Friday, 9 May 2025
NewsFeed

BYD เตรียมส่งรถไฟฟ้ารุ่นใหม่สู้ศึกรถยนต์ขนาดเล็กในญี่ปุ่น ตั้งเป้าเปิดตัวภายในปี 2026 ราคาเริ่มต้น 2.5 ล้านเยน

(22 เม.ย. 68) BYD ยักษ์ใหญ่ด้านยานยนต์ไฟฟ้าของจีน เตรียมเดินหน้ารุกตลาดรถยนต์ขนาดเล็กในญี่ปุ่นภายในปี 2026 ด้วยรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะสำหรับตลาดท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัทจีนในการแข่งขันในตลาดที่มีข้อกำหนดเฉพาะทางสูง และถูกครอบครองโดยผู้ผลิตญี่ปุ่นมายาวนาน

รถยนต์ขนาดเล็กที่เรียกว่า 'เคคาร์' (Kei Car) หรือในภาษาญี่ปุ่นว่า 'Kei-jidosha' เป็นยานยนต์ประเภทที่เล็กที่สุดตามกฎหมายของญี่ปุ่น โดยมีข้อจำกัดด้านขนาด เช่น ความยาวไม่เกิน 3.4 เมตร และความกว้างไม่เกิน 1.48 เมตร 

ทั้งยังต้องเสียภาษีและค่าธรรมเนียมที่ต่ำ โดยรถกลุ่มนี้ครองส่วนแบ่งตลาดราว 40% ของอุตสาหกรรมรถยนต์ในญี่ปุ่น จึงเป็นเป้าหมายสำคัญของผู้ผลิตที่ต้องการเจาะเข้าสู่ตลาดแดนอาทิตย์อุทัย

แหล่งข่าวระบุว่า BYD ได้ออกแบบรถยนต์ Kei Car ไฟฟ้ารุ่นใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว และมีแผนเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 โดยตั้งราคาขายไว้ราว 2.5 ล้านเยน (ราว 560,000 บาท) ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มราคาต่ำของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กในญี่ปุ่น

นี่จะเป็นครั้งแรกที่ BYD พัฒนารถยนต์สำหรับตลาดประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ ต่างจากก่อนหน้านี้ที่บริษัทเลือกนำรุ่นรถจากตลาดจีนมาจำหน่ายในต่างประเทศโดยตรง ความเคลื่อนไหวครั้งนี้จึงสะท้อนถึงความตั้งใจในการเจาะตลาดญี่ปุ่นอย่างจริงจัง

ปัจจุบัน BYD เข้าสู่ตลาดญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2023 และมียอดขายสะสมเพียง 4,530 คัน (ณ เดือนมีนาคม 2025) จึงจำเป็นต้องเร่งสร้างการยอมรับในตลาดที่มีการแข่งขันสูง และมีความต้องการเฉพาะทางอย่างมาก

ในตลาด Kei Car ไฟฟ้าของญี่ปุ่นปัจจุบัน มีคู่แข่งสำคัญอย่าง Nissan Sakura และ Mitsubishi ek X EV ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ได้รับความนิยมจากชาวญี่ปุ่นด้วยความคุ้นเคยกับแบรนด์และระบบบริการหลังการขายในประเทศ

ทั้งนี้ การเปิดตัวรถรุ่นใหม่โดย BYD จึงอาจเป็นบททดสอบสำคัญของบริษัทจีนในสนามที่เต็มไปด้วยอุปสรรค ทั้งด้านมาตรฐานรถยนต์ที่เข้มงวดและพฤติกรรมผู้บริโภคที่ภักดีต่อแบรนด์ท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวนี้ยังแสดงให้เห็นถึงเป้าหมายระยะยาวของ BYD ในการขยายฐานการผลิตและยอดขายอย่างต่อเนื่องในระดับโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออก

‘ต๊ะ พลัฏฐ์’ โพสต์เตือนใจ บทเรียนการล่มสลายของ 4 ราชวงศ์จีน เกิดขึ้นเพราะขุนนางโกง-คอร์รัปชัน-ผู้นำนโยบายล้มเหลว

(22 เม.ย. 68) นายพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ต๊ะ สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวที่สะท้อนถึงการล่มสลายของหลายราชวงศ์ในประวัติศาสตร์จีน ซึ่งเกิดจาก…

