Saturday, 28 June 2025
PoliticsQUIZ

“ประวิตร” โยนเป็นเรื่องจนท.บล็อกม็อบ เคลื่อนปิดทำเนียบ ลั่น ไม่อยากให้ชุมนุม หวั่นคลัสเตอร์ใหม่ หนุน “นายกฯ” ยังทำงานได้

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงการนัดชุมนุมใหญ่ของหลายกลุ่ม ในวันที่ 24 มิ.ย.นี้ กำชับเจ้าหน้าที่ดูแลสถานการณ์อย่างไร ว่า “ผมไม่อยากให้ชุมนุม เพราะกลัวเรื่องติดเชื้อโควิด-19 เพราะถ้ามากันจำนวนมากก็มีความเสี่ยง แต่ถ้าจะมาก็ต้องเว้นระยะห่างให้ดี”

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะประสานไปถึงผู้ชุมนุม ขอร้องในเรื่องนี้หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า กำลังพูดอยู่ว่าไม่อยากให้มา สื่อต้องช่วยกันด้วย และไม่น่าจะมาชุมนุมกันข้ามวันข้ามคืนเพราะตอนนี้โควิดระบาดมาก หากมากันเยอะก็ไปติดประชาชนอื่นๆ ส่วนเรื่องเจรจาคงไม่เจรจาอะไร ให้สื่อช่วยไปเจรจาหน่อยว่าอย่าเพิ่งชุมนุมเลยในช่วงนี้ ให้โควิดน้อยลงหน่อย เพราะรัฐบาลเป็นห่วงเรื่องนี้มาก 

เมื่อถามว่าการนัดรวมตัวที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศและประกาศเคลื่อนมาทำเนียบรัฐบาลจะต้องบล็อกไม่ให้เข้ามาถึงทำเนียบฯหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ ไม่ต้องห่วงแต่ที่เป็นห่วงเรื่องของการมาชุมนุมเยอะๆ แล้วเดี๋ยวก็ไปติดโควิด-19 

ผู้สื่อข่าวถามว่าสถานการณ์ตอนนี้เหมาะสมที่จะมาขับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ออกจากตำแหน่งหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็รู้อยู่แล้ว และสถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ก็สงบดีไม่มีอะไร เมื่อถามย้ำว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังต้องเดินหน้าทำงานต่อใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็ต้องทำต่อและวันนี้ก็ทำอยู่ทุกวัน ตลอด 2 ปี ก็ทำงานอยู่แล้ว 

เมื่อถามว่าการชุมนุมอาจมีแกนนำบางคนที่มาร่วมจะเข้าข่าย ฝ่าฝืนคำสั่งศาลในการปล่อยตัวหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ต้องดูว่าอันไหนผิดกฎหมายก็ว่าไปตามนั้น เพราะเราทำตามกฎหมายทุกอย่าง 

“ประวิตร” ยันไม่แก้ ม.144,185 อุบไต๋ วางกลยุทธ์ดันพปชร. ตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ชี้ เป็นเรื่องอนาคต กั๊กตอบ จับมือร่วมงานเพื่อไทย

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในส่วนของพรรคพปชร. ว่า ยืนยันจะไม่แก้มาตรา 144,185 ไม่แก้แน่นอน เรื่องนี้นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรค ในฐานะผู้เสนอร่างให้สัมภาษณ์ไปแล้ว และจะมีการปรับร่างที่ยื่นไปแล้วของพรรคพปชร. 

เมื่อถามว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญควรจะต้องคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลก่อนหรือไม่ หรือต่างคนต่างยื่น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า แต่ละพรรคก็ยื่นข้อเสนอมาเพื่อแก้ไข ก็ต้องไปคุยกันในสภาฯ ซึ่งแกนนำพรรคร่วมก็ได้คุยกัน ก็พูดกันทุกเรื่องร่วมทั้งเรื่องประเด็นบัตรเลือกตั้งด้วย

เมื่อถามว่าพรรคพปชร.กับพรรคเพื่อไทย (พท.) มีโอการจับมือกันในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เป็นเหตุการณ์ข้างหน้า อย่าไปประมาณการณ์ เพราะเราไม่รู้อะไรเป็นอะไร เมื่อถามย้ำว่าพรรคพปชร.จะไม่ปิดประตูร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่รู้ ยังไม่รู้ เป็นเรื่องอนาคต ตอบได้ว่าไม่รู้จริงๆ ยังไม่คิดอะไรทั้งนั้น 

