Saturday, 14 June 2025
PoliticsQUIZ

'กิตติรัตน์' ยันค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ทำได้จริง ชี้!! เคยทำสำเร็จมาแล้วเมื่อตอน 300 บาท

(8 ธ.ค. 65) นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า... 

ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทในปี 2570 คนที่รู้จริงจะสนับสนุนและชื่นใจกับเรื่องนี้

การที่ภาคธุรกิจ กำลังแบกรับสภาพความไม่เติบโต และต้นทุนส่วนที่ไม่ใช่ค่าจ้างค่าแรงสูงกว่าที่ควรมายาวนาน เพราะรัฐบาลด้อยคุณภาพ บริหารไม่เป็นจึงอาจทำให้กังวลว่าการเพิ่มขึ้นของค่าแรงในอัตราที่พรรคเพื่อไทยเสนอนั้น เป็นภาระหนักหนา

ผมเห็นใจผู้ประกอบการ ธุรกิจ นายจ้าง ที่ต้องทนอยู่กับสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจ แบบที่เป็นอยู่ ในรอบหลายปีที่ผ่านมา เพราะที่ผ่านมายอดขายไม่เพิ่มขึ้น (หรือหลายรายลดลงอีกด้วย) อยากถามว่าเป็นเพราะความผิดพลาดไร้ฝีมือในการบริหารงานของรัฐบาลนี้หรือเปล่า

ต้นทุนการประกอบการที่ไม่ใช่ค่าเงินเดือน ค่าจ้าง ที่สูงและสูงขึ้น โดยมีค่าใช้จ่ายที่สูงหลายรายการเป็นเพราะรัฐบาลบวกภาระภาษีเข้าไปในอัตราที่สูง เช่น ภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิง หรือค่าสาธารณูปโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าไฟฟ้าที่แพง เพราะความผิดพลาดและไม่มีประสิทธิภาพของรัฐบาลเอง อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ผู้ประกอบการรายกลางรายเล็ก ต้องจ่ายสูงกว่าอัตราที่ควร (ขอให้สังเกต อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และอัตราดอกเบี้ยที่รายใหญ่จ่ายอยู่ ว่ามีความเป็นธรรมให้กับผู้กู้รายกลางและรายเล็กที่ทำมาหาเลี้ยงธนาคารอยู่หรือไม่

พรรคเพื่อไทยจะเป็นรัฐบาลที่ดี มีความสามารถบริหารเศรษฐกิจให้เติบโต อย่างมีวินัยทางการเงินการคลัง อย่างที่รัฐบาลพรรคไทยรักไทย และรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเคยเป็นไม่สร้างภาระไปทิ้งให้คนในอนาคตต้องแบกรับ การดูแล ผู้ประกอบการ ให้ขายสินค้าและบริการได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบขนาดใหญ่ หรือขนาดเล็ก ไม่ว่าจะเป็นตลาดภายในประเทศ หรือตลาดส่งออก เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ดี ซึ่งเพื่อไทยจะทำและทำสำเร็จมาแล้ว (ต่างจากผลงานของรัฐบาลชุดนี้ไหมลองพิจารณาดูนะครับ)

เมื่อปี 2555 เราเคยผลักดันให้เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท และอัตราเงินเดือนค่าตอบแทนทั้งระบบอย่างเป็นผลสำเร็จด้วยดี (แม้เพิ่งจะเผชิญกับมหาอุทกภัยครั้งใหญ่) ไม่มีกิจการที่ไม่สามารถอยู่รอด หรือปรับตัวไม่ได้จากนโยบายนี้ ในทางกลับกันผู้ประกอบการต่างเติบโต และจ้างงานเพิ่มขึ้น อัตราการว่างงาน ลดจาก 0.7 เหลือ 0.6 ในปีถัดไป เราจะทำให้ผู้ประกอบการเข้มแข็ง ลดภาระที่ไม่จำเป็นลง และสามารถจ่ายค่าจ้างค่าตอบแทนที่สูง(ขึ้น) และสูงขึ้นให้กับคนที่ทำงานให้ท่านได้อย่างไม่ลำบากยากเย็น ซึ่งเรื่องนี้สอดคล้องกับ นายจักรพงษ์ แสงมณี คณะทำงานด้านยกเครื่องเศรษฐกิจ และกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย (พท.) ที่กล่าวไว้ด้วยว่า “เราเคยผลักดันให้เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ จาก 212 บาทเป็น 300 บาท และอัตราเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท เมื่อปี 2555 อย่างเป็นผลสำเร็จด้วยดี อัตราการว่างงาน ลดจาก 0.7 เหลือ 0.6 ในปีถัดไป”

