Saturday, 28 June 2025
PoliticsQUIZ

“ชวน” กรีด “ข้าราชการ” ยังโชคดี มีเงินเดือนประจำ ไม่เดือดร้อนเท่าประชาชน ย้ำ ต้องทำงานเพื่อบ้านเมือง อย่าท้อแท้ปัญหา พร้อมสั่งวางมาตรการเข้มงวด ป้องกันคลัสเตอร์สภา เดินหน้าประชุมต่อ

เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า มี ส.ส. สอบถามเรื่องการขอเลื่อนประชุมสภาผู้แทนราษฎรออกไป แต่ตนได้ชี้แจงว่าได้ออกระเบียบวาระไปแล้วและได้สอบข้อเท็จจริงเรื่องวุฒิสมาชิกติดโควิด-19 ว่าไม่ได้เข้าไปในห้องประชุม และได้มีมาตรการที่เข้มงวดซึ่งทำมาอย่างต่อเนื่องและได้ผลดี พร้อมทั้งทำเรื่องขออนุญาตต่อ ศบค. ในการประชุมตลอดสมัยประชุมด้วยแล้ว จึงเดินหน้าประชุมตามปกติ เว้นแต่เกิดกรณีในความไม่สะดวกจะพิจารณาอีกครั้ง

ส่วนกรณีที่สมาชิกที่อยู่ต่างจังหวัด หากมีการเคลื่อนย้ายบางจังหวัดต้องมีการกักตัว จะส่งผลกระทบหรือไม่นั้น ตนเข้าใจว่ากักตัวผู้ใช้แรงงานไม่ได้กักตัวประชาชนทั่วไป อย่างไรก็ตาม ต้องดูว่ามีปัญหาหรือไม่ เราไม่รู้ว่าประกาศของแต่ละจังหวัดเป็นอย่างไร ตนเข้าใจว่า ส.ส. ส่วนใหญ่กังวลเรื่องนี้ แต่ด้วยสถานการณ์เช่นนี้อะไรที่สามารถทำได้ก็ทำเพื่อให้งานไม่ค้าง แต่หากเป็นผลกระทบส่วนรวมก็ต้องว่ากันอีกครั้งหนึ่ง ไม่ต้องการให้สภาเป็นแหล่งผู้ติดเชื้อจึงได้เข้มงวดมาตรการมาตลอด ในวันเสาร์อาทิตย์ก็มีการทำความสะอาด

เมื่อถามถึงกรณีที่จะต้องเปิดประชุมสภาทุกสัปดาห์ จะต้องมีการประเมินเป็นรายสัปดาห์หรือไม่ นายชวน กล่าวว่า มีเจ้าหน้าที่ทางฝ่ายเลขาฯ สภาติดตามสถานการณ์ตลอดเวลา แต่เราก็ต้องร่วมมือกันช่วยลดปัญหาให้แพทย์ พยาบาล บุคลากรด่านหน้า ดังนั้น มาตรการที่เราสามารถทำได้ง่ายที่สุดคือรณรงค์ให้ประชาชนป้องกันตนเองให้มาก โดยเฉพาะการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าที่จะช่วยลดค่าใช้จ่าย จึงประสานฝ่ายบริหารรณรงค์ให้ประชาชนทำหน้ากากผ้า เพราะต้องอยู่กับโควิดอีกยาว และลดขยะที่จะเป็นปัญหามลพิษ

นอกจากนี้ นายชวนยังถามด้วยว่า ที่มีกระแสข่าวว่ามีคนอยากติดเชื้อโควิดเพื่อเอาประกันนั้น มีด้วยหรือ

เมื่อถามว่าคณะกรรมาธิการหลายคณะได้งดประชุมไปเรียบร้อยแล้ว จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของ ส.ส. หรือไม่ นายชวน กล่าวว่า หากไม่เสร็จกรรมาธิการก็สามารถขอขยายเวลาได้ ซึ่งคาดว่าจะงดไป 1-2 สัปดาห์เท่านั้น เพราะถึงอย่างไรโควิดยังอยู่อีกนาน แนวทางที่ตนแนะนำในวิธีการทำงาน เช่น ประชุมออนไลน์ หากเลื่อนไปก็จะไม่จบสิ้น

