Thursday, 15 May 2025
TheStatesTimes

สภาไฟเขียว!! แถลงนโยบาย 2 วัน รวม 30 ชั่วโมง ด้าน ‘วันนอร์’ เผย ‘ก้าวไกล’ รับปากไม่ใช้เป็นเวทีซักฟอก

(7 ก.ย. 66) ที่รัฐสภา ในการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วม 3 ฝ่าย (วิป 3 ฝ่าย) โดยมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุม และมีตัวแทนจากวุฒิสภา (สว.) สส. และคณะรัฐมนตรี (ครม.) อาทิ นายสมคิด เชื้อคง ตัวแทน ครม. นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย นายภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ นายประมวล พงษ์ถาวราเดช สส.ประจวบคีรีขันธ์ และประธานสส.พรรคประชาธิปัตย์ นายมหรรณพ เดชพิทักษ์ สว. เป็นต้น เพื่อวางกรอบเวลาการอภิปรายการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อที่ประชุมรัฐสภา และแบ่งสัดส่วนเวลาของแต่ละฝ่าย ซึ่งใช้เวลาการประชุมประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที

จากนั้น นายวันมูหะมัดนอร์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม ว่าบรรยากาศการประชุมเป็นไปด้วยดี ทุกฝ่ายได้แสดงความคิดเห็นผ่อนปรนไปมา เพื่อให้การประชุมเรียบร้อย โดยการประชุมเพื่อแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ที่จะมีขึ้นในวันที่ 11 ก.ย.นี้ จะใช้เวลา 2 วัน รวมทั้งสิ้น 30 ชั่วโมง โดยแบ่งเป็น ประธานรัฐสภา 1 ชั่วโมง ฝ่าย ครม.แถลง และชี้แจง 5 ชั่วโมง ฝ่าย สว. 5 ชั่วโมง ฝ่ายรัฐบาล 5 ชั่วโมง ฝ่ายค้าน 14 ชั่วโมง ซึ่งคิดว่าคงเพียงพอในการที่ทุกฝ่ายจะปรับเวลาที่ชัดเจนให้ตามจำนวนคน คาดว่าคงไม่เกินในเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ต้องขอบคุณทุกฝ่ายที่ทำให้การประชุมจบด้วยดี ไม่มีใครไม่ยอม แม้ทุกฝ่ายจะอยากได้เวลา แต่เมื่อทราบข้อจำกัดของเวลา และความสนใจของพี่น้องประชาชนแล้ว จึงตกลงกันเช่นนี้

นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวต่อว่า ในวันแรกอาจจะเลิกประชุมดึก แต่คงไม่เกินเที่ยงคืน และวันที่สองคงไม่เกิน 23.00 น. แม้บางฝ่ายจะบอกว่าไม่อยากให้เกิน 21.00 น. แต่เพื่อให้การอภิปรายในวันถัดมามีคุณภาพมากขึ้น และความสนใจของพี่น้องประชาชน รวมถึงครม. แจ้งว่าในวันที่ 13 ก.ย. 66 จะมีการประชุมครม. ทุกฝ่ายจึงบอกว่าจะกลับไปเตรียมทั้งตัวบุคคลและเนื้อหาสาระให้ดี เพื่อให้เป็นประโยชน์มากที่สุด

เมื่อถามว่า อยากฝากอะไรถึงฝ่ายค้านหรือไม่ เนื่องจากฝ่ายค้านอยากใช้เวทีนี้ในการซักฟอกรัฐบาล? นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ฝ่ายค้านยืนยันเองว่า จะอยู่ในกรอบของการอภิปรายเรื่องนโยบายและความเป็นไปได้ในการปฏิบัติตามนโยบายนั้น แต่ไม่ใช่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตนคิดว่าฝ่ายค้านตอนนี้เป็นฝ่ายค้านที่มีคุณภาพ มีข้อมูลพร้อมที่จะอภิปรายในกรอบกฎหมายและข้อบังคับ รวมถึงความสนใจของพี่น้องประชาชน

เมื่อถามว่า การรักษาความปลอดภัยในวันนั้น จะเป็นไปตามกฎระเบียบ หรือต้องมีการรักษาความปลอดภัยเข้มที่เป็นพิเศษหรือไม่ เนื่องจากอาจจะมีกลุ่มผู้ชุมนุมมาในบางวัน? นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า คิดว่าคงไม่มีกลุ่มผู้ชุมนุม หรือมีการกดดันสภา เพราะพี่น้องประชาชนติดตามการประชุมตลอดเวลาผ่านการถ่อยสดในหลายช่องทาง เนื่องจากทุกฝ่ายคงอยากให้การอภิปรายเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีคุณภาพ ไม่มีแรงกดดันใดๆ นอกจากเนื้อหาที่จะพูดอย่างเต็มที่ หากมีกลุ่มผู้ชุมนุมมาที่สภาคงไม่เกิดประโยชน์อะไร ไม่ได้หมายความสภาจะรังเกียจ การมีผู้ชุมนุมหรือผู้สนับสนุนก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ช่วงอภิปรายต้องใช้เวลา หากมาคงเสียงทั้งค่าใช้จ่าย และเวลามาก

'สนธิญา' ร้อง ปอท. ตรวจสอบ 'วิโรจน์ ก้าวไกล' พูดมั่วในรายการกรรมการข่าวฯ กรณี 'บิ๊กตู่' พ้นนายกฯ แล้วยังเป็น ปธ.ยุทธศาสตร์ชาติ มีอำนาจปลดคนได้

(7 ก.ย.66) ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน จตุจักร กทม. นายสนธิญา สวัสดี เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ศุภภัทร สวัสดี รอง ผกก.3 บก.ปอท.เพื่อร้องทุกข์ให้ ตรวจสอบการให้สัมภาษณ์ของนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกล ที่มีการไปร่วมรายการกรรมกรข่าวคุยนอกจอของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา โดยมีใจความในช่วงท้ายของการให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรีที่มีการกล่าวอำลาตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปล่าสุดเมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ว่าแม้พลเอกประยุทธ์ จะพ้นสภาพจากการเป็นนายกรัฐมนตรีแต่ก็จะยังคงเป็นประธานยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งถือว่ายังคงสามารถกำกับดูแลการทำงานหรือสามารถปลดคนทำงานได้

ทั้งนี้ หลังจากตนได้ศึกษาข้อมูลทั้งหมดจึงพบว่า คำพูดดังกล่าวของนายวิโรจน์ถือว่าเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากประธานยุทธศาสตร์ชาติจะต้องเป็นบุคคลที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งการที่พลเอกประยุทธ์พ้นวาระจากการเป็นนายกรัฐมนตรีก็ไม่สามารถ เป็นประธานยุทธศาสตร์ชาติได้ตามที่นายวิโรจน์เก่าอ้าง ซึ่งถือว่าการออกมาให้ข้อมูลผ่านสื่อแบบนี้เป็นการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ในวันนี้จึงเดินทางมาพร้อมกับคลิปรายการและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับวันเกิดเหตุทั้งหมด มาให้พนักงานสอบสวน บก.ปอท. ตรวจสอบว่าเข้าข่ายการกระทำความผิด การนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ฯ หรือไม่

ส่วนนายสรยุทธ์ ผู้ประกาศคนดังเบื้องต้นตนเองไม่ได้มีการร้องขอให้ตำรวจตรวจสอบเนื่องจากเข้าใจว่าเป็นการทำงานของสื่อมวลชนในการสอบถามข้อมูลซึ่งควรต้องเป็นหน้าที่ของผู้ให้ข้อมูลในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับประชาชนซึ่งก็คือตัวนายวิโรจน์

"ยืนยันว่าในวันนี้ที่เดินทางมาเป็นการเดินทางมาด้วยตนเองในฐานะประชาชนคนไทยที่ต้องการเห็นความถูกต้อง ไม่ได้มีการรับงานมาจากใคร และส่วนตัวอยากให้นายวิโรจน์ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่การออกมาให้ข้อมูลที่บิดเบือนกับประชาชนแบบนี้"นายสนธิญา กล่าว

สำหรับกรณีนี้ เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้รับเรื่องไว้เพื่อเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ส่องตัวแปร ‘เงินทุนจีนทิ้งประเทศ’ กับโอกาสครั้งใหญ่ของไทย สะท้อนผ่าน ‘บีโอไอ’ งานล้นมือ เพราะทุนจีนถือหมุดรอปักสยาม

