Saturday, 28 June 2025
PoliticsQUIZ

"ณัฐชา" อัด "กองทัพบก" ต้องกราดยิงอีกศพ จึงจะปฏิรูปกองทัพได้สำเร็จ ชี้ หน่วยงานที่ใช้งบสูงสุดของประเทศ ควรมีความรับผิดชอบต่อชีวิตปชช.มากกว่านี้

นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์  ส.ส.กทม. ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่มีผู้ก่อเหตุกราดยิงผู้ป่วยในรพ.สนามภายในสถาบันธัญญารักษ์ ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี และในร้านสะดวกซื้อ ซึ่งเป็นอดีตพลอาสาฯ หน่วยรบพิเศษ กองพันจู่โจม โดยคนร้ายเปิดเผยว่าถูกผู้บังคับบัญชาและรุ่นพี่ในหน่วยรบพิเศษทำร้ายร่างกายและให้ร้ายใส่ความตนเอง และสาเหตุที่เข้าไปในโรงพยาบาลสนามดังกล่าว เนื่องจากเคยมีเรื่องยาเสพติดและอ้างว่ามีอดีตผู้บังคับบัญชาเกี่ยวข้องด้วย ว่า ตนนึกถึงเหตุการณ์กราดยิงในห้างดัง ที่ จ.นครราชสีมา เมื่อปีแล้ว ปัญหาการกดขี่จากผู้บังคับบัญชาที่กระทำต่อพลหารไม่เคยหายไป และเกิดขึ้นบ่อยจนเป็นที่เข้าใจตรงกันว่านี่คือวัฒนธรรมของกองทัพไทย วัฒนธรรมที่กดผู้อื่นให้ด้อยค่าเพื่อสนองตัณหาของความยิ่งใหญ่ในตำแหน่งของตน 

"ผมขอถามไปยังผู้บัญชาการทหารบก กองทัพไทยจะปล่อยให้เกิดเหตุลักษณะนี้อีกกี่ครั้งจึงจะมีระบบป้องกันที่ดี มีระบบการดูแลสวัสดิภาพกำลังพล และใส่ใจความปลอดภัยของประชาชนเสียที ข้อร้องว่าอย่าอ้างว่าผู้ก่อเหตุเป็นเพียงผู้มีปัญหาทางจิต หรือเป็นกำลังพลที่ปลดไปแล้วไม่เกี่ยวข้องกับกองทัพ หน่วยงานที่ใช้งบประมาณสูงที่สุดของประเทศนี้ควรมีความรับผิดชอบต่อชีวิตประชาชนให้มากกว่านี้ ผมในฐานะอดีตพลทหารที่เชื่ออย่างสนิทใจว่าความกดดันภายใต้จิตใจของผู้ก่อเหตุมีต้นเหตุจากกองทัพ จึงขอเรียกร้องให้กองทัพและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมทำการสืบสวนสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด และอย่าปฏิบัติต่อผู้ก่อเหตุเป็นเพียงผู้ก่อเหตุหรือคนร้ายที่ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายเท่านั้น เพราะไม่เช่นนั้นแล้วประเทศไทยก็ไม่สามารถขยับไปไหนได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ หวังว่ากองทัพจะนำข้อผิดพลาดในอดีตไปปรับปรุงแก้ไขในเชิงระบบ เพื่อให้ทั้งกำลังพลและประชาชนมีความปลอดภัย" นายณัฐชา กล่าว

นายณัฐชา กล่าวอีกว่า ข้อเสนอทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อเสนอภาพใหญ่ในการปฏิรูปกองทัพที่พรรคก้าวไกลเสนอมาโดยตลอด เพื่อให้กองทัพเป็นกองทัพที่ทันสมัย กำลังพลมีศักยภาพ สร้างความเป็นธรรมในหน่วยงาน ปราศจากการเอารัดเอาเปรียบและผลประโยชน์ที่มาจากสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ให้กองทัพเป็นกองทัพมืออาชีพ อยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือนประชาธิปไตย เคารพสิทธิมนุษยชนและส่งเสริมความเป็นธรรม ความเสมอภาคในสังคม ให้เป็นกองทัพของประชาชนที่แท้จริง 

"ถึงเวลาที่ผมจะขอทวงถามสัญญาที่ผู้นำกองทัพได้ให้ไว้หลังเหตุกราดยิงโคราชในการปฏิรูปกองทัพ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ไม่เคยเกิดขึ้นจริงและไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด ทั้งการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ปัดตกร่างกฎหมายยกเลิกเกณฑ์ทหาร รวมทั้งคำสัญญาที่ล้มเหลวของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีตผู้บัญชาการกองทัพบก ในการยกเลิกกองทัพพาณิชย์ ปฏิรูประบบผลประโยชน์ในกองทัพ จะต้องเกิดเหตุกราดยิงอีกกี่ครั้ง ประชาชนสูญเสียอีกกี่ศพ ถึงจะปฏิรูปกองทัพได้สำเร็จ" นายณัฐชา กล่าว 

วิเคราะห์ ‘พลังประชารัฐ’ แก้รัฐธรรมนูญ ผลลัพธ์ ‘เพื่อไทย’ อาจชนะถล่มทลาย

ผลลัพธ์จากการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม รวม 13 ฉบับ ที่เกิดขึ้นตลอด 2 วัน (วันที่ 23-24 มิ.ย. 2564) ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ‘ร่วงเกือบหมด’ โดยเหลือรอดเพียงวาระแรกฉบับเดียว ซึ่งเป็นบทแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 83, 91 (แก้ระบบเลือกตั้ง ส.ส. ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ) ที่ถูกเสนอโดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กับคณะ ที่เรียกว่า ‘ร่างที่ 13’ และได้รับความเห็นชอบด้วยคะแนนเสียง 552 ไม่เห็นชอบ 24 งดออกเสียง 130 และไม่ลงคะแนนเสียง 27

