Thursday, 8 May 2025
TheStatesTimes

‘CADT DPU’ เปิดสูตรใหม่ สร้างแรงบันดาลใจให้เด็กรั้วกองบิน ติวเข้ม!! หลักสูตรสอบแอร์-สจ๊วตเชิงลึก ปูทางสู่อาชีพในฝัน

เมื่อวานนี้ (22 ก.ย. 66) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ น.ต.ดร.วัฒนา มานนท์ คณบดีวิทยาลัยการพัฒนาและฝึกอบรมด้านการบิน (CADT : College of Aviation Development and Training ) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เปิดเผยว่า ขณะนี้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมการบินฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้บุคลากรทั้ง 2 อุตสาหกรรมขาดแคลนจำนวนมาก จากผลสำรวจของ IATA พบว่าปัจจุบันสายการบินทั่วโลกมีจำนวนผู้โดยสารกลับมาใช้บริการ จำนวน 4,500 ล้านคนต่อปี ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด -19 ในปี 2562 ที่มีจำนวน 4,540 ล้านคน ส่วนรายได้ของภาคการบินฟื้นกลับมาประมาณ 8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

สำหรับประเทศไทยมีเที่ยวบินเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ได้แก่ สนามบินสุวรรณภูมิมีทั้งหมด 826 เที่ยวบินต่อวัน ขณะที่สนามบินดอนเมืองมี 481 เที่ยวบินต่อวัน ซึ่งตัวเลขที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ตั้งเป้าให้คนเดินทางท่องเที่ยวไทยจำนวน 30 ล้านคนต่อปี ขณะนี้ผ่านไป 8 เดือนมีผู้โดยสารเดินทางมาไทยแล้วจำนวน 17 ล้านคน

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ น.ต.ดร.วัฒนา กล่าวว่า จากสถิติดังกล่าว CADT DPU ในฐานะสถาบันการศึกษา ที่มุ่งมั่น สร้างมืออาชีพด้านธุรกิจการบิน ได้เตรียมหลักสูตรผลิตบุคลากรเพื่อรองรับตลาดแรงงานด้านการบิน ด้วยการจัดหลักสูตรพิเศษ 2 หลักสูตร ดังนี้

หลักสูตรที่ 1 สำหรับกลุ่มเด็กชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายรวมถึงนักศึกษาใหม่ เป็นหลักสูตรสร้างแรงบันดาลใจ (Inspiration) ให้กับเด็ก โดยการจัดค่ายการบินร่วมกับ เพจเด็ก ม.ปลาย เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมการบินทั้ง 9 กิจกรรมของการบินพลเรือน ที่สำคัญจะได้รู้ว่าตนเองเหมาะกับอาชีพอะไรสังกัดอยู่ส่วนไหน นอกจากนี้ ยังมีการเตรียม MOU (Memorandum of Understanding) กับสมาคมสโมสรลูกเสืออากาศ เพื่อดึงกลุ่มเด็กนักเรียนที่อาศัยอยู่ใกล้สนามบินหรือกองบินทั่วประเทศ มาเข้าร่วมกิจกรรมเรียนรู้เกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนด้านการบิน โดยเตรียมเปิดตัวครั้งแรกที่กองบิน 46 จังหวัดพิษณุโลกในเร็วๆ นี้

คณบดี CADT DPU กล่าวเพิ่มเติมว่า หลักสูตรที่ 2 เป็นกลุ่มนักศึกษาชั้นปีที่ 3 ถึง ชั้นปีที่ 4  รวมถึงผู้ที่สำเร็จการศึกษาไปแล้วประมาณ 1-2 ปี ที่มีความฝันอยากก้าวเข้าสู่การเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ทางสถาบันการบิน (DAA) จึงเตรียมหลักสูตรติดปีกให้เป็นนางฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยหลักสูตร Cabin Crew Born to be by DAA โดยรายละเอียดในหลักสูตรนั้น วันแรก Grooming day จะมีการเทรนด์การแต่งกายทำผม และเลือกเครื่องสำอางให้เหมาะกับโทนผิว

วันที่ 2 Personality day เทรนด์เรื่องบุคลิกภาพ การใช้สีหน้า และน้ำเสียงในการสนทนา รวมถึงเทคนิคการทำ Resume และการตอบคำถามให้โดนใจกรรมการ วันที่ 3 IATA Airline Customer Service เป็นการ Up Skill เพิ่มโอกาสให้ได้งานด้วย IATA Certificate ส่วนวันสุดท้าย Exclusive Interview Day จะสอนเทคนิคสอบสัมภาษณ์แบบกลุ่ม แบบเดี่ยว ทั้งเวอร์ชันภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยจะเริ่มเรียนทุกวันเสาร์จำนวน 4 สัปดาห์ ระหว่างวันที่ 21 ตุลาคม ถึง 11 พฤศจิกายน 2566 เวลา 09.00-16.00 น. สอบถามเพิ่มเติมที่ โทร. 061-863-7991 E-mail: [email protected] Line : @daa_dpu หรือคลิก Link  https://lin.ee/hHrcpYa  แบบฟอร์มลงทะเบียน https://forms.gle/R8ZF3ccMzu69UjWp9

“ถือเป็นครั้งแรกของ DAA ที่เปิดโอกาสให้คนที่มีความฝันอยากเป็นแอร์-สจ๊วต เข้ามาเทรนด์ก่อนสอบกับผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์จากสายการบินต่าง ๆ ทุกคนที่เข้ามาอบรมจะได้รับความรู้เชิงลึกและเทคนิคการสัมภาษณ์งานที่ตรงใจกรรมการมากที่สุด ที่สำคัญหลังจากผ่านการอบรมสามารถสมัครสอบเพื่อรับ Certificate จาก IATA ได้อีกด้วย และสามารถนำไปแนบการสมัครงานเพิ่มโอกาสในการได้คะแนนพิเศษที่ไม่ควรพลาด

ผู้ที่ผ่านการอบรมจะมีความเป็นตัวเองอย่างสง่างาม มีความมั่นใจในการพิชิตใจกรรมการมากขึ้น ทั้งนี้หากผู้เข้าอบรมสามารถนำไปปฏิบัติได้ตามที่อบรม จะผ่านการสอบสัมภาษณ์ได้อย่างไม่ยากแน่นอน นอกจากนี้ทาง DAA ยังมีความพร้อมในการเปิดหลักสูตรพิเศษที่หลากหลาย หากหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ บริษัทวิทยุการบิน พนักงานอำนวยการบิน เป็นต้น เปิดรับสมัครงานในตำแหน่งเฉพาะทาง เราพร้อมที่จะผลิตนักศึกษาให้ตรงกับความต้องการของแต่ละหน่วยงานในอุตสาหกรรมการบิน” คณบดี CADT DPU กล่าวในตอนท้าย

‘อีลอน มัสก์’ ทวีตตอบ ‘เศรษฐา’ ชี้ เป็นเกียรติที่ได้พบ พร้อมบอก “อนาคตประเทศไทยน่าตื่นเต้นสุดๆ”

เมื่อวานนี้ (22 ก.ย.66) ตามเวลาประเทศไทย ภายหลังจากที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้พบกับ นายอีลอน มัสก์ (Elon Musk) ผู้ก่อตั้งสเปซเอ็กซ์ และซีอีโอของบริษัทเทสลา และผู้บริหารของ Tesla SpaceX และ Starlink ผ่านระบบการประชุมทางไกล

ก่อนที่ นายกรัฐมนตรี จะได้เขียนข้อความถึงนายมัสก์ ผ่านแพลตฟอร์ม x หรือทวิตเตอร์ ใจความว่า

“ได้เจอกับ @elonmusk และทีม ระหว่างที่ผมเดินทางมาร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 (UNGA78) ที่นครนิวยอร์ก พวกเรามีบทสนทนาที่ดีมากๆ เกี่ยวกับ @Tesla @spaceX และเทคโนโลยีของ @starlink

ประทับใจกับความก้าวหน้าที่กลุ่มได้สร้างขึ้นเพื่อมนุษยชาติ และพวกเราก็ได้แชร์มุมมองเกี่ยวกับอนาคตสำหรับโลกที่สะอาดขึ้น พวกเรายังมองหาโอกาสที่จะได้พูดคุยกันเพิ่มเติม และหวังที่จะได้รับแรงบันดาลใจที่มากขึ้นเกี่ยวกับความสำเร็จของ #EV และ #SpaceExploration ที่ก้าวหน้า แน่นอนว่าไม่ใช่เฉพาะคนไทย แต่รวมไปถึงประชาคมโลกด้วย”

จากนั้น นายอีลอน มัสก์ (Elon Musk) ได้ตอบกลับข้อความดังกล่าวของนายเศรษฐา ผ่านแอ็กเคานต์ x ส่วนตัว โดยระบุว่า “เป็นเกียรติอย่างมากที่ได้พบ ประเทศไทยมีอนาคตที่น่าตื่นเต้นมาก!”