เมื่อไม่นานนี้ คุณมัทนา มูลจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทสำนักกฎหมายดีทีแอลจำกัด บริษัทเอ็มแอนด์ทีโฮลดิ้งแอนดด์ดีเวลลอปเม้นท์จำกัด ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ ‘Money Chat Thailand’ ตอน เงินทุนจีนทิ้งประเทศ ครั้งใหญ่! ประจำวันที่ เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2566 ดำเนินรายการโดย คุณเนาวรัตน์ เจริญประพิณ ผู้ผลิต Content เศรษฐกิจ ธุรกิจ การเงิน การลงทุน เริ่มต้นจากแนวคิด ‘ลงทุนง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว’ ส่งเสริมให้ทุกคนรู้จักและเข้าใจการรับลงทุนในยุคดิจิทัล

โดยคุณมัทนา ได้ให้มุมมองเกี่ยวกับประเด็น การแข่งขันกันทางภาคธุรกิจในประเทศจีน จนส่งผลให้มีคนจีนจำนวนมาก พยายามจะย้ายมาอยู่ที่ต่างประเทศ อีกทั้ง ทางรัฐบาลยังได้มีการปรามปราบเพื่อจัดระเบียบภายในประเทศ ให้เกิดความเท่าเทียม และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม นอกจากนี้ ยังเป็นการป้องกันอำนาจจากกลุ่มทุนใหญ่ ที่พยายามจะใช้อิทธิพลและอำนาจมืด เข้ามาแทรกแซงการบริหาร รวมถึงนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล ว่า…

“ความจริงแล้ว ประเทศจีนมีกฎหมายหนึ่งที่ประเทศไทยเองก็มีเช่นกัน แต่ของจีนจะค่อนข้างเข้มงวดกว่า คือ ‘การผูกขาดทางการค้า’ ซึ่งเป็นความพยายามของรัฐบาลที่จะจัดการในส่วนนี้ ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า ทุกอย่างจะถูกผลักเข้าไปสู่กลไกของธุรกิจ การแข่งขันก็มักเป็นการแข่งขันกันในเชิงธุรกิจ อย่างประเทศไทยเรามีรัฐวิสาหกิจในบางสายงาน ในบางองค์กร หรือในบางกระทรวง ทบวง กรม อาจจะมีรัฐวิสาหกิจอยู่แค่ไม่กี่บริษัท แต่ในประเทศจีนมีบริษัทที่เป็นรัฐวิสาหกิจเป็นร้อย หรืออาจจะหลายร้อยบริษัท ยกตัวอย่างเช่น ในกระทรวงคมนาคมมีบริษัทลูกที่เป็นรัฐวิสาหกิจเป็นร้อยบริษัท จึงทำให้การแข่งขันกันระหว่างสายงานต่างๆ นั้น มีค่อนข้างสูง เนื่องจากต้องแข่งขันกันเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจต่างๆ ทำให้ขาดการช่วยเหลือกัน”

“นอกจากนี้ หลักการในการลงทุนของประเทศจีน มีแนวทางนโยบายบางประการ ที่ทางภาคธุรกิจ ‘จำใจ’ ต้องยอมจ่าย เนื่องจากถูกกดดันจากทางรัฐบาล 2 อย่างด้วยกัน คือ

‘กำแพงภาษี’ หากคุณผลิตสินค้าในจีน คุณจะถูกเก็บภาษีสูงมาก ซึ่งเป็นเหมือนการบังคับให้ต้องยอมจ่าย ดังนั้น กลุ่มนายทุนจึงต้องออกมาตั้งโรงงานกันในต่างประเทศ เพื่อไม่ให้สินค้าของบริษัท เป็นสินค้าที่ผลิตในจีนจนต้องเสียภาษีมหาโหด

สินค้าของกลุ่มทุนจีนที่ผลิตในต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น สินค้าด้านพลังงาน อย่างแผงโซลาร์เซลล์ ที่สามารถสังเกตได้ว่า เกือบจะถูกแบรนด์ใหญ่ๆ ของจีน ต้องมาตั้งโรงงานในประเทศไทย เพื่อผลิตสินค้า จากนั้นจึงคอยส่งกลับไปขายในจีน

แต่ตอนนี้ก็เริ่มมีปัญหาตามมา คือ ทางรัฐบาลจีนเขาไม่ได้ดูแค่สินค้าชิ้นนี้ผลิตที่ประเทศจีนหรือไม่ แต่เขาตรวจสอบไปจนถึงวัสดุที่เป็นส่วนประกอบในการผลิตสินค้าเลยทีเดียว

แต่อย่างไรก็ตาม กระบวนการเรียกเก็บภาษีนี้ ก็มีขั้นตอนเป็นระบบ และให้มีประกาศทางการอย่างชัดเจน เพื่อให้ระยะเวลาภาคธุรกิจในการตั้งตัวรับมือได้ทัน”

“เรื่องต่อมา ซึ่งเป็นเรื่องล่าสุด คือ บริษัทต่างๆ จะต้องตั้งโรงงานการผลิตนอกประเทศจีน และไต้หวัน เนื่องจากเกิดปัญหาความน่าเชื่อถือที่ลดลง เพราะรัฐบาลตั้งกฎหมายเกี่ยวกับภาคธุรกิจออกมามากมาย เพื่อที่จะควบคุมการผูกขาดทางการค้า ทำให้ลูกค้าในประเทศต่างๆ ไม่มีความเชื่อมั่นว่า หากสั่งซื้อสินค้าไปแล้ว จะได้รับสินค้าตามกำหนดหรือไม่

และที่สำคัญที่สุด คือ ความขัดแย้งทางการเมืองโลก ระหว่างประเทศจีนกับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การค้า รวมถึงการลงทุนได้ ทำให้นักลงทุนกลัวการเกิดปัญหาต่างๆ ตามมาในภายหลัง”

“ด้วย 2 ปัจจัยหลักนี้เอง ทำให้ประเทศไทย กลายเป็น ‘หมุดหมายหลัก’ ที่เหล่ากลุ่มทุนจากจีน จะแห่กันเข้ามาลงทุน เพราะนอกจากที่ไทยจะเป็นประเทศที่มีศักยภาพและกำลังในการผลิตสูงแล้ว จุดเด่นของประเทศไทยอีกเรื่องคือ ไทยเป็นประเทศที่ไม่เคยมีท่าทีต่อต้านชาวจีน อีกทั้งยังพร้อมอ้าแขนเปิดรับชาวจีนมากที่สุด กว่าทุกประเทศในภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย”

“สิ่งนี้ส่งผลให้ประเทศไทยรับประโยชน์จากไปเต็มๆ อีกทั้ง ทาง ‘สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน’ หรือ BOI ยังร่วมหน้าที่ส่งเสริมการลงทุนในประเทศ ทั้งในด้านการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และอำนวยความสะดวกด้านการลงทุน รวมถึงการบริการสนับสนุนธุรกิจให้แก่นักลงทุนต่างชาติ ยิ่งทำให้นักลงทุนจากทั่วทุกสารทิศ โดยเฉพาะจากในจีนแผ่นดินใหญ่ ต่างหลั่งไหลกันมาปักหมุดหมายในไทย โดยหลายๆ แบรนด์ยังมีแผนที่จะยกให้ไทยเป็นศูนย์กลางในการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย”

แม้จะมีกระแสบางส่วนมองว่า การที่กลุ่มนักลงทุนจีนมาตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทยนั้น เป็นเรื่องที่ทำให้คนไทยเสียเปรียบ เนื่องจากทาง BOI ได้ให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีในการลงทุนแก่กลุ่มทุนจีน โดยในเรื่องนี้ คุณมัทนาได้ให้ความคิดว่า…

“หากลองย้อนกลับไปดูดีๆ การก่อตั้งโรงงานนั้นไม่ได้สามารถทำกำไรได้ตั้งแต่ภายในปีแรก บางโรงงานเพิ่งสามารถทำกำไรได้ภายใน 3-5 ปีต่อมาเสียด้วยซ้ำ ซึ่งก็สอดคล้องกับระยะเวลาที่ทาง BOI ให้สิทธิไว้ตามเงื่อนไขการลงทุน อีกทั้งไม่ใช่ธุรกิจทุกประเภทจะได้รับการยกเว้นเสียภาษี ธุรกิจแต่ละประเภทก็มีระยะเวลาการยกเว้นเสียภาษีที่แตกต่างกันออกไป