เมื่อถามว่ามั่นใจว่าพรรคพปชร.จะเป็นพรรคอันดับหนึ่ง ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่รู้ ก็บอกเป็นเรื่องข้างหน้าจะไปรู้ได้อย่างไร จะไปพูดได้อย่างไร วันนี้ต้องการให้พรรคเข้มแข็ง มีความคิดเป็นหนึ่งเดียวไม่แตกแยก ความคิดแตกต่างแต่อยู่ในพรรคเดียวกันก็ให้มีความคิดเหมือนๆกัน คิดไปในทางสร้างสรรค์ ให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ให้ประเทศเจริญก้าวหน้าเราก็ทำ ส่วนการสร้างพรรคให้เป็นสถาบันการเมืองเป็นเรื่องของกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) เราทำงานโดยใช้กก.บห.พรรค 

เมื่อถามว่าพรรคพปชร.จะไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็เห็นแล้วจะถามทำไม เมื่อถามย้ำว่าในอนาคตพรรคพปชร. จะตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ได้หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “โอ้ยจะไปรู้ได้อย่างไร” การณ์ข้างหน้าจะไปรู้ได้อย่างไร ยังไม่ได้เลือกตั้งเลย ยังเหลืออีกตั้ง 2 ปี และตอนนี้รัฐบาลยังอยู่ได้แน่นอน ส่วนตนจะอยู่ต่อหรือไม่ยังไม่รู้เพราะแก่แล้ว

เมื่อถามถึงการวางกลยุทธ์ขับเคลื่อนพรรคพปชร. เป็นอย่างไรพล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่มีเราอาสาสมัครมา ไม่ใช่นักการเมือง 

กรมการทหารช่าง กักตัว ครูฝึก-นร.นายสิบ ติดโควิด-19 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  กรณีการแพร่ระบาดของเชื่อไวรัสโคโรนา 2019 ในค่ายภาณุรังษี ทางเฟซบุ๊ก กรมการทหารช่างได้ชี้แจ้ง ว่า การแพร่ระบาดเกิดขึ้นภายในหน่วยฝึกหลักสูตรนายสิบกองหนุน ที่เข้ารับการฝึกตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2564 ถึง วันที่ 6 สิงหาคม 2564 มีระยะเวลาการฝึก 3 เดือน และด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดในห้วงที่ผ่านมา หน่วยได้มีการเตรียมการตามมาตรการข้อกำหนดของกระทรวงสาธารณสุข และตามแนวทางการจัดการฝึกของกองทัพบกภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาด ซึ่งการเตรียมการหน่วยได้ดำเนินการกักตัวครูฝึกเป็นระยะเวลา 14 วันก่อนที่จะดำเนินการฝึก และในวันรายงานตัวเพื่อเข้ารับการฝึกของนายสิบนักเรียน หน่วยได้ดำเนินการคัดกรองนายสิบนักเรียนเป็นรายบุคคล โดยประเมินความเสี่ยงจาก ประวัติการเดินทาง ภูมิลำเนา และคัดแยกนักเรียนออกเป็นกลุ่ม เพื่อเฝ้าสังเกตอาการก่อนที่จะเริ่มดำเนินการฝึกเป็นเวลา 14 วัน 

โดยมีจำนวนนายสิบนักเรียน 147 นาย ซึ่งการดำเนินกิจกรรม เช่น การฝึกอบรม การรับประทานอาหาร การนอน และการทำกิจกรรมต่างๆ หน่วยได้แยกนายสิบนักเรียนออกเป็นกลุ่มย่อย เพื่อรักษามาตรการเว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัยป้องกันเชื้อโรค ตามแนวทางป้องกันการแพร่ระบาดของกระทรวงสาธารณสุขและกรมแพทย์ทหารบก นอกจากนี้ยังได้มีแผนรองรับ หากเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในหน่วย โดยได้จัดเตรียม โรงพยาบาลสนามสำหรับผู้ติดเชื้อ พื้นที่กักกันตัวสำหรับกำลังพลกลุ่มเสี่ยงสูง และพื้นที่กักกันตัวเพื่อสังเกตอาหารสำหรับกำลังพลกลุ่มเฝ้าระวัง

เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2564 หน่วยได้รับทราบจากครูฝึกซึ่งได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับไปพัก ในห้วงวันหยุด ซึ่งระหว่างการพัก ได้ไปสัมผัสกับผู้ป่วย ซึ่งทราบผลว่าเป็นผู้ป่วยยืนยัน ในวันที่ 18 มิถุนายน 2564 หน่วยจึงได้นำตัวครูฝึกดังกล่าว เข้ารับการตรวจหาเชื้อ ซึ่งผลการตรวจพบว่าติดเชื้อ และในวันที่ 21 มิถุนายน 2564 กรมการทหารช่าง จึงแจ้งโรงพยาบาลค่ายภาณุรังษี เข้าดำเนินการตรวจคัดกรองเชิงรุก ครูฝึก และนายสิบนักเรียนทั้งหมด จำนวน 161 นาย และทราบผลในคืนวันที่ 21 มิถุนายน 2564 ว่ามีครูฝึกและนายสิบนักเรียนติดเชื้อ จำนวน 72 นาย หน่วยจึงได้ดำเนินการร่วมกับโรงพยาบาลค่ายภาณุรังษี คัดแยกครูฝึก นายสิบนักเรียนที่ติดเชื้อ และที่ไม่พบการติดเชื้อออกจากกัน โดยกลุ่มผู้ติดเชื้อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสนามกองทัพบก (โรงพยาบาลค่ายภาณุรังษี) และส่วนที่เหลือซึ่งเป็นผู้มีความเสี่ยงสูง เข้ากักตัวในพื้นที่กักตัวค่ายบุรฉัตร จำนวน 84 นาย ตามแผนการป้องกันที่หน่วยได้เตรียมการไว้

ต่อมา เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2564 กระทรวงสาธารณสุข และกรมแพทย์ทหารบก ได้จัดส่งบุคคลากรทางการแพทย์ เข้าตรวจคัดกรองอาการผู้ป่วยติดเชื้อทั้งหมดภายในโรงพยาบาลสนาม ซึ่งได้ดำเนินการตรวจโลหิต และเอ็กซเรย์ปอด เพื่อประเมินอาการเข้าสู่กระบวนการรักษาต่อไป

กรมการทหารช่างจึงขอแจ้งให้ทราบถึงเหตุการณ์ การเตรียมการ มาตรการป้องกัน และการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และขอยืนยันเพื่อให้พี่น้องประชาชนเกิดความมั่นใจว่าการติดเชื้อดังกล่าวจะไม่แพร่กระจายไปสู่พี่น้องประชาชนภายนอก เนื่องจากกำลังพลนายสิบนักเรียนดังกล่าวทั้งหมด อยู่ภายใต้มาตรการควบคุมและมาตรการป้องกันโรคมาโดยตลอด ซึ่งมิได้มีโอกาสสัมผัสบุคคคลภายนอก และมิได้อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าพบในห้วงระหว่างการฝึก สำหรับผู้ป่วยติดเชื้อ กองทัพบกได้สั่งการให้กรมการทหารช่างและกรมแพทย์ทหารบก ประสานการรักษาร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด จึงขอแจ้งให้ทราบโดยทั่วกัน

'อานนท์' ยันไม่ลดเพดานต่อสู้ อ้างทำให้คนตาสว่างสำเร็จไปแล้ว

นายอานนท์ นำภา แกนนำม็อบเยาวชนปลดแอก โพสต์ข้อความ ผ่านเฟซบุ๊ก "อานนท์ นำภา" ระบุเนื้อหาว่า...เกิดความลังเลว่าการต่อสู้ของคนรุ่นใหม่ครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่อันนำไปสู่การเสนอให้ลดเพดานการต่อสู้เพื่อให้ง่ายขึ้น ลดเส้นชัยที่จะไปให้ถึง

จริงๆ การต่อสู้ของคนรุ่นใหม่มันสำเร็จไปแล้ว เพียงแต่มันสำเร็จเป็นขั้นๆ

2563 คนรุ่นใหม่ได้ทำลายพรมที่ปกคลุมปัญหาของสังคมมาหลายสิบปี ขยายความคิดที่จะสร้างสังคมอย่างเท่าเทียม สร้างขบวนคนที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างกว้างขวาง ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน แหลมคม

2564 เกิดโควิดระบาดทำให้เกิดข้อจำกัดของการเคลื่อนไหว ซึ่งเราต้องยอมรับให้ได้ว่ามันเป็นข้อจำกัดจริงๆ กรอบการเคลื่อนไหวหลายอย่างต้องขยับและเลื่อนออกไป

ความสำเร็จที่ทำให้คนตาสว่างมันเกิดไปแล้ว และจะไม่กลับไปเหมือนเดิมอีก

ตอนนี้ สิ่งที่เขาจะต้องทำให้เกิดขึ้นให้ได้คือ เมื่อคนตาสว่าง คนต้องออกเดิน ออกถางทาง เพื่อให้ถึงเส้นชัย