'เศรษฐา' ใช้เวทีสมัชชาสหประชาชาติ ประกาศก้อง 'ไทยเปิดแล้ว' ลั่น!! พร้อมลงทุนข้ามชาติ ไม่รอการลงทุนมาไทยฝ่ายเดียว

(23 ก.ย.66) เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 22 ก.ย. ตามเวลาท้องถิ่น ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์สรุปภารกิจในการเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติเป็นครั้งแรก ว่า มีภารกิจที่หลากหลาย ไม่ใช่เฉพาะตนเองอย่างเดียว แต่ทั้ง นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.การต่างประเทศ และนายจักพงษ์ แสงมณี รมช.การต่างประเทศ ซึ่งต่างมีภารกิจมาก ซึ่งตนเองมีโอกาสได้พูดในหลายเวที เรื่องของโลกร้อน เรื่องสันติภาพ อากาศบริสุทธิ์ ความมั่นคงทางอาหาร ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และอารยะเกษตร รวมถึงมีโอกาสได้พบปะกับผู้นำประเทศ รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านสำคัญๆ เช่น ประเทศมาเลเซีย ซึ่งได้พูดคุยเรื่องความมั่นคงทางชายแดน และส่งเสริมการค้าระหว่างกันให้สูงขึ้น

นายกฯ กล่าวว่า ส่วนวันนี้ถือเป็นไฮไลต์ของงานที่ได้กล่าวถ้อยแถลง ประมาณ 10 กว่านาที ได้มีการพูดถึงปัญหาของโลกที่เกิดจากอากาศร้อน ที่ไม่ใช่แค่โลกร้อน แต่เป็นโลกเดือด หลายประเทศก็ยังมองไปข้างหลังเรื่องของตัวเลขดัชนีชี้วัดต่างๆ เราก็ต้องรวมพลัง และทำให้มันเกิดขึ้นได้ ตนเคยบอกไปหลายเวทีแล้วว่าการประชุมของสหประชาชาติครั้งนี้มีเรื่องของปัญหาที่ต่างกันหลายเรื่อง แต่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่เห็นตรงกัน เรื่องความมั่นคงทางอาหารก็เป็นเรื่องสำคัญ โลกร้อน โลกเดือดก็ทำให้ไม่แน่นอนทางด้านภูมิอากาศที่เหมาะกับการทำเกษตรกรรม ประเทศเราเองเหมาะกับเกษตรกรรม มีความมั่นคงทางอาหารสูง แต่ลดลงเพราะเรื่องน้ำท่วม น้ำแล้ง ที่เกิดจากสภาพภูมิอากาศผันผวนอย่างมาก ทำให้เราต้องกลับมาดูเรื่องนี้ว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง ทั้งเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และเรื่องอารยเกษตร ซึ่งต้องใช้พื้นที่ให้เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่การเพาะปลูก รวมถึงการใช้หนองน้ำเป็นที่เลี้ยงปลา หลายอย่างตนเชื่อว่า สามารถปรับมาใช้ได้

นายกฯ กล่าวว่า ส่วนเรื่องปัญหาสุขภาพที่มีโรคเพิ่มมากขึ้น เป็นเหมือน wakeup call หลังมีโรคระบาดทำให้เรารู้ว่าสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของมนุษยชนถูกจำกัด หรือได้รับการดูแลเยียวยาอย่างไม่ทั่วถึง แต่ประเทศไทยโชคดีที่มีระบบสาธารณสุขที่แข็งแกร่ง แต่ว่ามีสาธารณสุขที่แข็งแกร่ง แต่มีการเคลื่อนไหวของประชากรเยอะ ดูแลดีอย่างไรก็ตามยังไม่เพียงพอ ถ้าประเทศอื่นไม่ดูแลเพียงพอ ฉะนั้นสหประชาชาติเองก็ควรเข้ามาเป็นเจ้าภาพ เพื่อเป็นแน่ใจว่าทุกๆประเทศ มีระบบ health care ที่ดีเหมือนประเทศไทย ขณะที่ไทยเองยังไม่หยุดยั้ง ยังยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรค เพื่อทำให้คนไทยสบายมากขึ้นในการเข้าถึงระบบสาธารณสุขที่จะเข้าที่ตัวเองอยากจะเข้า

เมื่อถามว่าหลายประเทศต้องการสันติภาพที่ยั่งยืน ในความหมายของนายกรัฐมนตรีที่นำเสนอเป็นอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า สันติภาพที่ยั่งยืนเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก ประเทศไทยเรามีความเชื่อเรื่องความสงบ มีความเชื่อเรื่องการเจริญที่ยั่งยืน โดยไม่เข้าไปก้าวก่ายกิจการภายในของแต่ละประเทศ

"แต่เป็นที่ทราบดีว่า เรื่องความระหองระแหง ระหว่างประเทศมีหลายคู่ ส่วนประเทศเราแม้จะเป็นประเทศเล็ก ไม่ได้ใหญ่มาก แต่เราภูมิใจในเอกราชที่เรามีมาตลอด เราเองมีความภูมิใจ และมีความสบายใจในการที่เราอยู่ในภูมิศาสตร์ที่เป็นที่ยอมรับของทุกประเทศ จึงเป็นหน้าที่ของผู้นำประเทศและรัฐบาลนี้ที่จะต้องดำรงไว้ซึ่งความเป็นเอกราชและไม่เข้าข้างใคร เรามีความเชื่อในเรื่องสันติสุขและความเจริญที่ยั่งยืน" นายกรัฐมนตรี กล่าว

ถามว่า เรื่องสิทธิมนุษยชน ในปีนี้ที่เราสมัครเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ด้วย นายกฯ กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่สำคัญไม่ใช่แค่ดูแลสิทธิมนุษยชนเพียงในประเทศอย่างเดียว เรามีประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ ไม่ว่ามาเลเซีย ลาว กัมพูชา และที่ละเอียดอ่อนที่สุดคือ เมียนมา ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่เราต้องดูแลหากมีผู้อพยพเข้ามา หรือมีผู้ที่เดือดร้อนบริเวณชายแดน เพราะเรามีชายแดนกับเมียนมากว่า 1,000 กิโล จะต้องดูแล

ผู้สื่อข่าวถามว่ามองความสำเร็จในการร่วมเวทีโลกครั้งแรกในฐานะนายกรัฐมนตรีอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า ครั้งแรกก็ต้องขอบคุณ กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่ช่วยดูแลและเป็นเจ้าภาพในการนำนักธุรกิจเก่งๆ และสนใจมาร่วมทุนในประเทศไทยมาพบปะตนและทีมงาน ถือเป็นนิมิตหมายอันดีและจุดเริ่มต้นที่ดี 4 วันที่ผ่านมาได้ทำหน้าที่ ถือเป็นก้าวแรกในการประกาศให้ชาวโลกรู้ว่าประเทศไทยเปิดแล้ว เราพร้อมที่จะมีการลงทุนข้ามชาติ ทั้ง 2 ทาง ไม่ใช่แค่ให้เขามาลงทุนเราอย่างเดียว เอกชนไทย ที่แข็งแกร่งหลายราย พร้อมลงทุนในต่างประเทศด้วย