เมื่อถามถึงกรณีข้าราชการสภาฯ อึดอัดและโพสต์วิพากษ์วิจารณ์ถึงมาตรการของสภาฯ นายชวนกล่าวว่า เจ้าหน้าที่รัฐสภาส่วนใหญ่ทำงานที่บ้าน และมีมาทำงานในวันที่มีการประชุมรัฐสภาที่ผ่านมา 3 วัน ยอมรับว่าเขาเหนื่อยและตนเห็นใจ แต่ต้องพูดตรง ๆ ว่าอีกมุมหนึ่งประชาชนน่าเป็นห่วงมาก โดยเฉพาะคนไม่มีเงินเดือน คนมีเงินเดือนยังมีหลักประกัน มีแต่ข้าราชการที่ไม่มีปัญหา ดังนั้น ต้องมีส่วนร่วมทำงานให้กับบ้านเมือง ขออย่าไปท้อแท้ปัญหา เพราะคนอื่นเดือนร้อนกว่าเรา เราพยายามที่จะวางมาตรการอย่างเข้มงวดเพื่อไม่ให้รัฐสภาเกิดคลัสเตอร์ใหม่ แม้จะมีการวิพากษ์วิจารณ์ก็ต้องยอม แต่จะไม่ยอมให้มีการย่อหย่อน ลดความเข้มข้นของมาตรการ

เมื่อถามถึงข้อเสนอให้ ส.ส. ตัดเงินเดือนตัวเองเพื่อช่วยโควิดนั้น นายชวน กล่าวว่า ขอแค่ให้อย่าทุจริตคอร์รัปชันก็พอ

เมื่อถามถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าสมาชิกวุฒิภา จะไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญเกี่ยวกับบัตรเลือกตั้งขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายชวน กล่าวว่า ถือเป็นสิทธิที่สมาชิกรัฐสภาทำได้ตามสิทธิของกฎหมาย


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

คลังชง ครม. รับทราบแผนแก้หนี้สินประชาชน

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมรายงานในที่ประชุม ครม. วันที่ 29 มิ.ย.นี้ รับทราบความคืบหน้านโยบายแก้หนี้ครัวเรือน โดยในส่วนของสถาบันการเงินของรัฐได้ทำไปแล้วหลายมาตรการ เช่น ธนาคารออมสิน ได้ออกมาตรการ ยกเว้นการชำระเงินต้นและดอกเบี้ย แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โรงแรม รีสอร์ต เกสต์เฮาส์ และเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ เป็นระยะเวลา 6 เดือน ส่วนธนาคารอื่นๆ ก็กำลังวางแผนเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วเช่นกัน

ส่วนโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้หนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะออกมาภายในปลายปีนี้นั้น และยังมีผู้สนใจลงทะเบียนในโครงการน้อย จากเป้าหมาย 4 ล้านสิทธินั้น ขอให้รอดูไปก่อนเพราะขณะนี้โครงการเพิ่งจะเริ่มต้น ส่วนเรื่องการเพิ่มวงเงินในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 ให้ถึง 6,000 บาทต่อคนตามที่เอกชนเสนอนั้น ขอพิจารณาก่อนแต่ตอนนี้ยังยึดตัวเลขเดิมคือ 3,000 บาทต่อคน

ทั้งนี้ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้มอบหมายให้นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หาทางแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชนรายย่อยให้กับประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ได้แก่

1.) หนี้กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จำนวน 3.6 ล้านคน รวมถึงผู้ค้ำประกัน 2.8 ล้านคน

2.) หนี้ครู/ข้าราชการ 2.8 ล้านบัญชี

3.) หนี้เช่าซื้อรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ 27.7 ล้านบัญชี

4.) หนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล 49.9 ล้านบัญชี และ 5.ปัญหาหนี้สินอื่น ๆ ของประชาชน 51.2 ล้านบัญชี

“บิ๊กตู่” ถกด่วน ศบศ. ด่วน เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบภายหลัง หลังยกระดับควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19

ที่ตึกภักดีบดินทร์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรียกประชุมคณะกรรมการบริหารเศรษฐกิจในช่วงสถานการณ์ โควิด-19 หรือ ศบศ. เป็นการด่วนเพื่อหามาตรการเยียวยาทางเศรษฐกิจ ภายหลังมีคำสั่งยกระดับมาตรการเป็นการชั่วคราว เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดชายแดนใต้ รวมทั้งหมดรวม 10 จังหวัด จากเดิมกำหนดประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ครั้งที่ 2/2564 ผ่านระบบ VDO Conference

