Sunday, 15 June 2025
PoliticsQUIZ

อิ๊งค์' นำทัพ 'เพื่อไทย' บุกภาคใต้ 'เต้น' โว!! ปักธงแลนด์สไลด์

'เพื่อไทย' ยกคณะปราศรัยภาคใต้ 11 ธ.ค. พา 'อิ๊งค์' ทัวร์สิชล ดูประมงท่องเที่ยว ลั่นขอยกระดับราคา ยางพารา ปาล์ม 'ณัฐวุฒิ' โวปักธงแลนด์สไลด์

(7 ธ.ค. 65) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย กล่าวว่า ครอบครัวเพื่อไทยนำโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย, นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทยและรองผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการเลือกตั้ง, นายสุธรรม แสงประทุม สมาชิกพรรคเพื่อไทย, นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง และตนเองจะเปิดเวทีปราศรัย ครอบครัวเพื่อไทย ที่ภาคใต้ครั้งแรก ในชื่องานว่า ‘แหลงจริง ทำได้ คนใต้หรอยแรง!’ ที่หอประชุมเทศบาลนครนครศรีธรรมราช หรือที่ประชาชนทั่วไปเรียกว่า หอประชุมทุ่งท่าลาด

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่าในกิจกรรมดังกล่าว จะมีการปราศรัยในเรื่องของนโยบายของพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้คือนโยบายแนวทางการยกระดับราคาพืชผลทางการเกษตร การรักษาเสถียรภาพราคา เพื่อสร้างรายได้เพิ่มให้พี่น้องเกษตรกร ทั้งราคาปาล์มน้ำมัน ยางพารา ซึ่งเมื่อวานนี้ หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยได้ปราศรัยประกาศวิสัยทัศน์ ประเทศไทย 2570 ไปแล้ว ก็จะถือเป็นโอกาสได้ไปขยายความรายละเอียดในแต่ละนโยบาย สื่อสารประเด็นให้ชัดเจน เป็นที่เข้าใจให้ตรงกันมากยิ่งขึ้น นอกจากเพียงแค่การพูดคุยเรื่องเป้าหมายการแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทยแล้ว ยังมีเรื่องการกระจายอำนาจ การแก้ไขปัญหาการประมงในพื้นที่ และการพัฒนาศักยภาพด้านการท่องเที่ยว ชายฝั่งอ่าวไทยก็เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์หนึ่ง จึงเป็นนโยบายที่สำคัญที่พรรคเพื่อไทย จะได้ถือโอกาสพูดคุยกับพี่น้องในพื้นที่ได้อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ จะเป็นโอกาสได้แนะนำผู้ประสงค์ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของพรรคเพื่อไทยในกลุ่มภาคใต้ ที่ได้เปิดตัวไปก่อนหน้านี้พร้อมด้วยทีมคณะผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ภาคใต้ทุกจังหวัดอีกด้วย

เพื่อไทย โต้ ‘สุชาติ’ อัดวิจารณ์ค่าแรง 600 บาทต่อวัน ลั่น!! ไม่กระทบงบแผ่นดิน เหน็บ พปชร. ขึ้น 400 ยังทำไม่ได้

ส.ส.โจ้ โต้กลับ ‘รมว.แรงงาน’ ติงนโยบายค่าแรง 600 บาทพรรคเพื่อไทย ลั่นไม่กระทบงบแผ่นดินฟุ้งถ้าประชาชนเห็นว่าดีจริงต้องเลือกให้ ‘แลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน’ เหน็บ ‘ประยุทธ์’ บริหารเศรษฐกิจเหลว เก่งแต่กู้ขนาดขึ้นค่าแรง 400 บาทยังทำไม่ได้

วันนี้ (7 ธ.ค.) ที่รัฐสภา นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.)ให้สัมภาษณ์ตอบโต้ นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ที่บอกว่า พรรคเพื่อไทย หากจะหาเสียงอะไร ก็แล้วแต่ ควรคำนึงถึงหายนะทางเศรษฐกิจด้วย อย่าหาเสียงเพราะนึกสนุกแบบนี้ (กรณีเพื่อไทยประกาศนโยบายค่าแรง 600 บาท/วัน) เพราะสิ่งที่พูดออกมามันเหมือนการโยนระเบิดเวลาให้เจ้าของกิจการ การหาเสียงแบบนี้เป็นการโยนภาระให้ภาคเอกชน แต่ตัวเองได้คะแนนเสียงซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง นอกจากนี้จะกระทบต่อนักลงทุนต่างประเทศ เพราะจะไม่กล้าเข้ามาลงทุน หากจะหาเสียงอะไรก็แล้วแต่ ควรคำนึงถึงหายนะทางเศรษฐกิจด้วย