เมื่อถามว่า การได้พบผู้นำหลายชาติ ตอบรับกับรัฐบาลใหม่และนายกรัฐมนตรีใหม่อย่างไร นายกฯ กล่าวว่า ดีครับ ทุกคนก็ยินดีด้วย และเข้าใจว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องมีผู้นำและออกมาค้าขายกันอีก 

'รถถัง' พ่ายคะแนน 'ซุปเปอร์เล็ก' ศึกมวยไทยวันซูเปอร์ไฟต์ แฟนๆ ชื่นชมสมศักดิ์ศรีไฟต์ยิ่งใหญ่แห่งวงการมวยไทย

(23 ก.ย.66) ศึก ONE ลุมพินี 34 ปิดฉากด้วยความดุเดือดสมศักดิ์ศรีกับที่เป็นศึกครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์วงการมวยไทย สะกดสายตาแฟนกีฬาการต่อสู้ใน 190+ ประเทศทั่วโลก โดยทัพนักสู้ระดับ ‘คู่เอก’ ทั้ง 22 ชีวิต 11 คู่ ต่างปล่อยอาวุธเด็ดแบบเต็มอิ่มไม่ทำให้ต้องผิดหวัง เมื่อค่ำวันศุกร์ที่ 22 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่สนามมวยเวทีลุมพินี (รามอินทรา)

คู่เอกมวยหยุดโลก ‘รถถัง จิตรเมืองนนท์’ แชมป์โลก ONE มวยไทย รุ่นฟลายเวต (125 – 135 ป.) แสดงสปิริตยอมแบกน้ำหนักขึ้นเวทีหลังเพื่อนรัก ‘ซุปเปอร์เล็ก เกียรติหมู่ 9’ แชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นฟลายเวต เกิดตกตาชั่งหมดสิทธิ์ชิงเข็มขัด จึงต้องงัดกันนอกรอบในกติกามวยไทย แคตช์เวต ซูเปอร์ไฟต์ 140 ป. แทน

เปิดฉากยกแรก ‘รถถัง’ ไม่รอช้างัดศอกเข้าเต็มหน้าผาก ‘ซุปเปอร์เล็ก’ เรียกแผลแตกได้อย่างเร็ว แต่แพทย์เห็นควรให้สู้ต่อได้ ยกสอง ‘ซุปเปอร์เล็ก’ เดินเข้าใส่ไม่ห่วงแผล ได้จังหวะสับศอก ‘รถถัง’ จนล้มลงไปกองคามุมเรียกนับแปด ยกสุดท้าย ทั้งสองฝ่ายไม่มีอะไรจะเสีย เดินแลกเดือดแทบไม่ได้หายใจ ครบสามยก ‘ซุปเปอร์เล็ก’ เอาชนะคะแนนเอกฉันท์ไปได้แบบถึงพริกถึงขิง สมเป็นไฟต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มวยไทยในรอบ 50 ปี

ด้านคู่รองของรายการ ‘คนไม่ยอมคน’ เสกสรร อ.ขวัญเมือง จอมเก๋าสายบู๊ หวนคืนสังเวียนครั้งแรกในฐานะนักกีฬา ONE เต็มตัว เปิดหน้าท่าแกร่ง ‘อาเมียร์ นาซิรี’ นักชกมากฝีมือ ตัวแทนมาเลเซีย/อิหร่าน ในกติกามวยไทย พิกัดแคตช์เวต 140 ป.

เริ่มยกแรก ทั้งสองแลกอาวุธครบเครื่องแต่ยังไม่มีฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำ ยกต่อมา ‘เสกสรร’ เครื่องเริ่มร้อน เดินเข้าทำอย่างหนักหน่วง เล่นเอา ‘อาเมียร์’ ถอยเป็นพัลวัน ยกสุดท้าย ‘เสกสรร’ ยังคงเดินลุยตามเสียงเชียร์ ไล่โกยแต้มเป็นกอบเป็นกำ ครบสามยก ‘เสกสรร’ ได้รับการชูมือด้วยคะแนนเอกฉันท์ เพิ่มสถิติไร้พ่ายไฟต์ที่ 6 ติดต่อกันใน ONE ลุมพินี

ส่วน ‘เสือคิม สจ.โต้งปราจีน” แก้มือสำเร็จด้วยการจัดน็อกคู่ชกจากอิหร่าน “ ซามาน อาสซูริ” ในนาทีที่ 2:15 ของยกแรก ซิวดับเบิลโบนัสไป 700,000 บาท ขณะที่ ‘เมืองไทย พีเค.แสนชัยฯ’ ย้ำชัย ‘ยอดเหล็กเพชร อ.อัจฉริยะ’ ในศึกภาค 3 ด้วยคะแนนเอกฉันท์ไปแบบดุเดือด ทำให้ได้ควงคู่กันรับโบนัสกลับบ้านไปคนละ 350,000 บาท ขณะที่ ‘พระจันทร์ฉาย พีเค.แสนชัยฯ’ เปิดตัวสวยในกติกาคิกบ็อกซิ่ง ชนะคะแนนเอกฉันท์ ‘อัคราม ฮามิดี’

#แจกไม่อั้นสมศักดิ์ศรีบิ๊กไฟต์ยอดรวมโบนัส 2.1 ลบ.

งานนี้บิ๊กบอส ‘ชาตรี ศิษย์ยอดธง’ เปิดกระเป๋าแจกโบนัสให้แบบถึงใจสมเป็นบิ๊กไฟต์ที่ทุกคนเฝ้ารอคอย โดยมีนักกีฬา 4 ราย สร้างผลงานโดดเด่นน่าประทับใจรับเงินกลับบ้านไปคนละ 3.5 แสนบาท (สามแสนห้าหมื่นบาท) ขณะที่ ‘เสือคิม’ ผลงานเด่นฟันดับเบิลโบนัสรับคนเดียว 7 แสนบาท (เจ็ดแสนบาท) รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 2.1 ล้านบาท (สองล้านหนึ่งแสนบาท)

1.ทรงชัยน้อย เกียรติทรงฤทธิ์ (สามแสนห้าหมื่นบาท)
2.เสือคิม สจ.โต้งปราจีน (เจ็ดแสนบาท)
3.มิเกล ตรินดาเด (สามแสนห้าหมื่นบาท)
4.เมืองไทย พีเค.แสนชัยฯ (สามแสนห้าหมื่นบาท)
5.ยอดเหล็กเพชร อ.อัจฉริยะ (สามแสนห้าหมื่นบาท)

สรุปผลการแข่งขันทุกคู่ศึก ONE ลุมพินี 34

- คู่เอก ซุปเปอร์เล็ก เกียรติหมู่ 9 ชนะคะแนนเอกฉันท์ รถถัง จิตรเมืองนนท์ (มวยไทย แคตช์เวต ซูเปอร์ไฟต์ 140 ป.)
- คู่รอง เสกสรร อ.ขวัญเมือง ชนะคะแนนเอกฉันท์ อาเมียร์ นาซิรี (มวยไทย แคตช์เวต 140 ป.)
- เมืองไทย พีเค.แสนชัยฯ ชนะคะแนนเอกฉันท์ ยอดเหล็กเพชร อ.อัจฉริยะ (มวยไทย แคตช์เวต 138 ป.)
- กุหลาบดำ สจ.เปี๊ยกอุทัย ชนะทีเคโอ ไทสัน แฮร์ริสัน นาทีที่ 3:00 ของยกแรก (มวยไทย รุ่นแบนตัมเวต 135 – 145 ป.)
- พระจันทร์ฉาย พีเค.แสนชัยฯ ชนะคะแนนเอกฉันท์ อัคราม ฮามิดี (คิกบ็อกซิ่ง รุ่นสตรอว์เวต 115 – 125 ป.)
- มิเกล ตรินดาเด ชนะน็อก สิบหมื่น โค้ชนาย นาทีที่ 2:14 ของยกแรก (มวยไทย แคตช์เวต 147 ป.)

'พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผบช.กมค.' ชี้!! พรบ.ไกล่เกลี่ย 62 สัมฤทธิ์ผล ไม่ถึงปี ไกล่เกลี่ยได้ 1,528 คดี ลดรายจ่าย ปชช.ร่วมร้อยล้าน

จากรายการ CONTRIBUTOR ออกอากาศทาง THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 22 ก.ย.66 ได้พูดคุยกับ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี (กมค.) ในสาระสำคัญของบทบาท ผู้พิทักษ์ 'สันติ' ราษฎร์ โดยมีเนื้อหาช่วงหนึ่งได้กล่าวถึงผลสัมฤทธิ์ของ พรบ.ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ปี 2562 ที่ พล.ต.ท.ไตรรงค์ และ กมค. ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการผลักดันให้เกิดการบังคับใช้นั้น ได้สร้างประโยชน์ต่อสังคมไทยในช่วงเวลาแค่ไม่ถึง 1 ปีได้อย่างมาก ว่า…

“สำหรับ พรบ.ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ทางสำนักงานกฎหมายและคดี รับหน้าที่เป็นฝ่ายเลขา ตัวกฎหมายระบุว่า มีความผิดทางอาญาบางประเภทสามารถยุติได้ในชั้นการไกล่เกลี่ย ไม่ว่าจะเป็นไกล่เกลี่ยในชั้นสอบสวน หรือโดยผู้ไกล่เกลี่ยในภาคประชาชน ซึ่งในเรื่องนี้ทาง ผบ.ตร. (พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์) ได้ยกขึ้นมาเป็นนโยบายประจำปี 2566 เลย โดยกำหนดให้สถานีตำรวจทั่วประเทศ จะต้องดำเนินการให้มีการไกล่เกลี่ยในงานสอบสวน ให้ครบทุกสถานี และพยายามจัดตั้งให้มีศูนย์ไกล่เกลี่ยภาคประชาชนให้ครบทั่วประเทศ 1,483 สถานี”

พล.ต.ท.ไตรรงค์ ระบุว่า “ตอนนี้จัดตั้งเฟสแรกในเรื่อง การจัดตั้งศูนย์ไกล่เกลี่ยในงานสอบสวน เพราะว่ากฎหมายบังคับให้งานสอบสวน ทุก ๆ หน่วยงาน จะต้องให้มีการไกล่เกลี่ยได้ในคดีความผิดอาญาบางประเภท สมัยก่อน ไม่มีกฎหมายให้อำนาจ ก็ไกล่เกลี่ยไม่ได้ หรืออาจจะต้องไปถึงขึ้นชั้นศาล แต่ปัจจุบัน พรบ.ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ที่ออกมาตั้งแต่ปี 2562 แต่พร้อมบังคับใช้จริงก็ต่อเมื่อมีผู้ไกล่เกลี่ยตามกฎหมาย มีการอบรม การขับเคลื่อนอย่างเต็มที่ มีการเทรนนิ่งใหม่ มีการทำความเข้าใจใหม่ เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับประโยชน์จากกฎหมายฉบับนี้ ทำให้พี่น้องประชาชนประหยัดเวลา ลดภาระค่าใช้จ่ายในกระบวนการยุติธรรม และถ้าเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยตั้งแต่ต้น จะไม่มีประวัติ ไม่ต้องพิมพ์ลายนิ้วมือเลย ถ้าทั้งผู้เสียหายและผู้ต้องหาในคดีอาญา ประสงค์เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยตั้งแต่ต้น ก่อนที่จะมีการแจ้งข้อกล่าวหา ถ้าไกล่เกลี่ยสำเร็จ ยุติปัญหา ก็จะไม่เกิดเป็นคดีเลย”

พล.ต.ท.ไตรรงค์ เปิดเผยต่อว่า “หลังจากที่เรามีการขับเคลื่อน พรบ.ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท มีคดีเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยในสถานีตำรวจรวมทั้งสิ้น 2,139 คดี ไกล่เกลี่ยและยุติไป 1,528 คดี หรือคิดเป็น 71% ดังนั้นท่าน ผบ.ตร. (พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์) ได้มอบหมายให้ พล.ต.ท. นิรันดร เหลื่อมศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นประธานคณะขับเคลื่อน โดยมีทาง กบค. เป็นเลขา ก็จะพยายามขับเคลื่อนให้เกิดเป็นรูปธรรมให้มากกว่านี้ขึ้นไปอีก”

“แต่แค่ช่วงเวลาเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ ม.ค. 66 - ปัจจุบัน สามารถไกล่เกลี่ยสำเร็จไปแล้ว 1,528 คดี ลดภาระ ค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชน ไปแล้วกว่าร้อยล้านบาท แต่หากพูดถึงเรื่องคุณค่าทางจิตใจ ความสมานฉันท์ของสังคม ประเมินค่าไม่ได้ เรื่องนี้จึงเป็นอีกเรื่องที่ทางสำนักงานกฎหมายและคดี มีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่ง ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ได้ร่วมขับเคลื่อนโครงการนี้” พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวทิ้งท้าย

รับชมสัมภาษณ์เต็มได้ที่: https://www.youtube.com/watch?v=175HCRBK-hk 

‘เอิ้ก ชาลิสา’ ลั่น!! “ฉันหิว ฉันก็ต้องกิน”

“หยุดได้ค่ะ แต่ไม่หยุด ท้องใครท้องมัน ปากใครปากมัน ฉันหิวฉันก็ต้องกิน…”

'เอิ้ก ชาลิสา' ยูทูบเบอร์ และเจ้าของเพลง เลือดกรุ๊ปบี ได้กล่าวเอาไว้

คลี่สถานการณ์ 'ประชาธิปัตย์' ในจังหวะคลุมเครือ ยังเหลือโอกาสให้คงไว้ซึ่งสถาบันทางการเมืองอยู่

เงียบไปเลยสำหรับประชาธิปัตย์ จะจัดการกับปัญหาภายในพรรคอย่างไร เห็นตอบแรกๆ ดูขึงขัง เอาจริงเอาจัง หรือว่า "เขามีอะไรกันแล้ว"

ปัญหาในพรรคประชาธิปัตย์หลักๆ มีอยู่ 2-3 ประเด็น...

- ประเด็นแรกคือจะมีการประชุมใหญ่ เพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่เมื่อไหร่ แทนชุดเก่าที่ 'จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์' ลาออกเพื่อรับผิดชอบต่อผลการเลือกตั้งที่พ่ายแพ้ยับเยิน หลังจากนัดประชุมกันมาสองรอบ แต่องค์ประชุมล่มทั้งสองครั้ง ซึ่งเป็นการล่มแบบ 'ผิดปกติ' มีการจัดการทำให้ล่ม

- ประเด็นที่สองคือ จะจัดการกับปัญหา สส.จำนวนหนึ่ง 16 คน ยกมือสวนมติพรรค ไปยกมือสนับสนุน 'เศรษฐา ทวีสิน' จากพรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่มติพรรคให้ 'งดออกเสียง' มีการนินทากันว่า การโหวตสวนมติพรรค เป็นเกมเดินไปสู่การเป็นพรรคร่วมรัฐบาล

เกมการเดินไปสู่การร่วมรัฐบาล ถูกกำหนดโดยทีม 'เฉลิมชัย ศรีอ่อน' เลขาธิการพรรค, เดชอิศม์ ขาวทอง รองหัวหน้าพรรคภาคใต้ ภายใต้การสนับสนุนของ สส.บางกลุ่มก้อน กลุ่มหนึ่งมาจากสายของเดชอิศม์ อีกกลุ่มหนึ่งมาจากสายชัยชนะ เดชเดโช อีกกลุ่มมาจากสายเฉลิมชัย ศรีอ่อน แต่เป็นการเลือกทางเดินที่ผิดพลาด เพราะพรรคเพื่อไทย แกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ไม่ได้ชายตามองมายังประชาธิปัตย์เลยแม้แต่น้อย แต่ สส.กลุ่มนี้ภายใต้การกุมทิศทางของ 'เฉลิมชัย-เดชอิศม์-แทน' ก็หวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะได้ร่วมรัฐบาล

สาทิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรคภาคตะวันออก ยื่นหนังสือเป็นทางการถึงจุรินทร์ ให้ตั้งกรรมการสอบ 16 สส.ที่แหกมติพรรค แต่ 'เงียบกริบ' ไม่มีข่าวคราวการตั้งกรรมการสอบมาจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ 'เงียบยิ่งกว่าเป่าสาก' แต่ #นายหัวไทร ได้รับเสียงกระซิบมาว่า "ตั้งแล้ว" แต่ไม่มีข่าวไม่มีคราว ใครเป็นประธาน ใครเป็นกรรมการสอบ และสอบไปถึงไหนแล้ว ต้องเสร็จเมื่อไหร่ ไม่มีอะไรออกมาให้ได้รับทราบกันเลยแม้แต่น้อย ยิ่งปล่อยไว้นานรังแต่จะเพิ่มความเสื่อมครับ

ได้เห็นภาพที่แปลกตาแปลกใจช่วงหาเสียงเลือกตั้งซ่อมระยอง เขต 3 มีคนประชาธิปัตย์มะรุมมะตุ้มกันไปช่วยหาเสียง ชวน หลีกภัย, บัญญัติ บรรทัดฐาน คุณหญิงกัลยา โสภณพาณิชย์, สุทัศน์ เงินหมื่น, นิพนธ์ บุญญามณี พร้อมหน้าพร้อมตากันไปช่วยหาเสียง แต่ที่แปลกคือ มี 'เฉลิมชัย ศรีอ่อน' และ 'ชัยชนะ เดชเดโช' ไปร่วมเดินเคาะประตูบ้าน ช่วยหาเสียงด้วย ทั้งๆ ที่ถือว่าเป็นคนละขั้วกันชัดเจน

งานนี้จะขาดก็เพียง 'นายกฯ ชาย-เดชอิศม์ ขาวทอง' ที่อาจจะไปก็ได้ แต่ #นายหัวไทร ไม่เห็น หรือติดภารกิจอะไร ถึงไม่ได้ไปร่วมภารกิจวัดดวงสำหรับประชาธิปัตย์

นายหัวไทรแอบคิดในใจว่า "หรือว่า เขาคุยกันแล้ว" คุยกันออกมาในแนวประนีประนอม เมื่อผลสอบออกมา ก็คือ "มีมูล" ว่า มีการละเมิดมติพรรค แต่ฐานความผิดต่างกัน บางคนแต่ทำตามผู้หลักผู้ใหญ่แนะนำ ช่วงคนลงมติตามผู้มีพระคุณบอก แต่บางคนเป็นแกนนำ แถมวิจารณ์พรรค วิจารณ์ผู้อาวุโสของพรรค ถึงขั้นเชิงตั้งคำถามว่า "ใครจะขับใครกันแน่" เมื่อฝ่ายเขากุมเสียง สส.อยู่มากกว่า อย่างน้อยเห็นๆ 16-20 คน

ที่พาให้คิดได้ว่า "เขาคุยกันแล้ว" และจะออกมาแนวประนีประนอม ไม่อยากให้แตกหัก และ สส.บางคนก็ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ทำตามผู้ใหญ่ ผู้มีพระคุณสั่ง แนวทางของประชาธิปัตย์จึงน่าจะออกมาแบบ "ขับออกจาก" บางคน อาจจะ 1-2 คน ส่วนที่เหลืออาจจะว่ากล่าวตักเตือน จะด้วยวาจา หรือลายลักษณ์อักษร ขึ้นอยู่กับฐานความผิดที่กระทำขึ้น ซึ่งต้องไปกำหนดด้วยว่า ฐานความผิดแต่ละฐานะเมื่อโดนลงโทษแล้ว จะมีผลอย่างไรต่อไปในอนาคต

แต่สำหรับมุมมองของนายหัวไทร มองว่า น่าจะขับออก 1 ตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร 1 ที่เหลือตักเตือนด้วยวาจา คนที่โดนขับออกก็ไปหาพรรคใหม่สังกัดตามช่วงเวลาที่กฎหมายกำหนด ส่วนจะตักเตือนด้วยวาจา หรือตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร ก็ยังอยู่กับประชาธิปัตย์ต่อไปได้ แต่จะมีผลอย่างไรในอนาคต ขึ้นอยู่กับพรรคกำหนด

จบข่าวสำหรับอนาคต 16 สส. แต่เรื่องใหญ่ของประชาธิปัตย์ จะฟื้นฟูพรรคอย่างไรให้กลับมาเฟื่องฟูเหมือนในอดีต ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย กรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ต้องคิดหนัก คิดให้มาก ฟังให้มาก เสาะแสวงหาคนรุ่นใหม่ ดึงเข้ามาทำงาน "ร่วมคิดร่วมทำ" แบบซึมซับอุดมการณ์ของประชาธิปัตย์ให้มาก

ในเวลานี้ประชาธิปัตย์ประกาศตัวชัดเจนแล้วว่า จะขอเป็นฝ่ายค้านแบบเข้มข้น ก็ถือว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้อง และเป็นแนวทางที่ประชาธิปัตย์ถนัด ขอให้มุ่งมั่น ตั้งใจ ทำหน้าที่ในการตรวจสอบอย่างจริงจัง เข้มข้น ก็น่าจะเป็นแนวทางหนึ่งในการเรียกศรัทธากลับคืนมาได้

แต่หันซ้ายมองขวา ก็ยังไม่เห็นดาวเด่นในบริบทของการตรวจสอบในฐานะฝ่ายค้าน อาจจะมีแค่ดาวจรัสแสงในเชิงการหารือ ตั้งคำถาม อย่างเช่น 'สรรเพชญ บุญญามณี -ร่มธรรม ขำนุรักษ์' แต่ยังไม่เห็นแววว่าจะมีใครแสดงบทฝ่ายค้านที่เข้มข้นเหมือนในอดีตได้

ในอดีตที่เราเห็น ชำนิ ศักดิเศรษฐ์ - วิทยา แก้วภารดัย-อาคม เอ่งฉ้วน - ไตรรงค์ สุวรรณคีรี - พิเชษฐ์ พันธุ์วิชาติกุล - สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นต้น นึกถึงคนเหล่านี้ ก็นึกภาพออกของการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน แต่มองไปยัง สส.ปัจจุบัน 20 กว่าคน เว้น 'ชวน-บัญญัติ' บอกตามตรงว่า "มองไม่เห็น"

ขออนุญาต #ทำเฒ่าเรื่องเพื่อน เสนอแนะว่า เมื่อประชาธิปัตย์จัดทัพลงตัว มีหัวหน้าพรรค มีเลขาธิการพรรค มีกรรมการบริหารพรรคครบถ้วนแล้ว 'ชวน-บัญญัติ' ควรลาออกจาก สส.บัญชีรายชื่อ เพื่อเปิดทางให้คนอื่นเข้ามาทำหน้าที่ที่เข้มข้น ซึ่งถ้า 'ชวน-บัญญัติ' ลาออก ลำดับที่ 4 คือ คุณหญิงกัลยา โสภณพาณิชย์ และลำดับที่ 5 นิพนธ์ บุญญามณี ก็จะขยับขึ้นมาเป็น สส.แทน แต่ไม่ใช่แค่นั้น คุณหญิงกัลยาก็ควรจะสละสิทธิ์ด้วย เพื่อให้ลำดับ 6 อย่าง 'องอาจ คล้ามไพบูลย์' ขยับขึ้นมาเป็น สส.บัญชีรายชื่อแทน