แม้จะผ่านแค่เพียงร่างเดียว แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นประเด็นให้ต้องขยายกันต่อ เพราะบ้างก็อาจจะมองว่าเกมของพลังประชารัฐกับการแก้ระบบเลือกตั้ง ส.ส. ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบนั้น จะเป็นการชิงความได้เปรียบให้พรรคกลับมาได้อย่างท่วมท้น หากมีการการเลือกตั้งหนหน้า จากข้อได้เปรียบที่ยังเป็นรัฐบาล สามารถกำหนดทิศทาง หาจังหวะในการยุบสภาหรือเลือกตั้งใหม่ในช่วงที่มีความพร้อม และคะแนนนิยมดี ภายใต้ฐานเสียงที่ต้องยอมรับว่า พลังประชารัฐ ยิ่งทวีฐานได้แน่นขึ้น ในจังหวะที่พรรคต่างๆ เสียงเบาลง ยิ่งมีนโยบายต่างๆ ที่นำเสนอออกมา แม้จะมีถูกใจบ้างหรือไม่ถูกใจบ้างผสมโรงด้วยแล้ว คงต้องยอมรับว่าชื่อ พลังประชารัฐ น่าจะเป็นแค่ทางเลือกเดียว เหมือน ‘ไทยรักไทย’ ในยุคหนึ่งกันเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม หลังจากร่างฉบับดังกล่าวได้ผ่านการเห็นชอบ ด้าน ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ สาขาวิชา Business Analytics and Intelligence, สาขาวิชา วิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ก็ได้ออกมาให้ทรรศนะที่น่าคิดเกี่ยวกับสถานการณ์ที่อาจจะไม่เป็นไปตามหวังของพลังประชารัฐและประชาธิปัตย์ว่า…

ผมขอทำนายว่าทั้ง พลังประชารัฐ และ ประชาธิปัตย์ จะพ่ายแพ้ พรรคเพื่อไทย เพราะกติกานี้ที่แก้กลับไปเหมือนรัฐธรรมนูญปี 40 ซึ่งเพื่อไทยเก่งกว่า เจนเวทีกว่า ทำไมจึงได้หลงเชื่อว่ากติกาที่ตนพ่ายแพ้ยับเยินมาแล้วจะทำให้ตนชนะได้ เพราะ Albert Einstein ได้กล่าวไว้ว่า “Insanity is doing the same thing over and over and expecting different results. ความโง่เง่าบัดซบคือการทำเช่นเดิมและคาดหวังผลที่แตกต่างไป

ผศ.ดร.อานนท์ เปรียบเทียบเหตุการณ์ดังกล่าวกับหนังจีนกำลังภายในเรื่องดาบมังกรหยก ซึ่งช่วงหนึ่ง ‘เตี่ยชุ่ยซัว’ บิดาของ ‘เตียบ่อกี้’ มีเหตุต้องประลองฝีมือกับราชสีห์ขนทอง ‘เจี่ยซุ่น’ 1 ใน 4 ผู้คุมกฎของนิกายเม้งก่าอันเป็นผู้อาวุโสระดับต้นๆ ในยุทธภพและมีฝีมือที่ยอดเยี่ยมไร้เทียมทาน

ราชสีห์ขนทองมีฝีมือสูงส่ง แต่ก็มีความทะนงตนสูงอย่างมาก ‘เจี่ยซุ่น’ จึงถึงขนาดกำหนดแต้มต่อยอมให้ ‘เตี่ยชุ่ยซัว’ กำหนดกติกาในการแข่งขันประลองได้ตามที่ต้องการ

‘เตี่ยชุ่ยซัว’ จึงได้กำหนดกติกาที่ทำให้ผู้มีฝีมือยอดเยี่ยมในยุทธภพระดับต้นๆ อย่างเจี่ยซุ่น ต้องยอมพ่ายแพ้โดยที่ยังไม่ได้ประลองแต่อย่างใด โดย ‘เตี่ยชุ่ยซัว’ ขอประลองแข่งขันในการใช้กำลังภายในจารึกอักษรด้วยกระบี่ลงบนแผ่นหินบนหน้าผา ซึ่ง ‘เตี่ยชุ่ยซัว’ นั้นทำได้ดีมาก เนื่องจากเป็นผู้ที่สนใจใฝ่หาความรู้ทั้งด้านบู๊และด้านบุ๋นแบบผสมผสาน

พูดง่ายๆ ก็คือ ‘เตี่ยชุ่ยซัว’ ทราบดีว่าหากจะต้องประลองในวิชาที่ใช้แต่ฝ่ายบู๊อย่างเดียวโดยปราศจากสายบุ๋นนั้น ตนเองย่อมไม่มีทางต่อสู้กับราชสีห์ขนทองได้เลย

>> การกำหนดกติกาในการแข่งขันจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก!!

เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ราชสีห์ขนทองจะมีฝีมือสูงส่งปานใดก็ตาม แต่ก็ย่อมมีจุดอ่อนที่ตนเองไม่ถนัด ผนวกกับความทะนงในความเก่งกล้าสามารถของตนเอง ถึงขนาดที่ยอมเปิดโอกาสให้คู่ประลองแข่งขันกำหนดกติกาได้ตามที่ใจปรารถนา เพราะเชื่อมั่นมากเกินไปว่าตนเองไม่มีทางพ่ายแพ้

ฉะนั้นผู้ที่มีปัญญาในการทำศึกนั้น หาได้ใช้กำลังแต่ฝ่ายเดียวในการชนะศึกไม่ หากแต่จะเลือกใช้ปัญญาในการวิเคราะห์จุดอ่อนของคู่แข่ง แล้วนำจุดอ่อนเหล่านั้นมาแปรผันเป็นกติกาในการประลองเพื่อให้ตนเองนั้นชนะได้อย่างง่ายดาย โดยเลือกประลองในสิ่งที่คู่แข่งนั้นมีจุดอ่อนอย่างไม่น่าเชื่อ

ย้อนกลับมาที่เรื่องของความพยายามในการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ 2560 โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลง 2 ประการคือ...