นายยุทธพงศ์กล่าวต่อว่า นายสุชาติ รมว.แรงงาน ที่ออกมาโวยวาย เรื่องค่าแรงงาน 600 บาท/วัน ภายใน 4 ปี เพราะนายสุชาติ อาจจะไม่เข้าใจเศรษฐศาสตร์ และระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ การที่คุณแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย พูดเรื่อง ค่าแรงงาน 600 บาท/วัน ภายใน 4 ปี คือ การที่พรรคเพื่อไทยได้ มาเป็นรัฐบาล และ พรรคเพื่อไทย บริหารเศรษฐกิจ เป็นแบบมืออาชีพ เศรษฐกิจประเทศไทยจะโตเฉลี่ย อย่างน้อยร้อยละ 5 ต่อปี พอเศรษฐกิจดี นักธุรกิจมีเงินเยอะ มีรายได้เยอะ ก็มีเงินจ่ายค่าแรงงานสูงขึ้น ไม่ได้กระทบอะไร กับภาระงบประมาณแผ่นดินเลย

'ก้าวหน้า-ก้าวไกล' เสียดายอนาคตประเทศ หลังสภาคว่ำร่าง 'ปลดล็อกท้องถิ่น'

‘ก้าวหน้า-ก้าวไกล’ แถลงเสียดายอนาคตประเทศ หลังสภาคว่ำร่างปลดล็อกท้องถิ่น ‘ธนาธร’ ยัน ไม่ได้เสนอยกเลิกกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ด้าน ‘พิธา’ รับไม้ต่อ ชูนโยบายกระจายอำนาจปราศรัยทั่วประเทศ ชี้ ส.ส. มีหน้าที่ผ่านกฎหมายก้าวหน้า ไม่ใช่ดึงงบลงบ้านใหญ่

(7 ธ.ค. 65) ที่รัฐสภา คณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกล ร่วมแถลงข่าวภายหลังรัฐสภามีมติไม่รับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ‘ปลดล็อกท้องถิ่น’ จากการเข้าชื่อของประชาชน ด้วยคะแนนรับหลักการ 254 คน ไม่รับหลักการ 245 คน และ งดออกเสียง 129 คน นำโดย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า, พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล, พริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบาย พรรคก้าวไกล และวีระศักดิ์ เครือเทพ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หนึ่งในผู้ชี้แจงร่างปลดล็อกท้องถิ่น

ธนาธร กล่าวว่า เราอยู่ในความขัดแย้งทางการเมืองมานาน แต่ร่างฉบับนี้เป็นร่างที่ตั้งใจปฏิรูป เพื่อทำให้ระบบราชการมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตอบสนองต่อความเดือดร้อนของประชาชน ทันต่อสถานการณ์โลก แบ่งเบาภาระราชการส่วนกลาง ให้ท้องถิ่นดูแลบริการสาธารณะทุกอย่างในพื้นที่และมีงบประมาณเพียงพอ ขณะที่ส่วนกลาง ดูแลมาตรฐานการบริการสาธารณะให้ทุกพื้นที่มีคุณภาพเหมือนกันและพาประเทศไทยไปเวทีโลก

ธนาธร กล่าวต่อว่า บางฝ่ายให้ความเห็นว่าแนวคิดของพวกเราสุดโต่งเกินไป แต่การปล่อยให้ปัญหาของประชาชนอยู่มานานโดยไม่ได้รับการแก้ไขอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน คนที่กักขังประเทศไว้แบบนี้ต่างหากที่สุดโต่ง นอกจากนี้ ร่างฉบับนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการยกเลิกกำนันผู้ใหญ่บ้าน แต่ให้จัดทำแผนยกเลิกส่วนภูมิภาค และทำประชามติถามประชาชนว่าจะยกเลิกหรือไม่ภายใน 5 ปี มาถกเถียงกันว่าเมื่อกระจายอำนาจและงบประมาณไปให้ท้องถิ่นเต็มที่แล้ว ราชการส่วนภูมิภาคควรมีบทบาทอย่างไร และสุดท้ายคือเรื่องการทุจริต ตนคิดว่าทุกรายงานยืนยันตรงกัน ว่าส่วนกลางและส่วนภูมิภาค มีมูลค่าการทุจริตมากกว่าท้องถิ่น

“ขอยืนยันความตั้งใจของเรา ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่เป็นการทำให้การบริการของภาครัฐมีประสิทธิภาพมากขึ้น หลายข้อกล่าวหาที่เราได้รับจึงไม่ได้ตั้งอยู่บนความจริง แต่ตั้งอยู่บนอคติที่ผิด เสียดายเวลาและโอกาสของประเทศ ทั้งที่หากเราเห็นไม่ตรงกัน รัฐสภาควรรับหลักการในวาระ 1 เพื่อไปถกเถียงแลกเปลี่ยนในวาระ 2 ต่อ เพราะเรายืนยันชัดเจนว่าพร้อมประนีประนอม แต่แม้วันนี้ทำไม่สำเร็จ คณะก้าวหน้าจะเดินหน้ารณรงค์เรื่องการกระจายอำนาจต่อไป และเชื่อว่าเพื่อนร่วมงานของเราในพรรคก้าวไกล จะสานต่อภารกิจนี้” ธนาธรกล่าว