ประชาธิปัตย์ก็จะมี สส.แสดงบทบาทเด่นในสภาได้ 2 คน คือ นิพนธ์-อาอาจ ก็อาจจะมีคนถามว่าแล้วจะให้ 'ชวน-บัญญัติ' ไปทำอะไร เมื่อทั้งสองยังยึดมั่นอยู่กับประชาธิปัตย์อย่างเหนียวแน่น สำนึกรักประชาธิปัตย์ไม่เสื่อมคลาย ผมแนะนำว่า ให้ผู้อาวุโสทั้งสองท่าน และอาจจะรวมถึงคุณหญิงกัลยาด้วย ไปแสดงบทของนักบุญ ไปดูแลมูลนิธิเสนีย์ ปราโมช ให้เป็นจริง เป็นเรื่องเป็นราว หรือไปขับเคลื่อนให้เป็นจริงเป็นจังในการผลักดันให้มีถนนคู่ขนาดขึ้น-ลงภาคใต้ ไปจนถึงนราธิวาส ตามเจตนารมณ์ของนายชวน ไปผลักดันงานพัฒนาภาคใต้ที่ต้องชดเชยจากการสูญเสียไปในบางรัฐบาล ที่นายชวนพล่ำบ่นมานาน

ทั้งหมดที่เขียนมาก็ด้วยความปรารถนาดีต่อพรรคการเมืองในตำนาน พรรคการเมืองที่เป็นสถาบันทางการเมืองอย่าง 'ประชาธิปัตย์'

เรื่อง: นายหัวไทร

'ผู้ว่าฯ วีระศักดิ์' เปิดใจ!! ต่อให้เวลาย้อนกลับ ก็ยังจะทุ่มเทให้กับงาน "อะไรที่ทำให้ชาวบ้านปลอดภัย หรือดีขึ้นได้ ยังทำเหมือนเดิม"

เมื่อวานนี้ (22 ก.ย.66) ทำเอาประชาชนเกิดความเป็นห่วงผู้ว่าฯ ปู เป็นจำนวนมาก จากกรณีเมื่อวันที่ 20 ก.ย.66 ที่ผ่านมา อดีตผู้ว่าฯ สมุทรสาคร นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ได้ออกมาเผยถึงอาการป่วยล่าสุดบนเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า ตอนนี้อาการป่วยหลังรักษาโควิด-19 ของตนกำลังหนักขึ้นเรื่อยๆ หมอบอกว่าแค่ยาเอาไม่อยู่แล้วต้องผ่าตัดสมอง ท่ามกลางกำลังใจจากประชาชนจำนวนมาก โดยโพสต์เอาไว้ว่า

>> เป็นอะไรมากหรือเปล่า?

ขอบคุณทุกคน ที่กรุณาส่งความปรารถนาดี ความห่วงใย มาถึงผมในทุกครั้งที่มีโอกาส เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน มีเมนต์ในเพจหนึ่ง ระบุกว้างๆว่า เกษียณแล้วก็จริง แต่ผมกำลังทรมานกับโรคหลังโควิดอีก

>> เรื่องจริงเป็นไง?

ตอนนี้ผมยังมีอาการเกร็ง และสั่นกระตุกด้านขวา อาการเป็นมากในช่วงบ่าย จนถึงตอนนอน ช่วงเช้าถึงเที่ยง ยังพอทำอะไรได้บ้าง เริ่มมีอาการนี้ ในช่วงท้ายของการอยู่สมุทรสาคร มากขึ้นเรื่อยๆตอนมาอ่างทอง และเกษียณอายุ รักษามาทุกรูปแบบ และทุกวิธีการแต่ไม่ดีขึ้นเลย เกร็งหนักขึ้นเรื่อยๆ

ล่าสุดหมอที่ศิริราช บอกว่ายาเอาไม่อยู่แล้ว ต้องผ่าตัดสมองเพื่อฝังชิพ และมีอุปกรณ์คอยบังคับแทน ได้วันและห้องว่าง ที่จะทำการผ่าตัดได้ในช่วงก่อนสงกรานต์ ปี 2567 หรืออีก 6 เดือนข้างหน้า 

>> หากย้อนกลับได้ จะทุ่มเทให้กับการทำงานแบบที่ผ่านมาไหม เพราะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกร็ง และสั่นกระตุกในวันนี้?

ทำครับ อะไรที่ทำให้ชาวบ้านปลอดภัย หรือดีขึ้นได้ ผมจะยังทำเหมือนเดิม เพราะเราเป็นความหวังของชาวบ้าน หากเราไม่ทำแล้วใครจะทำ

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การผ่าตัดสมองในกลางเดือนเมษายน คงดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย เป็นกำลังใจให้ผมด้วย ขอบคุณครับ

โดยต่อมา ผู้ว่าฯวีระศักดิ์ ได้เผยในช่องคอมเมนต์อีกว่า "ขอบคุณกำลังใจจากทุกคนครับ บางคนถามว่าทำไม? กว่าจะผ่าตัดต้องเดือนเมษายนนานเกินไปไหม ผมก็อยากให้เร็วกว่านั้นแต่ห้องและเตียงไม่ว่างเลยครับ คิว MRI คือเมษายน ไม่มีเร็วกว่านี้ ทำแล้ว ผ่าเลยครับ ทุกรูปแบบ และทุกวิธีการรักษา ผมลองมาหมดแล้ว แผนไทย แผนจีน แผนพม่า แผนลาว แผนปัจจุบัน หมอพระ นั่งทางใน พลังจิต ยาผีบอก สมุนไพร ฯลฯ

โปรดอย่าเสนอวิธีใดอีกเลยครับ"

ตำรวจไซเบอร์เปิดปฏิบัติการล่าเครือข่ายผู้ร่วมขบวนการระดับสั่งการแก๊งค์เครื่อง Stingray ที่ส่งข้อความให้กดลิงก์โหลดแอปดูดเงิน

พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒนครบัญชา ผู้บัญชาการ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ สอท. สั่งการให้ พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 , พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 , พล.ต.ต.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา ผบก.สอท.5 นำกำลังตำรวจไซเบอร์ร่วมกันเปิดปฏิบัติการล่าเครือข่ายผู้ร่วมขบวนการระดับสั่งการแก๊งค์เครื่อง Stingray ที่ส่งข้อความให้กดลิงก์โหลดแอปพลิเคชันดูดเงิน 

สืบเนื่องจากการขยายผลกลุ่มเครือข่ายขบวนการเครื่องกระจายสัญญาณ ที่ใช้อุปกรณ์ส่งข้อความ SMS ให้ประชาชนกดลิงก์ จากนั้นคนร้ายเข้าควบคุมเครื่องโทรศัพท์มือถือแล้วโอนเงินในบัญชีธนาคารที่เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชั่น Mobile Banking ในโทรศัพท์มือถือของผู้เสียหาย โดยตำรวจ สอท.ได้รวบรวมหลักฐานขอศาลอาญาธนบุรีออกหมายจับกลุ่มผู้ต้องหา ซึ่งเป็นขบวนการในระดับสั่งการจัดหาชุดอุปกรณ์เครื่องกระจายสัญญาณ ในความผิดฐาน "ร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเห็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน , ร่วมกัน นำ มีใช้นำเข้า นำออก หรือค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต , ร่วมกันตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต และเป็นอั้งยี่และหรือซ่องโจร”ต่อมาศาลอาญาธนบุรีได้อนุมัติหมายจับกลุ่มผู้ต้องหา ตำรวจไซเบอร์ชุดปฏิบัติการจึงได้วางแผนเข้าจับกุมในคราวเดียวกันทุกจุด เพื่อตัดวงจรของกลุ่มขบวนการดังกล่าว

ตำรวจไซเบอร์นำโดย พ.ต.อ.อภิรักษ์ จำปาศรี ผกก.1 บก.สอท.3 และ พ.ต.อ.มรกต แสงสระคู ผกก.2 บก.สอท.3 นำกำลังตรวจค้น 4 จังหวัด 5 จุด ภายในวันเดียว เมื่อวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมา ได้แก่ จังหวัดพัทลุง จังหวัดจันทบุรี จังหวัดสระแก้ว และกรุงเทพมหานคร สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาธนบุรี 5 คน ได้แก่