ประเทศจีนในหลายราชวงศ์ ล่มเพราะเศรษฐกิจ การ corruption และภัยธรรมชาติ

ราชวงศ์สุย ฮ่องเต้ หยางกว่าง สร้าง Grand canal ที่สร้างคุณประโยชน์ทางการค้า คมนาคม และระบบชลประทาน การจ้างงาน มหาศาล แต่กลับเป็นจุดจบของราชวงศ์สุย เพราะพลาด เรื่องสงครามเกาหลี เสียงบประมาณมหาศาล และผลผลิตการเกษตรตกต่ำ ทำให้ประชาชนอดหยาก

ราชวงศ์หยวน(มองโกล) พัฒนาระบบการเงินกระดาษ ครั้งแรกของโลก และนำไปสู่ประสิทธิภาพการชำระเงิน แลกเปลี่ยนสินค้า แต่ก็จบสิ้นเพราะนโยบายเงินกระดาษ เพราะพิมพ์เงินเยอะไป เงินเฟ้อมหาศาล ไม่รวมการกดขี่จากขุนนางและการคอรัปชั่น

ราชวงศ์หมิง พัฒนาระบบ Silver standard ใช้เงินเป็นอัตราแลกเปลี่ยนนำไปสู่การพัฒนาการค้าโลกรูปแบบใหม่ แต่ส่วนหนึ่งก็ล่มสลายไปเพราะการขาดแคลนแร่เงิน (มีขุนนางแอบโกง เอาไปเก็บไว้ทำให้ไม่หมุนเวียน)

ราชวงศ์ชิง He Shen ขุนนางที่ฉ้อราษฎร์มากที่สุดในโลก สะสมแร่เงินให้ในบ้านเยอะขนาดเป็นขุนนางโกงที่สุดในโลก ในประวัติศาสตร์ แถม He Shen เป็นขุนนางที่ เฉียนหลงจักรพรรดิที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของจีนรักมาก จนปลายสมัยเฉียนหลง He Shen เป็นเหตุทำให้ราชวงศ์ชิงเสื่อม เชื่อมต่อกับยุคซูสีไทเฮา

ต๊ะ พลัฏฐ์

อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช กรมอู่ทหารเรือ จัดงานวันคล้ายวันสถาปนา  ครบรอบ 27 ปี

เมื่อวานนี้ (21 เม.ย.68) พลเรือตรี ปิยะ ปฐมบูรณ์ ผู้อำนวยการอู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช กรมอู่ทหารเรือ เป็นประธานจัดงานวันคล้ายวันสถาปนา อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช กรมอู่ทหารเรือ ครบรอบ 27 ปี โดยมี อดีตผู้อำนวยการอู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดชฯ  ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเรือ สมาคมภริยาทหารเรือ หน่วยงานราชการ และ บริษัทเอกชน เข้าร่วมงาน ณ อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช กรมอู่ทหารเรือ
ท่าเรือจุกเสม็ด อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี 

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#12 พันธมิตรของเวียตนามเหนือ : ลาว-เขมรแดง -สหภาพโซเวียต

ในขณะที่สหรัฐอเมริกาทุ่มเท กำลังทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ และงบประมาณมากมายมหาศาลเข้าสู่เวียตนามใต้ สหภาพโซเวียตก็มีทั้งบทบาทและส่วนร่วมในเวียตนามเหนือเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ในฐานะที่เป็นอำนาจคอมมิวนิสต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก สหภาพโซเวียตขณะที่ยังไม่ขัดแย้งแตกคอกับสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ให้สนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมากไปยังเวียตนามเหนือ ทั้งมอสโกและปักกิ่งหวังที่จะรวมและขยายคอมมิวนิสต์ในเอเชีย ไม่เพียงแต่การเติบโตขึ้นของลัทธิคอมมิวนิสต์ในเอเชียจะช่วยให้สร้างสมดุลกับตะวันตกในสงครามเย็นเท่านั้น แต่ยังเกิดผลประโยชน์ต่อทั้งรัสเซียและจีน การสนับสนุนของโซเวียตและจีนมีความสำคัญต่อฮานอยและมีส่วนทำให้เวียตนามเหนือประสบชัยชนะในที่สุด

