Saturday, 10 May 2025
NewsFeed

กองทัพเรือ ผู้แทนกองทัพไทย จัดชุดปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว เมียนมา

พลเรือโท วัชระ พัฒนรัฐ ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ กล่าวให้โอวาทเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับ ชุดปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์ระดับสูงในภาวะภัยพิบัติ (Medical Emergency Response Team : MERT) ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้แทนหน่วยแพทย์ กองบัญชาการกองทัพไทย ประสานผ่านกรมแพทย์ทหารเรือ​ ได้ให้โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์​ ฐานทัพเรือสัตหีบ​ จัดชุดปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว ณ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งพร้อมเดินทางปฏิบัติภารกิจ​เพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม​ ในวันที่​ 11 เมษายน​ 2568 

โดยได้ทำพิธีดังกล่าว ณ ห้องประชุมกฤษณจันทร์ กิจการสโมสรโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568

BYD ชี้ไม่กระทบจากนโยบายภาษีสหรัฐฯ มองเป็นโอกาสในการขยายตลาดเอเชียแปซิฟิก

(10 เม.ย. 68) นายหลิว เสวียเลี่ยง ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท บีวายดี ออโต้ อินดัสทรี จำกัด (BYD) เปิดเผยว่า การปรับขึ้นภาษีทั่วโลกโดยสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเริ่มมีผลตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน 2568 จะไม่มีผลกระทบต่อแบรนด์และธุรกิจของบีวายดีในภาพรวมแต่อย่างใด

นายหลิวกล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทมีการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งในด้านเทคโนโลยีและชิ้นส่วนรถยนต์ รวมถึงการออกแบบ ทำให้สามารถควบคุมกระบวนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังไม่มีแผนเข้าสู่ตลาดอเมริกาในขณะนี้ ซึ่งทำให้ไม่ต้องเผชิญกับผลกระทบจากนโยบายภาษีใหม่ของสหรัฐฯ

นอกจากนี้ นายหลิวยังกล่าวถึงกลยุทธ์การขยายตลาดทั่วโลกของบีวายดี โดยเน้นการลงทุนในตลาดภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นหลัก โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งถือเป็นฐานสำคัญในการขยายธุรกิจในภูมิภาคนี้ การปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ อาจทำให้บริษัทเพิ่มโอกาสในการนำทรัพยากรไปลงทุนในตลาดเอเชียแปซิฟิกมากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคนี้

การขยายธุรกิจของบีวายดีในตลาดเอเชียแปซิฟิกยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทมองว่าในระยะยาว ภูมิภาคนี้จะเป็นตลาดที่สำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า และบีวายดีจะเดินหน้าสร้างโอกาสและเสริมสร้างตำแหน่งทางการตลาดในภูมิภาคนี้อย่างมั่นคง

เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายจากหลังคาไนต์คลับถล่ม ดับพุ่ง 184 ศพ ปฏิบัติการกู้ภัยยังคงเดินหน้า โดมินิกันประกาศไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิต

(10 เม.ย. 68) เหตุการณ์หลังคาไนต์คลับถล่มในกรุงซันโตโดมิงโก เมืองหลวงของสาธารณรัฐโดมินิกัน ยังคงสร้างความสะเทือนใจให้กับประเทศ หลังจากที่ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้เพิ่มขึ้นเป็น 184 รายแล้ว 

อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยยังคงดำเนินต่อไปอย่างเต็มที่ แต่นับตั้งแต่ช่วงบ่ายวันอังคารที่ 8 เมษายน ยังไม่มีการพบผู้รอดชีวิตเพิ่มเติม จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ไนต์คลับแห่งหนึ่งในกรุงซันโตโดมิงโกเมื่อช่วงเช้าของวันจันทร์

สำหรับคลับ Jet Set ในตำนานแห่งนี้ในวันเกิดเหตุได้จัดคอนเสิร์ตของ ‘รับบี้ เปเรซ’ นักร้องเมอเรงเก้คนดังชาวโดมินิกัน ซึ่งเสียชีวิตในที่เกิดเหตุด้วยจากคำยืนยันของผู้จัดการและครอบครัวของเขา นอกจากนี้ในคอนเสิร์ตดังกล่าวยังเต็มไปด้วยนักดนตรี นักกีฬาอาชีพ และเจ้าหน้าที่รัฐ พร้อมผู้เข้าร่วมอีกประมาณ 500 ถึง 1,000 คน

เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและหน่วยกู้ภัยยังคงขุดค้นซากอาคารอย่างระมัดระวังเพื่อหาผู้ประสบภัยที่อาจติดอยู่ภายใน ขณะที่ทีมแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เข้ามาช่วยเหลือในการดูแลผู้ได้รับบาดเจ็บ