1. น.ส.พรรธช์ธนกรณ์ จับกุมที่บ้านเลขที่ 28/2 ถ.อุบลนุสรณณ์ ต.คูหาสวรรค์ อ.เมืองพัทลุง จ.พัทลุง 
2. นายชิษณุพงษ์ จับกุมที่หอพักนักศึกษาชาย ห้อง 103 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตจันทบุรี หมู่ 10 ต.พลวง อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี 
3. นายศุภชัย จับกุมที่บ้านเลขที่ 95 หมู่ 3 ต.ท่าข้าม อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว 
4. น.ส.บุญรอด จับกุมที่บ้านเลขที่ 55/5 ถ.บ้านวังปาตอง ต.อรัญประเทศ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว 
5. นายภูริช จับกุมที่บ้านเลขที่ 18/108 ซอยประชาอุทิศ 60 แขวงทุ่งครุ เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร 

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 66 เจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้จับกุมตัวผู้ต้องหาในขบวนการแก๊งค์เครื่อง Stingray 6 ราย พร้อมยึดของกลางรถยนต์ 4 คัน ที่มีการติดตั้งเครื่องจำลองสถานีฐาน (False Base Station) ดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท. ได้ขยายผลกลุ่มเครือข่ายขบวนการ จนกระทั่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาระดับสั่งการเป็นผู้ว่าจ้าง จัดหาและขนส่งเครื่อง Stingray และหลังจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท.จะร่วมกันสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาที่ร่วมขบวนการที่เหลือมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้หมดทั้งขบวนการต่อไป

‘พาณิชย์’ เตรียมหาวิธีสร้างตลาดรัศมี 4 กม. รับมาตรการเงินดิจิทัล 10,000 บ. หวังงัด ‘ร้านธงฟ้า-รถพุ่มพวง’ อุดช่องว่าง สร้างจุดกระจายสินค้าให้ปชช.เข้าถึง

(23 ก.ย.66) การเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital wallet เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวจุดชนวนกระตุกเศรษฐกิจของประเทศให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง กลายเป็นนโยบายเร่งด่วนที่สำคัญที่สุดของรัฐบาลตอนนี้ โดยรัฐบาลตั้งเป้าที่จะ ‘ใส่เงิน’ เข้าไปในระบบเศรษฐกิจทั่วประเทศให้ถึงรากหญ้าในรัศมี 4 กม. ส่งผลให้หน่วยงานของรัฐบาลทุกหน่วยงานจะต้องสนับสนุนและร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายนี้ให้เกิดขึ้นจริงภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567

>> เร่งด่วน Digital Wallet

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์กับประชาชาติธุรกิจ ว่า ได้ให้นโยบาย ‘เติมเงิน 10,000 บาท’ กับข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ไปแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นนโยบายใหญ่ของรัฐบาลที่จะใช้กระตุ้น และเป็นเครื่องมือช่วยกระตุกเศรษฐกิจของประเทศ ก่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ช่วยเรื่องของกำลังซื้อให้มีความแข็งแรงขึ้น เมื่อมีกำลังซื้อที่แข็งแรงก็จะนำไปสู่เรื่องของการผลิต และให้ผู้ประกอบการได้มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ในเรื่องของการนำวัตถุดิบเข้ามาเสริม เพื่อรองรับความต้องการของตลาด

“เมื่อนโยบายนี้เกิดขึ้น จะทำให้เศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียนได้หลายรอบ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องของการตัดสินใจ โดยใช้งบประมาณก้อนใหญ่ถึง 570,000 ล้านบาท ให้เกิดการหมุนเวียนภายในระยะเวลา 6 เดือน ถ้าเกิดการกระตุ้นจะก่อให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจพอสมควร หากเงินที่ให้ไปใช้ไม่หมดก็นำกลับคืน หากใช้หมดก็หมดไป

เพราะเท่ากับว่าเป็นการจับจ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมาก เพราะหากงบประมาณนี้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ จะเกิดการหมุนเวียนและก่อให้เกิดรายได้หลายทาง และรายได้นี้ก็จะนำไปสู่การดูแลในนโยบายอื่น เช่น นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ เพราะเศรษฐกิจหมุนเวียน ธุรกิจก็จะเกิดการขยายตัว เพราะภายใน 4 ปีสามารถดำเนินการได้ก็จะก่อให้เกิดรายได้แก่ประชาชน” นายภูมิธรรมกล่าว

>> ฟื้นธงฟ้า-รถพุ่มพวง

เรื่องนี้กรมการค้าภายในจะต้องเตรียมการ ซึ่งได้มอบนโยบายไปว่า รัฐบาลจะมีงบประมาณออกมา และเกิดการกระจายรายได้ โดยมีข้อผูกพันว่า ต้องใช้ภายในพื้นที่ 4 กิโลเมตร แต่หากผู้ได้รับอยู่ในพื้นที่นอกเขต หรือชาวเขา รัฐบาลก็สามารถยืดหยุ่นขยายพื้นที่ออกไปได้ “ไม่เป็นไร เราไม่ได้กำหนดว่า 4 กิโลเมตรแล้วทำให้ประชาชนไม่สามารถจับจ่ายใช้สอยได้”

โดยได้มอบหมายให้กรมการค้าภายในไปเตรียมข้อมูลมาว่า หากประชาชนไม่สามารถเข้าถึง “สินค้า” กรมการค้าภายในจะมีเครือข่ายอะไร เช่น ‘ร้านธงฟ้า’ สามารถที่จะกระจายเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้หรือไม่ ปัจจุบันมีข้อมูลพื้นฐานร้านธงฟ้ามีจำนวนเท่าไหร่ ในกี่จังหวัด จะสามารถรองรับนโยบาย Digital wallet ได้อย่างไร ซึ่งร้านจะขายสินค้าแบบเดิมก็สามารถดำเนินการได้ Digital wallet กำลังจะเกิดขึ้น

คุณต้องคิดว่าตลาดใหม่กำลังมา คุณจะทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการและสินค้าได้อย่างไร ซึ่งโครงการนี้สามารถเข้าไปดำเนินการส่งเสริมธุรกิจร้านธงฟ้าได้ด้วย ซึ่งเป็นธุรกิจที่ไม่ได้แสวงผลกำไร แต่ทำอย่างไรให้เกิดการเติบโตและกระตุ้นการจับจ่าย ผมก็ได้มอบนโยบายให้กรมการค้าภายในไปพิจารณาเรื่องนี้แล้ว” นายภูมิธรรมกล่าว

นอกจาก ‘ร้านธงฟ้า’ แล้ว digital wallet อาจจะขยายไปในส่วนของ ‘รถพุ่มพวง’ นำสินค้าไปขาย จะสามารถที่จะสนับสนุนให้ประชาชนในพื้นที่รับสินค้าต่าง ๆ และไปกระจายสินค้าได้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการสร้างจุดกระจายสินค้าให้ประชาชนสามารถเข้าถึง โดยกรมการค้าภายในอาจจะต้องคิดอะไรใหม่ ๆ ไม่ใช่เพียงว่าปริมาณสินค้าที่เพิ่มขึ้นล้นตลาดและก็เทกระจาด แล้วคุณเข้าไปรับซื้อ

แต่มันยังมีวิธีการหรือช่องทางอื่น ๆ เพิ่มการกระจายสินค้า การเจรจากับสถานีบริการน้ำมันนำสินค้าไปกระจาย หน่วยงานที่ดูแลก็มีการดำเนินการอยู่แล้ว หากสามารถเจรจาและกระจายสินค้าได้มันก็ก่อให้เกิด ‘ตลาดใหม่’ ขึ้นได้

“ผมอยากให้คิดนอกกรอบ ผมรู้ว่าการคิดนอกกรอบมันเสี่ยงที่จะผิดขั้นตอนทางกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้เราก็จะต้องมีการพิจารณาและคิดให้รอบคอบ แต่ก็มองว่าเป็นการลงทุนในเรื่องของการทำงานเพื่อประเทศชาติ แต่ก็ต้องดูให้รอบคอบ หากเราจะดำเนินการทำได้ ก็อยากให้คิดพิจารณา”

>> สร้างตลาดในรัศมี 4 กม.