ปารีส ในปี 1920 โฮจินมินห์ได้กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส สามปีต่อมาเขาเดินทางไปมอสโก ซึ่งเขาได้ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับทฤษฎีคอมมิวนิสต์และการเคลื่อนไหวระหว่างประเทศ นอกจากนี้เขายังเป็นตัวแทนของเวียตนามประสานงานกับองค์การคอมมิวนิสต์สากล (Communist International : Comintern) ซึ่งเป็นองค์การที่ทำหน้าที่เผยแพร่แนวความคิดปฏิวัติ ล้มล้างนายทุนและจักรวรรดินิยมตามแบบการปฏิวัติของบอลเชวิก จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าโฮจิมินห์มีอุดมการณ์คอมมิวนิสต์เต็มตัว

หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง สหภาพโซเวียตให้การสนับสนุนการเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์ในเวียตนามเพียงเล็กน้อย เพราะ โจเซฟ “สตาลิน” พยายามที่จะรักษาสัมพันธภาพที่ดีกับพันธมิตรสงครามฝ่ายตะวันตกอย่างน้อยเป็นการชั่วคราว และเลือกที่จะไม่เป็นปฏิปักษ์พวกเขาด้วยการสนับสนุนเวียตมินห์ ในปี 1946-47 “สตาลิน” ยังคงไม่ไว้วางใจในกลุ่มคอมมิวนิสต์ของเอเชีย โดยมองว่าอ่อนแอ ไม่มีวินัย และชื่อเสียงไม่ดี อันเนื่องมาจากผลประโยชน์ของตนเองและความเป็นชาตินิยม ปลายปี 1949 สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ความตึงเครียดของสหรัฐอเมริกา-โซเวียตเพิ่มขึ้น และชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์นำโดย “เหมาเจ๋อตง” ในจีน (ตุลาคม 1949) เป็นพัฒนาการที่มีความรุนแรงที่สุดในยุคสงครามเย็น มกราคมปี 1950 มอสโกได้ให้การยอมรับ “โฮจิมินห์และเวียดมินห์” ในฐานะ ‘ผู้ปกครอง’ และ 'เจ้าหน้าที่' ของเวียตนาม โฮจิมินห์ได้เดินทางไปมอสโกและแสวงหาการสนับสนุนทางทหารจากสหภาพโซเวียตเพื่อสงครามอิสรภาพกับฝรั่งเศส แต่ “สตาลิน” ซึ่งยังมีความสนใจอยู่ในยุโรปได้ปฏิเสธการพูดคุยเจรจา โดยสนับสนุนให้ “เหมาเจ๋อตง” เป็นพันธมิตรคอมมิวนิสต์สนับสนุนเวียคมินห์แทน

ในเบื้องต้นจีนให้การสนับสนุนทั้งเงินและอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่ปัญหาระหว่างเวียตนามเหนือและจากความพยายามที่จะครอบงำของจีน ทำให้ในที่สุดก็ทำให้เวียตนามเหนือหันไปหาสหภาพโซเวียตเพื่อขอความช่วยเหลือ ก่อนปี 1967 สหภาพโซเวียตให้ความช่วยเหลือทางทหารโดยการฝึกอบรมบุคลากรกองทัพอากาศเวียตนามเหนือ ต่อมาสหภาพโซเวียตได้จัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็น รถถัง เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ ปืนใหญ่, ขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางทหารอื่น ๆ ให้เวียตนามเหนือ กล่าวกันว่า ทีมงานชาวโซเวียตรัสเซียเป็นผู้ยิงเครื่องบินรบไอพ่นแบบ F-4 Phantoms ของสหรัฐฯ ตกที่เมือง Thanh Hóa ในปี 1965 ภายหลังจากการสลายตัวของสหภาพโซเวียตในปี 1991 เจ้าหน้าที่ของสหพันธรัฐรัสเซียยอมรับว่า ในช่วงสงครามเวียตนาม สหภาพโซเวียตได้ส่งทหารราว 3,300 นายประจำการในเวียตนามเหนือ