โดยที่ประชุม รับทราบรายงานจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ( สศช.) ภายหลังรัฐบาลประกาศยกระดับมาตรการฯโดยประเมินว่าจะมีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ 6 จังหวัด ได้แก่ กทม. นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และ 4 จังหวัดภาคใต้ รวมทั้งการพิจารณารูปแบบการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการในระบบประกันสังคม เป็นผู้ประกันตนในมาตรา 33 ซึ่งคาดว่าภาครัฐจะพิจารณาให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม 1-2 พันบาทต่อเดือน รวมถึงให้กองทุนประกันสังคมจ่ายค่าทดแทนกรณีเหตุสุดวิสัยร้อยละ 50 ในระยะเวลา 1 เดือน ขณะที่ผู้ประกอบการและนายจ้างที่ได้รับผลกระทบ คาดว่าจะเป็นรูปแบบจ่ายค่าทดแทนในสาขาที่ได้รับผลกระทบ

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ต้องจับตาโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 ที่จะเริ่มวันที่ 1 ก.ค.นี้ ว่าจะมีการปรับอย่างไรหรือไม่ หรือจะมีการพิจารณาเพิ่มวงเงินในมาตรการเราชนะ และ ม33 เรารักกัน ที่กำลังจะสิ้นสุดในวันที่ 30 มิ.ย.2564 หรือไม่

ทั้งนี้ ก่อนการประชุม พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้พูดคุยอะไรกับสื่อมวลชน ภายหลังถูกวิพากวิจารณ์อย่างหนักในการแถลงข่าวหลังประชุมทีมคณะแพทย์เมื่อวันศุกร์ที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา

นายกฯ ส่งสาร 89 ปี สถานปนาสำนักนายกฯ ย้ำความสำเร็จภารกิจอยู่ที่ร่วมมือร่วมใจด้วยหัวใจเป็นข้าราชการที่ดี เพื่อประโยชน์สุข พาปชช.ผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีสารเนื่องในโอกาสวันสถาปนาสำนักนายกรัฐมนตรี ครบรอบปีที่ 89 วันที่ 28 มิ.ย.2564 ผ่านเพจเฟซบุ๊กสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีว่า ตนขอส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานราชการ และเจ้าหน้าที่สำนักนายกรัฐมนตรีทุกคน ตลอดระยะเวลา 89 ปี สำนักนายกรัฐมนตรีมีบทบาทสำคัญในการอำนวยการการบริหารราชการแผ่นดินในทุกมิติ เชื่อมประสานส่วนราชการ ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานในภาคส่วนอื่นเพื่อขับเคลื่อนการนำนโยบายของรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติอย่างมีเอกภาพ โดยมุ่งหวังให้พี่น้องประชาชนกินดี อยู่ดีมีความสุข และมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น 

รวมทั้งพัฒนาประเทศให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมีบทบาทสำคัญในการบูรณาการภารกิจการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อให้ประเทศชาติก้าวพันผ่านวิกฤติโรคระบาดและพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ความสำเร็จในการขับเคลื่อนภารกิจของสำนักนายกรัฐมนตรีเกิดจากความร่วมมือร่วมใจของบุคลากรในทุกสังกัด ที่ปฏิบัติงานด้วยหัวใจของการเป็นข้าราชการที่ดี มีความเข้าใจในบทบาทหน้าที่และมุ่งมั่นตอบสนองความต้องการของประชาชนเป็นสำคัญ เพื่อผลักดันให้การปฏิบัติราชการสอดคล้องกับ ยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี แผนปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนโยบายรัฐบาล

ในขณะเดียวกันสำนักนายกรัฐมนตรียังเป็นต้นแบบในการยกระดับคุณภาพการบริหารจัดการของภาครัฐปรับรูปแบบการทำงานตามแนววิถีใหม่ (New Normal) เน้นการทำงานเชิงรุก เพื่อให้การอำนวยการ กำกับ ติดตาม การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปอย่างมีเอกภาพ สามารถแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน อย่างทันท่วงที และเกิดประโยชน์สุขแก่ประชาชนอย่างยั่งยืนตลอดมา

“ในโอกาสนี้ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย อีกทั้งเดซะพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ได้โปรดดลบันดาลประทานพรให้ผู้บริหารและบุคลากรในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีทุกท่าน ประสบแต่ความสุข ความสำเร็จ เจริญก้าวหน้า ็ในหน้าที่ราชการมีกำลังกายกำลังใจที่ข้มแขง สมปรารณณาทุกประการโดยทั่วกัน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าและมั่นคงสืบไป” นายกรัฐมนตรีกล่าว