>> ประเด็นแรก ต้องการมีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ จากเดิมที่มีบัตรเลือกตั้งใบเดียวหมายความว่าประชาชนสามารถใช้สิทธิ์เลือกตั้งได้ทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อแยกออกจากกัน ซึ่งแน่นอนว่าวิธีการนี้ จะมีคะแนนจำนวนหนึ่ง ซึ่งถูกทิ้งน้ำและไม่ได้เป็นการเลือกตั้งในระบบที่เรียกว่าปันส่วนผสมอีกต่อไป

>> ประเด็นที่สอง คือ การลดจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อจาก 150 คนลงเป็น 100 คนและเพิ่มจำนวน ส.ส.เขตจาก 350 คนเป็น 400 คน

กติกาทั้งสองนี้สำคัญมาก เพราะหากลองตั้งข้อสังเกตดูแล้ว ต่อให้ใช้กติกาการเลือกตั้งแบบรัฐธรรมนูญ 2560 ก็ใช่ว่าพรรคพลังประชารัฐจะชนะเลือกตั้งได้แบบขาดลอย หากแต่การที่พลังประชารัฐสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ มาจากการปัดเศษในการนับคะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งอาจจะเป็นที่กังขาว่า กกต. ใช้วิจารณญาณอย่างไรในการตีความวิธีการปัดเศษดังกล่าว จนสามารถตั้งรัฐบาลได้สำเร็จและอ้างว่าได้ Popular Vote สูงที่สุด

ขณะที่ไม่ได้คำนึงถึงความเป็นจริงที่ว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทยนั้นส่งลงสมัครน้อยมาก เพราะหลีกทางให้ผู้สมัคร ส.ส.พรรคไทยรักษาชาติ แต่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคไทยรักษาชาติมีอันเป็นไปจากการถูกยุบพรรคการเมืองไปเสียก่อนไม่เช่นนั้นหากรวมจำนวน ส.ส.ที่พรรคไทยรักษาชาติไม่ถูกยุบ ก็อาจจะทำให้พรรคเพื่อไทยและไทยรักษาชาติรวมตัวกันได้คะแนนเป็นที่ 1 ก็ได้

ยิ่งไปกว่านั้นภายหลังจากพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบและเกิดการย้ายข้างจำนวนมากมายเรียกว่ามี ‘งูเห่าสีส้ม’ และงูเห่าอีกหลายสีย้ายเข้าไปอยู่ในพรรคการเมือง อื่นๆ เช่น พรรคการเมืองแถวอีสานใต้ แต่ทั้งหมดทั้งปวงสามารถกล่าวได้ว่าพรรคพลังประชารัฐไม่ได้ชนะเลือกตั้งในกติกาการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญพุทธศักราช 2560 แต่อย่างใด

ฉะนั้น แม้ว่ารัฐธรรมนูญพุทธศักราช 2560 จะกำหนดกติกาการเลือกตั้งที่น่าจะเอื้อต่อชัยชนะของพรรคพลังประชารัฐอยู่พอสมควร โดยกติกาดังกล่าว ได้แก่ การมีบัตรเลือกตั้งใบเดียวและมีจำนวน ส.ส.เขตเพียง 350 คนและมี ส.ส.บัญชีรายชื่อ 150 คน ตลอดจนการที่สมาชิกวุฒิสภาสามารถลงคะแนนเสียงเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีได้อีกจำนวน 250 เสียง ซึ่งเป็นกติกาที่เอื้อต่อชัยชนะในการเลือกตั้งและการเข้าสู่อำนาจรัฐของพรรคพลังประชารัฐอย่างเต็มที่ แต่ก็หาใช่ว่าพรรคพลังประชารัฐจะชนะขาดลอยด้วยกติกาที่ตนเองเป็นผู้กำหนดไว้แต่อย่างใด

กลับกันการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ‘พรรคพลังประชารัฐ’ กลับนำเสนอร่างรัฐธรรมนูญที่มีกติกาการเข้าสู่อำนาจรัฐหรือกติกาในการเลือกตั้งเฉกเช่นรัฐธรรมนูญในปี 2540 หรือมีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบและมีจำนวน ส.ส.เขตถึง 400 คนและ ส.ส.บัญชีรายชื่อเพียง 100 คน โดยเป็นกติกาที่เอื้อให้เกิดพรรคการเมืองใหญ่และเกิดการแบ่งขั้วทางการเมืองหรือที่เราเรียกกันในทางวิชาการว่า Political Polarization ซึ่งจะทำให้ ‘พรรคเล็กพรรคน้อย’ หรือ ‘พรรคปัดเศษ’ ไม่มีโอกาสได้เกิด และก็ไม่ใช่การเลือกตั้งในระบบปันส่วนผสมอีกต่อไป พูดง่ายๆ คือ เป็นการเอาคะแนนเล็กคะแนนน้อยนั้นเททิ้งน้ำไปให้หมด

ฉะนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากว่าเหตุใดพรรคพลังประชารัฐ ถึงเสนอร่างรัฐธรรมนูญกลับไปเป็นกติกาการเลือกตั้งและการเข้าสู่อำนาจรัฐเหมือนรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งมีข้อพิสูจน์แล้วว่าระบอบทักษิณจะชนะการเลือกตั้งอย่างขาดลอย และเข้ามาคุมอำนาจรัฐอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จนอาจจะเกิดเผด็จการรัฐสภาอีกรอบก็เป็นได้