ดังนั้น การที่ประเทศไทยมีกลุ่มทุนมาลงทุนนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะทำให้อัตราการลงทุนเพิ่มแล้ว ยังเกิดการจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น คนไทยมีงานทำมากขึ้น ช่วยให้คนไทยได้เพิ่มพูนศักยภาพ พัฒนาทักษะการทำงานให้คนไทยมากขึ้น และยังส่งผลให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ช่วยให้การค้าขายระหว่างประเทศเติบโตก้าวหน้า เป็นประโยชน์ต่อไปเป็นทอดๆ อีกด้วย”

‘สาวกิมจิ’ ชี้!! ชีวิต นร.เกาหลีใต้หดหู่ ต้องเรียน ‘เช้าจรดดึก’ เทียบ นร.ไทย ‘ดีกว่า’ เลิกเรียนเวลาปกติ แถมมีชีวิตอิสระ

เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีวิดีโอที่เป็นไวรัลอยู่ในโลกออนไลน์ เป็นวิดีโอของหญิงสาวชาวเกาหลีใต้ที่ออกมาเล่าถึงชีวิตความเป็นอยู่ของนักเรียนในเกาหลีใต้ และเน้นย้ำว่าชีวิตนักเรียนเกาหลีใต้น่าสงสาร แตกต่างจากนักเรียนไทยที่ดีและมีอิสระมากกว่า…

หญิงสาวชาวเกาหลีใต้เจ้าของวิดีโอมีชื่อว่า ‘ริซชี่’ ปัจจุบันใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยมาแล้ว 15 ปี โดยเธอได้ระบุในวิดีโอว่า เรื่องที่ไทยดีกว่าเกาหลีใต้ มีหลายเรื่องมาก ๆ หนึ่งในนั้นคือเรื่องชีวิตประจำวันของนักเรียน โดยที่เกาหลีใต้จะมีตารางเรียนให้นักเรียน ซึ่งเรียนตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 4 ทุ่ม ใน 1 วันเรียนทั้งหมด 7 วิชา และต้องกินข้าวกลางวันและข้าวเย็นที่โรงเรียน

เธอยังระบุอีกว่า วิชาสุดท้ายเรียนจบตั้งแต่ช่วงห้าโมงเย็นแล้ว แต่ทางโรงเรียนบังคับนักเรียนให้อ่านหนังสือต่อจนถึงสี่ทุ่ม หลังจากอ่านหนังสือเสร็จก็ยังไม่ได้กลับบ้าน เพราะต้องไปเรียนพิเศษต่อ โดยจะมีรถบัสเรียนพิเศษมารอรับที่โรงเรียนเลย และเรียนพิเศษจนถึงเที่ยงคืน สำหรับการเรียนพิเศษ ต้องไปทุกวัน เสาร์อาทิตย์ก็ไม่ได้หยุด ทำให้เด็กนักเรียนเจอคุณครูมากกว่าพ่อแม่เสียอีก

สาวเกาหลีใต้รายนี้ยังระบุอีกว่า จริง ๆ ก็เรียนไหว ไม่ได้แย่ขนาดนั้น เพราะตอนที่เรียนมีเพื่อนอยู่ด้วยทุกคน เธอยังบอกอีกว่าสาเหตุที่ต้องเรียนโหดขนาดนี้ เพราะว่าการแข่งเกาหลีสูงมาก ๆ เพื่อให้ได้งานดี ๆ ก็ต้องเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ให้ได้ก่อน ซึ่งแตกต่างจากฝั่งตะวันตกที่สอนว่าความสามารถของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ต่อให้เรียนไม่เก่งก็ยังสามารถมีความสุขได้ แต่สำหรับที่เกาหลีใต้นั้นมีทรัพยากรไม่มากพอ ทำให้โรงเรียนและผู้ปกครองพยายามสอนนักเรียน ต้องเรียนให้เก่ง เพื่อหางานดี ๆ จะได้มีชีวิตที่ดีในอนาคต 

ริซชี่ระบุทิ้งท้ายว่า ตัวเธอเองไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมเกาหลี และหวังว่าในอนาคตอยากเห็นนักเรียนที่เกาหลีใต้มีชีวิตที่ดี และสามารถเลิกเรียนได้ตามเวลาปกติเหมือนเด็กนักเรียนไทย 

‘บิ๊กทิน’ แง้ม!! นายกฯ มีทางออกเรื่อง ‘เครื่องยนต์เรือดำน้ำ’ เชื่อ!! หาจุดที่ยอมรับได้ ‘ไทย - เยอรมัน - จีน’ ไม่หมางใจกัน

(7 ก.ย. 66) ที่บ้านพักย่านเกษตร-นวมินทร์ นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงจุดยืนของกองทัพเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเมียนมา และการสร้างจุดสมดุลระหว่าง 2 ขั้วมหาอำนาจ ว่า ทำงานเรื่องนี้ตนมีคณะทำงานที่กำลังศึกษาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ ว่าจุดยืนควรจะเป็นอย่างไร ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และหลังจากที่ตนได้เข้าทำงานที่กระทรวงกลาโหมแล้วคณะทำงานชุดนี้จะสรุปให้ฟังว่าปัญหาเมียนมาจะเอาอย่างไร

เมื่อถามว่า ปัญหาเรื่องเรือดำน้ำ จะเป็นอย่างไร นายสุทิน กล่าวว่า นายกฯ จะมีทางออกที่เหมาะสม และสังคมไม่ผิดหวัง

เมื่อถามว่านายกฯ จะใช้เวทีการประชุมสหประชาชาติ ในการพูดคุยเรื่องนี้หรือไม่ นายสุทิน กล่าวว่า อาจเป็นไปได้ แต่นายกฯ มีทางออกที่ดี

เมื่อถามย้ำว่า มีเรื่องที่เกี่ยวกับกองทัพ เรื่องชายแดน เรื่องเมียนมาหรือไม่ เพราะว่าที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เดินทางไปด้วย นายสุทิน กล่าวว่า ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีในการพบปะกับนานาชาติ เรื่องไหนที่เป็นประโยชน์ เรื่องไหนที่จะแก้ปัญหาได้ ท่านคงทำ

เมื่อถามว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะเจรจากับเยอรมนี ให้ขายเครื่องยนต์เรือดำน้ำให้กับไทย และเจรจากับจีนหากไม่ใช้เครื่องยนต์ของจีน นายสุทิน บอกว่า ก็เป็นไปได้ซึ่งอาจเป็นแนวทางที่นายกฯ เตรียมไว้ในใจ ซึ่งมีโอกาสเปลี่ยนแปลง ได้หากผู้ใหญ่ระดับรัฐบาลคุยกัน

เมื่อถามว่า จะไม่มีปัญหาระดับประเทศใช่หรือไม่ นายสุทิน ย้ำว่า เราจะทำให้ไม่กระทบ ทั้งจีน เยอรมนี ไทย หากจุดที่พอใจ และกองทัพไม่เสียโอกาส ประเทศชาติไปเสียประโยชน์ พันธมิตรก็ไม่เสียใจ และตนเชื่อว่านายกฯ และ นายปานปรีย์ มหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะหาจุดสมดุล และ โจทก์ที่อยู่ในใจตนก็จะหารือกับนายกฯ เช่นกัน

8 กันยายน พ.ศ. 2565 ควีนเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยพระชนมพรรษา 96 พรรษา

ครบรอบ 1 ปี สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว เมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา ด้วยพระชนมพรรษา 96 พรรษา

สำหรับพระราชประวัติของ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 นั้น พระองค์ทรงพระประสูติ เมื่อวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 1926 ทรงเป็นพระประมุขของ 15 ประเทศ จาก 53 รัฐ สมาชิกในเครือจักรภพแห่งชาติ และทรงเป็นประธานเครือจักรภพและประมุขสูงสุดแห่ง คริสตจักรแห่งอังกฤษ (Church of England)