สื่อท้องถิ่นรายงานโดยอ้างคำพูดของ ฆวน มานูเอล เมนเดซ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินของประเทศเมื่อวันพฤหัสบดีว่า มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้อย่างน้อย 184 ราย เมนเดซยังเน้นย้ำว่านี่เป็นเพียง “ตัวเลขเบื้องต้น” เท่านั้น

“จนกว่าเราจะตรวจสอบทุกอย่างเสร็จสิ้น เราจะไม่ทอดทิ้งใคร เราจะอยู่ที่นี่จนกว่าจะสามารถกู้ทุกคนกลับมาได้ ไม่ว่าจะยังมีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตก็ตาม” เมนเดซกล่าว

การสอบสวนเบื้องต้นระบุว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเกิดจากการพังทลายของโครงสร้างอาคารหลังจากที่ฝนตกหนักและมีลมพัดแรง แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นสาเหตุหลัก โดยกระทรวงโยธาธิการได้เข้ามาตรวจมาตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวและส่งไปยังสำนักงานนายกเทศมนตรี แต่สำนักงานนายกเทศมนตรีก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าวเช่นกัน

ทั้งนี้ ทางการสาธารณรัฐโดมินิกันได้ประกาศไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิตและกำลังดำเนินการช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่ 

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติประชุมตำรวจทั่วประเทศ ขับเคลื่อนมาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม และการอำนวยความสะดวกการจราจร ช่วงเทศกาลสงกรานต์

(10 เม.ย.68) เวลา 15.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนมาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม และการอำนวยความสะดวกด้านการจราจร ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 โดยมี พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ณพวัฒน์ อารยางกูร ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.กฤษฎา สุรเชษฐพงษ์  ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้ช่วย ผบ.ตร. และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ศปก.ตร. ชั้น 20 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และการประชุมทางไกลผ่านจอภาพ

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียน “สงกรานต์ในประเทศไทย” เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นภาพลักษณ์และประเพณีที่ดีงามของไทย ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายได้ตระหนักถึงหน้าที่ การรักษาความปลอดภัย ความสงบเรียบร้อย บรรยากาศที่ดีงาม ในงานประเพณีดังกล่าว จึงกำชับให้ทุกหน่วยดำเนินการ ดังนี้  

1. มาตรการด้านการข่าว และการป้องกันเหตุ : ให้ทุกหน่วยติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ และสถานการณ์ในภาพรวม เพื่อบริหารจัดการมาตรการรักษาความปลอดภัย การบริหารจัดการในพื้นที่ โดยกำชับให้มีการทำแผน ซักซ้อมการปฏิบัติ เน้นการแสดงกำลัง Show of Force ตรวจค้น บังคับใช้กฎหมาย , การละเล่นต่าง ๆ จะต้องไม่เกินเลย ไม่ฝ่าฝืนกฎหมายหรือกระทำใด ๆ ที่ก่อความวุ่นวาย จะต้องจุดชุดปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ ระงับเหตุได้อย่างทันท่วงที ไม่ปล่อยให้เหตุลุกลามบานปลาย จะต้องกำหนดแผนเผชิญเหตุ พื้นที่ทางการแพทย์ กองอำนวยการร่วมในการช่วยเหลือประชาชน เช่น ปฐมพยาบาลเบื้องต้น การช่วยเหลือคนหายพลัดหลง ทรัพย์สินสูญหาย  

2. มาตรการการรักษาความปลอดภัยพื้นที่จัดงาน : เทศกาลสงกรานต์ 2568 นี้ มีสถานที่การจัดงานขนาดใหญ่ทั่วประเทศ จำนวน 71 แห่ง อาทิ ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 20 แห่ง เช่น ถนนข้าวสาร , สนามหลวง , ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ , พื้นที่ จ.ชลบุรี 6 แห่ง , จ.เชียงใหม่ 7 แห่ง , จ.ภูเก็ต 2 แห่ง , จ.นครราชสีมา 1 แห่ง กำชับให้ทุกพื้นที่ ทุกหน่วย เตรียมแผนการปฏิบัติและแผนเผชิญเหตุ มาตรการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ต้องชัดเจน มอบหมายผู้รับผิดชอบพื้นที่ให้ชัดเจน มีความเข้าใจบทบาท หน้าที่ สามารถตอบสนองและปฏิบัติได้ จัดเตรียมข้อมูลพื้นที่รับผิดชอบ ซักซ้อมการปฏิบัติ กรณีที่มีผู้เข้าร่วมงานจำนวนมาก จะต้องตัดสินใจในการระงับหรืองดการละเล่น กิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระมัดระวังไม่ให้คนหนาแน่นจนเกิดอันตรายต่อประชาชน , ตรวจสอบกล้องวงจรปิด ระบบการติดต่อสื่อสาร และเส้นทางหลัก เส้นทางรอง เส้นทางฉุกเฉิน และอำนวยความสะดวกด้านการจราจรในบริเวณที่จัดงานให้มีการไหลเวียนของยานพาหนะ กำหนดจุดรับ ส่ง จุดจอดรถ โดยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนกำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยในบริเวณดังกล่าวด้วย เพื่อป้องกันอาชญากรรมเกี่ยวกับทรัพย์สิน

3. มาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม : กำชับการเปิดสัญญาณไฟวับวาบ การตรวจสอบบุคคล ยานพาหนะต้องสงสัย การตั้งจุดตรวจ จุดสกัด และผู้บังคับบัญชาตรวจสอบสถานที่ในโครงการ “ตำรวจร่วมใจ ยกระดับความปลอดภัยบ้านประชาชน” (ฝากบ้าน 4.0) ร่วมกับเจ้าหน้าที่สายตรวจ จราจร และฝ่ายสืบสวนด้วย เน้นย้ำทุกพื้นที่ต้องไม่ให้มีการก่อเหตุซ้ำรอยจากการปฏิบัติที่ผ่านมา ผบก. ผกก. หัวหน้า สน./สภ. ต้องดูแลรับผิดชอบในพื้นที่อย่างชัดเจน เตรียมแผนและคัดกรองบุคคลให้ไม่มีอาวุธ หรือสิ่งเทียมอาวุธ อย่างเด็ดขาด 

ห้วงที่ผ่านมา วันที่ 21-30 มีนาคม 2568 ได้มีการระดมกวาดล้างอาชญากรรมทั่วประเทศ เน้นเป้าหมายการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด และบุคคลตามหมายจับ โดยจับกุมตรวจยึดอาวุธปืนได้ 5,398 กระบอก เครื่องกระสุน 39,069 และบุคคลตามหมายจับ 18,746 ราย และการระดมกวาดล้างอาชญากรรมของ ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ห้วงวันที่ 7-9 เมษายน 2568 จับกุมชาวต่างชาติกระทำผิดกฎหมาย รวม 8,687 ราย

4. มาตรการด้านการจราจร : เส้นทางที่ประชาชนใช้จำนวนมาก จะต้องมีการปรับแผนการเร่งความเร็วรถอย่างต่อเนื่อง เตรียมการพื้นที่พักรถ ประสานสถานีให้บริการน้ำมันเชื้อเพลิง จุดชารท์รถไฟฟ้า และประสานหน่วยงานในการช่วยเหลือรถเสีย ซ่อมแซม ยกรถ ขอคืนพื้นที่การจราจร

ทั้งนี้ ได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศในการดูแลการจราจร ซึ่งคาดการณ์ว่าปีนี้จะมีปริมาณรถเข้า-ออกกรุงเทพมหานคร ในช่วงวันที่ 11 - 17 เมษายน 2568 จำนวนมากกว่า 7 ล้านคัน (มากกว่าช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 ที่มีจำนวนประมาณ 6.8 ล้านคัน) โดยคาดว่าประชาชนจะเริ่มเดินทางตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2568 ปริมาณรถที่จะออกมากที่สุดในวันที่ 12 เมษายน 2568 (คาดการณ์ที่ 6.7 แสนคัน) ปริมาณรถที่จะกลับเข้ากรุงเทพมหานครมากที่สุดในวันที่ 16 และ 17 เมษายน 2568 (คาดการณ์วันละ 5.8 แสนคัน) ตั้งเป้าลดจำนวนการเกิดอุบัติเหตุทางถนน จำนวนผู้เสียชีวิต และจำนวนผู้บาดเจ็บ (admit) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับสถิติช่วงเทศกาลสงกรานต์ เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง โดยเฉพาะช่วงควบคุมเข้มข้น 7 วัน ระหว่างวันที่ 11 – 17 เมษายน 2568

นอกจากนี้ สั่งการให้สำรวจจุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ที่มีปัจจัยจากสภาพถนนที่เป็นจุดเสี่ยง เพื่อประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาต่อไป และกำหนดช่องหรือแนวทางเดินรถขึ้นและล่อง และควบคุมหรือห้ามเลี้ยวรถในทางร่วมทางแยกในถนนบางสาย ห้ามรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไปเดินรถในบางเส้นทาง พร้อมกำชับการบังคับใช้กฎหมาย 10 ข้อหาหลัก โดยกำหนด 5 เน้นหนัก ได้แก่ เมาแล้วขับ , ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด , ไม่สวมหมวกนิรภัย , ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย , ขับรถย้อนศร และบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดเมาแล้วขับซ้ำภายในสองปีนับแต่วันที่กระทำผิดครั้งแรก และสอบสวนขยายผลกรณีผู้ขับขี่เป็นเด็กหรือเยาวชนด้วย