"วิษณุ" ชี้ ร่างแก้ไข รธน. ฉบับปชป. เดินไปได้ เชื่อมือ บัญญัติ-ชินวรณ์-ไพบูลย์  รู้ช่องขยายหลักการระบบลต. 2 ใบ  ยัน มาตรการเข้มโควิด ไม่กระทบประชุมสภา ถกงบฯ65 ทั้งปัด ประกาศ ศบค. ลักหลับ ชี้  ปมห้ามนั่งกินในร้าน เหตุ ต้องถอดหน้ากาก ถือว่าอันตราย 

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาธิปัตย์ถูกวิจารณ์ว่าเนื้อหาไม่ครอบคลุมถึงการแก้ไขระบบเลือกตั้ง2 ใบ ว่า เป็นเรื่องของคณะกรรมาธิการ และส.ส.ที่จะต้องไปหาทางออกเอาเอง ปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาที่จะขัดรัฐธรรมนูญ แต่เป็นปัญหาที่อาจจะโดยตรงขีดเส้นใต้ว่าอาจจะด้วย เพราะอาจจะไม่ก็ได้ แต่ที่สงสัยคืออาจจะขัดต่อข้อบังคับ ซึ่งการขัดต่อข้อบังคับ อาจจะมีวิธีการทำอย่างอื่นได้ เช่น ข้อบังคับคือว่าจะต้องเสนอแก้ไขในหลักการอะไร เมื่อหลักการนั้น คือมาตรา 83 หรือ 91 ซึ่งไปกระทบกับมาตราอื่นเข้ามันอาจจะเกิดปัญหาที่บางคน อาจจะเห็นว่าไปกระทบกับมาตราอื่นไม่ได้ ก็คือไม่ได้เขียนไว้ แต่ในความเป็นจริงกระทบได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า หมายความว่าแก้ไขเพียง 2 มาตรา แต่ในชั้นแปรญัตติไปกระทบมาตราอื่นๆอีก 4  มาตรา ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า เชื่อว่าได้ เพราะเขาเคยทำมาแล้ว 

เมื่อถามว่า ส่วนตัวมองว่าร่างของพรรคประชาธิปปัตย์ (ปชป.) ยังไปได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ได้ และในที่สุดที่สำคัญกว่านั้นคือการทำกฎหมายลูกเพราะหลายอย่างไปเขียนรายละเอียดไว้ในกฎหมายลูก ซึ่งเป็นเทคนิคของการเขียนกฎหมายเพราะมีคนอย่างนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ซึ่งคนเหล่านี้คงคิดออก 

เมื่อถามว่า เคยมีตัวอย่างหรือไม่ ที่ขอแก้ไข 2 มาตรา แต่เอาเข้าจริงไปขยายอีก 4 มาตรา นายวิษณุ กล่าวว่า มีแต่ไม่ประทบอะไร เพราะไปเขียนในบทเฉพาะการ ซึ่งมีวิธีเขียน ซึ่งเขาเหล่านั้นเก่งกว่าตน เขาก็มีวิธีเขียน 

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในขณะเดียวกันก็อาจจะแก้ไขไม่ได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า "คือได้นั้นได้ แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็จะไม่ยอมแล้วเถียงว่าไม่ได้ แล้วก็ดึงไปศาลรัฐธรรมนูญ เลยจะเสียเวลา" 

เมื่อถามว่า ถือว่าเป็นความผิดพลาดของรัฐสภาหรือไม่ เพราะแทนที่จะโหวตรับร่างของพรรคการเมืองที่เสนอ 6  มาตรา แต่กลับไปรับร่าง 2 มาตราแทน นายวิษณุ กล่าวว่า "ไม่ใช่ ผมไม่ถือว่าเป็นความผิดพลาดอะไร แต่อาจจะเสียเวลา เพราะถ้าคิดเสียเวลาก็เสียเวลาได้ทุกเรื่อง" 

นอกจากนี้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19  ของศบค. จะส่งผลต่อการเปิดประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 65 หรือไม่ ว่า ไม่เป็นอะไร เพราะกมธ.งบประมาณไปประชุมโดยใช้สถานที่อื่นนอกสภาฯ ได้ และยังประชุมผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เร้นท์ได้ ส่วนกรณีรวมตัวไม่เกิน 20 คนนั้น ก็ขออนุญาตเพื่อการยกเว้นได้ ซึ่งมีหลายการประชุมที่จัดประชุมเกิน20 คน คือ ประชุมครม., ประชุมคณะกรรมการต่าง ๆ ดังนั้นก็จะไม่กระทบต่อการประชุมสภาฯ แต่อย่างใด 