พระองค์เป็นพระราชธิดาพระองค์เเรกของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 เเละสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี พระราชบิดาเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่สองในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 กับสมเด็จพระราชินีแมรี

พระราชบิดาของพระองค์คือ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 พระปิตุลาของพระองค์ ได้ทรงสละราชสมบัติ ทำให้เจ้าหญิงเอลิซาเบธ (พระยศในขณะนั้น) ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัชทายาทโดยสันนิษฐานแห่งสหราชอาณาจักรในเวลาต่อมา

หลังจาก สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 พระราชบิดาสวรรคต ในคืนวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1952 เจ้าหญิงเอลิซาเบธ อเล็กซานดรา แมรี เเห่งยอร์ก จึงเสด็จขึ้นครองราชย์ ในขณะที่พระองค์มีพระชนมายุ 25 พรรษา

แม้ว่าเจ้าหญิงเอลิซาเบธได้เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติแล้ว แต่ก็เป็นเวลาอีก 16 เดือนกว่าจะถึงพระราชพิธีบรมราชินยาภิเษกของพระองค์ โดยพระราชพิธีบรมราชินยาภิเษกจัดขึ้นที่มหาวิหารเวสมินสเตอร์ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1953 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พระราชพิธีนี้ได้ถ่ายทอดไปทั่วโลก

ในพระราชพิธีบรมราชินยาภิเษก พระองค์ได้พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการแก่พสกนิกรชาวอังกฤษว่า

“ในพิธีบรมราชินยาภิเษกวันนี้ ข้าพเจ้าขอประกาศว่า ข้าพเจ้าพร้อมอุทิศชีวิตเพื่อประชาชนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยากขอความร่วมมือจากประชาชนทุกคนไม่ว่าจะศาสนาใดก็ตาม ให้ช่วยสวดภาวนาให้ข้าพเจ้า ในวันที่ข้าพเจ้าต้องปฏิบัติหน้าที่ในฐานะกษัตริย์เเห่งอังกฤษ สวดภาวนาให้พระเป็นเจ้าประทานพระปัญญาญาณเเละความเข้มเเข็งให้ข้าพเจ้าสามารถปฏิบัติราชกิจลุล่วงตามที่ข้าพเจ้าได้ให้สัตย์ปฏิญาณไว้ เเละข้าพเจ้าพร้อมรับใช้พระเป็นเจ้าเเละประชาชนของข้าพเจ้าทุกคน ตลอดที่ข้าพเจ้ายังมีลมหายใจ”

พระองค์เป็นประมุขแห่งรัฐบริเตนที่ทรงราชย์นานที่สุด แซงหน้ารัชกาลของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ผู้เป็นพระมารดาของพระปัยกา (ทวด) ของพระองค์ และเป็นพระราชินีนาถที่ทรงราชย์นานที่สุดในประวัติศาสตร์

พระองค์มีพระราชโอรสพระองค์แรกคือเจ้าชายชาลส์ ซึ่งปัจจุบันทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น ‘เจ้าชายแห่งเวลส์’ ประสูติเมื่อปี ค.ศ. 1948 พระองค์ที่สองเป็นพระราชธิดา มีพระนามว่าเจ้าหญิงแอนน์ ประสูติเมื่อปี 1950 ซึ่งปัจจุบันทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น ‘ราชกุมารี’ พระราชโอรสพระองค์ที่สามคือเจ้าชายแอนดรูว์ ประสูติเมื่อปี 1960 ปัจจุบันทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น ‘ดยุกแห่งยอร์ก’ และพระราชโอรสพระองค์เล็กคือเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ซึ่งประสูติในปี ค.ศ. 1964 ปัจจุบันดำรงพระอิสริยยศเป็น ‘เอิร์ลแห่งเวสเซ็กส์’

และในวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2565 สำนักพระราชวังประกาศว่าสมเด็จพระราชินีทรงประชวร และอยู่ภายใต้การเฝ้ารักษาพระวรกายอย่างใกล้ชิดที่บาลมอรัล โดยในประกาศระบุว่า “คณะแพทย์ประจำพระองค์มีความกังวลต่อพลานามัยของพระองค์เป็นอย่างมาก และได้แนะนำให้พระองค์อยู่ภายใต้การดูแลทางการแพทย์อย่างใกล้ชิด ขณะนี้พระองค์ประทับอยู่โดยสบายที่บาลมอรัล” โดยมีพระราชโอรสและพระราชธิดาทั้งสี่ของพระองค์ พร้อมด้วยพระสุณิสา เสด็จไปพร้อมกับพระองค์ และในช่วงเย็นวันเดียวกัน สำนักพระราชวังได้ประกาศว่าพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว ด้วยพระชนมพรรษา 96 พรรษา

‘Marianne Williamson’ หญิงแกร่งแห่งพรรค Democratic ผู้ท้าชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี ที่วาดฝันจะสามารถเปลี่ยนสหรัฐฯ ได้

โลกใบนี้จะเปลี่ยนไป… หากในปี ค.ศ. 2024 ‘Marianne Williamson’
ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐอเมริกา

ปัจจุบันทุกวันนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีบทบาทมากที่สุดบนโลกใบนี้ นับเนื่องมายาวนานตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 คือ บทบาทการเป็นผู้นำโลกเสรี แม้กระทั่งประเทศผู้นำของคอมมิวนิสต์ขั้วตรงข้ามอันได้แก่ ‘สหภาพโซเวียต’ จะถึงกาลอวสานล่มสลายไปแล้วก็ตาม แต่สหรัฐอเมริกายังคงอยู่ในบทบาทนี้มาโดยตลอดจนทุกวันนี้

ตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นทั้งผู้นำรัฐบาลและประมุขแห่งรัฐนั้นเป็นตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมของชาวอเมริกันผ่านคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) ทุก 4 ปี และมีวาระในการดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 สมัย ปีหน้า ค.ศ. 2024 จะเป็นปีที่ Joe Biden ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนปัจจุบันดำรงตำแหน่งครับ 4 ปีในวาระแรก ซึ่งโดยปกติแล้วประธานาธิบดีในตำแหน่งมักจะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีในสมัยที่ 2 โดยอัตโนมัติ ถ้าไม่มีคู่แข่งขันหรือผู้ท้าชิงภายในพรรค เว้นแต่จะวางมือทางการเมืองเอง

แต่สำหรับการเลือกตั้งปี ค.ศ. 2024 ปรากฏว่า ภายในพรรค Democratic มีผู้เข้าท้าชิงเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีก 2 คน คนแรกคือ ‘Robert F. Kennedy Jr.’ หรือ ‘RFK Jr. วัย 69 ปี จากตระกูลคหบดีและนักการเมืองเก่าแก่ Kennedy ซึ่งเขาเป็นบุตรชายของ ‘Robert Kennedy’ ผู้เป็นน้องชายของประธานาธิบดี Kennedy วุฒิสมาชิกแห่งมลรัฐ Massachusetts และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรียุติธรรมในรัฐบาลของพี่ชาย Robert Kennedy ผู้ที่ถูกลอบยิงจนเสียชีวิต ขณะรณรงค์หาเสียง เพื่อชิงตำแหน่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรค Democratic สำหรับ Robert F. Kennedy Jr. ผู้เป็นลูก ซึ่งจะเป็นผู้เข้าท้าชิงผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรค Democratic ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี ค.ศ. 2024 เป็นทนายความด้านสิ่งแวดล้อม นักเขียน และนักเคลื่อนไหวต่อต้านวัคซีน mRna