'ชลน่าน' แจงนโยบายค่าแรง 600 บาท ชี้ เป็นวิสัยทัศน์ + ภาพฝัน ที่ตั้งเป้าภายในปี 70

(8 ธ.ค. 65) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอให้ตรวจสอบนโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทยว่า ไม่กังวล สิ่งที่ประกาศเป็นวิสัยทัศน์ คือภาพที่เราฝันให้เป็นจริงที่ตั้งเป้าเอาไว้ภายในปี 2570 ว่า คนไทยและประเทศไทยจะเป็นอย่างไร เช่น คนที่ทำงาน ควรที่จะได้รับค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน คนเรียนจบปริญญาตรีควรได้เงินเดือน 25,000 บาท

เมื่อเป็นวิสัยทัศน์และมีกระบวนการการจัดทำนโยบายต่าง ๆ เสร็จแล้ว หากจะประกาศเป็นนโยบายที่จะใช้รณรงค์หาเสียง ก็ต้องแจ้งไปที่กกต. เพื่อให้ทราบถึงแหล่งเงิน ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามที่กฎหมายกำหนด

'ศิริกัญญา' ยัน 'ก้าวไกล' สนับสนุนเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ควบคู่ช่วยผู้ประกอบการ-พัฒนาทักษะแรงงาน

ศิริกัญญา ยืนยัน ก้าวไกลสนับสนุนเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ควบคู่ช่วยผู้ประกอบการ-พัฒนาทักษะแรงงาน-ลดค่าครองชีพ ย้ำต้องการแก้ทั้งระบบ หวังให้นายจ้างอยู่รอด ลูกจ้างอยู่ได้

(9 ธ.ค. 65) ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน และเงินเดือนขั้นต่ำปริญญาตรี 25,000 บาทขึ้นไป ว่าหลังจากได้ฟังคำอธิบายของผู้เสนอนโยบายคือพรรคเพื่อไทย ทำให้ทราบว่านโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท และเงินเดือนเริ่มต้นสำหรับปริญญาตรีที่ 25,000 บาท เป็นเป้าหมายที่ผู้เสนอนโยบายต้องการทำให้ได้ภายในปี 2570 โดยมีสภาวะการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยประกอบ ซึ่งถือว่าเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับพรรคก้าวไกล ที่สนับสนุนการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เพียงแต่วิธีการที่ใช้แตกต่างกัน

“วิธีการที่พรรคก้าวไกลเสนอไปก่อนหน้านี้ คือให้แก้ที่ระบบการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ เนื่องจากปัจจุบันไม่มีฐานให้พูดคุยกันในคณะกรรมการค่าจ้าง (บอร์ดค่าจ้าง) เพื่อกำหนดเลยว่า ค่าแรงขั้นต่ำควรจะเป็นเท่าไหร่ เราจึงเสนอให้แก้กฎหมายคุ้มครองแรงงานว่าด้วยค่าแรงขั้นต่ำ ว่าต้องปรับขึ้นอัตโนมัติและปรับขึ้นทุกปี โดยคำนึงถึงสภาพเศรษฐกิจ คือจีดีพีโตเท่าไหร่ และคำนึงถึงค่าครองชีพหรือเงินเฟ้อว่าเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ปัจจัยอะไรเพิ่มขึ้นมากกว่าก็นำปัจจัยนั้นมาเป็นฐานในการคำนวณปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำขั้นต้นในแต่ละปี ที่จะพูดคุยบนโต๊ะของบอร์ดค่าจ้าง ก่อนให้บอร์ดฯ ตัดสินใจอีกครั้ง เพื่อให้การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามสภาวะเศรษฐกิจ ตามค่าครองชีพ และปรับขึ้นทุกปี เพราะหากปรับขึ้นคราวละมาก ๆ ภายในครั้งเดียว เราก็เข้าใจความรู้สึกของฝั่งผู้ประกอบการ” ศิริกัญญากล่าว

เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ของนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาทต่อวัน ตามที่พรรคก้าวไกลประกาศ ศิริกัญญากล่าวว่า ย้อนกลับไปปี 2562 พรรคอนาคตใหม่ก็เสนอแนวทางเดียวกันคือไม่ได้แข่งกันที่จำนวนเงินว่าควรปรับเพิ่มเป็นเท่าไหร่ แต่พูดถึงการแก้ไขที่ระบบ และทำให้ดูว่าจากปี 2555 ที่ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท มาจนถึงวันนี้ หากคำนวณตามวิธีของพรรคก้าวไกล ค่าแรงจะเพิ่มเป็นเท่าไหร่ ซึ่งเราคิดว่าเป็นวิธีที่ยุติธรรมต่อทั้งฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง

“เราเห็นใจทั้ง 2 ฝ่าย แต่เห็นใจฝั่งลูกจ้างมากกว่า เพราะต้องยอมรับว่ามีอำนาจต่อรองน้อยกว่า ยังไม่นับว่าองค์ประกอบภายในบอร์ดค่าจ้างซึ่งเป็นองค์กรไตรภาคีประกอบด้วย ฝ่ายรัฐ ฝ่ายนายจ้าง ฝ่ายลูกจ้าง ตัวแทนฝั่งลูกจ้าง 5 คน มาจากการคัดเลือกกันเองภายในองค์กรคือมาจากสหภาพ และในประเทศไทย ก็มีจังหวัดเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่มีสหภาพ ดังนั้น จึงต้องเพิ่มอำนาจการต่อรองของลูกจ้าง ด้วยการกำหนดในกฎหมายคือพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานที่พรรคก้าวไกลเสนอ ว่าค่าจ้างต้องปรับอัตโนมัติขึ้นไปทุกปี” ศิริกัญญาระบุ

รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลกล่าวว่า การที่นายจ้างต้องปรับเพิ่มค่าแรงเป็น 450 บาท อาจเป็นตัวเลขที่เยอะ พรรคก้าวไกลจึงมีแผนช่วยเหลือ เช่น สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี รัฐจะเยียวยา 6 เดือนแรกที่มีการประกาศใช้ค่าแรงขั้นต่ำใหม่ รวมถึงช่วยเหลือเงินประกันสังคมที่จะให้งดจ่ายเป็นเวลา 6 เดือน เพื่อชดเชยส่วนของค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น และมีอัตราภาษีใหม่สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เริ่มที่ 10% ไต่ระดับขั้นบันได ต่างจากปัจจุบันที่เริ่มต้นที่ 15%

ศิริกัญญากล่าวอีกว่า ในฝั่งลูกจ้างก็จำเป็นต้องปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานและทักษะ เพราะการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ แม้มีความจำเป็นต้องทำ แต่ไม่มีความยั่งยืนหากทักษะแรงงานไม่ได้รับการยกระดับ พรรคก้าวไกลจึงเสนอให้มีโครงการ Upskill และ Reskill สำหรับทักษะพื้นฐาน จะมีการเรียนออนไลน์ ส่วนทักษะขั้นสูง อาจมีทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อให้ได้ประกาศนียบัตร สามารถขอเพิ่มค่าแรงจากนายจ้างได้ง่ายขึ้น ซึ่งนอกจากจะช่วยให้แรงงานในปัจจุบันสามารถหางานใหม่ได้หรือเพิ่มค่าจ้างง่ายขึ้น ยังช่วยให้เด็กจบใหม่ทุกคนได้งานดีๆ ไม่ว่าเขาเรียนจบด้านใด สามารถปรับทักษะได้ตลอด