นอกจากนี้เรือหาข่าวของสหภาพโซเวียตในทะเลจีนใต้ได้ส่งคำเตือนล่วงหน้าแก่เวียตนามเหนือ โดยทำการตรวจหาเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 อเมริกันที่บินจากเกาะโอกินาวาและเกาะกวม เครื่องบินและทิศทางจะถูกบันทึกไว้แล้วส่งไปทำการวิเคราะห์ละคำนวณเป้าหมายการทิ้งระเบิด เพื่อแจ้งเตือนให้ย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์สำคัญ คำเตือนล่วงหน้าเหล่านี้ทำให้เวียตนามเหนือมีเวลาพอที่จะย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์สำคัญต่าง ๆ ให้ปลอดภัยจากเครื่องบินทิ้งระเบิด และในขณะที่มีการทิ้งระเบิดซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ปี 1968-1970 ด้วยการแจ้งเตือนทำให้เวียตนามเหนือไม่สูญเสียผู้นำทหารหรือพลเรือนเลยแม้แต่คนเดียว นอกจากนี้ยังมีการขยายความช่วยเหลือเพิ่มเติมเพื่อช่วยให้เวียตนามเหนือพัฒนาวิธีโฆษณาชวนเชื่อในการต่อต้านสหรัฐฯ

ระหว่างปี 1953 ถึง 1991 สหภาพโซเวียตส่งมอบอาวุธยุทโธปกร์ให้เวียตนามเหนือประกอบด้วยรถถัง 2,000 คัน รถหุ้มเกราะลำเลียงพล 1,700 คัน ปืนใหญ่ 7,000 กระบอก ปืนต่อสู้อากาศยานมากกว่า 5,000 กระบอก ขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ 158 ระบบ และเฮลิคอปเตอร์ 120 ลำ ในช่วงสงครามสหภาพโซเวียตส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ให้เวียตนามเหนือมูลค่าปีละ 450 ล้านเหรียญสหรัฐ โรงเรียนทหารและสถาบันการศึกษาของโซเวียตได้ฝึกบุคลากรทางทหารของเวียตนามเหนือมากกว่า 10,000 คน ในปี 1964 นักบินเครื่องบินขับไล่เวียตนามเหนือและพลปืนต่อต้านอากาศยานได้รับการฝึกฝนในสหภาพโซเวียต โดยมีที่ปรึกษาโซเวียตยังถูกส่งไปประจำการในเวียตนามเหนือ ในช่วงต้น ๆ เมื่อกองทหารเวียตนามเหนือยังคงไม่คุ้นเคยกับอาวุธต่อสู้อากาศยานของสหภาพโซเวียต ทีมอาวุธต่อสู้อากาศยานของโซเวียตได้เข้าจัดการระบบปืนด้วยตัวเองและทีมงานได้ยิงเครื่องบินรบของสหรัฐฯ ตกด้วย มีรายงานว่า ทีมอาวุธต่อสู้อากาศยานของโซเวียตทีมหนึ่งสามารถยิงเครื่องบินรบของสหรัฐฯ ตกถึง 6 ลำ

KGB ยังช่วยพัฒนาความสามารถของ Signals Intelligence (SIGINT) ของเวียตนามเหนือผ่านการดำเนินการที่รู้จักกันใน “โปรแกรม Vostok” ซึ่งเป็นโปรแกรมข่าวกรองและการจารกรรม โปรแกรมเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญในการตรวจจับและเอาชนะทีมคอมมานโดของสหรัฐฯ และเวียตนามใต้ที่ส่งไปยังเวียตนามเหนือ โซเวียตยังช่วยกระทรวงความมั่นคงสาธารณะเวียตนามเหนือรับสมัครชาวต่างชาติในวงการทูตระดับสูงในหมู่พันธมิตรตะวันตกของสหรัฐฯ ภายใต้โครงการลับ "B12, MM" ซึ่งสามารถจัดทำเอกสารความลับระดับสูงนานเกือบทศวรรษหลายพันรายการ รวมถึงเป้าหมายของการทิ้งระเบิดของเครื่องบิน B-52 ในปี 1975 SIGINT ได้ทำลายข้อมูลจากพันธมิตรตะวันตกของสหรัฐฯ ในช่วงสงครามแม้ว่าทหารและเจ้าหน้าที่ของสหภาพโซเวียตจะถูกระบุให้เป็น“ ผู้เชี่ยวชาญทางทหารของโซเวียต” เนื่องจากสหภาพโซเวียตอ้างว่าไม่มี “ทหาร” ในสงครามเวียตนาม แต่ก็สูญเสียเจ้าหน้าที่ไป 16 นาย แม้การมีส่วนร่วมของสหภาพโซเวียตนั้นจะไม่มากเท่ากับกรณีสหรัฐฯ กับเวียตนามใต้ แต่สำหรับเวียตนามเหนือแล้ว ถือเป็นความช่วยเหลือที่ทรงคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง สำหรับสหภาพโซเวียตได้ถือโอกาสนี้ในการทดสอบทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์และยุทธวิธีการรบที่ดำเนินการในสถานการณ์จริง