และคนต่อมา ซึ่งคือผู้ที่เราจะได้นำเรื่องราวและแนวคิดของเธอมาบอกเล่าคือ ‘Marianne Deborah Williamson’ (เกิด 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1952) วัย 71 ปี เธอเกิดที่เมือง Houston รัฐ Texas เป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาลูกทั้ง 3 คนของ ‘Samuel Sam Williamson’ ทหารผ่านศึกในสงครามโลกครั้งที่ 2 และทนายความด้านการย้ายถิ่นฐาน และ ‘Sophie Ann Kaplan’ แม่บ้านและอาสาสมัครในชุมชน Peter พี่ชายของเธอเป็นทนายความด้านการย้ายถิ่นฐานเหมือนกับบิดาของเขา พี่สาวผู้ล่วงลับของเธอ ‘Elizabeth Jane’ เป็นคุณครู บิดาของเธอและปู่ย่าตายายของเธอเป็นผู้อพยพชาวยิว-รัสเซีย ปู่ของเธอเปลี่ยนนามสกุลจาก ‘Vishnevetsky’ เป็น ‘Williamson’ หลังจากเห็นป้ายโฆษณา ‘บริษัท Alan Williamson จำกัด’ บนรถไฟ เธอได้รับการเลี้ยงดูมาในครอบครัวชนชั้นกลางที่นับถือศาสนายิวแบบอนุรักษ์นิยม จึงได้เรียนรู้เกี่ยวกับศาสนาของโลก และความยุติธรรมทางสังคมจากครอบครัว Williamson บรรยายตัวเองว่าเป็น ‘สาวยิว’ ในการให้สัมภาษณ์ในปี ค.ศ. 2022 เธอเริ่มสนใจในการสนับสนุนและเข้าร่วมในเรื่องราวสาธารณะต่าง ๆ เมื่อเธอเห็น ‘Rabbi’ นักบวชในศาสนายิวของเธอ กล่าวต่อต้านสงครามเวียดนาม และทำให้เธอมีแนวคิดแบบเสรีนิยมมาจนทุกวันนี้

เธอผ่านพ้นเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย เธอมีชีวิตแต่งงานช่วงสั้น ๆ ในปี ค.ศ. 1979 กับนักธุรกิจชาว Houston เธอบอกว่า การแต่งงานของเธอใช้เวลาเพียง ‘นาทีครึ่ง’ เท่านั้น ในปี ค.ศ. 1990 เธอให้กำเนิดลูกสาวชื่อ ‘India Emmaline’ และมีหลานยายหนึ่งคน ในปี ค.ศ. 2012 การสำรวจความคิดเห็นของ Newsweek เสนอให้เธอเป็นหนึ่งใน ‘50 baby boomers’ (ผู้ที่เกิดในยุค baby boom) ที่มีอิทธิพลมากที่สุด

‘Marianne Williamson’ เป็นนักเขียน เธอแต่งหนังสือ 14 เล่ม ส่วนใหญ่เกี่ยวเรื่องของจิตวิญญาณ รวมถึงบทภาพยนตร์ ‘Advice, How To and Miscellaneous’ หนังสือที่เธอแต่ง 7 เล่ม อยู่รายชื่อหนังสือขายดีของ ‘The New York Times’ โดย 4 เล่มที่เปิดตัวมียอดขายสูงสุด ในปี ค.ศ. 1998 เธอเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง ‘Peace Alliance’ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งทำงานเกี่ยวกับการสร้างสันติภาพทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ และยังเป็นผู้ก่อตั้ง ‘Project Angel Meal’ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในปี ค.ศ. 1989 ซึ่งให้บริการอาหารฟรี สำหรับผู้ที่ป่วยเกินกว่าจะซื้อของและปรุงอาหารเองได้ โดยให้บริการในพื้นที่ส่วนใหญ่ของเทศมณฑล Los Angeles กับ Los Angeles ตอนใต้ และนคร Los Angeles เป็นพื้นที่ให้บริการที่ใหญ่ที่สุด 2 แห่งขององค์กรนี้ ในปี ค.ศ. 2017 ผู้รับบริการคือ ชาวอเมริกันเชื้อสายฮิสแปนิกและลาติโน 39% ชาวแอฟริกันอเมริกัน 29% คนขาว 21% และเชื้อชาติอื่น ๆ อีก 11%

เธอไปออกรายการ ‘The Oprah Winfrey Show’ หลายครั้ง จนกลายเป็นที่ปรึกษาด้านจิตวิญญาณของ ‘Oprah Winfrey’ ด้วย เธอเคยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ (ผู้สมัครอิสระ) เขตรัฐสภาที่ 33 ของมลรัฐ California ในปี ค.ศ. 2014 แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ เธอสมัครเป็นสมาชิกพรรค Democratic ในปี ค.ศ. 2019 และลงสมัครชิงตำแหน่งผู้สมัครประธานาธิบดีของพรรค Democratic ในปี ค.ศ. 2020 ในที่สุดก็ถอนตัว และหันไปสนับสนุน ‘Bernie Sanders’ แทน แต่ก็พ่ายให้กับ Joe Biden ผู้ซึ่งชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ คนปัจจุบัน และครั้งนี้เธอลงสมัครชิงตำแหน่งตัวแทนผู้สมัครประธานาธิบดีของพรรค Democratic สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดี ปี ค.ศ. 2024 ในเวทีรณรงค์หาเสียง ในตำแหน่งผู้แทนพรรคเพื่อเป็นผู้สมัครประธานาธิบดี Williamson เรียกร้องให้เพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ การจ่ายค่าชดเชยสำหรับความอยุติธรรมทางเชื้อชาติ การจัดการกับสภาพภูมิอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลง และการจัดตั้งกระทรวงสันติภาพแห่งสหรัฐอเมริกา

การรณรงค์ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ค.ศ. 2024 วันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023 เธอยืนยันว่า เธอจะเปิดตัวลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีใน ปี ค.ศ. 2024 เธอเริ่มการรณรงค์หาเสียงในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 2023 โดยมีนโยบายในด้านต่าง ๆ ดังนี้

- สิทธิในการทำแท้ง เธอสนับสนุนการเข้าถึง การทำแท้ง การบริการ และทางเลือกต่าง ๆ เธอได้พูดสนับสนุนสิทธิในการทำแท้ง ที่ได้รับการประกันภายใต้การคว่ำบาตรในขณะนี้ ตามคำตัดสินของศาลสูงสหรัฐฯ ในปี ค.ศ. 1973 (Roe v. Wade)

- การชดเชยสำหรับชาวอเมริกันผิวสี เธอสนับสนุนการจัดสรรเงินค่าชดเชยผู้ที่เคยเป็นทาส หรือลูกหลานทายาท มูลค่า 200-500 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งกระจายไปตลอด 20 ปี สำหรับ ‘โครงการทางเศรษฐกิจและการศึกษา’ โดยจะจ่ายตามคำแนะนำของกลุ่มผู้นำผิวสีที่ได้รับเลือก

- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและพลังงาน เธอถือว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็น ‘ความท้าทายทางศีลธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคปัจจุบัน’ เธอสนับสนุนข้อตกลงใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และกลับเข้าสู่ข้อตกลงปารีส ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอีกครั้งโดยทันที และระบุว่า เธอยินดีที่จะสนับสนุนความร่วมมือภาคพื้นแปซิฟิก หากมีการรวมการคุ้มครองคนงานและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และเธอยังสนับสนุนการอุดหนุนโดยตรงของสหรัฐฯ จากเชื้อเพลิงฟอสซิล รวมถึงถ่านหิน และลงทุนใหม่ในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน ทั้งในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนา

- การควบคุมอาวุธปืน เธอสนับสนุนการควบคุมอาวุธปืน โดยอธิบายว่า ปัญหานี้เป็นเรื่องส่วนตัวสำหรับเธอ เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2018 เธอได้กล่าวปาฐกถาสำคัญแก่สตรีมุสลิมและชาวยิวหลายร้อยคน ที่การประชุม Sisterhood of Salaam-Shalom ในเมือง Doylestown มลรัฐ Pennsylvania แปดวันหลังจากชาวยิว 11 คนถูกสังหารที่โบสถ์ยิว ‘Tree of Life’ ในเมือง Pittsburgh เธอคัดค้านความกลัวที่ว่า ‘เรื่องนี้จะถูกใช้เป็นพลังทางการเมือง’ และสนับสนุนการทดแทนด้วยการมอบความรักต่อกัน

- การดูแลสุขภาพและการฉีดวัคซีน เธอสนับสนุนการดูแลสุขภาพถ้วนหน้าภายใต้ ‘แผน Medicare for All’ และสนับสนุนกฎระเบียบที่เป็นอิสระของอุตสาหกรรมยา เพื่อป้องกันสิ่งที่เธอเรียกว่า ‘การปฏิบัติแบบน่าล่า’