อีกทั้งได้กล่าวถึง ข้อกำหนดของ ศบค. ที่ประกาศเมื่อตี 1 วันที่ 27 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งถูกวิจารณ์ว่ากระทันหันเกินไปจนประชาชนไม่ได้เตรียมตัว ถือเป็นการประกาศแบบลักหลับว่า "ไม่ได้ลักหลับ เขาก็เกริ่นให้รู้ โธ่ จะลักหลับอะไร ใครๆ ก็รุมด่ารัฐบาลอยู่ว่า แพลมออกมาจนพวกคนงานเขาหนีออกไปหมดแล้วตั้งแต่วันศุกร์ที่ 25 มิ.ย. แล้วเป็นสัญญาณให้รู้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้ทางหมอเขาขอว่าจะต้องทันที เพราะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างผลกระทบทางเศรษฐกิจ และผลกระทบในทางสุขภาพ เพราะโควิดมันรุนแรงมาก โดยเฉพาะสายพันธุ์เบต้าที่ระบุไว้ในข้อกำหนด ส่วนเหตุผลที่ต้องห้ามนั่งกินในร้านอาหารก็คือการบริโภคอาหาร นั้นมันเป็นเหตุให้ต้องถอดหน้ากากอนามัย นี่คืออันตราย

"สุทิน" ไม่ติดสละเงินเดือนซื้อวัคซีนช่วยโควิด แต่ชี้ เป็นหน้าที่รบ.ต้องลดงบไม่จำเป็นช่วยปชช.

เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ประชาชนต้องการให้ ส.ส. และ ส.ว. สละเงินเดือนเพื่อนำมาจัดซื้อวัคซีนในการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ว่า เป็นประเด็นที่เมื่อถึงคราวที่จะต้องทำก็ไม่มีปัญหา แม้ว่าหาก ส.ส. และ ส.ว. ร่วมกันสละเงินเดือนก็จะเป็นเงินในส่วนน้อยซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนทั่วประเทศ แต่การให้สมาชิกรัฐสภาสละเงินเดือนก็จะได้ข้อคิดและประโยชน์กลับมา คือ การสร้างสำนึกให้ทุกคนมีความเสียสละ ซึ่งการสละเงินเดือนเพื่อให้พี่น้องประชาชนนั้นตนไม่ติดขัด แต่อยากจะให้มองกลับไปอีกจุดหนึ่งว่างบประมาณที่จะนำมาจัดซื้อวัคซีนให้เพียงพออยู่ที่การบริหารของรัฐบาล โดยรัฐบาลจะต้องไปประหยัดงบส่วนอื่นที่ไม่จำเป็น นำมาปรับใช้ในการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19

“ดังนั้นรัฐบาลจึงควรพิจารณาประหยัดงบประมาณในส่วนอื่น เช่น งบประมาณของกองทัพในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งเมื่อประหยัดงบประมาณในส่วนดังกล่าวได้แล้วและขอให้ทาง ส.ส. และ ส.ว. มาร่วมบริจาคเงินเดือนเพื่อสมทบแนวคิดดังกล่าวก็จะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารท่ามกลางสถานการณ์โควิด และเป็นวิธีที่จะสามารถแก้ปัญหาได้” นายสุทิน กล่าว


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘บิ๊กตู่’ ลั่นไม่เลื่อนโครงการคนละครึ่งเฟสสาม เตรียมงบ 7.5 พันล้านเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากคำสั่งฉบับที่ 25 เป็นเวลา 1 เดือน ลูกจ้างในระบบประกันสังคมได้ 50 % ส่วนนอกระบบได้หัวละ 2,000 บาท

ที่ตึกภักดีบดินทร์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเรียกประชุมคณะกรรมการบริหารเศรษฐกิจในช่วงสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบศ. เป็นการด่วนเพื่อหามาตรการเยียวยาทางเศรษฐกิจ ว่าที่ประชุมมีมติ ช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ จากการประกาศในฉบับที่ 25 ในระยะหนึ่งเดือนที่ได้มีการประกาศออกมาเบื้องต้นจะมีการชดเชยให้กับผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคมจำนวน 50% โดยมีงบประมาณที่ได้เตรียมไว้แล้วทั้งหมดประมาณ 7.5 พันล้านบาท โดยเป็นงบประมาณของรัฐบาลและในส่วนของกองทุนประกันสังคม รวมทั้งจะมีมาตรการในการช่วยเหลือผู้ประกอบการต่าง ๆ ร้านอาหาร ในระยะเวลาหนึ่งเดือนนี้ซึ่งทางรัฐบาลจะพิจารณาตั้งแต่รอบ 15 วันเป็นต้นไป