อย่ากลัวขวากหนามข้างหน้า ร่วมมือ ลงแรง ช่วยกันสร้างสังคมใหม่

การลดเพดาน คือการยอมรับการวนอยู่ที่เดิม ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่เราต้องการ

ส่วนตัว ผมไม่เคยลังเลในเส้นทาง เพราะมันตกผลึกแล้วในเป้าหมาย และหวังว่าเราจะเดินร่วมกันในแนวทางที่เราตั้งไว้อย่างมั่นคง

 

ที่มา : https://siamrath.co.th/n/255176


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“กองทัพไทย-สหรัฐฯ” ปรับลดขนาดฝึก “คอบร้าโกลด์ 2021”

ที่กองบัญชาการกองทัพอากาศ (บก.ทอ.) พล.อ.เฉลิมพล  ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) เป็นประธานการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ  โดยมี ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วม โดยก่อนการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ได้มีการประชุมคณะผู้บัญชาการทหาร เกี่ยวกับการฝึก คอบร้าโกลด์ 2021 เมื่อเกิดสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ไม่สามารถดำเนินการฝึกเต็มรูปแบบได้ จึงได้หารือร่วมกับฝ่ายสหรัฐฯ โดยปรับรูปแบบการฝึกและลดจำนวนกำลังพลเข้ารับการฝึก ให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด โดยมีกำหนดการฝึก ดังนี้

กลุ่มการฝึกการควบคุมบังคับบัญชา จัดฝึกระหว่างวันที่ 2-13 ส.ค. 2564 ได้แก่ การฝึกฝ่ายเสนาธิการ (STAFFEX) ณ อาคารม้าแดง กองการบินทหารเรือ กองเรือยุทธการ (กบร.กร.) และการฝึกสงครามเครือข่าย (Cyber-X) ณ อาคาร Joint Movement Control Center กบร.กร

กลุ่มการฝึกการช่วยเหลือประชาชน จัดฝึกระหว่างวันที่ 12 ก.ค.-12 ส.ค. ได้แก่ การฝึกการแก้ปัญหาบนโต๊ะในหัวข้อการช่วยเหลือและบรรเทาภัยพิบัติ (HADR-TTX) ณ โรงแรมสิรินพลา จ.ระยอง และโครงการก่อสร้าง 1 โครงการ ณ โรงเรียนบ้านใหม่ไทยพัฒนา จ.สระแก้ว

กลุ่มการฝึกภาคสนาม,ภาคทะเล จัดฝึกระหว่างวันที่ 2-13 ส.ค. ณ พื้นที่ จ.กระบี่ จ.เชียงใหม่ จ.ลพบุรี และ จ.ระยอง รวมถึงการฝึกกวาดล้างทุ่นระเบิดและการทำลาย ที่จ.สุรินทร์

“ผบ.ทสส.” ประชุมผบ.เหล่าทัพ รับทราบผลการปฎิบัติงาน-แก้ปัญหาโควิด-19 พร้อมสั่งการเหล่าทัพ ดูแลปชช. สนับสนุน รบ-สธ. แก้ไขปัญาโควิด-19 

ที่กองบัญชาการกองทัพอากาศ (บก.ทอ.) พล.ต.ธีรพงศ์ ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยว่า พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) เป็นประธานการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ครั้งที่ 4 โดยมี ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วม

โดยผู้บัญชาการทหารสูงสุด แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้แสดงความขอบคุณ กองบัญชาการกองทัพไทย เหล่าทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ได้ทุ่มเท เสียสละทำให้ภารกิจต่าง ๆ ของรัฐบาลคลี่คลายไปได้ด้วยดี โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 การแก้ไขปัญาความมั่นคงตามแนวชายแดน การจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม การจัดรถรับ-ส่ง ในการเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อ โควิด-19 การแจกจ่ายอาหารเพื่อสนับสนุนชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ รวมทั้งเรื่องการบริจาคโลหิต ซึ่งได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องทำให้สามารถบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนได้เป็นอย่างมาก