- การย้ายถิ่นฐาน เธอไม่สนับสนุนการเปิดพรมแดน แต่เรียกร้องให้สิ่งที่เธออธิบายว่า เป็นแนวทางที่มีมนุษยธรรมมากขึ้นต่อนโยบายเรื่องพรมแดน ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2019 เธอวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดี ‘Donald Trump’ ในขณะนั้น เกี่ยวกับนโยบายการเข้าเมืองของเขา หลังจากมีรายงานว่า เด็กถูกแยกออกจากครอบครัวและถูกส่งตัวเข้าศูนย์กักกัน เธอเรียกการกระทำเหล่านี้ว่า ‘อาชญากรรมที่รัฐสนับสนุน’ หลังจาก Trump ประกาศว่า “ICE จะเริ่มการส่งผู้อพยพจำนวนมากกลับประเทศ” เธอกล่าวว่า “ไม่แตกต่างกับสิ่งที่ชาวยิวเผชิญกับนาซีเยอรมนีในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2” นอกจากนั้น เธอยังสนับสนุนการดำเนินการรอการตัดบัญชีสำหรับการมาถึงในวัยเด็ก (DACA) และขยายการคุ้มครองและการแปลงสัญชาติให้กับผู้อพยพที่ไม่มีเอกสาร ซึ่งถูกนำตัวมายังสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก โดยไม่คำนึงถึงอายุปัจจุบันของพวกเขา

- ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและความมั่นคงของชาติ เธอสนับสนุนการจัดตั้งกระทรวงสันติภาพของสหรัฐอเมริกา เพื่อช่วยในการออกแบบที่เธอเสนอใหม่ ซึ่งรวมถึงแผนการจัดตั้งสถาบันสันติภาพ ซึ่งจำลองมาจากสถาบันการทหาร แต่ยังคงสนับสนุนการมีส่วนร่วมทางทหาร เมื่อชาติพันธมิตร NATO ถูกคุกคาม เมื่อสหรัฐอเมริกาตกอยู่ภายใต้การคุกคามของการโจมตี หรือ ‘เมื่อระเบียบด้านมนุษยธรรมของโลกตกอยู่ในความเสี่ยง’ เธอสนับสนุนการถอนทหารสหรัฐฯ ทั้งหมดออกจากอัฟกานิสถานอย่างปลอดภัยโดยเร็วที่สุด และจะพิจารณาใช้กองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติดำเนินการแทน เธอกล่าวว่า “สหรัฐฯ มีฐานทัพในต่างประเทศมากถึง 750 แห่ง หากสามารถลดทอนงบประมาณด้านการทหารลงได้ จะสามารถนำไปใช้ดำเนินการโครงต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ได้อีกมาก”

- เธอสนับสนุนสหรัฐฯ อย่างจริงจัง โดยใช้จุดยืนของตน เช่น ผ่าน CFIUS : The Committee on Foreign Investment in the United States (คณะกรรมการร่วมของหน่วยงานที่มีอำนาจตรวจสอบธุรกรรมบางอย่าง ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนจากต่างประเทศในสหรัฐอเมริกา และธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์บางอย่างโดยบุคคลต่างชาติ เพื่อพิจารณาผลกระทบของธุรกรรมดังกล่าวต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา) เพื่อป้องกันไม่ให้จีนซื้อบริษัทที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ ซึ่งเธอเชื่อว่าจะช่วยปกป้องเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ผลประโยชน์ และสิทธิมนุษยชน เช่นเดียวกับในกรณีของชาวอุยกูร์และผู้อยู่อาศัยในฮ่องกง เธอสนับสนุนการกลับเข้าร่วมแผนปฏิบัติการร่วมฉบับสมบูรณ์ (JCPOA : Joint Comprehensive Plan of Action) ซึ่งเป็นความตกลงระหว่างประเทศต่อโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน ซึ่งบรรลุในกรุงเวียนนา เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 ระหว่างประเทศอิหร่านกับ P5+1 (สมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ 5 ประเทศ ได้แก่ ประเทศจีน, ฝรั่งเศส, รัสเซีย, สหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกาบวกเยอรมนี) และสหภาพยุโรปอีกครั้ง และวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของประธานาธิบดี Trump ที่ยกระดับความตึงเครียดกับอิหร่าน เธอสนับสนุนการแก้ปัญหา 2 รัฐ ต่อความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล–ปาเลสไตน์

- ชุมชน LGBTQ เธอสนับสนุนรัฐบัญญัติความเท่าเทียมกัน

- ค่าแรงขั้นต่ำ เธอสนับสนุนการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำของรัฐบาลกลางเป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง

เห็นได้อย่างชัดเจนว่า นโยบายของ Marianne Williamson ค่อนข้างจะมีทัศนคติเชิงบวกต่อความสงบสุขและสิ่งแวดล้อมของโลก แต่จากสรุปผลสำรวจเปรียบเทียบระหว่างผู้เข้าท้าชิงเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรค Democratic ทั้ง 3 คนแล้ว เธอมาเป็นอันดับ 3 ท้ายสุด ห่างจาก Joe Biden ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน ซึ่งเป็นผู้นำในทุก Poll มาก ส่วน Robert F. Kennedy Jr. ตามมาเป็นอันดับ 2 แต่ก็ถูกประธานาธิบดี Biden นำชนิดทิ้งกันไม่เห็นฝุ่นเลยทีเดียว

ส่วน Marianne Williamson เธอมีคะแนนที่เลือกเพียงครึ่งเดียวของ Robert F. Kennedy Jr. เท่านั้น จึงเป็นการยากมาก ๆ ที่เธอจะมีโอกาสได้รับเลือกเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรค Democratic เพื่อไปชิงชัยในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรค Republican กอปรกับคณะกรรมการระดับชาติของพรรค Democratic ได้แสดงการสนับสนุนประธานาธิบดี Biden อย่างเต็มที่แล้ว

และ ณ เดือนมีนาคม ค.ศ. 2023 คณะกรรมการระดับชาติของพรรค Democratic ก็ยังไม่มีแผนที่จะจัดเวที debate เบื้องต้น ของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรคอย่างเป็นทางการใด ๆ ซึ่ง Marianne Williamson ได้วิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจครั้งนี้ว่าเป็น ‘แผนการที่มีการเตรียมการเอาไว้แล้ว’ และ ‘เป็นกระบวนการกีดกันผู้สมัครรายอื่น’ ด้วยแนวคิดและนโยบายของเธอ แม้ว่าจะเป็นมิตรกับความสงบสุขและสิ่งแวดล้อมของโลก แต่นโยบายเช่นนี้ก็เป็นภัยคุกคามต่อผลประโยชน์ของบรรดากลุ่มทุนการเมืองต่าง ๆ ของสหรัฐฯ เธอจึงไม่น่าที่จะมีโอกาสได้รับเลือกเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรค Democratic เลยแม้แต่น้อย

‘ต่าย อรทัย’ ผู้ไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนาศักยภาพของตัวเอง และทลายกำแพงบนเส้นทางการเป็นนักร้องตลอด 20 ปี

(7 ก.ย. 66) ถูกแฟนๆ ยกให้เป็น ‘นักร้องหญิงอันดับ 1’ ซึ่ง ‘ต่าย-อรทัย ดาบคำ’ บอกว่าเธอรับทราบด้วยความขอบคุณ และรู้สึกว่า ‘นั่นก็เป็นกำลังใจให้เรา’

กับเส้นทาง 20 ปี บนถนนสายนักร้อง ต่ายบอกว่า พอหวนคิดย้อนก็รู้สึกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในวันนี้ได้ตอกย้ำให้เห็นว่า 20 ปีที่สู้มาไม่ได้เสียหลายอะไรเลย ที่เราอดทน ต่อสู้ แล้วก็บากบั่น ตั้งใจกับทุกอย่าง โอกาสที่เข้ามาในชีวิต วันนี้ดีใจมากนะคะ ทุกวินาทีที่มีโอกาสได้เป็นศิลปิน ก็ดีใจมาก ทุกคนยังอยู่ร่วมเส้นทาง 20 ปีกับต่าย อรทัย มาโดยตลอด

การอยู่ยั้งมายาวนานขนาดนี้ ต่ายบอกว่า สาเหตุหนึ่งเพราะเธอยึดรุ่นพี่หลายคนเป็นแบบอย่าง