ขณะที่ พิธา กล่าวว่า การกระจายอำนาจอย่างแท้จริงเป็นหนทางเดียวของประเทศไทย เป็นนโยบายที่จะปราศรัยทุกเขต เช่นนโยบายยกเลิกคำสั่ง คสช. ที่ล้วงลูกการทำงานของท้องถิ่น หรือการเพิ่มงบของท้องถิ่นทั่วประเทศ 200,000 ล้านบาท ภายใน 4 ปี โดยที่ผ่านมาเห็นว่าเป็นนโยบายที่ได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี จากการลงพื้นที่ ตนได้เห็นท้องถิ่นที่มีศักยภาพ แต่หากไม่มีการแก้ไขกฎหมายให้กระจายอำนาจมากขึ้น ประเทศไทยก็จะกระจุกตัวต่อไป

'อุ๊งอิ๊ง' เชื่อคนเห็นด้านดี-ไม่ดี 'บิ๊กตู่' มาแล้ว ไม่ต้องว่ากัน ส่วนตนขอทำหน้าที่และนโยบายให้ดีที่สุด

'อุ๊งอิ๊ง' เผยประชาชนรู้ดี 'ประยุทธ์' อยู่มานานเห็นทั้งด้านดี ไม่ดี ท่องคาถาขอนำเสนอนโยบายให้ประชาชนตัดสินใจ มากกว่ามุ่งต่อสู้-ต่อว่ากัน

(7 ธ.ค. 65) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เหลือเวลาอีก 2 ปีสำหรับเส้นทางการเมือง จะเป็นเรื่องที่ดีกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ว่า ไม่สามารถตัดสินใจแทนพล.อ.ประยุทธ์ได้ แต่พรรคมีความพร้อมและมีความชัดเจนที่จะแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ความชัดเจนที่เกิดขึ้นมากที่สุดของประเทศ คือประชาชนเดือดร้อน ดังนั้น ควรจะชัดเจนในเรื่องที่ควรจะชัดเจนมากกว่าในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้กับประชาชน

ถามว่า รู้สึกอย่างไรที่จะได้สู้กับพล.อ.ประยุทธ์ในสนามการเมืองในการเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า คิดว่าการแข่งขันทางการเมืองคือเป็นการเมืองอย่างหนึ่งที่เราจะต้องแข่งขันเพื่อให้ประชาชนเลือก คือการแข่งขันสำหรับตน ซึ่งการแข่งขันอื่น ๆ มันไม่ใช่การแข่งขัน มันคือการที่ต้องทำนโยบายที่ต้องทำให้ประชาชนมากกว่า เราโฟกัสตรงนั้น เกมต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นนอกเหนือจากการเลือกตั้ง คิดว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรให้ความสำคัญ ความสำคัญคือนโยบาย และปัญหาของประเทศ ส่วนการต่อสู้ทางการเมืองจะหวนนึกถึงอดีตหรือไม่ ถ้าเรามัวแต่นึกถึงอดีตเราก็จะไปข้างหน้าไม่ได้

ตัวตนของคนชื่อ 'อนุทิน'

อุณหภูมิการเมืองช่วงนี้ร้อนแรง แต่ละพรรคการเมืองออกอาวุธทิ่มแทง เตะตัดขากันสารพัด แต่กลับกันกับ 'เสี่ยหนู' นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และท่าทีของพรรคภูมิใจไทย ที่วันนี้ดูจะไม่ยี่หระกับสงครามการเมืองในรูปแบบใด แถมออกมาพูดถึงจุดยืนและตัวตนของตัวเอง แบบไม่แคร์การเมืองว่าจะตีรวนกันแรงแค่ไหนเสียด้วย!!

โดยไม่นานมานี้ เจ้ากระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวไว้ดังนี้ ว่า...

ตอนเด็ก ๆ ผมเป็นคนที่มีความอดทนอดกลั้นต่อแรงกดดันต่าง ๆ ได้มาก ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ได้ชอบ และเกลียดมากด้วย

แต่พอโตขึ้นมา สิ่งนี้ก็กลายเป็นข้อดีติดตัว แล้วก็จะไม่มีวันเลือนหายไปจากจิตวิญญาณของเรา เพราะทำให้เราสามารถเติบโตมาได้ถึงวันนี้ 

'เสี่ยเฮ้ง' กล่าวถึงส่วนหนึ่งของนโยบายหาเสียงจากพรรคเพื่อไทย

ถ้ามั่นใจว่าจะทำได้จริง
ให้ช่วยทำกับบริษัท
ในเครือข่ายของท่านก่อน
ลองทำให้ดูเป็นตัวอย่าง

