี ที่ผ่านมาได้รับความสนใจเข้ามาร่วมทั้งจากเยอรมัน ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และจีน เช่น

กรณี Alstom ที่แสดงความสนใจด้านการร่วมพัฒนาชิ้นส่วน มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรีรับเป็นแม่งานด้านการกำหนดมาตรฐาน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะช่วยดูเรื่องผลกระทบเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม และมหาวิทยาลัยขอนแก่นจะเป็นแห่งแรกที่เริ่มทำการศึกษาเศรษฐกิจจากระบบราง (Rail economy) สำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อน

นายโชติชัย ระบุด้วยว่า สทร. ยังร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ  หรือ กสทช. ดำเนินงานเรื่องคลื่นความถี่สำหรับระบบรางที่จะช่วยให้การบริการทั้งคมนาคมและสื่อสารมีมาตรฐานเทียบเท่ากับในยุโรป โดยบริษัทเอกชนไทยเริ่มสนใจพัฒนาให้รถไฟเข้าสู่ระบบไฟฟ้าและแบตเตอรี่ ซึ่งจะเป็นธุรกิจใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพสูงของไทย

เช่นเดียวกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ช่วยชักชวนผู้เชี่ยวชาญชาวไทยเข้ามาช่วยคิด ช่วยทดสอบ ก็เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเราซื้อระบบจากยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นและจีน ก่อนจะผลิตชิ้นส่วน หรืออะไหล่ ต้องมีมาตรฐานอ้างอิงขึ้นมาก่อน ซึ่งบริษัทต่างประเทศหลายแห่งก็ให้การสนับสนุนด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top