ทั้งนี้กองทัพได้ดำเนินการสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฏหมายตั้งแต่แนวชายแดนเข้ามาจนถึงพื้นที่ตอนใน โดยใช้กำลังป้องกันชายแดนทำการตั้งจุดตรวจ/จุดสกัดการลาดตระเวนและเฝ้าตรวจ เสริมด้วยการใช้ยุทโธปกรณ์พิเศษในการลาดตระเวนเฝ้าตรวจ เช่น โดรนลาดตระเวนทางอากาศ กล้อง CCTV และกล้องตรวจจับความเคลื่อนไหวบริเวณช่องทางตามธรรมชาติในพื้นที่เสี่ยง การใช้เครือข่ายภาคประชาชน และผู้นำหมู่บ้าน แจ้งเบาะแส และข่าวสารและตามที่ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง สั่งการให้ผู้ว่าราชการชายแดนใช้กลไกศูนย์สั่งการจังหวัดชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (ศส.ชท.) บูรณาการการปฏิบัติร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ซึ่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด/ผู้อำนวยการกองอำนวยการปฏิบัตินโยบายชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (ผบ.ทสส./ผอ.นชท.) ได้ประชุมมอบแนวทางในการปฏิบัติของส่วนราชการตามกลไกของ กอ.นชท. เพื่อบูรณาการและขับเคลื่อนการบริหารจัดการชายแดนฯ  

โดนเน้นย้ำให้กำลังทหารในพื้นที่กองทัพภาค ทัพเรือภาค และกองกำลังป้องกันชายแดนต่างๆ สนับสนุนการปฏิบัติของ ศส.ชท. จังหวัดทั้งในพื้นที่ชายแดนทางบก และทางทะเล โดยในระดับส่วนกลาง กอ.นชท. จะช่วยกำกับดูแลและขับเคลื่อนงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่น เช่น การบูรณาการด้านการข่าว ติดตามการสืบสวน / สอบสวน / ดำเนินคดี การนำแรงงานต่างด้าวเข้าสู่ระบบ 

ในเรื่องการเตรียมการรับทหารใหม่ที่กำลังจะเข้ามาประจำการในวันที่ 1 ก.ค. 64 นี้ กองทัพได้เตรียมมาตรการควบคุมและป้องกันโรค รองรับในรูปแบบที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทุกเหล่าทัพ โดยมีมาตรการเริ่มตั้งแต่การเตรียมความพร้อมของหน่วยฝึกและกำลังพลครูฝึก กระบวนการรับตัวทหารใหม่จากภูมิลำเนา ณ ตำบลต้นทาง การปฏิบัติและมาตรการควบคุมระหว่างการเคลื่อนย้าย จนถึงตำบลปลายทางเข้าที่ตั้งหน่วยฝึกทหารใหม่ที่กำหนด และมาตรการควบคุมการปฏิบัติในห้วงระหว่างการฝึก ทั้งนี้ หน่วยฝึกทหารใหม่ทุกหน่วยมีมาตรการที่สำคัญคือจะทำลักษณะหน่วยฝึกให้เป็น Bubble and Seal ทุกหน่วย ครูฝึกทุกคนได้รับการฉีดวัคซีนก่อนแล้วและทำการกักตัวตามมาตรฐานที่กำหนดก่อนที่ทหารใหม่จะเข้าหน่วย/ทหารใหม่ที่เข้ามา 14 วันแรกจะยังไม่ฝึก จะเป็นการเฝ้าสังเกตุอาการ และทหารใหม่จะได้รับการฉีดวัคซีนทุกคน 
   
ที่ประชุมได้รับทราบภาพรวมของการปฏิบัติการทางไซเบอร์ของกองทัพไทยในปัจจุบันที่ได้กำหนดให้มิติทางไซเบอร์เป็นมิติที่ 5 ของการรบ นอกเหนือจากมิติทางบก มิติทางน้ำ มิติทางอากาศ และมิติทางอวกาศ 
โดยศูนย์ไซเบอร์ทหาร และศูนย์ไซเบอร์เหล่าทัพ ได้ร่วมกันพัฒนาขีดความสามารถของการปฏิบัติการทางไซเบอร์ ให้มีความพร้อมในการรับมือกับภัยคุกคามในทุกรูปแบบ

ในขณะที่ กองทัพบก ได้นำเสนอการปฏิบัติการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองในภาคเหนือ โดยได้จัดตั้งกองบัญชาการควบคุมสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองภาคเหนือ กองทัพภาคที่ 3 ส่วนหน้า เพื่อบูรณาการกับส่วนราชการในพื้นที่ในการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นระบบส่งผลให้สถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองในปี64 ดีขึ้นตามลำดับ