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

‘เจ โชติกา’ จากธิดาช้าง สู่ตัวแทนโคราชลุ้นมงนางสาวไทย 2568 เปลี่ยนชีวิตจากน้ำหนัก 115 กก. เหลือ 64 กก. เพราะฝันต้องไปให้สุด

(22 เม.ย. 68) ‘เจ’ โชติกา ดอกแก้วกลาง หญิงสาวผู้มีความฝันอันแรงกล้าและหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น นางสาวไทยนครราชสีมา ประจำปี 2568 พร้อมเป็นตัวแทนชาวโคราชเข้าประกวดเวที นางสาวไทยระดับประเทศ ซึ่งจะมีรอบตัดสินในวันที่ 25 พฤษภาคม 2568 ณ เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน

ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2563 ‘น้องเจ’ เคยคว้าตำแหน่ง “ธิดาช้างเมืองย่าไทยแลนด์ 2020” พร้อมมงกุฎ สายสะพาย ถ้วยรางวัล และเงินรางวัล 10,000 บาท สร้างเสียงปรบมือและแรงบันดาลใจให้กับผู้คนจำนวนมากในวันนั้น

และจากวันนั้นถึงวันนี้ น้องเจได้พิสูจน์ตัวเองด้วยการลดน้ำหนักจาก 115 กิโลกรัม เหลือเพียง 64 กิโลกรัม โดยมีเป้าหมายสุดท้ายอยู่ที่ 58 กิโลกรัม เพื่อสุขภาพที่ดีและชีวิตใหม่ที่สดใสยิ่งขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้มาพร้อมการผ่าตัดกระเพาะที่ทำภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะทาง เพื่อรักษาโรคเรื้อรังทั้งเบาหวาน ความดัน หัวใจ และไขมันในเลือด

“น้องเจคือภาพแทนของความไม่สมบูรณ์แบบ ที่ยืนอยู่ตรงนี้เพื่อบอกกับทุกคนว่า ความไม่สมบูรณ์แบบไม่เคยพรากคุณค่าจากตัวเราไปได้เลย และความฝันมีไว้ลงมือทำ” เจ โชติกา นางสาวไทยนครราชสีมา 2568 กล่าว 

จากตำแหน่ง "ธิดาช้าง" สู่นางสาวไทยเวทีระดับชาติ เรื่องราวของเธอเป็นเครื่องยืนยันว่า ความสวยไม่ได้วัดที่รูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ใจ ความกล้า และความพยายามไม่หยุดยั้ง

นักเทนนิสยูเครน ฟ้อง WTA และประธานสมาคม ‘สตีฟ ไซมอน’ ฐานก่อให้เกิดความเครียดทางอารมณ์ ปมปล่อยนักกีฬาสนับสนุนสงครามร่วมแข่ง

(22 เม.ย. 68) เลเชีย ซูเรนโก้ (Lesia Tsurenko) นักเทนนิสหญิงชาวยูเครนวัย 35 ปี ได้ยื่นฟ้อง สมาคมเทนนิสหญิงโลก (WTA) และ ประธานสมาคม สตีฟ ไซมอน (Steve Simon) โดยกล่าวหาว่า ละเมิดสัญญา ประมาทเลินเล่อ และก่อให้เกิดความเครียดทางอารมณ์ จากการที่ WTA อนุญาตให้นักกีฬาจากรัสเซียและเบลารุสที่แสดงการสนับสนุนสงครามในยูเครนสามารถลงแข่งขันในรายการระดับนานาชาติได้