คุณอุ๊งอิ๊งเกิดมาก็รวยเลย
ไม่รู้หรอกว่ากว่าที่บริษัท
เขาจะเติบโตกันขึ้นมาได้
เขาต้องผ่านปัญหา
อุปสรรคอะไรมาบ้าง

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน 
ให้สัมภาษณ์กับ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2565

‘อุ๊งอิ๊ง’ ยัน ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ‘ทำได้’ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ชี้!! ต้องรอให้เศรษฐกิจทั้งประเทศพร้อมก่อน

พรรคเพื่อไทย นำโดย แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะทำงานนโยบาย พรรคเพื่อไทย เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวประเด็นการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน และเงินเดือนผู้จบการศึกษาปริญญาตรี 25,000 บาท 

แพทองธาร กล่าวว่าตนเข้าใจดีว่าเหตุใดจึงมีการถกเถียงในเรื่องนี้ เพราะภาพรวมเศรษฐกิจในขณะนี้ยังไม่ดี พรรคเพื่อไทยจึงแสดงวิสัยทัศน์ให้ทุกคนได้เห็นว่า ถ้าเราปรับภาพรวมเศรษฐกิจทั้งประเทศให้เติบโตไปพร้อมกัน เหมือนสมัยที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีเคยปรับค่าแรงเป็น 300 บาทต่อวัน 10 ปีผ่านไป ค่าแรงขั้นต่ำยังปรับขึ้นมาแค่ 54 บาท จึงเป็นเหตุให้เกิด รวยกระจุก จนกระจาย คนได้ประโยชน์จากค่าแรงขั้นต่ำ คือคนกลุ่มเล็ก ๆ บนยอดสามเหลี่ยม 

แต่ฐานรากคือคนส่วนใหญ่ของประเทศยังยากจนเดือดร้อน คนใช้แรงงานยังไม่ได้รับเกียรติไม่ได้รับศักดิ์ศรีเพียงพอ เมื่อเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำในประเทศอื่น อีกทั้งหากภาพรวมเศรษฐกิจของทั้งประเทศดีขึ้น แรงงานมีรายได้มากขึ้นจะสามารถจับจ่ายใช้สอยได้มากขึ้น ช่วยผลักดันเศรษฐกิจทั้งระบบ ดังนั้น การเติบโตของเศรษฐกิจในแนวทางของพรรคเพื่อไทย คือต้องการให้ทั้งประเทศ คนทุกชนชั้น เติบโตได้ทุกโอกาส สามารถออกมาจับจ่ายใช้สอยดูแลครอบครัวของตัวเองได้ การคิดเล็กไม่สามารถแก้ปัญหาได้ จึงเป็นที่มาของแนวคิด ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน’

“เราต้องเป็นทุนนิยมที่มีหัวใจ ค่าแรงต้องปรับขึ้นเมื่อเศรษฐกิจทั้งประเทศพร้อม วันนี้ค่าแรงยังปรับขึ้นเป็น 600 บาท ไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจยังไม่ดี แต่เมื่อเศรษฐกิจดีแล้ว จีดีพี จะเติบโตที่ 5% ปีแรกอาจสูงกว่า หรือปีต่อมา อาจลดน้อยลงตามเลขเฉลี่ยแต่ละปี ทั้งหมดคือหัวใจหลัก” แพทองธาร กล่าว

นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช กล่าวว่า จุดยืนหรือหัวใจหลักของพรรคเพื่อไทยคือ สร้างรายได้ ขยายโอกาส แต่ปัญหาขณะนี้คือหนี้ เราจึงต้องแก้หนี้ด้วยการสร้างรายได้ ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดีก็ไปกู้ กู้แล้วก็ขยายเพดานหนี้จึงทำให้ค่าจ้างแรงงานยังต่ำ ประเทศรายได้ก็ต่ำ ความเหลื่อมล้ำก็สูง เราจึงต้องใช้นโยบายหลายเรื่องราวที่แถลงเมื่อวานเรียงร้อยและผลักดันไปพร้อมกัน เพื่อให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น คือต้องสร้างรายได้ใหม่ไปพร้อมกัน 

การปรับค่าแรงงานขั้นต่ำ ไม่ใช่การทำลายโครงสร้าง แต่เป็นการทำงานร่วมกันในระดับไตรภาคีคือ เห็นพ้องร่วมกันระหว่างรัฐ - ผู้ประกอบการ - ประชาชน ค่าแรงขั้นต่ำคิดขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ เพราะค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น พรรคเพื่อไทยรู้ว่าผลิตภาพการผลิต คือที่มากำไรของผู้ประกอบการที่จะนำมาจ่ายเงินเดือน - โบนัส แรงงานได้ ส่วนรายได้เข้าประเทศอื่น ๆ อย่าง ภาคการท่องเที่ยว พรรคเพื่อไทยคิดจากฐานของรายได้ภาคท่องเที่ยวก่อนเกิดการระบาดของโควิด ซึ่งอยู่ที่มูลค่า 1.9 ล้านล้านบาท เพื่อไทยตั้งเป้าเพิ่มเป็น 3 ล้านล้านบาท ซึ่งสามารถทำได้แน่นอนด้วยการสร้างแรงดึงดูดด้วยศักยภาพการท่องเที่ยวที่ไทยมีอยู่มากมาย และการจัดการการบิน - สนามบิน - การอำนวยความสะดวกด่านตรวจคนเข้าเมือง พรรคเพื่อไทยมีผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นผู้แทนจากภาคธุรกิจ จากภาคประชาชน จึงมีความมั่นใจว่าเราคิด ทำ และขับเคลื่อนทั้งระบบได้อย่างแน่นอน