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบแนวคิดการปฏิบัติการสำหรับสงครามที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง (Network Centric Warfare) ของกองทัพเรือ ที่ได้นำมาประยุกต์ใช้และพัฒนา โดยหากเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 65 จะทำให้กองทัพเรือมีระบบควบคุมการบังคับบัญชาที่มีประสิทธิภาพ ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 2 ฝั่งมหาสมุทร 3 พื้นที่ปฏิบัติการ และพื้นที่รับผิดชอบของกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด

สำหรับ กองทัพอากาศ ได้ยืนยันถึงขีดความสามารถด้านการข่าวกรองในการเฝ้าตรวจลาดตระเวน และการปฏิบัติการที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลางสนับสนุนภารกิจการดับไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือ โดยได้จัดอากาศยานไร้คนขับ Aerostar ทำการบินลาดตระเวนค้นหาจุดเกิดไฟป่า และส่งภาพ Video Downlink แบบ Near Real Time มายังกองบัญชาการและควบคุมฯ เพื่อยืนยันเป้าหมายจุดเกิดไฟป่า ทำให้เจ้าหน้าที่ดับไฟป่าภาคพื้นสามารถเข้าพื้นที่ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วมากขึ้น 

ทางด้าน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค รับผิดชอบดูแลในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดที่เกี่ยวกับสินค้าควบคุมสลาก วัตถุอันตราย ขายตรง สินค้าที่ต้องได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เครื่องสำอาง อาหาร และยา โดยมีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ของรัฐ ทั้งนี้ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนสามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วน 1135 และเพจเฟซบุ๊ค กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค

กองทัพไทย โดยกองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนาขีดความสามารถในด้านต่างๆ เพื่อมุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายในการแก้ไขปัญหาที่สำคัญของชาติ ตอบสนองนโยบายของรัฐบาล เสริมสร้างความมั่นคงของรัฐ และเพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติและประชาชน

สำหรับ การประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ มีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการการปฏิบัติงานร่วมกันก่อให้เกิดความประสานสอดคล้อง มีเอกภาพ เสริมสร้างความสามัคคีระหว่าง กองบัญชาการกองทัพไทย เหล่าทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อันจะนำไปสู่การสร้างความมั่นคงให้กับประเทศชาติและประชาชน ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุก 2 เดือน หมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพ สำหรับการประชุมครั้งต่อไปมีกำหนดจัดขึ้นในเดือนสิงหาคม โดยมี 

เอกชนถก “บิ๊กตู่” เสนอมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอี

นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวภายหลังคณะเอกชนได้หารือกับนายกรัฐมนตรีเพื่อเสนอแนวทางช่วยเหลือ โดยใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมง ว่า นายกฯ ยืนยันช่วยเหลือเอสเอ็มอีโดยรับขอเสนอทั้งหมดไปทำต่อ ทั้งการขอพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย 6-12 เดือน และตั้งกองทุนฟื้นฟู เอ็นพีแอล เพื่อช่วยพยุงกิจการเอสเอ็มอีที่เข้าไม่ถึงการกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ อีกทั้งยังเสนอให้รัฐแก้เงื่อนไขกองทุนประกันสังคม 3 หมื่นล้านบาท ให้เอสเอ็มอีเข้าถึงง่ายขึ้น โดยรมว.แรงงานยืนยันกำลังปรับแก้ไขแล้ว รวมทั้งแก้ไขเงื่อนไขซอฟต์โลนให้เข้าถึงสะดวกขึ้น

นายแสงชัย กล่าวว่า ตอนนี้มีเอสเอ็มอีที่เป็นหนี้เสีย หรือเอ็นพีแอล ในระบบคิดเป็นวงเงินถึง 2.4 แสนล้านบาท แถมยังมีกลุ่มไฟเหลืองที่จวนเจียนจะเป็นหนี้เสียอีก 4.4 แสนล้านบาท ซึ่งถ้ารวม 2 ส่วนนี้ คิดเป็นสัดส่วน 20% ของสินเชื่อเอสเอ็มอีทั้งระบบที่มีอยู่ 3.5 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะกลุ่มไฟเหลืองถือว่าน่าเป็นห่วงมาก เพราะปรับเพิ่มขึ้นมาจากก่อนที่เกิดโควิดมีวงเงินอยู่ที่ 1.7 แสนล้านบาท แต่เมื่อเกิดโควิดขึ้นก็ปรับเพิ่มขึ้นมาถึง 4.4 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ นายกฯ ยังรับข้อเสนออื่นๆ จากภาคเอกชนอีก โดย นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยกล่าวว่า ได้เสนอให้ปล่อยสินเชื่อให้เอสเอ็มอีผ่านผู้ประกอบการค้าปลีก ขอให้ปลดล็อคให้ลูกหนี้ที่ติดเครดิตบูโร หรือเป็นหนี้เสียเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในดุลพินิจกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยทำได้โดยไม่ต้องแก้กฎหมาย และอยากให้หาทางกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านการใช้เงินกู้ 5 แสนล้านบาท โดยอยากให้ปรับโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ที่มีวิธีการมากมาเป็นโครงการที่คล้ายกับช้อปดีมีคืน ที่คนเข้าไปใช้ได้ง่ายกว่า