5. มาตรการด้านการประชาสัมพันธ์ : กำชับโฆษกหน่วย โดยเฉพาะในพื้นที่การจัดงาน หน่วยที่ดูแลภาพรวมการจราจร ได้แก่ กองบังคับการตำรวจจราจร และกองบังคับการตำรวจทางหลวง จะต้องมีการประชาสัมพันธ์เส้นทาง การปฏิบัติตนในพื้นที่การจัดงาน การกระทำที่สุ่มเสี่ยง ฝ่าฝืนกฎหมาย การให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบ การบริหารจัดการพื้นที่ และการประชาสัมพันธ์การทำงานของเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติประสานหน่วยงานช่วยเหลือในการประชาสัมพันธ์ การประชาสัมพันธ์ในภาพรวมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเอื้ออาทรในการใช้ทาง และเตรียมความพร้อมก่อนการเดินทาง

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนต้องการแจ้งเหตุ ขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือสอบถามเส้นทางจราจร ได้ที่สายด่วน 191 หรือ 1599 , สายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจร 1197 และสายด่วนกองบังคับการตำรวจทางหลวง 1193 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

จีนเปิดเผยข้อมูลสำคัญจากยาน ‘ฉางเอ๋อ-6’ ด้านไกลของดวงจันทร์น้ำน้อยกว่าฝั่งใกล้ บ่งชี้ถึงความแห้งแล้ง

(10 เม.ย. 68) การค้นพบล่าสุดจากตัวอย่างหินดวงจันทร์ที่ยานสำรวจฉางเอ๋อ-6 (Chang'e-6) ของจีนนำกลับมายังโลก เผยให้เห็นว่าชั้นแมนเทิลหรือชั้นเนื้อดาวของดวงจันทร์ในบริเวณด้านไกล มีน้ำน้อยกว่าเมื่อเทียบกับด้านใกล้ ซึ่งบ่งชี้ว่าซีกด้านไกลของดวงจันทร์ที่มักหันออกจากโลกนั้นมีแนวโน้มแห้งแล้งกว่ามาก

การศึกษานี้เผยแพร่ในวารสาร เนเจอร์ (Nature) เมื่อวันที่ 9 เมษายน พบว่าตัวอย่างจากชั้นหินในบริเวณด้านไกลของดวงจันทร์มีน้ำเพียง 2 ไมโครกรัมต่อกรัม ซึ่งต่ำที่สุดเท่าที่เคยบันทึกได้ ขณะที่ตัวอย่างจากด้านใกล้พบว่ามีปริมาณน้ำสูงถึง 200 ไมโครกรัมต่อกรัม

หูเซิน ศาสตราจารย์จากสถาบันธรณีวิทยาและธรณีฟิสิกส์ กล่าวว่าความเข้มข้นของน้ำในตัวอย่างล่าสุดนี้อยู่ที่ 1-1.5 ส่วนต่อล้านส่วน ซึ่งแม้แต่ทะเลทรายที่แห้งแล้งที่สุดบนโลกยังมีน้ำอยู่ถึง 2,000 ส่วนต่อล้านส่วน

โดยในส่วนของการศึกษานี้ ยานฉางเอ๋อ-6 ซึ่งถูกส่งขึ้นสู่อวกาศเมื่อเดือนพฤษภาคม 2024 ได้ลงจอดที่แอ่งขั้วใต้-เอตเคนของดวงจันทร์ และนำตัวอย่างหินมาจากด้านไกลของดวงจันทร์เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นการเปิดเผยข้อมูลใหม่ที่ไม่เคยมีการศึกษามาก่อน

ผลการศึกษานี้มีความสำคัญต่อการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการก่อตัวและวิวัฒนาการของดวงจันทร์ รวมถึงความแตกต่างของด้านใกล้และด้านไกลของดวงจันทร์ ซึ่งถูกพิจารณาว่ามีองค์ประกอบทางธรณีวิทยาและเคมีที่แตกต่างกันมาอย่างยาวนาน

แผนการสำรวจในอนาคตของจีน จีนได้ตั้งเป้าหมายสำคัญในการสำรวจดวงจันทร์ในอนาคต ซึ่งรวมถึงการสร้างฐานถาวรบนดวงจันทร์และการส่งนักบินอวกาศไปยังดวงจันทร์ภายในปี 2030 โดยการศึกษาเหล่านี้ยังมีบทบาทสำคัญในการพิจารณาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์บนดวงจันทร์ในระยะยาว