ด้าน เผ่าภูมิ โรจนสกุล ได้กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวโดยแบ่งเป็น 4 ประเด็นคือ

1. ค่าแรง 600 บาท กับปี 2570 เหมาะสมไหม และทำได้หรือไม่? ประเด็นนี้ ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศเลย ถ้าผู้นำมองประเทศไทยแค่เป็นลูกจ้างผลิตกินค่าแรงราคาถูก ก็ผลิตแต่แรงงานไร้ฝีมือ แต่ถ้าเป็นเพื่อไทย จะยกระดับการผลิตไปอีกขั้น จากผลิตตามคำสั่งเป็นการเป็นผู้สร้างนวัตกรรม จากการเกษตรตามยถากรรรม จะเป็นการเกษตรที่กำหนดราคาได้ จากเป็นบริการราคาถูก จะเป็นภาคบริการชั้นสูง คู่แข่งเราต้องไม่ใช่เวียดนาม แต่ต้องเป็นสิงคโปร์และประเทศพัฒนาแล้ว นี่คืวิสัยทัศน์ของผู้นำที่มองต่างก็จะนำไปสู่ราคาค่าแรงที่ต่าง

'อุตตม' เห็นต่าง 'เพื่อไทย' เรื่องค่าแรงขั้นต่ำ ชี้!! ควรยึดที่ประสิทธิภาพของแรงงาน เชื่อ ได้ประโยชน์ทั้งตัวแรงงานและผู้ประกอบการ

เมื่อไม่นานมานี้ นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย ได้เผยแพร่ข้อความ โดยระบุว่า...

สวัสดีครับ ช่วง 2 วันที่ผ่านมา กระแสสังคมมีการวิพากษ์วิจารณ์กรณีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอย่างกว้างขวาง ซึ่งส่วนตัวแล้วเห็นว่าประเทศไทยมีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ภายใต้ความสมดุลใน 2 ประเด็นหลัก คือ 1.ปรับเพื่อให้แรงงานสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีคุณภาพสอดคล้องกับต้นทุนค่าใช้จ่ายการใช้ชีวิตในปัจจุบัน 2.ปรับขึ้นค่าแรงต้องไม่กระทบกับผู้ประกอบการ เนื่องจากวันนี้ในภาพรวมผู้ประกอบการส่วนใหญ่โดยเฉพาะเอสเอ็มอียังไม่หายบาดเจ็บจากโควิด และเชื่อว่าจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าจะฟื้นตัว

ผมอยากเชิญทุกท่านร่วมกันคิดหาทางออกว่า การปรับค่าแรงขั้นต่ำบนพื้นฐานของความสมดุลควรทำอย่างไร ส่วนตัวเห็นว่า เราต้องใช้ระบบกำหนดค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำแบบใหม่ จากเดิมที่กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำตามพื้นที่ โดยพื้นที่ใดค่าครองชีพสูงก็ได้ค่าแรงสูง ค่าครองชีพต่ำก็ได้ค่าแรงต่ำ เปลี่ยนเป็นการกำหนดค่าแรงที่ยึดเอาประสิทธิภาพของแรงงานเป็นหลัก ซึ่งจะตอบโจทย์ความเป็นไปในสถานการณ์ปัจจุบัน และการพัฒนาประเทศในโลกอนาคตมากกว่า

วันนี้ประชากรในวัยแรงงานของไทยมีประมาณ 38 ล้านคน แบ่งเป็นภาคบริการและการค้า 18 ล้าน ภาคเกษตร 10 ล้าน และภาคการผลิตอุตสาหกรรม 10 ล้าน (สำนักงานสถิติแห่งชาติ) นับเป็นกลุ่มประชากรขนาดใหญ่ จึงควรได้รับการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ที่เหมาะสม และส่งเสริมให้เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศอย่างเต็มที่