'เพื่อไทย' จ่อฟ้อง ‘รองโฆษกรบ.’ แปลงสโลแกน พรรคเพื่อไทยจะซ้ำรอยอดีต ‘คิดใหญ่ โกงเป็น’

เพื่อไทยฉุนโดนแปลงสโลแกน จ่อฟ้อง ‘รองโฆษกรัฐบาล’ เอาผิดตาม พ.ร.บ.คอมพ์-กฎหมายอาญา ฐานจงใจหมิ่นประมาท ใส่ร้าย ผ่านเว็บรัฐบาลไทย

(9 ธ.ค. 65) นางสาวตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่เว็บไซต์รัฐบาลไทย www.thaigov.go.th เผยแพร่ข่าวนางสาวทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่าเศรษฐกิจภายใต้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2565 ว่า การที่นางสาวทิพานันแสดงความมั่นใจบอกว่าเศรษฐกิจดีนั้น คงจะมีแต่นางสาวทิพานันกับรัฐบาลเท่านั้นที่คิดเช่นนี้ เพราะแม้แต่นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ที่เพิ่งเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยังบอกว่า พลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่สำเร็จ รับมือโควิดไม่สำเร็จ จนมีการรายงานจำนวนผู้เสียชีวิตกว่า 20,000 ราย พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยังไม่คัดค้านกับความเห็นดังกล่าวของนายมิ่งขวัญ ขณะนั่งแถลงข่าวอยู่ด้วยกัน

“ดังนั้นระหว่างนายมิ่งขวัญ ซึ่งเป็นทีมเศรษฐกิจคนใหม่ของพรรคพลังประชารัฐ กับนางสาวทิพานัน ประชาชนคงเชื่อนายมิ่งขวัญมากกว่า พี่น้องประชาชนทั้งประเทศต่างรู้ดีว่าขณะนี้ประเทศไทยกำลังตกต่ำเพียงใด ภายใต้การบริหารของรัฐบาลที่นำโดยพลเอกประยุทธ์ ยืนยันได้จากหนี้สาธารณะพุ่งชนเพดานที่ 10 ล้านล้านบาท คนจนพุ่งทะลุ 20 ล้านคน มากที่สุดในประวัติศาสตร์ หนี้ครัวเรือนพุ่งทะลุเกือบชนเพดาน ความเหลื่อมล้ำในไทยสูงสุด เด็กและเยาวชนหลุดจากระบบการศึกษา และปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย ดังนั้นนางสาวทิพานันต้องเดินออกมาจากอุปทานหมู่ที่สะกดจิตตัวเองว่าเศรษฐกิจดี เพียงเพราะกังวลว่าตนเองซึ่งอยู่ในรัฐบาลจะเสียแต้มเท่านั้น” รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ระบุ

“นอกจากนี้ในเว็บไซต์ www.thaigov.go.th ซึ่งเป็นสื่อของรัฐบาล ที่ใช้สื่อสารต่อประชาชนอย่างเป็นทางการ ยังเผยแพร่ข้อความว่านางสาวทิพานัน ระบุว่า พรรคเพื่อไทยจะซ้ำรอยอดีต ‘คิดใหญ่ โกงเป็น’ ข้อความที่ปรากฏเป็นการเจตนาจงใจใส่ร้าย ใส่ความให้วิญญูชนทั่วไปให้เข้าใจผิดต่อพรรคเพื่อไทย ทั้งที่ข้อเท็จจริงคือ ดัชนีชี้วัดคะแนนปลอดคอร์รัปชันในประเทศไทยที่จัดอันดับโดยองค์กร Transparency International พบว่า ในปี 2564 ภายใต้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ อยู่ที่ 35 คะแนน อันดับที่ 110 ต่ำสุดในรอบ 10 ปี ขณะที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อันดับการประเมินจากองค์กรเดียวกันพบว่า ดัชนีชี้วัดคะแนนปลอดคอร์รัปชัน อยู่ในอันดับที่ 59 ซึ่งดีกว่ารัฐบาลนี้เท่าตัว”