โดยกรณีนี้เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศความตึงเครียดจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังดำเนินอยู่ และลุกลามเข้าสู่วงการกีฬา โดยเฉพาะในระดับนานาชาติที่องค์กรต่างๆ ถูกตั้งคำถามเรื่องจุดยืนต่อผู้เกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง

ซูเรนโก้ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในอันดับที่ 239 ของโลก ระบุว่า การต้องเผชิญหน้ากับนักกีฬาจากประเทศที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรุกรานบ้านเกิดของเธอ ส่งผลรุนแรงต่อสุขภาพจิตและฟอร์มการเล่น โดยเธอเคยถอนตัวจากการแข่งขันเนื่องจากอาการตื่นตระหนก และมักจะ “ตกรอบแล้วตกรอบอีก” เพราะความกดดันทางอารมณ์ที่ต้องแบกรับ

ซูเรนโกเปิดเผยว่าในปี 2023 ลินด์เซย์ แบรนดอน ผู้อำนวยการฝ่ายคุ้มครองความปลอดภัยของ WTA ได้แจ้งกับเธอว่า สตีฟ ไซมอน จะถูกสอบสวนในข้อหาละเมิดจรรยาบรรณขององค์กร อย่างไรก็ตาม ในเดือนตุลาคมของปีเดียวกัน WTA ได้แจ้งผลสอบสวนว่า ไซมอนไม่ได้ละเมิดจรรยาบรรณขององค์กรหรือข้อกำหนดใดๆ ในคู่มือพนักงาน และเมื่อซูเรนโกพยายามยื่นอุทธรณ์ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ

“ซีอีโอขององค์กรได้กระทำการล่วงละเมิดทางศีลธรรมต่อฉัน นำไปสู่อาการตื่นตระหนก และฉันไม่สามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้” ซูเรนโกโพสต์ข้อความแสดงความรู้สึกผ่านโซเชียลมีเดีย 

ด้าน WTA ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ข้อกล่าวหาโดยยืนยันจุดยืนอย่างชัดเจนต่อสงคราม ระบุว่า 

“ยืนกรานและชัดเจนในการประณามสงครามของรัสเซียต่อยูเครน และการกระทำของรัฐบาลรัสเซียต่อประชาชนชาวยูเครน”

“WTA ได้ดำเนินการหลายขั้นตอนเพื่อช่วยเหลือสมาชิกผู้เล่นชาวยูเครนของเรา ซึ่งเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในฐานะนักกีฬาอาชีพ”

“องค์กรยึดหลักการของความเท่าเทียมและการไม่เลือกปฏิบัติ โดยการแข่งขัน WTA เปิดให้นักเทนนิสหญิงทุกคนที่ผ่านเข้ารอบตามผลงานสามารถเข้าร่วมได้โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ นักกีฬาแต่ละคนไม่ควรถูกลงโทษจากการกระทำของรัฐบาล”

นอกจากนี้ ยังมีเสียงวิจารณ์จากนักกีฬายูเครนต่อการมีส่วนร่วมของนักเทนนิสชื่อดัง เช่น อารีน่า ซาบาเลนก้า (Aryna Sabalenka) มือหนึ่งของโลกจากเบลารุส และ เมียร์ร่า อันเดรเยว่า (Mirra Andreeva) ดาวรุ่งจากรัสเซียที่ไต่ขึ้นสู่อันดับ 7 ของโลก ซึ่งยังคงได้รับสิทธิ์แข่งขันภายใต้ธงกลางในรายการ WTA

ซูเรนโก้ย้ำว่า การดำเนินการทางกฎหมายครั้งนี้ไม่ใช่การโจมตีบุคคลใดโดยเฉพาะ แต่เป็นความพยายามที่จะ เรียกร้องความยุติธรรมและจุดยืนทางจริยธรรมของวงการกีฬา โดยเชื่อว่า “กีฬาไม่ควรเงียบเฉยต่อความรุนแรงและการรุกรานทางการเมือง”

สมเด็จพระสังฆราช ประทานพระอนุเคราะห์ กรณีสามเณรถูกเหตุร้ายในพื้นที่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา จนทำให้มีสามเณรถึงมรณภาพ 1 รูป และอาพาธ 1 รูป