ทั้งนี้เราควรกำหนดอัตราค่าแรงขั้นต่ำโดยแบ่งตามประเภทแรงงานแล้วยึดเอาประสิทธิภาพหรือทักษะของแรงงานเป็นตัวกำหนดอัตราค่าแรง คือ หากเป็นประเภทแรงงานเข้มข้นหรือแรงงานที่ไม่มีทักษะก็กำหนดค่าแรงอัตราหนึ่ง ที่สามารถอยู่ได้ในคุณภาพชีวิตที่ดีพอ แต่หากเป็นแรงงานที่ต้องใช้ทักษะเพิ่มก็ควรได้รับอัตราค่าแรงที่สูงกว่า ขณะเดียวกันภาครัฐก็จะต้องมีมาตรการยกระดับทักษะแรงงาน เพื่อให้แรงงานขั้นพื้นฐานสามารถยกระดับขึ้นไปขั้นที่สูงกว่า ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับของประเทศสิงคโปร์ ตัวอย่างอาชีพแม่บ้านที่นั่นหากเป็นแม่บ้านทั่วไปก็จะได้ค่าแรงราคาที่ต่ำกว่าแม่บ้านที่ทำงานสถานที่บริการหรือในสถานที่ราชการ เพราะถือว่าต้องใช้ทักษะการบริการด้วย หากทำได้เช่นนี้ก็จะเป็นการสนับสนุนให้แรงงานเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้เกิดกิจกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างแท้จริง

‘นิติพล ก้าวไกล’ ร่วม ‘ทวงคืนชายหาด’ ยืนยัน ‘กำแพงกันคลื่น’ ต้องทำ EIA

คืนวานนี้ (7 ธ.ค.65) นิติพล ผิวเหมาะ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ สัดส่วนสิ่งแวดล้อม พรรคก้าวไกล เดินทางไปร่วมให้กำลังใจ พร้อมรับฟังข้อเรียกร้อง #ทวงคืนชายหาด จากกลุ่ม Beach for life เเละเครือข่ายประชาชนทวงคืนชายหาด ที่เคลื่อนขบวนจากหน้าองค์การสหประชาชาติเพื่อมาปักหลักชุมนุมบริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ  

นิติพล กล่าวว่า เรื่องชายหาดที่หายไปเพราะโครงการสร้างกำแพงกันคลื่นของกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ไม่ใช่แค่เรื่องของพี่น้องประชาชนในบางพื้นที่เท่านั้น แต่เป็นเรื่องของพวกเราทุกคนที่กำลังสูญเสียทรัพยากรอันมีค่า เพราะชายหาดเป็นทั้งระบบนิเวศของธรรมชาติและวิถีชีวิตของผู้คน ตนจึงอยากเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกคนรวมถึงชาวกรุงเทพ มาร่วมกันเรียกร้องหลักการที่ถูกต้องในการดูแลชายหาดไม่ให้ถูกทำลายไปเพียงเพราะความต้องการใช้งบประมาณมาก ๆ จากโครงการใหญ่ ๆ โดยไม่สนใจผลกระทบที่ตามมา ซึ่งโครงการเหล่านี้มักอ้างถึงความจำเป็น ยกเฉพาะข้อมูลวิชาการฝั่งตัวเองทั้งที่ยังมีข้อโต้แย้งในหมู่นักวิชาการ และที่สำคัญคือการไม่ยอมทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม EIA (Environmental Impact Assessment ) ด้วยการอ้างถึงความเร่งด่วน

“กำแพงกันคลื่นเป็นเหมือนโรคระบาดของชายหาดไทย หลังจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อ้างถึงความจำเป็นเร่งด่วนของท้องถิ่นและหน่วยงานต่าง ๆ ที่ต้องแก้ไขปัญหาให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรง จึงยกเว้นให้การสร้างกำแพงกันคลื่นไม่ต้องทำ EIA ในปี 2556 เป็นต้นมา แต่ในทางปฏิบัติดูเหมือนว่า เห็นหาดตรงไหนว่าง หาดตรงไหนยาวก็ทำ โดยไม่สนว่าพื้นที่นั้นมีปัญหาหรือไม่ เพราะเป็นช่องให้ใช้เงินได้ง่าย ๆเหมือนเป็นขนมหวานของกรมโยธาฯ เป็นตัวอย่างของเอาปัญหาของพื้นที่เร่งด่วนมาใช้เป็นข้ออ้างแบบหว่านแหในการใช้งบประมาณโดยไม่ดูตามบริบทจริง ซึ่งจะอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นรอยโหว่นี้ไม่ได้ เพราะในสภาผู้แทนราษฎรเคยมีการอภิปรายเพื่อชี้ให้เห็นปัญหานี้หลายครั้ง พวกท่านที่อยู่ในรัฐบาลจึงรับรู้และรับทราบรูโหว่ที่เกิดขึ้นนี้เป็นอย่างดี”

นิติพล กล่าวต่อไปว่า ข้อเรียกร้องของพี่น้องประชาชนในครั้งนี้ คือขอให้มีมติคณะรัฐมนตรีใน 3 เรื่องได้แก่ 1. ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี ที่ให้อำนาจกรมโยธาธิการและผังเมือง รับผิดชอบโครงการกำแพงกันคลื่น  2. กำแพงกันคลื่นกลับมาทำ EIA และ 3. ฟื้นฟูชายหาดที่เสียหายจากกำแพงกันคลื่น  ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกินเลยและต้องมีการพิจารณาอย่างเร่งด่วน 