ผลการศึกษานี้ไม่เพียงแค่ให้ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับการศึกษาดวงจันทร์ แต่ยังมีนัยสำคัญในการช่วยผลักดันภารกิจการสำรวจในอนาคต และการเตรียมความพร้อมสำหรับการสร้างฐานที่อยู่อาศัยมนุษย์บนดวงจันทร์ในระยะยาว

‘ดร.กอบศักดิ์’ ชี้ ‘ทรัมป์’ ขึ้นภาษีนำเข้าจีนแตะ 145% ไม่ใช่ 125% ส่งผลจีนต้องหาตลาดใหม่ แนะไทยเตรียมรับมือสินค้าจีนทะลัก

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงการปรับเพิ่มอัตราภาษีระหว่างสหรัฐ อเมริกา กับ จีน ว่า...
145% ไม่ใช่ 125% !!! แต่ไม่ใช่ของใหม่

การเพิ่มอัตรา Tariffs ใส่จีนเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายมาก แค่เขียนสั้นๆ ใน Executive Orders เช่น ในวันที่ 8 เมษายน  "ที่เคยเขียนไว้ว่า 34% ให้เอาออก และใส่คำว่า 84% เข้าไปแทน"

ในวันที่ 9 เมษายน อีกครั้ง "ที่เคยเขียนไว้ว่า 84% ให้เอาออก และใส่คำว่า 125% เข้าไปแทน" แค่นี้ก็จบ

หมายความว่า จีนต้องจ่ายภาษีนำเข้า ก่อน Reciprocal Tariffs 10 +10 = 20% สำหรับกรณี Fentanyl 

แต่เมื่อรวม Reciprocal Tariffs ที่ท่านประธานาธิบดีประกาศล่าสุด
10 + 10 + 125 = 145% !!!!

จึงไม่ใช่แค่ 125% ตามที่หลายคน (รวมถึงผมด้วย) เข้าใจกัน ภาษีที่สูงลิ่วนี้ ทำให้บริษัทต่างๆ ของสหรัฐเริ่มยกเลิกคำสั่งซื้อสินค้าจากจีน เช่น Amazon แจ้ง Suppliers ไปว่า ขอยกเลิก เพราะสู้ภาษีนำเข้าไม่ไหว 
พร้อมหันไปหาประเทศอื่นๆ 

แลกกันคนละหมัด สหรัฐวุ่นวายเพราะตลาดทุนที่ปั่นป่วน โดยเฉพาะตลาด Bonds จีนกำลังจะวุ่นวายเพราะ โรงงานต่างๆ ไม่มีคำสั่งซื้อจากสหรัฐ

และถ้าเทียบกัน 
สหรัฐส่งออกมาที่จีนเพียง 143.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
ส่วนจีนส่งออกมาที่สหรัฐ 438.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
หรือประมาณ 1 ต่อ 3 

หมายความว่าต่อไปจีนต้องหาตลาดใหม่ให้สินค้าตนเอง ประมาณเดือนละ 37 พันล้านดอลลาร์ สรอ. มากกว่าที่ไทยส่งออกไปทั้งโลกในแต่ละเดือนที่ 27 พันล้านดอลลาร์ สรอ.

ส่วนหนึ่งของสินค้าที่ถูกยกเลิกคงส่งมาบุกที่เมืองไทย 
เราคงต้องเตรียมการรับมือดีดีครับ

JSP ผนึก CDIP ผลักดันอุตสาหกรรมระดับจังหวัดสู่เทรนด์ยั่งยืน หลังพบธุรกิจสีเขียวโตแรง!! เป็นรองแค่อุตสาหกรรมเทคฯเท่านั้น

JSP ผนึก CDIP จับมือภาคอุตสาหกรรมระดับจังหวัดเปิดโครงการ OPOAI – C Next Steps ถ่ายทอดความรู้และนวัตกรรมแก่ผู้ประกอบการเพื่อยกระดับสู่ธุรกิจสีเขียว ที่เป็นเทรนด์การเติบโตสูงของโลก เป็นรองเพียงธุรกิจเทคโนโลยี

นายสิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (JSP) ผู้ให้บริการด้านสุขภาพอย่างครบวงจร ผู้นำในการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Own Brand และการรับจ้างผลิต (OEM) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับคนและสัตว์ ยาแผนปัจจุบัน ยาสมุนไพร และเครื่องสำอาง เปิดเผยว่าบริษัท ซีดีไอพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ CDIP ซึ่งเป็นผู้วิจัยและพัฒนาในการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับ JSP ล่าสุด CDIP ภายใต้การนำของ นายจิตรเทพ เนื่องจำนงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ร่วมมือภาคอุตสาหกรรมระดับจังหวัดและระดับชุมชน ในการร่วมกันวิจัยและพัฒนาเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมท้องถิ่นให้เกิดการเพิ่มมูลค่าด้วยการสร้างธุรกิจนวัตกรรมสีเขียว ด้วยการวิจัยและพัฒนาวัตถุดิบเหลือใช้จากโรงงานระดับท้องถิ่นเป็นสินค้าเพื่อลดปริมาณการทิ้ง หรือ“ขยะเป็นศูนย์ (zero  waste)” ในกระบวนการผลิตของแต่ละโรงงาน