พูดกันตามตรงรัฐธรรมนูญ 2560 แม้จะเอื้ออำนวยให้พรรคพลังประชารัฐเข้าสู่อำนาจรัฐอย่างได้เปรียบพรรคการเมืองฝ่ายค้านมากเพียงใดก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้พรรคพลังประชารัฐกลายเป็นเผด็จการรัฐสภาแต่อย่างใดการลงคะแนนมติต่างๆ ต้องใช้กำลังและการล็อบบี้อย่างหนัก

น่าสงสัยว่าพรรคพลังประชารัฐเอาความมั่นใจและความทะนงองอาจหรือความประมาทเลินเล่อใดมาตัดสินและคิดว่าการกำหนดกติกาการเลือกตั้งแบบรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ทักษิณชินวัตรหรือระบอบทักษิณเคยเอาชนะมาได้อย่างถล่มทลายนั้น จะทำให้ตนเองชนะหรือเข้าสู่อำนาจรัฐได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดสมบูรณ์แบบเช่นเดียวกันกับที่ระบอบทักษิณได้เคยกระทำมา

การที่พรรคพลังประชารัฐเป็นผู้กุมอำนาจรัฐและอาจจะมีทุนเพียงพอ เรียกว่าอาจจะมีทั้งกระสุนเงินและกระสุนปืนในการเลือกตั้ง เลือกวิธีการนี้ อาจจะเป็นเหตุให้พรรคพลังประชารัฐประมาทเลินเล่อหรือทะนงองอาจในตนมากเกินไปหรือไม่ เปรียบเหมือนกับ ‘ราชสีห์ขนทอง’ ที่หันไปเลือกกติกาศัตรูอย่าง ‘เตียชุ่ยซัว’ และปราชัย ทั้งๆ ที่ตนเองได้เปรียบกว่าแทบทุกประการ

พรรคพลังประชารัฐไม่แปลกใจบ้างเลยหรือว่า เหตุใดศัตรูในทางการเมืองของตนหรืออาจจะไม่ใช่ศัตรูแล้ว จึงหันมาร่วมมือและต้องการกำหนดกติกาแบบเดียวกัน โดยที่เห็นดีเห็นงามด้วย แสดงให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยคิดว่าตนเองจะได้เปรียบในการเลือกตั้งและเข้าสู่อำนาจรัฐได้ง่ายหากเรื่องตั้งด้วยกติกาการเลือกตั้งเช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญในปี 2540 ที่พรรคพลังประชารัฐกำลังจะแก้ไขให้เป็นไปตามนี้

>> การลงไปเล่นในเกมที่เป็นกติกาหรือพื้นที่ที่เขาชำนาญกว่านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มีโอกาสพ่ายแพ้สูงมาก!!

หากมีการเลือกตั้งจริงแล้วด้วยกติกาซึ่งเป็นการเลือกตั้งมากถึง 400 เขตเลือกตั้ง ที่เขตเลือกตั้งมีขนาดเล็กลงไปมากและเป็นเขตเลือกตั้ง 1 คน 1 เขตที่เลือกส.ส.ได้เพียง 1 คนก็จะทำให้อิทธิพลทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นระบบหัวคะแนนหรือการจัดตั้ง ตลอดจนการใช้กระสุนเงินหรือการซื้อเสียงเลือกตั้งสามารถทำได้โดยง่ายขึ้น

ผมไม่คิดว่าพรรคพลังประชารัฐจะมีฝีมือและความสามารถในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งในเขตเลือกตั้ง 400 เขตได้เก่งเท่ากับพรรคเพื่อไทย เพราะพรรคเพื่อไทยนั้นมีระบบหัวคะแนนที่แน่นหนามากและดำเนินการต่อเนื่องมาโดยตลอดมีฐานเสียงที่มั่นคงและมีลูกค้าขาประจำที่มีความรักต่อพรรคเพื่อไทยและทักษิณไม่เสื่อมคลาย

ด้วยการกำหนดกติกาที่เอื้อกับศัตรูเช่นนี้ อาจจะนำไปสู่ความพ่ายแพ้ของพรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นและระบบทักษิณก็จะกลับคืนมาครอบงำปกครองประเทศไทยอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดสมบูรณ์

 

 

อ้างอิง: https://mgronline.com/daily/detail/9640000061302


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘พรรคกล้า’ ชี้สถานการณ์โควิด-19 ‘หมอไม่พอ-เตียงไม่มี’ ขอ รมว.สาธารณสุข ต้องยอมรับสถานการณ์ อย่าจมอยู่กับระบบราชการล้าหลัง ย้ำข้อเสนอ พบผู้ติดเชื้อกักตัวแยกครอบครัว ให้ยาต้านไวรัสทันที อย่าปล่อยสถานการณ์ลุกลามต้องเลือกว่าใครจะอยู่ ใครจะไป เหมือนต่างประเทศ

นายณัฐนันท์ กัลยาศิริ ทีมกฎหมาย และผู้เสนอตัวสมัครรับเลือกตั้งเขตคลองสามวา พรรคกล้า, ทพ.กันตพงศ์ ดีชัยยะ คณะทำงานด้านสาธารณสุข พรรคกล้า กล่าวถึงสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ว่า สถานการณ์น่าเป็นห่วง การแพร่ระบาดโควิด-19 สูงต่อเนื่อง ผู้ติดเชื้อใหม่ยังคงสูง 3,000-4,000 กว่าคน ผู้เสียชีวิตยังคงอยู่ที่ 30 ถึง 50 คน เสียงเรียกร้องเตียงรักษามากขึ้นเรื่อยๆ นายแพทย์จากโรงพยาบาลรามาธิบดี ยังบอกว่าสถานการณ์เตียงในกรุงเทพฯ และปริมณฑลอยู่ในขั้นวิกฤต อธิบดีกรมการแพทย์ ลดวันรักษาในโรงพยาบาลเหลือ 10 วัน หวังจะเพิ่มเตียงว่างอีก 40 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ศูนย์กล้าสู้โควิดของพรรคกล้า ได้รับแจ้งหาเตียงด่วน เมื่อวานนี้วันเดียวเกือบ 20 ราย และในพื้นที่ต่างๆ อีกหลายสิบราย เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนว่าจำนวนเตียงเพื่อเข้ารับการรักษา เข้าขั้นวิกฤตแล้วจริงๆ