‘เพื่อไทย’ ชี้!! ขึ้นค่าแรงเป็นการร่วมมือของ ‘รัฐ-เอกชน’ ยัน!! หากได้เป็นรัฐบาล มีแผนหารายได้เข้าประเทศคู่กันไป

เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 65 นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีที่ผู้ประกอบการมีข้อกังวลเรื่องนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท และเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท ในขณะที่เศรษฐกิจประเทศไทยมีแนวโน้มยังไม่ฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิดว่า หากพิจารณาเพียงมุมต้นทุนค่าแรงที่สูงขึ้นเพียงด้านเดียว โดยรายได้ไม่ได้สูงขึ้นตามไปด้วย ในหมวกของผู้ประกอบการเองก็คงต้องกังวลและสามารถเข้าใจได้ว่า พรรคเพื่อไทยกำลังจะหาเสียงแบบผลักภาระให้กับภาคเอกชน ในข้อเท็จจริงแล้วหากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล สิ่งที่จะดำเนินการควบคู่กันไปคือการหารายได้ให้กับประเทศ ดังนี้

1. การปรับค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำเป็นการปรับตามค่าครองชีพ และการขยายตัวของเศรษฐกิจ หากเพื่อไทยเป็นรัฐบาลจะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง SME มีรายได้มากขึ้น เมื่อมีรายได้มากขึ้น ผู้ประกอบการก็สามารถจ่ายค่าแรงที่เพิ่มขึ้นได้ ประกอบกับการปรับค่าแรงไม่ได้ขึ้นทีเดียว จะปรับขึ้นตามเพดานสูงสุดในปี 2570 คืออีก 5 ปีข้างหน้า ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการจึงจะมีเวลาปรับตัว

‘ก้าวไกล’ เปิดนโยบายปฏิรูปราชการทั้งระบบ ต้องชนะทุจริตด้วยระบบที่โปร่งใส ไม่ใช่พึ่งคนดี

(9 ธ.ค. 65) ที่อาคารอนาคตใหม่ ชั้น 7 พรรคก้าวไกลแถลงนโยบาย ‘ราชการไทยก้าวหน้า’ ครอบคลุมทั้ง นโยบายต้านโกง เพิ่มประสิทธิภาพราชการ และ ปฏิรูปตำรวจ ซึ่งนับเป็นชุดนโยบายที่ 4 จากทั้งหมด 9 ชุด ต่อจาก ‘การเมืองไทยก้าวหน้า - สวัสดิการไทยก้าวหน้า - ทุกจังหวัดไทยก้าวหน้า’

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า วันนี้ตรงกับวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล พรรคก้าวไกลจึงถือโอกาสเปิดนโยบาย ‘ราชการไทยก้าวหน้า’ ที่มีหัวใจสำคัญคือ ‘ราชการเพื่อราษฎร’ ซึ่งรวมถึงนโยบายต่อต้านการทุจริตทั้งระบบ โดยพรรคก้าวไกลไม่ได้มองปัญหาคอร์รัปชันอย่างเดียว แต่เกี่ยวข้องกับเรื่องอื่น ๆ โดยเฉพาะประสิทธิภาพของระบบราชการ และการปฏิรูปตำรวจ เพราะหากบริการภาครัฐมีความล่าช้าและเต็มไปด้วยกฎระเบียบ-ใบอนุญาต จะเป็นการเปิดช่องให้มีการเรียกสินบนจากประชาชนและภาคธุรกิจ เพื่อแลกมาซึ่งความสะดวก รวมถึงต้องปฏิรูปตำรวจ เพื่อขจัดระบบตั๋วและระบบอุปถัมภ์ที่ทำให้ตำรวจต้องมารีดไถประชาชน เอาเงินส่งนาย