“เดิมทีการยกเว้นการทำ EIA เพื่อเปิดทางให้ท้องถิ่นหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถแก้ไขปัญหาทะเลกัดเซาะชายฝั่งได้อย่างรวดเร็วเป็นหลักการที่พอรับฟังได้ แต่ไม่ใช่จะยกเว้นกันตลอดกาลโดยเฉพาะเมื่อเห็นความไม่ปกติเกิดขึ้น เพราะ EIA คือหลักประกันต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ว่าจะไม่มีผลกระทบเกิดขึ้นจากโครงการที่ใส่เข้าไปในพื้นที่ หรือหากมีก็จะต้องได้รับการป้องกันเเก้ไข พูดง่าย ๆ ก็คือต้องมีผู้รับผิดชอบ นอกจากนี้ กระบวนการ EIA ยังเป็นส่วนสำคัญในการทำให้เกิดกลไกรับฟังความเห็นและข้อกังวลต่าง ๆ ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การตัดออกไปจึงเท่ากับการยัดเยียดโครงการที่พื้นที่อาจไม่ต้องการก็ได้โดยปล่อยผลกระทบไว้กับคนที่อยู่ตรงนั้นรับกรรมและประเทศก็สูญเสียงบประมาณมหาศาลไปกับโครงการไร้ประโยชน์”

นิติพล ยังได้ชี้ให้เห็นว่า ภายหลังการยกเว้นการทำ EIA โรคระบาดกำแพงกันคลื่นก็ติดเชื้อไปทั่วและรุนแรงมากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญตั้งแต่หลังรัฐประหารเป็นต้นมา โดย กรมโยธาฯ อยู่ภายใต้การดูแลของ หนึ่งใน 3 ป.ที่เงียบที่สุด แต่ดูเหมือนจะอิ่มที่สุดจากโครงการต่างๆของกระทรวง นั่นคือ พล.อ.อุนพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 

“เราต้องตั้งคำถามให้ชัดว่า เรื่องนี้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าหรือตำน้ำพริกละลายทะเลไม่ เพราะการทำโครงการกำแพงกันคลื่นใช้งบประมาณที่สูงขึ้นอย่างมากจาก 10 ล้านบาท/กิโลเมตร ในปี 2534 เพิ่มเป็น 117 ล้านบาท/กิโลเมตร ในปี 2561 ซึ่งเราพบว่าตั้งแต่หลังปี 2561 เป็นต้นมา การสร้างกำแพงกันคลื่นเกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในแบบอัตราเร่ง ดังนั้น เรื่องนี้มองจากนอกโลกก็เห็นชัดว่า การยกเว้นการทำ EIA เป็นการเปิดช่องให้ใช้งบประมาณอย่างไม่ปกติ คำถามนี้จึงต้องย้อนกลับไปยัง วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้วยว่า ท่านไม่สงสัยเลยหรือว่าโครงการเหล่านี้กำลังแลกมาด้วยความสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ และท่านมีหน้าที่จะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดมัน หรือพอเห็นว่าเป็นหน่วยงานในการดูแลของ 3 ป. ก็ไม่แตะต้อง เกรงใจสุด ๆ ไม่มีท่าทีคึกคักกล้าหาญเหมือนตอนเอากฎหมายไปไล่ประชาชนออกจากป่าทั้งที่การพิสูจน์สิทธิต่างๆยังไม่ชัดเจน แต่พอกับผู้มีอำนาจ ความกล้าหาญในการพิทักษ์รักษาสิ่งแวดล้อมหายไปไหน หรือชายหาดไม่ใช่สิ่งแวดล้อมในนิยามของท่าน 

'ทิพานัน' ซัด 'เพื่อไทย' หยุดวาทกรรมเศรษฐกิจไม่ดี แนะหยุดนโยบายขายฝันแค่ไหน ซ้ำรอยอดีต 'พ่อ-อา'

(8 ธ.ค. 65) น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึง พล.อ.ประยุทธ์ ว่าควรจะชัดเจนเรื่องการแก้ปัญหาของประชาชนมากกว่าและควรชัดเจนในเรื่องที่ควรจะชัดเจน น.ส. แพทองธาร ต่างหากที่ต้องชัดเจนว่า การเข้ามาการเมืองเพื่อพาพ่อกลับบ้าน หรือเพื่อประชาชน เพราะสิ่งที่สังคมสังสัยคือมาเพื่อประโยชน์ของครอบครัวตนเอง ต่างจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ชัดเจนมาโดยตลอดว่าทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและคนไทยทุกคน ไม่เคยเอาประชาชนมาเป็นหมากในเกมการเมือง ดังที่หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยมองการทำงานเพื่อบ้านเมืองเป็นแค่เกมแย่งชิงอำนาจการเมืองเท่านั้น