"ตอนนี้เข้าสู่สถานการณ์ หมอไม่พอ เตียงไม่มี บุคลากรทางการแพทย์ 1 คน ต้องรองรับผู้ป่วย เฉลี่ยถึง 60 คน บางพื้นที่ผู้ป่วยรอ ไม่ได้เตียง จนเสียชีวิตคาบ้าน คนในครอบครัวทั้งติดเชื้อ ทั้งทุกข์ระทม ที่ต้องสูญเสียคนที่รักไป แต่กลับมีข่าวจากรัฐมนตรีสาธารณสุขว่า ไม่ได้รับการรายงานเรื่องเตียงไม่พอ เรื่องแบบนี้สะท้อนระบบราชการล้าหลัง สถานการณ์แบบนี้ ไม่ใช่จะบอกเล่าเพื่อตำหนิการทำงานของบุคคลใด แต่อยากจะสะท้อนให้รัฐบาล โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยอมรับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และหาทางแก้ไขโดยเร็ว" นายณัฐนันท์กล่าว

นายณัฐนันท์ ยังย้ำข้อเสนอของพรรคกล้า ที่พยายามบอกมากกว่า 2 สัปดาห์แล้วว่า หากพบผู้ป่วยติดเชื้อ ให้นำไปกักตัวแยกจากครอบครัวทันที เพื่อป้องกันการระบาดแบบทวีคูณภายในครอบครัว จาก 1 ไป 5 ไป 10 ไป 20 โดยรัฐบาลควรเร่งหาสถานที่กักตัวจำนวนมาก เพื่อแยกผู้ที่ทราบผลติดเชื้อออกมาเร็วที่สุด โดยใช้อาสาสมัครดูแลแทนหมอและพยาบาลไปก่อน และควรให้ยาต้านไวรัสทันทีที่เข้าหลักเกณฑ์ โดยไม่ต้องรอเข้าสู่กระบวนการรักษาในโรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลสนาม เพราะทางแก้ที่ดีที่สุดคือการได้รับการรักษาให้เร็วที่สุด แต่ทุกวันนี้ผู้ป่วยนอนรอเตียงหลายวัน ไม่ได้รับการจ่ายยาตามหลักเกณฑ์ จึงเกิดปัญหาขึ้นอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ส่วน ทพ.กันตพงศ์ ย้ำว่า มาตรการนี้จะลดการติดเชื้อทวีคูณได้ จะลดจำนวนผู้ป่วยหนักที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลได้ ลดภาระของแพทย์ พยาบาลและบุคลากรที่เกี่ยวข้องได้ จึงอยากให้ ศบค. และกระทรวงสาธารณสุข เปลี่ยนวิธีคิด เร่งปรับระบบราชการดำเนินการโดยเร็ว ให้ตอบสนองทันต่อสถานการณ์ เพื่อป้องกันการระบาดทวีคูณและนำไปสู่สถานการณ์ที่วิกฤตกว่านี้ อย่าให้สถานการณ์บานปลาย ที่ต้องเลือกว่าใครจะอยู่ใครจะไป เหมือนอิตาลีกับอินเดีย


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘บิ๊กตู่’ แถลงร่วมทีมที่ปรึกษา แพทย์ สธ. ยันไม่ประกาศเคอร์ฟิว-ไม่ล็อคดาวน์ แต่สั่งปิดแคมป์คนงาน 1 เดือน ระงับการแพร่ระบาดในกทม. และปริมณฑล พร้อมให้กระทรวงแรงงาน เยียวยา ทั้งคนไทย และต่างด้าว

เมื่อเวลา 17.10 น. วันที่ 25 มิ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว. กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมเรื่องวัคซีนและการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เพื่อพิจารณาข้อดีข้อเสียการล็อคดาวน์พื้นที่ กทม.และพื้นที่สีแดงเข้ม โดยยืนยันว่า จำเป็นต้องสั่งปิดแคมป์คนงาน 1 เดือน ระงับการแพร่ระบาดในกทม. และปริมณฑล ให้กระทรวงแรงงาน เยียวยา ทั้งคนไทย และต่างด้าว ทั้งนี้ไม่ใช้คำว่าล็อคดาวน์ เพียงแต่จำกัดการเคลื่อนย้ายไปมาข้ามจังหวัด

ขณะที่ กทม. ปริมณฑล และ 4 จังหวัดภาคใต้ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา จะมีมาตรการเฉพาะ สำหรับกิจการที่เสี่ยงติดเชื้อ ไม่ใช่ปิดทั้งหมดทุกกิจกรรม ทุกกิจการ

นายกฯ ยืนยันว่า ไม่มีประกาศเคอร์ฟิว เพียงจำกัดเวลาออกนอกเคหสถาน ขอความร่วมมือ งดเดินทางข้ามจังหวัด และจะออกรายละเอียดมาตรการ โดยขอความร่วมมือ 1 เดือน และจะประกาศบังคับใช้ในวันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน นี้

ส่วนมาตรการที่เพิ่งเปิดร้านอาหารไป ขณะนี้กำลังพิจารณาอยู่ แต่คงไม่ถึงขั้นปิด


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“เสกสลก” หนุน “ถวิล” ชี้ “นายกฯ” มาจากส.ส. ไม่ใช่เสียงส.ว. เชื่อ ส.ว.ต้องยึดปชช.