สำหรับพื้นที่ 4 กิโลเมตรนั้น ความหมายก็คือ ต้องการให้เศรษฐกิจพื้นฐานรากเกิดการเติบโตได้ทั้งหมด ถ้าหากไม่มีก็จะต้องคิดว่ามีเงินจำนวนมากขนาดนี้แล้วจะจัดการอย่างไรเพื่อให้เกิดประโยชน์ ดังนั้น ‘การสร้างตลาด’ จึงเป็นจุดสำคัญที่จะเกิดการกระจายและกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วน ‘โครงการร้านค้าประชารัฐ’ ของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา “ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลง”

แต่ผมขอดูในรายละเอียด มองว่าหากประชาชนสบายใจที่จะเข้ามาซื้อสินค้าในร้านก็จบ ก็เดินหน้าโครงการต่อไป ผมไม่ได้คิดที่จะสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาเพื่อกลบ หากสิ่งที่ดีมีอยู่แล้วก็เดินหน้าต่อไปไม่มีปัญหา

อย่างไรก็ตาม Digital wallet 10,000 บาท ร้านค้าทุกแห่งสามารถเข้าร่วมโครงการได้ ‘ไม่น่าจะมีปัญหา’ สามารถที่จะเข้าสู่ระบบได้ ปัญหาอยู่ที่การสร้าง ‘บล็อกเชน’ หากประเทศไทยสามารถสร้างบล็อกเชนขึ้นมาก็สามารถกำหนดเงื่อนไขว่า จะดำเนินการอย่างไร จ่ายที่ไหน จ่ายเมื่อไหร่ มันทำได้หมด

โดยเรื่องนี้จำเป็นที่จะต้องดูในรายละเอียด ซึ่งอาจจะมีปัญหาและได้ประโยชน์ แต่หากจะก่อให้เกิดผู้ประกอบการรายย่อยเพิ่มขึ้นก็เป็นเรื่องดี และเท่ากับเกิดการสร้างงาน สามารถกระจายรายได้ไปด้วย แต่ก็ต้องดูว่าทุกอย่างจะต้องโตอย่างสมดุล

“ทุกร้านเข้าได้หมด ทุกระดับ ร้านหมูปิ้ง ร้านขายของ แต่ว่าเอาให้ชัด ตอนนี้อยู่ระหว่างของการสร้างบล็อกเชน เพื่อกำหนดกฎกติกาให้สามารถเข้ามาได้ ถ้าเราสามารถนำร้านธงฟ้าเข้ามาอุดช่องว่าง ซึ่งอาจจะไม่มีความจำเป็นในการขยายพื้นที่จาก 4 กม. เป็น 6 กม. แต่ทั้งนี้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับความเป็นจริง ว่าจะสามารถดำเนินการได้มากน้อยแค่ไหน

แต่ได้ชี้ให้เห็นว่า นี่เป็นโอกาสของผู้ประกอบการ ซึ่งสามารถเข้าไปสร้างกลไกของตลาดเพื่อรองรับในสิ่งที่เกิดขึ้น เป้าหมายไม่ใช่ในเรื่องของกำไร แต่คือเรื่องของการกระจายธุรกิจ การพยุงราคา ให้ประชาชนได้รับบริการและเข้าถึงได้มากที่สุด” นายภูมิธรรม กล่าว

>> ลดทันที ข้าว-หมู-ไข่-มาม่า

นายภูมิธรรมกล่าวว่า มีความตั้งใจที่จะดำเนินการให้ได้อย่างนั้น แต่ก็ต้องรับฟังฝ่ายปฏิบัติด้วย แต่หัวใจหลักของเรื่องนี้คือ “ต้นทุนราคาสินค้า” โดยสัปดาห์หน้าจะเชิญผู้ประกอบการเข้ามาพูดคุยและหารือ ต้องรับฟังถึงปัญหาของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็ก (SMEs) ก่อนที่จะนำไปหารือและพิจารณาตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไร ที่ผ่านมาก็ได้มีการรับฟังหารือกับผู้ประกอบการรายใหญ่ไปบ้างแล้ว เปิดรับฟังความคิดเห็นทุกฝ่าย และยืนยันว่าจุดยืนในเรื่องของราคาสินค้าก็คือการสร้างจุดสมดุลของทุกส่วน

สินค้าเป้าหมายที่จะลดราคาที่มองเห็นและจะลดได้ทันทีก็คงเป็นกลุ่มสินค้าที่อยู่ในชีวิตประจำวันทั้งหมด เช่น ข้าวถุง, ไข่ไก่, หมู, บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซึ่งสินค้าเหล่านี้จำเป็นจะต้องมาดูในรายละเอียด ส่วนสินค้าอื่น ๆ ก็อาจจะต้องมีการติดตามต่อไป โดยการดำเนินการเฉพาะหน้า เราต้องการจัดการให้สามารถลดราคาสินค้าได้

“แต่จะลดมากหรือลดน้อย ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่มีการลดราคา” เพราะรัฐบาลเองได้ดำเนินการให้มีการลดราคาพลังงานลงไปแล้ว ซึ่งเรารู้ว่าราคาพลังงานมีผลกระทบต่อการขนส่ง กระทบต่อความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน โดยขบวนการต่าง ๆ จำเป็นที่จะต้องมาดูในรายละเอียดเพิ่มเติม

ส่วนจะกระทบต่อ “เงินเฟ้อ” หรือไม่นั้น เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่จะต้องมีความระมัดระวัง ทางกระทรวงการคลังเองและหน่วยงานหลายส่วนที่เกี่ยวข้องจะต้องมีการพิจารณาและประสานดำเนินการอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบ โดยรัฐบาลชุดนี้ทำงานแบบบูรณาการและวางแผนร่วมกัน และชี้ให้เห็นว่าปัญหาจะเกิดขึ้นตรงไหน ใครที่เกี่ยวข้อง และจะวางแผนให้สอดรับกันอย่างไร

>> สินค้าขึ้นได้แต่ต้องพยุงราคาก่อน

นโยบายของผมก็คือ ‘อะไรที่จำเป็นที่ต้องขึ้นก็ต้องยอมรับความเป็นจริง’ แต่ว่าอาจจะต้องมีช่วงเวลาที่จะ ‘พยุงราคา’ เพื่อให้มีการปรับตัวได้ทันเพราะถือว่าเป็นปัจจัยและต้องสมเหตุสมผล หรือบางอย่างถ้าต้นทุนสินค้าไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาก หรือการเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดขึ้นก็ถือว่าเข้าใจได้

แต่หากต้นทุนบางอย่างที่ลดลงเยอะ แล้วสินค้าไม่ลดเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเวลาผู้ประกอบการมีการปรับขึ้นราคาก็มีการปรับขึ้นทันที แต่หากมีการปรับลดราคาลง ท่านไม่สามารถดำเนินการได้ หากเราสามารถช่วยลดต้นทุนในส่วนของต้นทุนการผลิต ท่านก็อาจจะสามารถดำเนินปรับลดราคาลงได้

“แต่ก็ยังมีปัจจัยในเรื่องของต้นทุนการผลิต หรือเครื่องมืออื่น ๆ เช่น อาจจะต้องรับฟังผู้ประกอบการ แต่ก็พร้อมที่จะรับฟังจากทุกฝ่ายและจะทำให้เต็มที่ แต่วันนี้หากเราเข้าใจถึงนโยบายคนตัวใหญ่จับมือคนกลาง เพื่อจะพยุงคนตัวเล็ก มีความหมายว่า อาจจะได้รับกำไรลดลง แต่ปริมาณการซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น ก็อาจจะไม่ส่งผลกระทบที่ท่านจะได้รับ”

ส่วนในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนสิ้นไตรมาสนี้ เชื่อว่าน่าจะดี โดยเฉพาะในตัวเลขหลาย ๆ ตัว แม้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกไม่ดี แต่ว่าเราก็ปลดล็อกหลายอย่าง เพื่อก่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง แม้ digital wallet ยังไม่เกิด แต่การเปิดฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวจีน-คาซัคสถานเข้ามาประเทศไทย เชื่อว่าเป็นการก่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ กำลังซื้อภายในประเทศได้ดีและมีการเติบโต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top