“มองพี่ๆ คนอื่นๆ ศิลปินในค่าย รุ่นใหญ่อย่างพี่เบิร์ด (ธงไชย แมคอินไตย์) พี่ก็อต (จักพรรณ อาบครบุรี หรือในชื่อใหม่ จักรพันธ์ ครบุรีธีรโชติ) พี่นาง (ศิริพร อำไพพงษ์) พี่ไมค์ (ไมค์ ภิรมย์พร) ทุกคนร้องเพลงออกมาจากใจ เราสัมผัสได้ ทุกคนเป็นต้นแบบ เป็นครูให้มาโดยตลอด เราก็เฝ้ามองพี่ๆ ดูว่าทุกคนทำยังไง ถึงอยู่มาได้นานกว่าเราอีก เราอยู่มา 20 ปี แต่ก็มีอะไรที่ต้องเรียนรู้ หลังจาก 20 ปีนี้ไปเราจะยังอยู่ตรงนี้ได้อีกไหม เหมือนพี่ๆเขาหรือปล่า อยากจะบอกว่าคนอื่นๆก็เป็นตำนานให้กับต่ายเหมือนกัน เป็นต้นแบบให้กับเรา”

ส่วนเรื่องที่มีคนบอกว่าเธอเองก็เป็นต้นแบบ เป็นไอดอลของเขา เธอก็ขอบคุณกลับ พร้อมรอยยิ้ม

“ขอบคุณอีกครั้งที่นอกจากฟังเพลงแล้ว ยังยกให้เป็นต้นแบบ เป็นแรงบันดาลใจ ดีใจที่วันนี้ต่ายไม่ได้แค่ร้องเพลงออกไปให้ทุกคนได้ฟังความไพเราะ แล้วมีความสุข แต่ว่าบทเพลงและก็เส้นทางชีวิตที่บางคนอาจจะได้ฟังบทสัมภาษณ์ มันอาจจะไปโดนความรู้สึกของใครบางคน ที่อยากจะลุกขึ้นมาต่อสู้ แล้วทำในสิ่งที่ดี หรือทำในสิ่งที่ต่ายเคยทำแล้ว ทำได้ ประสบความสำเร็จ น้องๆก็อาจจะอยากลองทำเหมือนพี่ต่ายบ้าง อันนี้แอบรู้สึกดีใจมาก และขอบคุณที่หลายคนกลับมาเล่าให้ฟัง ว่าหนูเรียนจบเพราะพี่นะ หนูมีงานทำที่ดีเพราะพี่ จากการที่เป็นคนไม่เอาไหนก็ได้เรียนรู้เส้นทางของพี่ต่าย แล้วเอาไปเป็นต้นแบบ จนเขาสามารถที่จะก้าวข้ามอะไรบางอย่าง จากคนที่ไม่ได้ตั้งใจทำอะไร ก็มีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาภูมิใจได้ ในความเป็นต้นแบบของเรา ดีใจมากค่ะ”

ในส่วนของงาน ที่ล่าสุดจากคนที่ร้องแต่เพลงช้าๆ จนเป็นเอกลักษณ์ ตอนนี้กลับลุกขึ้นเต้น ในเพลงใหม่ ‘ลืมอ่านไลน์กลุ่ม’ นั้น เจ้าตัวหัวเราะเขินๆ แล้วรับว่า นี่คือความพยายามในการปรับตัวเอง เพราะหวังจะให้เกิดความแปลกใหม่ เพื่อจะได้มีพื้นที่อยู่ในวงการให้ยาวนานมากขึ้น

“พยายามที่จะทำลายกำแพงตรงนี้มานานหลายปีมากนะคะ จริงๆ ถ้าหลายๆ คนได้ติดตามเพลงของต่าย จะเห็นว่ามันจะมีอยู่เพลงนึงชื่อเพลงว่า ‘ผู้บ่าวนินจา’ ซึ่งตอนนั้น คิดว่าเป็นความตั้งใจของครูสลา (สลา คุณวุฒิ) นะคะ ว่าอยากจะให้มีภาพที่เปลี่ยน เพราะว่าต่ายเองร้องเพลงช้ามาตลอด เป็นภาพจำไปแล้ว แล้วเราก็รู้สึกว่าเราก็ถนัด และรู้สึกมั่นใจที่จะร้องเพลงช้า แต่ว่าเพลงนั้นมันอาจจะด้วยอะไรไม่รู้ ด้วยกำแพง ด้วยความไม่กล้า ด้วยความที่เรามีประสบการณ์น้อย แล้วก็มีเวลาในการพร้อมน้อยมากๆ มันทำให้ไม่กล้าที่จะกลับไปดูมิวสิกวิดีโอของตัวเองเลยจนบัดนี้”

“แต่ว่าพอครั้งนี้ก็คือครูสลาให้โจทย์มา ว่าจะต้องเต้น ตอนแรกคือจะร้องเพลงนี้เราไม่ได้ติดเลย ตั้งใจร้องเพลงอยู่แล้ว คิดว่าในห้องอัดไม่น่าจะมีปัญหา ครูบาอาจารย์นำพาเราให้ร้องเพลงออกมาได้อย่างสมบูรณ์แน่นอนอยู่แล้วในศักยภาพที่เรามี แต่ว่าพอมาถึงเรื่องของการเต้นคือเอาอีกแล้ว…แต่คิดว่าครูน่าจะอยากจะมีภาพเปลี่ยน แล้วให้หน้าเวทีมันมีอะไรที่ดูเปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่เพียงแค่มีภาพวัฒนธรรม การฟ้อนรำ แล้วเป็นเรื่องของเพลงช้า เพลงดัง เพลงฮิต ซึ่งเรามีมาหมดแล้ว”

กับการเต้น ต่ายบอกว่าตั้งแต่รับโจทย์มาเธอก็ตั้งใจซ้อมเต็มที่ อย่างไรก็ดีก็จะเขินทุกทีเวลามีคนขอมาหน้าเวที ว่าให้เราเต้น

“ก็ยังติดความเขินอายอยู่ แต่ว่าก็ทำได้เต็มที่ วันนี้คิดว่าได้ทำลายกำแพงอะไรบางอย่างไปประมาณนึงแล้ว”

แต่กระนั้นก็ “ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องพัฒนาตัวเองเหมือนกัน”

นักร้องคนดังผู้ไม่หยุดยั้งที่จะก้าวข้าม ทำลายกำแพงของตัวเองบอกอย่างนั้น

'โอ๊ค-พานทองแท้' เตรียมเอาผิดคนสร้างเฟกนิวส์ ปล่อยภาพเก่า ‘ทักษิณ’ เล่นกับหลานที่ ตปท.

จากกรณีมีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ภาพนายทักษิณ กำลังอุ้มหลานและตั้งคำถามว่า รพ.ตำรวจ และกรมราชทัณฑ์ จะตอบคำถามสังคมในกรณีอย่างไร?

ล่าสุด (7 ก.ย.66) นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ขณะนี้กำลังรักษาตัวอยู่ที่ รพ.ตำรวจ ภายใต้การควบคุมของกรมราชทัณฑ์ ได้ทวีตข้อความชี้แจงผ่านทวิตเตอร์ ถึงประเด็นดังกล่าว ไว้ว่า...

“โรงพยาบาลตำรวจและเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ไม่น่าจะต้องอธิบายอะไรนะครับ แต่คุณ (ชื่อเฟซ) เตรียมอธิบายกับพนักงานสอบสวนว่าคุณต้องการอะไรมากกว่าครับ”

ทั้งนี้ นายพานทองแท้ ยังระบุในรูปดังกล่าวว่าเป็น เฟกนิวส์ หรือข่าวปลอม เพราะภาพดังกล่าวเป็นภาพที่โพสต์ตั้งแต่ปีที่แล้ว ที่ต่างประเทศ โพสต์โดย อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร เมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2565 หรือเมื่อปีก่อนแล้ว

‘ธีระชัย’ สับ!! ‘ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท’ กระตุ้น ศก.แบบ ‘ไม่ถูกที่’ และ ‘ไม่ถูกเวลา’

(7 ก.ย. 66) คุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และคณะกรรมการด้านนโยบายเศรษฐกิจของพรรคพลังประชารัฐ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลเศรษฐา 1 โดยเฉพาะกับนโยบาย ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ (Digital Wallet) 10,000 บาท ถึงผลพวงที่จะตามมาทั้งในแง่บวกและลบ ผ่านรายการ ‘คุยข่าว ถึงเครื่อง’ ประจำวันที่ 7 ก.ย. 66 เผยแพร่ผ่านช่องทางรับชมในเครือ THE STATES TIMES, คุยถึงแก่น, เปรี้ยง, NAVY AM RADIO/ MAYA Channel ช่อง 44 และ FM101 โดยมีนายปรเมษฐ์ ภู่โต สื่อมวลชนอาวุโส พิธีกร ผู้ประกาศข่าวรายการคุยถึงแก่น เป็นผู้ดำเนินรายการ สาระสำคัญ ดังนี้…

ในประเด็นของนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ ที่มีการปล่อยออกมา พอจะเห็นภาพความหวังต่อระบบเศรษฐกิจไทยมากน้อยเพียงใด? คุณธีระชัย มองว่า โดยภาพรวมของเนื้อนโยบายมีความน่าสนใจ แต่จะติดอยู่ 2 ส่วน นั่นก็คือ 1.ในเรื่องของเงินดิจิทัล และ 2.ในเรื่องของการลดราคาพลังงาน ซึ่งเข้าใจว่าต้องการช่วยประชาชน แต่ก็ต้องใช้งบประมาณบนความระมัดระวัง 

อย่างไรก็ตามในนโยบายที่ คุณธีระชัย ดูจะห่วงเป็นพิเศษ คือ นโยบายแจกเงินดิจิทัล หรือ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ (Digital Wallet) 10,000 บาท โดยกล่าวว่า ตอนนี้คนไทยส่วนใหญ่ตั้งหน้าตั้งตารอกันแล้ว ยิ่งมีแรงสนับสนุนจากเสียงนักวิชาการในฟากฝั่งรัฐบาล ที่เชื่อว่าทำให้เกิด ‘พายุหมุนทางเศรษฐกิจ’ ช่วยปลุกเศรษฐกิจไทยให้กลับมามีชีวิตชีวา ก็ยิ่งทำให้นโยบายดีถูกมองในด้านบวกด้านเดียว

ทั้งที่ในความเป็นจริง จำเป็นต้องเข้าใจก่อนว่า การดำเนินนโยบายการคลังด้วยการอัดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ ล้วนต้องการผลลัพธ์ในการกระตุ้นตัวเลขจีดีพีให้สูงขึ้น แต่กลับกันนโยบายแจกเงินดิจิทัลส่วนนี้ จะมีกลไกใดที่ช่วยกระตุ้นจีดีพี เพราะนี่คือการแจกแบบหว่าน ไม่ว่าจะรวยหรือจนด้วย ในสถานการณ์ที่หนี้สาธารณะไทยยังสูง และไม่ได้อยู่ในช่วงวิกฤติอย่างโควิด-19 ยิ่งไปกว่านั้นไทยจะเอาเงินมาจากไหน? ที่จะไม่กระทบต่อสถานะทางการคลังของประเทศ

“ผมเข้าใจดีว่าการแจกเงิน ก็เพื่อให้เกิดการหมุนในภาคอุปโภคบริโภค แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่เหมือนตอนโควิด19 ที่ต้องมีการแจกเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ ซึ่งมีผลพวงจากการล็อกดาวน์ ทำให้ส่งผลกระทบไปถึงร้านค้าที่ขายไม่ได้ เพราะต้องปิดร้าน รวมถึงกำลังซื้อหาย จากรายได้ประชาชนหด นั่นจึงทำให้การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการแจกเงินผ่านโครงการที่โฟกัสลงไปเฉพาะกิจเป็นกลุ่มๆ ในช่วงรัฐบาลท่านพลเอกประยุทธ์จึงเกิดขึ้น

“แต่ตอนนี้ ล็อกดาวน์ ไม่มีแล้ว การหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายก็กลับมาแล้ว ลักษณะของการแจกเงินในช่วงเวลานี้ จึงเหมือนกับเป็นการให้ ‘ปลา’ แก่ประชาชน ซึ่งมันไม่ได้ช่วยให้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันใด ๆ ต่อเศรษฐกิจของประเทศ เพราะเมื่อประชาชนได้เงินมา ก็แค่เอาใช้บริโภคให้หมด ๆ ไป แน่นอนว่า มันอาจจะเกิดผลดีในการกระตุ้นกำลังซื้อ แต่ก็แค่รอบเดียว แค่ระยะสั้นหมด แล้วก็จบ” 

คุณธีระชัย กล่าวอีกว่า สิ่งที่ประเทศไทยควรทำกับเศรษฐกิจในตอนนี้ ‘ไม่ใช่การแจก’ แต่ต้องสร้างพลังกระตุ้นหรือหาทางที่จะให้เม็ดเงินงอกเงยขึ้นมาจากหนึ่งร้อย เป็นร้อยยี่สิบ เป็นร้อยห้าสิบ อะไรประมาณนี้มากกว่า เพื่อทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้นในระยะยาวและยั่งยืน

ในส่วนของการเลือกแพลตฟอร์มเพื่อจ่ายเงินดิจิทัล คุณธีระชัย ก็ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า “ทางรัฐบาลจะทำบนแพลตฟอร์มใหม่ ทั้ง ๆ ที่มีการแนะนำให้ใช้ผ่านแอปฯ ‘เป๋าตัง’ ซึ่งก็ไม่ผิดคาด เพราะพรรคเพื่อไทยเขาก็คงไม่เอาด้วย เพราะเท่ากับเป็นการยอมรับว่า ดิจิทัล 10,000 นี้ เป็นการให้ ‘เงินบาท’ ปกติ ไม่ใช่ ‘เงินดิจิทัล’ ที่มาในลักษณะเหรียญดิจิทัล และมีการวงเล็บว่า (คูปอง) แบบที่ใช้ในศูนย์อาหาร ซึ่งตรงนี้ผมก็อยากฝากให้ระวังความเสี่ยงที่จะผิดกฎหมายไว้ด้วย ควรปรึกษาหารือกับทางธนาคารแห่งประเทศไทยให้ชัดเสียก่อนจะทำ เพราะอย่างที่บอกมันไม่ใช่เงินจริงๆ ที่โอนกันถึงมือประชาชนแบบโครงการของรัฐบาลลุงตู่ (คนละครึ่ง / ม.33 เรารักกัน) ที่อันนั้นก็คือเป็นเงินสดเข้าบัญชีในแอปฯ เป๋าตัง แล้วก็ไปใช้จ่ายแลกเปลี่ยนหมุนเวียนกัน มีเงินไหลเข้าสู่ร้านค้าทันที”

โดยสรุปแล้ว หากให้พูดถึงความเป็นจริงในเรื่องนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจ ณ วันนี้ คุณธีระชัย ยังเชื่อว่าไทยควรต้องเดินตามบริบทของประเทศในปัจจุบัน ว่าเหมือนหรือเดือดร้อนอย่างตอนโควิดระบาดหรือไม่ ซึ่งนาทีนี้ค่อนข้างจะแตกต่างกันแล้ว นั่นหมายความว่าการใช้เครื่องมือเดิมในสถานการณ์ใหม่ ซึ่งดูเหมือนจะใช้เครื่องมือนั้นหนักกว่าเดิมอีกนั้น (กู้มาแจก) หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ จะเกิดอะไรขึ้นตามมา ต้องระวังมาตรการที่ทำแบบ ‘ไม่ถูกที่’ และ ‘ไม่ถูกเวลา’ ให้ดี

คุณธีระชัย ทิ้งท้ายอีกว่า “ในทางการเมืองนโยบายในลักษณะนี้ มักตอบโจทย์ประชาชน เพราะเวลาพรรคการเมืองจะไปหาเสียง แล้วบอกหรือนำเสนอโครงการที่จะเพิ่มขีดความสามารถจากเงินที่ลงไปในระบบเศรษฐกิจ เพื่อสร้างความงอกเงยนั้น ส่วนใหญ่มันไม่โดนใจ เพราะไม่ใช่การแจกหรือให้ที่ถึงมือประชาชนทันที ไม่มีความหวือหวาที่พร้อมกระชากใจประชาชน ต่างจากนโยบายหวือหวา แต่ไม่ได้คำนึงถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา ซึ่งเรื่องนี้น่าห่วง”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top