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการอภิปรายร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 13 ฉบับ ว่า นายกฯมีความจริงใจและสนับสนุนให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะแก้ไขฉบับใด และไม่ขัดข้องแก้ไข มาตรา 272 เพื่อตัดอำนาจส.ว.ที่สามารถลงมติเลือกนายกฯได้ และเห็นด้วยกรณีที่นายถวิล เปลี่ยนศรี ส.ว. ระบุว่าการเลือกนายกฯเป็นไปด้วยเสียงส.ส. ไม่ใช่ส.ว. และที่กำหนดให้เลือกนายกฯได้ เพราะที่ผ่านมาบ้านเมืองมืดมน มีกลุ่มที่อาศัยประชาธิปไตยบังหน้า โกงกิน คอร์รัปชั่น ทำบ้านเมืองเสียหาย และเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อทำลายระบบนิติรัฐ นิติธรรม

นายเสกสกล กล่าวว่า การที่ส.ว.เลือกนายกฯ เพราะพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากเสนอเข้ามา ก็ต้องเลือกคนนั้นเป็นนายกฯจะไปหักหน้าประชาชน เลือกนายกฯที่มาจากพรรคเสียงข้างน้อยได้อย่างไร และนี่คือระบบอบประชาธิปไตย 

ทั้งนี้ส.ว.ต้องมีจุดยืนในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม จะกล่าวหาว่า ส.ว.เป็นเครื่องมือของนายกฯหรือพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งไม่ได้ ผมเชื่อว่า ส.ว.ทุกคนมีอิสระในความคิดและการตัดสินใจ มีศักดิ์ศรีของตัวเอง แต่ทุกอย่างต้องฟังเสียงและความต้องการของประชาชนเป็นหลัก ไม่มีการครอบงำหรือสั่งการจากนายกฯ และนายกฯ ไม่เคยก้าวล่วงทั้งสิ้น

“บิ๊กช้าง” นั่งหัวโต๊ะถกสภากลาโหม เห็นชอบแผนปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติ แก้ปัญหาความมั่นคง พบจนท.เอี่ยวลงโทษทางวินัย-อาญาไม่มีละเว้น

ที่ศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม เป็นประธานในการประชุมสภากลาโหม ครั้งที่ 6/2564 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยภายหลังการประชุมเสร็จสิ้น พ.อ.วีรยุทธ์ น้อมศิริ ผู้ช่วยโฆษกกระทรวงกลาโหม  แถลงผลการประชุม ว่า ในการประชุมพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม มอบนโยบายหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการเหล่าทัพ โดยขอบคุณที่ได้ร่วมกันปฏิบัติภารกิจและกิจกรรมต่างๆ ของกระทรวงกลาโหมและรัฐบาล นอกจากนี้ ที่ประชุมชอบ แผนการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2564 - 2565) ของกระทรวงกลาโหม โดยให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพสนับสนุนการจัดทำแผนงานและการวิจัย และเทคโนโลยีป้องกันประเทศให้เป็นไปตามการพัฒนาดังกล่าว และเร่งรัดขับเคลื่อนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้สามารถผลิตใช้ได้เองภายในกองทัพและผลิตเชิงพาณิชย์ได้อย่างเป็นรูปธรรม สามารถแข่งขันและมีมาตรฐานที่ทัดเทียมกับต่างประเทศ 

พ.อ.วีรยุทธ์ กล่าวต่อว่า ที่ประชุมเห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านการปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติในภาพรวม ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563 - 2565) โดยให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม เหล่าทัพ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศร.ชล.) จัดทำแผนงานโครงการ พร้อมรองรับแปนงานดังกล่าว ตลอดจนพัฒนาความสามารถกระทรวงกลาโหม ในการปกป้องอธิปไตยดำรงผลประโยชน์ของชาติ รวมถึงให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม เหล่าทัพ และสำนักงานตำรวจแก่งชาติ (ตช.) บูรณาการความร่วมมือด้านความมั่นคงกับองค์กรภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน เพื่อแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง เช่น ปัญหายาเสพติด ปัญหาการค้ามนุษย์ ความไม่สงบในชายแดนใต้ และภัยพิบัติทางธรรมชาติ รวมทั้งพัฒนาระบบงานข่าวกรอง ภัยคุกคามให้พร้อมป้องกันในทุกรูปแบบ และให้กองทัพเรือกำกับดูแลการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ควบคู่ไปกับกฎหมายที่มีการปรับปรุงแก้ไขแล้วต่อผู้กระทำความผิด หากมีเจ้าหน้าที่ของรัฐมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดจะต้องถูกลงโทษทางวินัยและอาญาอย่างเด็ดขาดโดยไม่มีการละเว้น

“กลาโหม” คุมเข้มวาง 3 ขั้นตอนรับทหารใหม่ กักตัว 14 วันทั้งครูฝึก-ทหารเกณฑ์ ก่อนฉีดวัคซีน -ฝึกในสถานที่ปิด ลดโอกาสโควิดแพร่ระบาด

ที่กระทรวงกลาโหม พ.อ.วันชนะ สวัสดี รองโฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมสภากลาโหม ครั้งที่ 6/2564 ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เน้นย้ำการแก้ไขปัญหาการทุจริต โดยให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพดำเนินการป้องกันปราบปรามการทุจริตให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการดำเนินการด้านการจัดซื้อจัดจ้างต้องเป็นไปตามระเบียบ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน รวมทั้งพิจารณาการจัดกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมให้กำลังพลและครอบครัว เพื่อสร้างเครือข่ายการป้องกันและปราบการทุจริตในหน่วยงานที่กำกับของกระทรวงกลาโหม 