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันว่าจะไม่มีการเลื่อนกำหนดโครงการคนละครึ่งเฟส 3 ในวันที่ 1 กรกฎาคมตามที่มีข่าวอย่างแน่นอน

พลเอกประยุทธ์ ยันยันว่า ไม่หวั่นไหวกับแรงเสียดทานโดยเฉพาะการวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ รวมทั้งการชุมนุมต่าง ๆ เมื่อยืนอยู่ตรงนี้ก็พร้อมที่จะทำงานทุกอย่างให้กับประชาชนทุกคนอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ว่าจะรักเกลียดผม แต่ยอมรับว่าเสียใจ เพราะบางคนออกมาใช้วาจาด่าทอหยาบคาย

ทั้งนี้ ล่าสุดที่ประชุมมีมติ ออกมาตรการเยียวยาลูกจ้างในระบบประกันสังคม 6.9 แสนคน จะมีการชดเชยรายได้ 50% และเพิ่มวงเงินพิเศษให้อีก 2,000 บาท ขณะที่นายจ้างได้รับการเยียวยาจำนวน 3,000 บาท/คน ไม่เกิน 200 คน ส่วนลูกจ้างนอกระบบที่ไม่สามารถประเมินได้ว่ามีจำนวนเท่าใด จะไม่ได้รับการชดเชยรายได้ 50% แต่ยังวงเงินได้ 2,000 บาท โดยงบประมาณจะมากจาก 2 ส่วน คือ เงินกู้เพื่อการเยียวยาโควิด 4,000 ล้านบาท และเงินจากประกันสังคม 3,500 ล้านบาท


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“ผู้ช่วยเลขาฯ ชวน” ฟาดกลับ ขรก.สภา โพสต์เดือด ชี้ หากไม่พร้อมทำงานขอย้ายออกจากสำนักประชุมได้  ยันสภาฯมีมาตรการเข้มข้นป้องกันโควิด ส่วนไม่เลือกประชาธิปัตย์ อยู่ที่ปชช.ตัดสิน

น.ส.ศิริภา อินทวิเชียร รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้ช่วยเลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่มีข้าราชการของสภาผู้แทนราษฎรรายหนึ่งโพสต์ วิพากษ์วิจารณ์ ในทำนองไม่เห็นด้วยกับการประชุมร่วมสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 และกรณีที่มี ส.ว. ติดเชื้อเข้าร่วมประชุมนั้น ต้องโทษ ผู้ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรวมถึงคนนัดประชุม ถึงขั้นประกาศจะไม่เลือกพรรคประชาธิปัตย์อีก ว่า การแสดงออกทางความคิดย่อมเป็นสิทธิเสรีภาพของเขา แต่ความเห็นที่แสดงออกมานั้นก็สะท้อนให้เห็นถึงปัญญาของบุคคลนั้นด้วยเช่นกัน อย่าสำคัญผิด ความปลอดภัย ไม่ใช่การห้ามมาทำงาน แต่เป็นการปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด ส่วนตัวเห็นใจข้าราชการสภาฯทำงานหนักโดยเฉพาะในวันประชุม แม้สถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง แต่ต้องไม่ลืมหน้าที่หลักของตนเอง และหน้าที่หลักของสภาคือดำเนินการประชุม เพื่อพิจารณาญัตติต่าง ๆ ที่สมาชิกเข้าชื่อมาโดยเฉพาะ ส.ส.ก็ต้องการใช้สภาเป็นเวทีแก้ปัญหาให้กับประชาชนและติดตามการดำเนินงานของฝ่ายบริหาร แต่ต้องไม่ลืมว่าตำแหน่งหน้าที่ของคุณมาจากภาษีของประชาชน หากไม่พร้อมก็สามารถขอย้ายออกไปจากสำนักประชุมได้ 

น.ส.ศิริภา กล่าวต่อว่า มาตรการของสภาฯที่ออกมาถือว่าเข้มข้นมาก ตามมาตรการของกรมควบคุมโรค ทำให้โอกาสการแพร่ระบาดจนเกิดเป็นคลัสเตอร์ใหม่เลยนั้นมีโอกาสน้อยมาก ในรัฐสภามีบุคลากรอยู่ร่วมกันหลายพันคน แต่ยังไม่เกิดการระบาด หรือคลัสเตอร์ มีเพียงแต่ผู้ที่ติดเชื้อจากภายนอกเท่านั้น มีการจัดสรรวัคซีนให้กับบุคลากรของรัฐสภา ก็เพื่อให้รัฐสภาทำหน้าที่แทนประชาชนต่อไปได้ ไม่เช่นนั้นกฎหมายต่างๆโดยเฉพาะงบประมาณแผ่นดิน ก็จะหยุดชะงักบ้านเมืองก็ไปต่อไม่ได้ 