ตามที่ เกิดเหตุคนร้ายประทุษร้ายสามเณร ณ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา เมื่อวันอังคาร ที่ 22 เมษายน 2568 ทำให้มีสามเณรถึงมรณภาพ 1 รูป และอาพาธ 1 รูป ความทราบตามข่าวสารที่ปรากฏแล้ว นั้น

เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงปลงธรรมสังเวชและโปรดประทานผ้าไตร 1 ไตร พร้อมไม้จันทน์ 1 ช่อ สำหรับการฌาปนกิจ พร้อมทั้งมีพระบัญชาโปรดให้ไวยาวัจกรจัดกัปปิยภัณฑ์เท่าจำนวน 20,000 บาท (สองหมื่นบาทถ้วน) ประทานแก่เจ้าภาพศพสามเณรพงษ์กร ชูมาปาน เพื่อช่วยการบำเพ็ญกุศล

อนึ่ง โปรดประทานเหรียญพระรูปแก่สามเณรโภคนิษฐ์ โมราศิลป์ เพื่อเป็นกำลังใจ พร้อมทั้งมีพระบัญชาโปรดให้ไวยาวัจกรจัดกัปปิยภัณฑ์เท่าจำนวน 10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) ประทานแก่เป็นคิลานปัจจัย

ทั้งนี้ มีพระบัญชาโปรดให้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นผู้เชิญสิ่งของและกัปปิยภัณฑ์ประทานไปถวายแด่เจ้าคณะจังหวัดสงขลา เพื่อมอบแก่เจ้าภาพศพและสามเณรผู้อาพาธตามพระประสงค์

อนึ่ง มีรับสั่งประทานกำลังใจแก่ครอบครัว ญาติมิตรของผู้ถึงมรณภาพ ให้ทุเลาความโศก และความหม่นหมอง อีกทั้งโปรดประทานพรให้เจ้าหน้าที่ ผู้ประสบเหตุ และผู้ตระหนกเสียขวัญจนถึงพร้อมด้วยขันติ สติ และปัญญาอันเข้มแข็ง เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ความสงบร่มเย็นของชาติ และความสถาพรของพระพุทธศาสนาในราชอาณาจักรไทยให้ดำรงมั่นคงอยู่สืบไป

ภาษีคือภาษี ความผิดคือความผิด เสียงสะท้อนถึง…พี่ชาย ‘ดร. พอล แชมเบอร์ส’ ปมขอให้สหรัฐฯ กดดันไทย

(22 เม.ย. 68) จากกรณีที่ คิท แชมเบอร์ส (Kit Chambers) พี่ชายของ ดร. พอล แชมเบอร์ส (Dr. Paul Chambers) นักวิชาการชาวอเมริกันซึ่งกำลังเผชิญคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ฯ ในประเทศไทย ได้เผยแพร่บทความผ่าน The Oklahoman สื่อท้องถิ่นของรัฐโอคลาโฮมา เรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ ระงับการเจรจาการค้าด้านภาษีกับไทยจนกว่า “น้องชายของเขาจะได้กลับบ้าน”

ในบทความดังกล่าว คิท แชมเบอร์ส กล่าวหาว่าการกักขังน้องชายของตนนั้น “ไม่เป็นธรรม” และยืนกรานว่านี่ไม่ใช่ปัญหาทางการค้า แต่คือ “เรื่องสิทธิมนุษยชน”

ล่าสุด “ปราชญ์ สามสี” ได้ออกมาโพสต์แสดงความเห็นถึงกรณีนี้ว่า

คำถามคือ — แล้วการกระทำผิดกฎหมายในประเทศหนึ่ง สามารถกลายเป็น "ของต่อรอง" ได้จริงหรือ?

ถ้าคนไทยสักคนเดินทางไปสหรัฐฯ แล้วไปละเมิดกฎหมายของอเมริกา เช่น ละเมิดสัญลักษณ์ทางการเมือง ข่มขู่บุคคลสาธารณะ หรือทำผิดทางไซเบอร์ ประเทศไทยควรจะ "ขู่ขึ้นภาษีสินค้าอเมริกัน" เพื่อให้สหรัฐฯ ยอมปล่อยตัวกลับบ้านหรือไม่?