พ.อ.วันชนะ  กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำให้กระทรวงกลาโหมสนับสนุนรัฐบาลในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 ในการสนับสนุนศบค. และการปฏิบัติศปม. รวมถึงเตรียมความพร้อมการเปิดประเทศในวันที่ 1 ก.ค. และการเฝ้าระวังการหลบหนีเข้าเมืองตามแนวชายแดน การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามทั่วประเทศ การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย การสนับสนุนสถานที่กักกันของกรมราชทัณฑ์  การสนุบสนุนการจัดตั้งกองบัญชาการควบคุมพื้นที่การแพร่ระบาด (บับเบิ้ลแอนด์ซีล) ในแคมป์คนงานก่อสร้าง โรงงานและตลาด และพื้นที่เสี่ยงอื่นๆ เป็นต้น

พ.อ.วันชนะ กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องการเตรียมการรับทหารใหม่ที่กำลังจะเข้ามาประจำการในวันที่ 1 ก.ค.2564 โดยให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพ ดำเนินการรับทหารใหม่ที่จะเดินทางเข้ามารายงานตัว แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน คือ 1.ขั้นเตรียมการ คือ ภายหลังจากการฝึกครูและผู้ช่วยครูเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะมีการกักตัวเจ้าหน้าที่จำนวน 14 วันก่อนเริ่มทำการฝึก โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 16-30 มิ.ย.64  2.การดำเนินวิธีในการรับทหารใหม่ ซึ่งจะมีการควบคุมการรายงานตัวในสถานที่ที่ว่าการอำเภอ หรือมณฑลทหารบก 

พร้อมแยกกลุ่มทหารที่รายงานตัวออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1. ผู้ที่มีอาการและเสี่ยง 2.ไม่มีอาการแต่มีความเสี่ยง และ 3.ไม่มีอาการ ไม่มีความเสี่ยง รวมถึงในการเคลื่อนย้ายจะมีการเพิ่มรถให้มากขึ้น จำนวนเที่ยวของรถมีมากขึ้น มีการเว้นระยะห่างบนรถ ซึ่งหลังจากเสร็จสิ้นจะกักตัวเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในภารกิจดังกล่าว และ 3.การปฏิบัติการในพื้นที่ของหน่วยฝึกทหารใหม่ คือ การฝึกในลักษณะปิด (บับเบิ้ลเทรนนิ่งแอเรีย) มีทั้งการตรวจสอบ การคัดกรอง การกักตัวและมาตรการของการควบคุมในการพบปะ โดยจำกัดสถานที่ เพื่อลดการนำเชื้อเข้าสู่หน่วยฝึก และลดการกระจายเชื้อเข้าสู่หน่วยทหารและชุมชน รวมถึงเพื่อควบคุมการติดเชื้อของหน่วยฝึกในกรณีที่มีการแพร่ระบาด

พ.อ.วันชนะ กล่าวว่า สำหรับการฉีดวัคซีน มีการฉีดให้เจ้าหน้าที่หน่วยฝึกและทหารใหม่ เพื่อสร้างความมั่นใจ โดยจะฉีดหลังจากกักตัว 14 วัน ซึ่งเป็นวัคซีนที่กระทรวงสาธารณสุขจัดมาให้ประมาณวันที่ 7 ก.ค.นี้

นายอนุทิน ชาญวีรกูล กล่าวสั้นๆ เกี่ยวกับการรับมือกับสถานการณ์โควิด-19

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวสั้นๆ ก่อนเข้าหารือกับคณะที่ปรึกษาด้านสาธารณสุข เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 25 มิ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อประเมินข้อดีข้อเสียของการล็อกดาวน์พื้นที่กรุงเทพมหานครว่า โดยระบุว่า ต้องรอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ตัดสินใจ 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ทางผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ระบุว่า รับมือกับสถานการณ์ไม่ไหวแล้ว นายอนุทิน กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “ใจเย็นๆ” เท่านั้น


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

รัฐบาล ยัน "บสย." ช่วยทุกรายเข้าถึงสินเชื่อฟื้นฟูฯ 

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ตามที่รัฐบาลได้ออกพ.ร.ก.ให้การช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 (พ.ร.ก.ฟื้นฟู) มีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการทุกขนาดและในทุกประเภทธุรกิจให้เข้าถึงสภาพคล่อง โดยผู้กู้จะได้รับการคิดอัตราดอกเบี้ยจากสถาบันการเงินไม่เกิน 2% ต่อปี ในช่วง 2 ปีแรก และในช่วง 5 ปีแรกอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยต้องไม่เกิน 5% ต่อปี และเพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสแก่ผู้ประกอบการในการเข้าถึงสินเชื่อ รวมทั้งเพิ่มความเชื่อมั่นในการพิจารณาอนุมัติเงินกู้ของสถาบันการเงิน รัฐบาลได้มอบหมายให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ทำหน้าที่ผู้ค้ำประกัน ซึ่งจะค้ำประกันให้กับผู้ได้รับสินเชื่อฟื้นฟูทุกรายเต็มจำนวน ทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น ผู้ประกอบการขนาดย่อย (ไมโคร ลูกจ้างไม่เกิน 5 คน) เอสเอ็มอี ขนาดใหญ่ และบุคคลธรรมดา เป็นระยะเวลาสูงสุด 10 ปี

ภายใต้ พ.ร.ก.ฟื้นฟูฯ ตัวเลขจากธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานว่า มียอดสินเชื่อฟื้นฟูที่อนุมัติไปแล้วกว่า 5หมื่นล้านบาท เป็นผู้ประกอบการจำนวน 1.6หมื่นราย ซึ่งสถาบันการเงินจะทยอยส่งให้ บสย. ค้ำประกันทุกราย ทั้งนี้ ณ วันที่ 23 มิ.ย. 64 บสย.ทำการค้ำประกันไปแล้ว จำนวน 1.1 หมื่นราย แยกเป็น ผู้ประกอบการไมโคร  5.5พันราย ขนาดเล็กและกลาง 4.8พันราย ขนาดใหญ่ 700กว่าราย และมากไปกว่าการค้ำประกัน บสย. ยังเป็นผู้ให้คำปรึกษาทางการเงินด้วย ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการที่ประสบปัญหาทางการเงิน มีทางออกในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและทำแผนธุรกิจประกอบการขอกู้จากธนาคารอย่างมีความน่าเชื่อถือ 