ล่าสุด JSP และ CDIP ได้นำร่องในการจับมือกับอุตสาหกรรม จ. อุตรดิตถ์ ในโครงการ กิจกรรมส่งเสริมและพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรมคู่ชุมชน ยกระดับผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรอุตสาหกรรมสู่ธุรกิจตลาดสมัยใหม่ (OPOAI – C Next Steps) โดยโครงการนี้จะเริ่มจากการจัดอบรมเพื่อปูพื้นความรู้ สู่การพัฒนากลุ่มเกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชนการเกษตร กลุ่มสหกรณ์การเกษตร ผู้ประกอบการเกษตรแปรรูป ที่มีการรวมกลุ่มทำกิจกรรมของสมาชิก จนสามารถจัดทำร่างต้นแบบผลิตภัณฑ์ (Draft Prototype) อย่างน้อยกลุ่มละ 1 ผลิตภัณฑ์ พร้อมแผนธุรกิจ ในการสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร หลังการฝึกอบรมคณะกรรมการจะพิจารณาคัดเลือกกลุ่มที่ผ่านการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตร เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้กับเกษตรกร ให้มีความมั่นคงด้านอาชีพและมั่นคง ด้านรายได้อย่างยั่งยืนต่อไป

โดย JSP ได้โชว์เคสโครงการตัวอย่าง zero waste ด้วยการนำกากเจลาตินเหลือทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรม ที่มีมากถึง 50 ตันต่อปี ที่เกิดจากความร่วมมือกับบริษัท CDIP ซึ่งเป็นทีมวิจัยและพัฒนา ที่ตั้งอยู่ในอุทยานวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย  จึงได้ทำการวิจัยและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ EM สารเพิ่มประสิทธิภาพพืช ภายใต้แบรนด์ 'ID.KASET' ซึ่งสามารถเปลี่ยน waste ให้เป็นผลิตภัณฑ์น้ำยา EM ที่มีมูลค่าสูงและเกิดประโยชน์ต่อเกษตรกร ช่วยปรับสมดุลดินและน้ำ ช่วยให้พืชเจริญเติบโต ช่วยเกษตรกรลดการใช้สารเคมี รวมถึงสามารถกำจัดกากเจลาตินเหลือทิ้ง ให้เป็นประโยชน์ได้ถึง 450 กิโลกรัมต่อเดือน หรือคิดเป็น 12% ของเจลาตินเหลือทิ้งทั้งหมด

โดยก่อนหน้านี้ JSP ได้ร่วมมือกับ อบต.ศรีบัวบาน จ. ลำพูน เพื่อทำการทดสอบการฝังกลบให้เป็นอาหารของพืช ปรากฏว่าสามารถทำได้และปลอดภัย ช่วยลดต้นทุนค่ากำจัด 50,000 บาท แต่ก็ยังไม่สามารถเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ได้ ทำให้เกิดความคิดริเริ่มในการเพิ่มมูลค่าของเหลือทิ้งจากโรงงาน การร่วมมือกับ CDIP ครั้งนี้จึงเป็นความก้าวหน้าอีกขั้น ซึ่งทาง JSP และ CDIP จะไม่เพียงแต่นำผลิตภัณฑ์ ID.KASET ออกจำหน่าย ผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของโรงงานอุตสาหกรรมที่เป็นปัจจัยสำคัญในการทำลายสิ่งแวดล้อมไปสู่พันธมิตรที่ดีกับภาคเกษตรกร

ทั้งนี้ การนำกากของเหลือใช้มาวิจัยและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อการเกษตรเป็นตัวอย่างที่ดีในการยกมาให้กลุ่มอุตสาหกรรมชุมชนเรียนรู้เนื่องจากได้ประโยชน์ 2 ด้าน คือ ได้ลดปริมาณขยะเป็นศูนย์ และ ได้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเกษตรกรต่อยอดสินค้าที่ตอบสนองความต้องการผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น อีกทั้งการที่เกษตรกรสามารถยกระดับสินค้าเป็นสินค้าออร์แกนิกจะช่วยเพิ่มมูลค่าและขยายกลุ่มเป้าหมายไปสู่ลูกค้าระดับบน 