การใช้ข้อเรียกร้องทางอารมณ์ มาแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของรัฐอื่น นอกจากจะบ่อนทำลายหลักนิติธรรมแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงความไม่เข้าใจในอธิปไตยของแต่ละประเทศอย่างร้ายแรง

ไทยไม่ได้กักขังพอลเพราะเขาเป็นอเมริกัน แต่เพราะเขาทำผิดกฎหมายไทย และกระบวนการที่เกิดขึ้น ก็อยู่ภายใต้สิทธิในการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม ไม่ต่างจากประชาชนไทยทั่วไป

การเจรจาภาษีควรเดินหน้าอย่างอิสระ เพราะเศรษฐกิจคือผลประโยชน์ของคนทั้งชาติ ไม่ใช่เวทีต่อรองเพื่อปล่อยตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่ง อย่าเอาน้ำหนักของ “สายเลือด” ไปทับถม “หลักนิติธรรม” ที่ประเทศอื่นพยายามรักษาไว้ด้วยความยากลำบาก

โลกจะอยู่ไม่ได้ หากอำนาจทางการค้าใหญ่กว่าหลักแห่งความยุติธรรม

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ลุยเดินสายซับน้ำตา บรรเทาทุกข์ - เยียวยาผู้ประสบภัยอัคคีภัย ในพื้นที่จังหวัดราชบุรี และ มอบเงินช่วยเหลือค่าฌาปนกิจแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวต่อเนื่อง

(22 เม.ย.68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ พร้อมด้วย นายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย นำทีม แผนกสาธารณภัย ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอัคคีภัยในพื้นที่ซอยโรงธูป อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี  รวมจำนวน 49 คน โดยมอบเงินสดคนละ 3,500 บาท พร้อมมอบเครื่องอุปโภคบริโภค รวมจำนวน 17 ชุด รวมงบประมาณการช่วยเหลือผู้ประสบอัคคีภัยทั้งสิ้น 214,000 บาท  โดยมี นายนรสิงห์ อรุณบรรเจิดกุล ปลัดเทศบาลเมืองบ้านโป่ง ปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีเมืองบ้านโป่ง พร้อมด้วย คณะมูลนิธิรวมใจการกุศลราชบุรี และ คณะอาสาสมัครเฉพาะกิจ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมในพิธี ณ เทศบาลบ้านโป่ง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี   หลังจากนั้น นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พร้อมคณะ ได้เดินทางไปยัง สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อมอบเงินช่วยเหลือค่าฌาปนกิจแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหว จำนวน 7 รายๆ ละ 20,000 บาท รวมเป็นเงิน 140,000 บาท 

รวมงบประมาณการช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยทั้งสองเหตุเป็นเงินทั้งสิ้น 354,000 บาท (สามแสนห้าหมื่นสี่พันบาทถ้วน) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอแสดงความเสียใจและอาลัยอย่างสุดซึ้ง และขอส่งกำลังใจไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวทุกท่านมา ณ ที่นี้

เมื่อเกิดเหตุสาธารณภัย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ดำเนินการเชิงรุกอย่างบูรณาการร่วมกันทั้งด้านงานบรรเทาสาธารณภัย และงานสังคมสงเคราะห์ ดังเช่น เหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ ได้จัดส่งทีมสาธารณภัย ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการมอบสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นให้แก่โรงพยาบาลที่ทำการอพยพและเปิดรับบริจาคสิ่งของ พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเยียวยาครอบครัวผู้สูญเสียและผู้บาดเจ็บ ทั้งชาวไทยและเมียนมา รวมมูลค่าการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและมอบเงินค่าฌาปนกิจศพแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวจนถึงปัจจุบันไม่ต่ำกว่า 5 แสนบาท โดยปัจจุบันมูลนิธิฯ ยังคงติดตามและเข้ามอบเงินช่วยเหลือแก่ญาติผู้ประสบเหตุดังกล่าวต่อไป

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ขอขอบพระคุณผู้มีจิตศรัทธาที่ร่วมบริจาคทรัพย์ เครื่องอุปโภคบริโภค สมทบทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยต่าง ๆ ขอบุญบารมีหลวงปู่ไต้ฮง (ไต้ฮงกง) ส่งผลให้ท่านและครอบครัว มีความสุขความเจริญตลอดไป ท่านสามารถติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung  

กว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top