พิธา กล่าวว่า ในเรื่องความโปร่งใส ดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชันของไทย แย่ลงอย่างต่อเนื่องตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ตกลงจากอันดับที่ 85 มาอยู่ที่ 110 ซึ่งทำให้ต้นทุนชีวิตของคนไทยจำนวนมาก ตั้งแต่เกิดจนแก่ วนเวียนอยู่กับการทุจริตคอร์รัปชัน เช่น ในวัยเด็ก พ่อแม่อาจต้องจ่ายเงินแป๊ะเจี๊ยะเพื่อให้ลูกได้เข้าโรงเรียน ในวัยทำงาน จะเปิดร้านอาหารก็ต้องขอใบอนุญาตหลายสิบใบ งบที่จะนำมาสร้างสวัสดิการก็รั่วไหลไปกับการทุจริตงบประมาณ ดังนั้น ขอยืนยันว่าการทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องใหญ่

พิธา กล่าวต่อว่า การแก้ไขปัญหาการทุจริตที่มีประสิทธิภาพ ต้องไม่ใช่การหวังพึ่งแค่การปลูกฝังจิตสำนึก-จริยธรรมในการต่อต้านการโกง หรือ การมอบศรัทธาทั้งหมดไว้ให้กับ ‘คนดี’ มาปกครองบ้านเมืองเหมือนที่ผ่านมา แต่ต้องเป็นการทำให้รัฐโปร่งใสกว่าที่เคยเป็นมา ทุกคนตรวจสอบทุกคนได้ด้วยอาวุธใหม่ ๆ ที่ประเทศไม่เคยมี เพื่อวางระบบที่ดีในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต

ถ้าพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล ตนจะไม่ยอมให้คนไทยถูกโกง โดยสิ่งที่ทำได้ทันทีในฐานะนายกรัฐมนตรี คือการเปิดเผยข้อมูลรัฐทันที เปิดเผยงบประมาณทุกบาทให้ละเอียดในรูปแบบที่วิเคราะห์ต่อได้ (machine readable) รวมถึงเปิดข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างตามมาตรฐานสากล เพื่อให้ทุกคนถูกตรวจสอบโดยทั้งประชาชนและระบบจับโกงอัจฉริยะที่จะแจ้งเตือนเมื่อมีโครงการส่อทุจริต ‘เราเชื่อว่าประชาชนพร้อมตรวจสอบเรา และพวกเรานักการเมือง-ข้าราชการ ก็ต้องพร้อมถูกตรวจสอบเช่นกัน’

นอกจากนั้น รัฐบาลก้าวไกลจะนำเสนออีก 2 โครงการต้านโกง คือ…

(1) โครงการ ‘คนโกงวงแตก’ หรือ leniency programme เพื่อจูงใจให้คนที่คิดจะโกง เกิดความระแวงกันเองจนไม่มีใครกล้าโกง เพราะมีการออกกฎผ่อนผันโทษ ให้ใครที่มอบตัวและแฉกันเองก่อน
(2) โครงการ ‘แฉโกง ปลอดภัย ได้เงิน’ เพื่อสร้างสังคมต้านโกง ด้วยกฎหมายคุ้มครองความปลอดภัยและความก้าวหน้าทางอาชีพให้กับเจ้าหน้าที่ที่แฉการทุจริตในหน่วยงาน (whistleblower protection) รวมถึงการเพิ่มเงินรางวัลให้ประชาชนที่แจ้งเบาะแส

สำหรับเรื่องประสิทธิภาพภาครัฐ ข้อมูลของธนาคารโลกแสดงให้เห็นว่าตลอด 8 ปี ในช่วงที่ภาครัฐมีขนาดใหญ่ขึ้น ประสิทธิภาพภาครัฐกลับลดลง บริการภาครัฐหลายส่วนล่าช้า-ยุ่งยาก ทำให้ภาระตกอยู่กับประชาชน ดังนั้น ถ้าก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลและพิธาเป็นนายกฯ เรื่องแรกที่จะทำคือการทำให้บริการภาครัฐอย่างน้อย 99% ทำได้ผ่านมือถือ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและประหยัดเวลาประชาชน และจะช่วยให้ข้อร้องเรียนไม่เงียบหาย มีการอัปเดตความคืบหน้าทุกขั้นตอน และมีฐานข้อมูลที่ช่วยให้โอนสวัสดิการให้ประชาชนได้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องรอ ไม่ต้องลงทะเบียน 