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ต้องขอชี้แจงให้ประชาชนรับทราบว่า ความสำเร็จของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ในด้านการพัฒนาและยกดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้นต่อเนื่องย่างยั่งยืนไม่ฉาบฉวยจนเป็นที่ประจักษ์จาก UN โดยโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ได้จัดประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีการพัฒนามนุษย์ระดับ 'สูงมาก' (Very High) และต่อเนื่องมา 3 ปี ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา ซึ่งต่างจากปี 2554-2557 อยู่ในระดับสูง (High)  และระหว่างปี 2544-2549 อยู่ในระดับ ปานกลาง เท่านั้น 

รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์  ได้นำพาชาติฝ่าวิกฤตโควิด 19 มาตั้งแต่ช่วง 2562 ที่ทั่วโลกประสบปัญหากันอย่างหนัก รัฐบาลตระหนักถึงการประคองเศรษฐกิจไปพร้อมกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้สูญเสียน้อยที่สุด ซึ่งก็ผ่านพ้นมาด้วยดีจนได้รับรางวัล United Nations Public Service Awards (UNPSA) ประจำปี ค.ศ. 2021 ณ เมืองดูไบ โดยเป็นรางวัลชนะเลิศจากผลงานหัวข้อ 'Intelligent and Sustainable Public Health Emergency System in Thailand' โดยรางวัล UNPSA เป็นรางวัลเชิดชูเกียรติระดับนานาชาติที่สหประชาชาติมอบให้องค์กรระดับประเทศหรือท้องถิ่นที่มีผลการดำเนินงานภาครัฐที่เป็นเลิศ  

จะเห็นได้ว่า หลังได้รับการเลือกตั้งเพียงไม่กี่เดือน วิกฤตโควิด19 ได้กระทบทุกประเทศทั่วโลก ในช่วงปี 2562-2564 จึงเป็นความท้าทายอย่างหนักที่จะทำให้ภาคธุรกิจเสียหายน้อยที่สุด รัฐบาลจึงมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและใช้ยาแรงเพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวให้เร็วที่สุด จึงมีโครงการกระตุ้นการใช้จ่ายในระดับครัวเรือน เช่น เราเที่ยวด้วยกัน คนละครึ่ง บัตรสวัสดิการฯซื้อของร้านธงฟ้า รวมถึงมาตรการสนับสนุนแหล่งเงินทุนให้กับผู้ประกอบการ เช่น โครงการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย มาตรการเลื่อนเวลาการชำระภาษีเงินได้นิติบุคคล มาตรการเลื่อนเวลาการยื่นแบบแสดงรายการ นำส่ง และชำระภาษี มาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ มาตรการผ่อนปรนหลักเกณฑ์การ จำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้สำหรับหนี้ที่เจ้าหนี้ปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ รวมไปถึงมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านแรงงาน เรารักกัน ซึ่งมาตรการเหล่านี้สามารถพยุงเศรษฐกิจให้รอดพ้นวิกฤตมาได้ 

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ในปี 2565 เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง โดยรัฐบาลมุ่งผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ที่สุดเพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ เช่น สนามบิน รถไฟความเร็วสูงทั่วประเทศ ถนนมอเตอร์เวย์ไปยังทุกภาค ขนส่งรถไฟฟ้า รวมถึงเศรษฐกิจ EEC ที่เป็นเศรษฐกิจใหม่ที่ขณะนี้เติบโตต่อเนื่อง ในส่วนภาคการส่งออกอุตสาหกรรมยานยนต์ก็มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ในภาคอสังหาริมทรัพย์ เช่นบ้านจัดสรร คอนโด ก็เติมโตมีกำไรทุกไตรมาส ที่สำคัญภาคการท่องเที่ยวก็มีอนาคตสดใสเช่น ในปี 2565 นี้ จะมีนักท่องเที่ยวทะลุ 10 คนเข้ามาในไทย  

“ขณะเดียวกันในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังดีขึ้นนี้ รัฐบาลไม่รอช้าต่อพี่น้องแรงงานทุกคน จึงมีมติเมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2565 ขึ้นค่าแรง 354 - 328 บาท ที่มาจากการหารืออย่างรอบคอบทั้ง 3 ฝ่ายคือ นายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐ ซึ่งรัฐบาลเชื่อว่าหากเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ดีขึ้นเร็วขึ้น ประเทศชาติสงบ ไม่มีอะไรมาทำให้สะดุด ก็จะนำข้อมูลหารือให้รอบด้านทั้ง 3 ฝ่าย เพื่อขึ้นค่าแรงให้กับพี่น้องแรงงานได้อีกในไม่ช้านี้แน่นอน” น.ส. ทิพานัน กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top