ส่วนจะเลือกหรือไม่เลือกพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งครั้งหน้านั้นรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับประชาชนจะตัดสินใจ ตนเชื่อมั่นในประธานรัฐสภาที่ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริต และรัฐมนตรีของพรรคทุกคนก็มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ การเสนอญัญติแก้ไขรัฐธรรมนูญจนเป็นที่มาของการประชุมร่วมรัฐสภา ที่ทำให้ข้าราชการบุคคลดังกล่าวไม่เห็นด้วยก็เป็นหนึ่งในพันธสัญญาที่พรรคประชาธิปัตย์ให้ไว้กับประชาชน

“เด็ก ภท.” จับมือ “พรรคชัช เตาปูน” ขู่ยื่นศาลรธน. ตีความปมแก้จำนวนส.ส. 400 ไม่สอดคล้อง ม.86 

ที่รัฐสภา นายโกวิทย์ พวงงาม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังท้องถิ่นไทย พร้อมด้วยนายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง ส.ส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกระจายอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่น และการบริหาราชการรูปแบบพิเศษ แถลงถึงร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมร่างที่ 13 ในมาตรา 83 และมาตรา 91 ที่เสนอโดยนายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ กับคณะ ซึ่งรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบในขั้นรับหลักการไปแล้วนั้น โดยนายโกวิทย์ กล่าวว่า ร่างฉบับนี้มีความไม่สมบูรณ์ครบถ้วนในบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งในมาตราอื่นๆ ซึ่งร่างขอแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 13 นี้ ไม่ได้เสนอแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 86 ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ เช่น มาตรา 86 ซึ่งมีหลายประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการคิดคะแนนและการแบ่งเขต รวมถึงการได้มาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในแต่ละจังหวัด โดยเฉพาะในมาตรา 86 ที่บัญญัติไว้ถึงจำนวนสมาชิกที่มาจากจังหวัดและเขต 350 เขต ที่ขัดแย้งกับตัวร่างแก้ไขในมาตรา 83 และมาตรา 91 ที่ผ่านการรับหลักการไป และมีความกังวลว่า กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม จะดำเนินการต่อไปอย่างไร และส.ส.จะแปรญัตติอย่างไร เพราะร่างรัฐธรรมนูญได้เสนอว่าให้มี ส.ส.เขตเลือกตั้งจำนวน 400 คน และส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 100 คน ซึ่งจะทำให้มีจำนวน ส.ส.เกินจำนวน

นายโกวิทย์ กล่าวต่อว่า กมธ.หลายคนบอกว่าเมื่อรับหลักการไปแล้วก็สามารถแก้ไขได้ในขั้นแปรญัตติ ตนยืนยันว่าแก้ไม่ได้ หากยังไม่แก้มาตรา 86 ให้สอดคล้องกับจำนวน 400 คน รวมถึงมาตราอื่น ๆ ให้มีความสอดคล้องกัน โดยอาจจะพิจารณาส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตีความ ก่อนที่ กมธ. จะเดินหน้าพิจารณาต่อไป อย่างไรก็ตาม ขอให้ทุกฝ่ายให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นหลัก พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นเป็นสำคัญ

ด้านนายสฤษฏ์พงษ์ กล่าวว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 13 นั้น ตนกลัวว่าจะเป็นการเสนอมาโดยเปล่าประโยชน์ เนื่องจากการแก้มาตรา 83 และ 91 นั้นเป็นสาระสำคัญ และเป็นการทำงานแบบเร่งรีบ ตั้งเป้าขยายเขตเพื่อจะได้มาให้ครบ 400 คน ไม่ได้ดูเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 60 ทั้งยังไม่มองเป้าประสงค์ของประชาชนว่าต้องการอยู่ดีกินดี ต้องการให้มีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ต้องการให้แก้ปัญหาโควิด-19 เป็นต้น ตนเข้าใจว่าพรรคการเมืองต้องการชิงความได้เปรียบในการยกร่างรัฐธรรมนูญและต้องการทำให้พรรคเล็กไม่สามารถเดินเข้าสู่พื้นที่ในการเลือกตั้งครั้งหน้าได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่เกิดประโยชน์กับประชาชน