นอกจากนั้น ก้าวไกลจะเดินหน้ายกเลิกทุกกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อประชาชน ยกเลิกใบอนุญาตที่ซ้ำซ้อน 50% และปรับกระบวนการทำงานให้ประชาชนรู้ผลใบอนุญาตใน 15 วัน โดยหากหน่วยงานของรัฐ พิจารณาใบอนุญาตเกินกำหนด ให้ถือว่าคำขออนุญาตนั้น มีผลบังคับใช้เหมือนใบอนุญาตทันที

ในส่วนของการปฏิรูปตำรวจ รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงนโยบายปฏิรูปตำรวจว่า ปัจจุบันมีการสร้างระบบเส้นสาย ตั๋วตำรวจ ตั๋วช้าง ทำให้ตำรวจไม่สนใจการสืบสวนคดีหรือทำงานที่เป็นของตำรวจจริง ๆ แต่กลับไปรีดไถ รับสินบน ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด บ่อนการพนัน และการค้ามนุษย์ แม้ว่ารัฐสภาเพิ่งจะผ่าน พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติฉบับใหม่ แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งระบบเดิม ๆ ที่เอื้อให้กลับสู่การทุจริตอีกครั้ง

พรรคก้าวไกลจึงเสนอนโยบายตำรวจของประชาชน โดยปรับโครงสร้างให้ยึดโยงกับประชาชน ทั้งใน ‘ระดับประเทศ’ ที่จะมีคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่ส่วนใหญ่มีที่มาผ่านผู้แทนทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล คอยป้องกันการใช้เส้นสาย ทำให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ต้องทำงานอยู่ในสายตาประชาชนตลอดเวลา และใน ‘ระดับจังหวัด’ จะมี ‘คณะกรรมการนโยบายความปลอดภัยสาธารณะจังหวัด’ ซึ่งองค์กรท้องถิ่นและภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม สามารถลงมติว่าจะเห็นชอบนายตำรวจที่ ก.ตร. ตั้งขึ้นมาเป็นผู้บังคับการจังหวัดนั้น ๆ หรือไม่ และช่วยประเมินคุณภาพการทำงานของตำรวจในจังหวัด ส่วนเรื่องการตรวจสอบ พรรคก้าวไกลเสนอให้มีคณะกรรมการรับเรื่องร้องเรียนที่เป็นอิสระแยกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) อย่างเด็ดขาด ทำงานไต่สวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตำรวจโดยขึ้นตรงต่อรัฐสภาและมีกระบวนการคัดเลือกที่โปร่งใส ยึดโยงกับประชาชน เพื่อขจัดปัญหาประโยชน์ทับซ้อนของตำรวจที่อาจช่วยเหลือกันเอง และเปิดให้ตำรวจน้ำดีภายใน สตช. ให้ความร่วมมือแจ้งเบาะแสการทุจริตได้อย่างปลอดภัย

‘อรรถวิชช์’ ชู Govtech ปราบส่วยรถบรรทุก กางข้อมูลผู้เกี่ยวข้อง ไล่เช็กทุจริตได้ทุกเวลา

‘อรรถวิชช์’ ชู Govtech ปราบส่วยรถบรรทุก เปิดเผยเส้นทางเดินรถ เปิดเผยชื่อเจ้าหน้าที่เข้าเวร มีบันทึกทางดิจิทัล ตามเช็กบิลได้ทุกเวลา