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า กรอบเวลาในการช่วยเหลือนั้น จากการหารือยังไม่มีกำหนดออกมา แต่คิดว่าอยู่ในกรอบที่นายกฯ วางไว้ 120 วันที่จะเปิดประเทศอยู่แล้ว จึงขอรีบช่วยในช่วงเวลานี้ พอถึงเวลาเปิดประเทศจะได้มีเงินไหลเข้ามาทำธุรกิจต่อไปได้

พลังประชาชาติไทย ยันจุดยืนพรรค 5 ข้อ

นายเขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ โฆษกพรรครวมพลังประชาชาติไทย กล่าวถึงจุดยืนของพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า พรรครปช.มีจุดยืน 5 ข้อ ดังนี้

​1.) พรรคยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งเป็นประเพณีการปกครองประเทศอันนับเนื่องตั้งแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน จุดยืนของพรรค รปช. ในเรื่องรัฐธรรมนูญ จึงให้ความสำคัญเป็นพิเศษเกี่ยวกับเนื้อหาสาระแห่งบทบัญญัติ ในรัฐธรรมนูญที่จะต้องดำรงเจตนารมย์ดังกล่าวนี้อย่างแท้จริง

​2.) ข้อพิจารณาของพรรคอยู่ที่ประเด็นการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ดังที่ได้มีการเสนอกันอยู่ในขณะนี้ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนส่วนใหญ่อย่างไรคือคำถามที่สังคมได้ตั้งไว้กับตัวแทนของพวกเขา

​3.) ในสถานการณ์ปัจจุบันการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต้องคำนึงถึงความประสงค์ของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ มิใช่แก้ไขรัฐธรรมนูญตามความต้องการของนักการเมืองและพรรคการเมือง

​4.) การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจะต้องมีจุดมุ่งหมายให้ระบบการเมืองดีขึ้น สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของประชาชนในเรื่องการปฏิรูปการเมือง และยกระดับคุณภาพของนักการเมืองให้ดีขึ้น ไม่ใช่การแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้พรรคการเมืองและนักการเมืองสามารถกลับไปประพฤติปฏิบัติแบบเก่าๆ เดิมๆ จนเป็นเหตุให้เกิดวิกฤติทางการเมืองอย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมา

​5.) รัฐธรรมนูญจะต้องไม่เปิดโอกาสให้เกิดการบิดเบือนการใช้อำนาจของฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ คือต้องมีดุลยภาพแห่ง 3 อำนาจอธิปไตยของปวงชน และต้องธำรงหลักประกันแห่งความยุติธรรม จริยธรรม หลักธรรมาภิบาล และการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐโดยองค์กรอิสระอย่างมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง

“ผมมีเจตนารมณ์ที่อยากจะเชิญชวนให้สมาชิกรัฐสภาทุกท่านเเละประชาชนคนไทยทุกคนร่วมกันพิจารณาญัตติด่วน 13 ร่างของการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปพร้อมกันด้วยความเคารพทุกความคิดเห็นที่อาจจะเหมือนและแตกต่างกันออกไป” นายเขตรัฐ กล่าว

“โฆษกรัฐบาล” เผย ตั้งเป้าส่งออกสินค้าฮาลาลโต 3 เปอร์เซ็นต์ มูลค่ากว่าแสนล้าน เจาะตลาดประเทศมุสลิม ชี้ ใช้โมเดล “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” เป็นผู้นำการผลิต สร้างมาตรฐานคุณภาพ