เมื่อถามว่าข้อกังวลนี้จะทำให้พรรคเล็กหรือ ส.ส.จะไปยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยตีความหรือไม่ นายโกวิทย์ กล่าวว่า มีแน่นอน ฝั่ง ส.ว.หลายคนก็เกิดความสงสัย ในส่วนของพรรคพลังท้องถิ่นไทยจะหารือกันว่าหากยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเป็นรายบุคคลได้โดยไม่ต้องให้ประธานรัฐสภาเป็นคนยื่น พรรคเราก็จะยื่นเอง ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญก็เคยวินิจฉัยแล้วว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องทำเป็นรายมาตรา แต่การแก้รายมาตราไม่ได้ถูกแก้มาในการร่างครั้งนี้ เราจึงฟันธงว่าเป็นการลุกลี้ลุกลนของ ส.ส. ที่อยากแก้ให้มี ส.ส.มากกว่าเดิมหรือไม่ แก้เพื่อต้องการกำจัดพรรคเล็กหรือไม่ แม้พรรคพลังท้องถิ่นไทยจะเป็นพรรคเล็กแต่ก็ไม่ได้กังวล ซึ่งก็ต้องชื่นชมนายจุรินทร์ เพราะร่างฉบับที่ 13 มีความแตกต่างกับร่างของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชารัฐ เพราะไม่ได้ใช้คะแนนขั้นต่ำ พรรคเล็กจึงยังมีโอกาสหากมีนโยบายที่ดีให้ประชาชนได้ขานรับ 

“ประวิตร” ถก กนช.สั่งขับเคลื่อนแผนแม่บทน้ำเพิ่มประสิทธิภาพ บริการจัดการน้ำ รับมือฤดูฝน

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ครั้งที่ 2/2564 ผ่านวิดีโอ คอนเฟอร์เรนท์ โดยมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติ เข้าร่วม โดยกนช.เห็นชอบการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ ผ่านระบบ "Thai Water Plan" ซึ่งเป็นระบบบริหารจัดการแผนงานโครงการ และฐานข้อมูล เพื่อใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้มีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น และเห็นชอบให้ทบทวน บทบาท ของหน่วยงาน บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อให้มีเอกภาพการทำงาน มากขึ้น 

นอกจากนั้นที่ประชุมรับทราบสถานการณ์น้ำในแหล่งน้ำ แหล่งน้ำขนาดใหญ่ มีปริมาณน้ำ 32,344 ล้านลบ.ม. (45%) ขนาดกลางมีปริมาณน้ำ 2,732 ล้านลบ.ม.(50%) และขนาดเล็ก มีปริมาณน้ำ 1,868 ล้านลบ.ม. (37%) ซึ่งสทนช.ได้ดำเนินการขับเคลื่อน 10 มาตรการ เพื่อรับมือฤดูฝน โดยบูรณาการหน่วยงานภายใต้กอนช. และมีความคืบหน้าในภาพรวม อย่างน่าพอใจ โดยมุ่งเน้นการป้องกันน้ำหลาก น้ำท่วม และการกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งหน้า ให้เพียงพอ ต่อการอุปโภคบริโภค การเกษตร และการอุตสาหกรรม และรับทราบ ผลการประชุมคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย ที่สำคัญได้แก่ แนวทางการแก้ปัญหา ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง ระบบนิเวศแม่น้ำโขง ต่อวิถีชีวิตของประชาชนในลุ่มแม่น้ำโขง 7 จังหวัด

โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ขอให้สทนช.เร่งดำเนินการตามนโยบายนายกรัฐมนตรี ในการแก้ไขปัญหาผลกระทบ จากการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศ แม่น้ำโขงต่อวิถีชีวิตของประชาชน ในลุ่มแม่น้ำโขง และให้เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำโขง อย่างใกล้ชิด พร้อมแจ้งเตือนประชาชนให้ทันต่อสถานการณ์ โดยใช้กลไกคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำระดับจังหวัด ดำเนินการ ต่อไป

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า นอกจากนั้น ให้เร่งรัดแผนงาน โครงการภายใต้แผนแม่บทน้ำ และพ.ร.บ.น้ำ ให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายและกรอบเวลา ที่กำหนด เพื่อให้ประชาชนมีน้ำใช้ อย่างเพียงพอ และลดผลกระทบ จากภาวะน้ำท่วม ภัยแล้ง และน้ำเค็มรุก อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top