ขณะเดียวกัน บสย. ยังเข้าร่วมสนับสนุนโครงการ “จับคู่กู้เงิน”  เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหาร ภัตตาคารทั่วประเทศ ให้เข้าถึงมาตรการช่วยเหลือด้านการเงินจากสถาบันการเงิน ณ วันที่ 22 มิ.ย.64 นี้ มีผู้มาติดต่อขอสินเชื่อแล้ว กว่า 11,185 ราย วงเงินขอสินเชื่อรวม 2,440 ล้านบาท เมื่อได้รับการอนุมัติจากสถาบันการเงินแล้ว บสย. จะเข้ามาช่วยค้ำประกันสินเชี่อต่อไป  ทั้งนี้ โครงการ “จับคู่กู้เงิน” ยังประกาศขยายระยะเวลาถึงวันที่ 30 มิ.ย.64 นี้  
 
“ที่ผ่านมาพบว่ามาตรการสินเชื่อซอฟท์โลนเดิม มีปัญหาตรงที่ผู้ประกอบการบางส่วนยังเข้าไม่ถึง  ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรี  พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เห็นเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนต้องแก้ไข ครม.จึงได้ออกพ.ร.ก.มาตรการฟื้นฟูฯฉบับใหม่ ที่มีการแก้ไขข้อจำกัดของ พ.ร.ก.ซอฟท์โลนเดิมในหลายประเด็น และล่าสุด นายกฯได้เชิญภาคเอกชน ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตส่าหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ร่วมหารือเพื่อรับฟังปัญหาและอุปสรรค ร่วมกันกำหนดแนวทางให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงสภาพคล่องมากขึ้น จะได้ประคองธุรกิจและกลับมาฟื้นตัวได้หลังวิกฤตโควิด-19 คลี่คลาย”

“อรรถวิชช์” หนุนนายกฯ “ไม่ปิดกรุงเทพ” วอนจัดระบบแรงงานต่างด้าว ไม่เอาผิดนายจ้างลูกจ้าง ตรวจเชิงรุก-รักษาฟรี จ่ายยาทันที กักตัวที่พัก จัดระบบส่งอาหารน้ำ ย้ำถ้าดูแลดี ป้องกันเคลื่อนย้ายออกต่างจังหวัดได้ พรรคกล้าพร้อมเป็นอาสาช่วย 

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี กล่าวถึงมาตรการปิดแคมป์คนงานก่อสร้างในกรุงเทพฯ ปริมณฑล สกัดการแพร่ระบาดโควิด-19 ว่า ต้องขอบคุณท่านนายกฯ ที่ไม่ล็อกดาวน์ ไม่ปิดกรุงเทพฯ แต่ปัญหาที่ต้องแก้ให้ตรงจุดคือ “แรงงานต่างด้าว”  กลุ่มนี้ระเบียบราชการหลายขั้นตอนกำกับอยู่ การทำผิดกติกาผิดกฎหมายยังมีอยู่มาก เมื่อเจ็บป่วย ก็เกิดการปิดบังข้อมูลที่แท้จริง จึงอยากให้ละเว้นการดำเนินคดีแรงงานต่างด้าวทั้งนายจ้างและลูกจ้างไปก่อน แล้วเร่งจัดระบบลงทะเบียนออนไลน์แรงงานต่างด้าวที่เจ็บป่วย จำกัดพื้นที่ให้กักตัวเองในที่พัก ส่งอาหาร และยาต้านไวรัสทันที เชื่อว่าถ้าแรงงานมั่นใจว่าจะได้รับการดูแลที่ดี จะป้องกันการเคลื่อนย้ายออกต่างจังหวัดได้ด้วย 

"สถานการณ์ตอนนี้หมอไม่พอเตียงไม่มี จำเป็นต้องใช้วิธีการกักแยกตัวเองในที่พัก (self-isolate) ซึ่งเป็นวิธีการที่ได้ผลในหลายประเทศ และย้ำนะครับว่า ต้องจ่ายยาทันทีเมื่อพบเชื้อ เพราะขณะนี้กว่าจะได้ยา ต้องเสียเวลาเข้าระบบนานมาก กระทรวงแรงงาน และ กทม. ต้องร่วมมือกัน การแจกอาหารน้ำดื่ม สำนักงานเขตสามารถรวมจุด มีอาสาสมัคร อสส. และจิตอาสาพร้อมช่วยเหลือเต็มที่ พรรคกล้าเราก็พร้อมเป็นอาสาช่วยท่าน พร้อมสู้ภัยโควิดนี้ด้วยกัน" นายอรรถวิชช์ กล่าว 

เลขาธิการพรรคกล้า กล่าวด้วยว่า ผ่านมาสองเดือนที่เราทำโครงการ “กล้าหาเตียง” และพบว่าสัปดาห์นี้บีบหัวใจที่สุด หาเตียงยากกว่าช่วงต้นเดือนมาก ยอดผู้ป่วยสะสมมาถึงจุดที่รัฐรับได้ไม่หมด ต้องเลือกเฉพาะเคสหนัก และเมื่อไม่รับผู้ป่วยมารักษา มากักตัว เขาเหล่านั้นก็ใช้ชีวิตปะปนกับคนทั่วไป เช้าเย็นยังต้องไปตลาดซื้อของมาทำกิน โรงพยาบาลเอกชนหลายที่ไม่รับตรวจ เพราะไม่มีเตียงให้ ไม่มีหมอพอ จึงอยากให้ ศบค. พิจารณาปัจจัยต่างๆ นี้ รวมถึงข้อเสนอของพรรคกล้า ก่อนออกรายละเอียดมาตรการที่จะบังคับใช้วันที่ 28 มิ.ย.นี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top