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเห็นโอกาสการผลิตและการส่งออกสินค้าอาหารฮาลาลและผลผลิตสินค้าเกษตรมาตรฐานที่โตต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ไปสู่ตลาดกลุ่มประเทศมุสลิม และประเทศที่มีชาวมุสลิมอาศัยอยู่มาก เช่น อินเดีย จีน รัสเซีย สหรัฐอเมริกา คาดว่ามีประชากรชาวมุสลิมทั่วโลกกว่า 2 พันล้านคน มูลค่าตลาดประมาณ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ทางกระทรวงพาณิชย์ จึงตั้งเป้าการส่งออกสินค้าฮาลาลทุกประเภทไปยังกลุ่มประเทศมุสลิม ของปี 2564 ไว้ที่ 1.22 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 3เปอร์เซ็นต์ มูลค่า 1.18 แสนล้านบาท โดยประเทศไทยได้เปรียบที่สามารถผลิตสินค้าหลากหลาย มีมาตรฐาน ตอบสนองความต้องการของตลาดได้ดี และขณะนี้มีบริษัทที่ได้รับรองมาตรฐานอาหารฮาลาลประมาณ 5,000 บริษัท มีผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองฮากว่า 160,000 รายการ จึงเชื่อมั่นว่าประเทศไทย มีศักยภาพเป็นประเทศผู้นําในการพัฒนา ผลิต และส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารที่ได้รับความเชื่อมั่นในตลาดโลก

น.ส.รัชดา กล่าวว่า รัฐบาลใช้โมเดล “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” เพื่อขับเคลื่อนการเป็นผู้ผลิตในตลาดโลก โดยร่วมกับหลายภาคส่วน ให้ครอบคลุมเพิ่มศักยภาพหน่วยงานรับรองมาตรฐานฮาลาล ใช้เทคโนโลยีทันสมัยตรวจสอบพร้อมสร้างองค์ความรู้ในการผลิต การบริหารจัดการตั้งแต่ระดับฟาร์มจนถึงผู้บริโภค และพัฒนาฐานข้อมูลฮาลาล เป็นต้น นอกจากนั้นมีกิจกรรมพัฒนาศักยภาพการตลาดฮาลาลสู่สากล อาทิ จัดอบรมให้ความรู้กับผู้ประกอบการเกี่ยวกับการผลิตสินค้าฮาลาลที่ถูกต้องตามหลักศาสนา และคำนึงถึงความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละประเทศ จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับห้างค้าปลีก ซุปเปอร์สโตร์ชั้นนำ จับคู่เจรจาค้าสินค้าอาหารฮาลาลออนไลน์ ในอาเซียน จีน แอฟริกา และตะวันออกกลาง รวมถึงประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์สินค้าฮาลาลไทย และการสร้างความร่วมมือที่ดีกับผู้เกี่ยวข้องกับสินค้าฮาลาลในตลาดประเทศมุสลิม เป็นต้น ทั้งนี้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ พร้อมให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่ผู้ประกอบการที่มีความสนใจตลาดสินค้าฮาลาลที่มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มมากขึ้น และเพิ่มช่องทางการค้าออนไลน์เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้บริโภคตามวิถีชีวิตในยุคปัจจุบัน 

“โฆษกรัฐบาล” เผย ปชช.แจ้งเบาะแส ร้องทุกข์จากโควิด-19 กว่า5 เดือน ยุติเรื่องได้กว่า 2.4 แสนเรื่อง 

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าการเปิดให้ประชาชนรับแจ้งเบาะแส ร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือ สอบถามข้อมูล เสนอความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับโควิด-19 ผ่าน 5 ช่องทาง 1111 ของรัฐบาล ว่า ตั้งแต่วันที่ 7 ม.ค. - 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีการแจ้งข้อมูลทั้งหมด 249,448 เรื่อง แบ่งเป็น

1.) แจ้งเบาะแสบ่อนการพนัน จำนวน 652 เรื่อง  

2.) แจ้งเบาะแสไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ และแรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมาย จำนวน  432 เรื่อง และ 3.ร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือ สอบถามข้อมูล เสนอความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับโควิด-19 จำนวน 248,364 เรื่อง 

ขณะนี้สามารถยุติเรื่องได้แล้ว จำนวน 248,166 เรื่อง และรอผลการพิจารณาอีก 1,282 เรื่อง ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวที่เห็นผลเป็นรูปธรรม เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการสนับสนุนให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมตรวจสอบ โดยเสนอเรื่องราวร้องทุกข์ แจ้งเบาะแสการกระทำผิดกฎหมาย และเสนอข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะและคำติชมด้วยตนเอง หรือผ่านทางจดหมาย โทรศัพท์ โทรสาร และทางเว็บไซต์ www.1111.go.th ซึ่งเป็นช่องทางการให้บริการประชาชน ที่มีความสะดวกและรวดเร็ว สามารถให้บริการได้ตลอดเวลา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top