(9 ธ.ค. 65) ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวถึงปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชั่นสากล ผ่านเวทีเสวนา ‘อิทธิพลส่วยรถบรรทุกกับการคอร์รัปชัน’ ที่จัดโดยสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทยว่า ปัญหาส่วยรถบรรทุกน้ำหนักเกิน ปราบปรามได้เป็นครั้งคราว แต่ก็มีปัญหามาตลอด เพราะการสมยอม ทั้งผู้ทำผิดกฎหมายและเจ้าหน้าที่รัฐ มีทั้งรูปแบบส่วยสติกเกอร์ เป็นป้ายเคลียร์ไม่ให้ถูกจับ แปะชื่อย่อบริษัท หรือแบบพวงกุญแจสัญลักษณ์ต่าง ๆ ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการทุจริตคอร์รัปชันที่พบเห็นกันทั่วไป

ดร.อรรถวิชช์ ย้ำว่า การแก้ไขคอร์รัปชันรูปแบบนี้ สามารถใช้ Govtech หรือ Government Technology บูรณาการกระทรวงที่เกี่ยวข้องมาแก้ปัญหา ซึ่งตอนนี้ก็มีเทคโนโลยีภาครัฐแล้ว แต่กลับไม่เชื่อมโยงหน่วยงาน

‘ศิริโชค’ เย้ย ‘นักการเมือง’ ขยันอวยตัวเอง ทั้งที่คะแนนนิยมรูด ลือ! ขอซบพรรคคู่แข่ง

นายศิริโชค โสภา ว่าที่ผู้สมัครส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จังหวัดสงขลา โพสตข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ผมรู้สึกตลกกับนักการเมืองบางคน ที่ชอบโพสต์เชียร์ตัวเอง หรือจ้างให้นักข่าวเขียนเชียร์ตัวเอง และส่งไปตามกลุ่มต่าง ๆ แต่ก็เข้าใจได้ครับ เพราะตอนนี้คะแนนเสียงตกมาก อย่าว่าแต่อันดับ 2 เลย ตกไปถึงอันดับ 3 อันดับ 4 โน่น หัวคะแนนที่เคยสนับสนุน ตอนนี้ถอยออกไปเกือบหมดแล้ว เพราะแกสร้างวีรกรรมไว้เยอะ  

พวกประเภทปากกล้า ขาสั่น นี่ผมชอบจังครับ สร้างภาพว่าคะแนนเสียงดี แต่ดันไปขอลงสมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ทำไมครับความลับไม่มีในโลกนี้ 

'สมเกียรติ' ฉะ 'พรรคก้าวไกล' หูเบา เชื่อคำใส่ร้ายรับเงิน จนไม่ส่งลงสมัครส.ส.กทม.

'สมเกียรติ' ฉะ 'ก้าวไกล' หูเบา เชื่อคำใส่ร้ายรับเงิน จนไม่ส่งสมัครส.ส.กทม. อ้อน 'เพื่อไทย' คิดใหม่ หากส่งลงสมัคร มั่นใจจะชนะเลือกตั้งแน่นอน

(9 ธ.ค. 65) ที่รัฐสภา นายสมเกียรติ ถนอมสินธุ์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวว่า กรณีที่ตนได้ฟ้องร้องบุคคลที่กล่าวหาว่าตนรับผลประโยชน์หรือเงิน จนเป็นเหตุที่พรรค ก.ก. ไม่ส่งตนเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. ทั้งนี้ ตนเห็นด้วยที่ส.ส.ควรเคารพการวิพากษ์วิจารณ์ แต่สิ่งที่บุคคลผู้นี้กระทำไม่ได้อยู่ในขอบข่ายที่ควรจะเป็น ตนไม่รู้ว่าบุคคลนี้ได้รับข้อมูลมากจากไหน ทั้งที่ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว ตนเป็นคนตั้งใจทำงาน และตั้งใจจะลงเลือกตั้งในครั้งหน้าด้วย จึงจำเป็นต้องฟ้อง เพื่อปกป้องเกียรติ เพราะเป็นฝ่ายถูกกล่าวหา และไม่ได้รับอะไรมาตามที่พูด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top