โดยข้อมูลจากตลาดหุ้นลอนดอนระบุว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านเศรษฐกิจสีเขียวเป็นอุตสาหกรรมที่มีผลงานดีเป็นอันดับ 2 รองจากธุรกิจด้านเทคโนโลยี มีมูลค่าการตลาดเกือบ 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการเติบโตสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปสู่การใส่ใจด้านความยั่งยืนที่จะให้ความสำคัญกับการอ่านฉลากผลิตภัณฑ์ว่าสินค้าแต่ละประเภทที่จะซื้อนั้นผลิตมาจากกระบวนการของธุรกิจสีเขียวหรือไม่ หากอุตสาหกรรมระดับชุมชนของไทยสามารถยกระดับไปสู่ธุรกิจสีเขียวได้ก็จะส่งผลให้เพิ่มมูลค่าไปสู่กลุ่มลูกค้าระดับบนที่พร้อมจะยอมจ่ายให้กับส่วนต่างราคาที่สูงขึ้นแต่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

‘รัฐบาลสหรัฐฯ’ ไล่นักเรียนต่างชาติพ้นแคมปัส เพิกถอนวีซ่า 300 คน โดยไม่มีคำเตือน ‘UCLA’ กระเทือนหนัก

(11 เม.ย. 68) ฮูลิโอ แฟรงค์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตลอส แอนเจลิส (UCLA) แถลงผ่านเว็บไซต์ทางการของมหาวิทยาลัยถึงกรณีที่รัฐบาลทรัมป์ได้มีคำสั่งเพิกถอนวีซ่านักเรียนต่างชาติ (student visas) มากกว่า 300 รายทั่วประเทศ โดยมีนักศึกษาของยูซีแอลเอที่ได้รับผลกระทบไม่ต่ำกว่า 10 คน และเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีการแจ้งเตือนหรือชี้แจงล่วงหน้าจากรัฐบาลกลาง

อธิการบดีแฟรงค์ ระบุว่า นักศึกษาที่ได้รับผลกระทบอย่างน้อย 6 คน ที่ยังคงศึกษาอยู่ในปัจจุบัน และอีกประมาณ 6 คนที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาและอยู่ในช่วงฝึกงานภายใต้โปรแกรม OPT (Optional Practical Training) ซึ่งอนุญาตให้นักศึกษาต่างชาติทำงานต่อได้อีก 1-2 ปี หลังจบการศึกษา

มหาวิทยาลัยยูซีแอลเอ ซึ่งมีนักศึกษาจากเอเชียมากกว่า 26% ระบุว่าการยกเลิกวีซ่าเกิดขึ้นผ่านระบบ SEVIS (Student and Exchange Visitor Information System) ภายใต้การดูแลของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ และจากโปรแกรม SEVP (Student and Exchange Visitor Program) ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลของทางสถาบัน พบว่ามีการยุติสถานภาพ (terminated) ของนักศึกษาปัจจุบันและอดีตนักศึกษาอย่างน้อย 12 คน

แม้จะไม่มีการระบุเหตุผลที่ชัดเจน แต่โดยปกติแล้วการยกเลิกวีซ่านักเรียนจะเกี่ยวข้องกับการละเมิดข้อกำหนดตามโปรแกรมวีซ่า เช่น การเรียนไม่ครบชั่วโมง การหยุดเรียนโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการทำงานโดยผิดกฎหมาย ทั้งนี้ตัวเลขของผู้ได้รับผลกระทบยังคงไม่แน่นอนและอาจมีการเปลี่ยนแปลง

ในแถลงการณ์ระบุเพิ่มเติมว่า “จนถึงขณะนี้ ยูซีแอลเอยังไม่มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางได้ปฏิบัติการใด ๆ ภายในแคมปัส และยังไม่ได้รับคำชี้แจงใด ๆ จากรัฐบาลเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้”

อย่างไรก็ตาม ในเว็บไซต์ของหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรของสหรัฐฯ (ICE) มีข้อความระบุชัดว่า “หากคุณมีข้อมูลเกี่ยวกับการปลอมแปลงวีซ่านักเรียน หรือนักเรียนต่างชาติที่ลักลอบทำงานผิดกฎหมาย กรุณารายงานได้ที่นี่” ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการในครั้งนี้

ด้าน มาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ กล่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่า กระทรวงของเขาได้เพิกถอนวีซ่ามากกว่า 300 ฉบับ โดยส่วนใหญ่เป็นวีซ่านักเรียน ภายใต้การกำกับดูแลของเขา

หนึ่งในคดีที่ได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงแรก คือกรณีของนักศึกษาที่ถูกกล่าวหาว่าให้การสนับสนุนองค์กรก่อการร้าย รวมถึงกรณีการจับกุม มะห์มูด คาลิล ภายหลังเข้าร่วมการประท้วงสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย

สถานการณ์ในปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของนักเรียนต่างชาติในการเผชิญการเนรเทศ โดยมีการเพิกถอนวีซ่าอันเกิดจากความผิดเล็กน้อยในอดีต หรือในบางกรณีอาจไม่มีสาเหตุที่ชัดเจนเลย ตามคำกล่าวของทนายความด้านการย้ายถิ่นฐาน

สำหรับ การบังคับใช้กฎหมายกับนักศึกษาต่างชาติในสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำของอเมริกา มีขึ้นท่ามกลางการปราบปรามผู้อพยพครั้งใหญ่ของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งรวมถึงการใช้อำนาจในเชิงรุกในการตะเพิดผู้อพยพบางราย และดำเนินการเนรเทศโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการไต่สวน

เจฟฟ์ โจเซฟ ประธานสมาคมทนายความด้านการย้ายถิ่นฐานอเมริกัน กล่าวว่า “เครื่องมือทั้งหมดที่มีอยู่ในกฎหมายเกี่ยวกับการย้ายถิ่นฐานล้วนเคยถูกใช้มาก่อนแล้ว แต่ครั้งนี้มันถูกใช้ในลักษณะที่สร้างความตื่นตระหนกและความโกลาหลในหมู่ประชาชน และสุดท้ายคนเหล่านั้นจะต้องออกจากประเทศไปโดยปริยาย”

อธิการบดีฮูลิโอ แฟรงค์ กล่าวปิดท้ายด้วยความห่วงใยว่า “เราต้องการให้นักศึกษานานาชาติของเรารู้ว่า คุณไม่ได้เผชิญสิ่งเหล่านี้เพียงลำพัง คุณเป็นส่วนหนึ่งของยูซีแอลเอ และเป็นส่วนสำคัญของชุมชนของเรา”

‘เอกนัฏ’ ลั่น ไม่ว่าผลสอบตึกถล่มจะออกมาอย่างไร แต่เหล็กของซิน เคอ หยวน ถือว่าสอบตก พร้อมปรับแผนส่งทีมสุดซอย ร่วมเจ้าหน้าที่ DSI เข้าตรวจสอบเก็บข้อมูลบริษัทฯแล้ว

(11 เม.ย. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า ขอปรับแผน ให้ชุดสุดซอยนำหมายศาลเข้าค้นบริษัท ซิน เคอ หยวน (SKY) พร้อม DSI และตำรวจสอบสวนกลาง

“สำหรับผม ไม่ว่าผลสอบสาเหตุของตึกถล่มโดยคณะกรรมการสอบสวนจะออกมาเป็นอย่างไร ผลทดสอบของเหล็ก SKY หรือ ซิน เคอ หยวน ถือว่าสอบตกไปแล้ว”

1. ตัวอย่างเหล็กใหม่ที่เก็บจากโรงงานที่ถูกปิดช่วงธันวาคม(จนถึงวันนี้) สอบตกไปสองรอบ และไม่อนุญาตให้ทดสอบใหม่อีกเป็นรอบที่สาม

2. ตัวอย่างที่ผมได้นำทีมไปเก็บจากบริเวณตึกถล่ม ท่ามกลางสื่อฯ ซึ่งในวันนั้น ผมไม่รู้ด้วยซํ้าว่าจะเจอเหล็กยี่ห้ออะไร ตัดเหล็กด้วยอุปกรณ์จากเหล็กท่อนยาวที่ประเมินว่าไม่ได้รับผลกระทบจากการถล่ม (ได้ถ่ายคลิปเก็บไว้ด้วย) ปรากฏว่าเหล็กข้ออ้อยของ SKY สอบตกไปสองรายการ ในขณะที่เหล็กของยี่ห้ออื่นผ่าน

สอบตกก็คือตก แม้ผลสอบสาเหตุตึกถล่มจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ผลทดสอบของเหล็ก SKY ก็ไม่ผ่านอยู่ดี 

แต่หากทางเจ้าพนักงานจะประสานเจ้าหน้าที่ของกระทรวงอุตสาหกรรมไปร่วมเก็บหลักฐานเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ ก็ยินดีให้ความร่วมมือครับ

อย่างไรก็ตาม จะต้องเร่งสืบค้นข้อมูล ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เหล็กที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะเหล็กที่ถูกนำออกสู่ตลาดไปก่อนหน้าที่โรงงานจะถูกปิดในช่วงธันวาคมที่ผ่านมา ให้ปรากฏต่อสาธารณะโดยเร็วที่สุด ระงับยับยั้งไม่ให้เกิดความเสียหายต่อไป

ซึ่งก่อนหน้า ทีมสุดซอยได้เข้าไปที่บริษัท SKY เพื่อตรวจสอบโรงงาน และได้ขอข้อมูลเกี่ยวกับเหล็กที่ถูกจำหน่ายออกไป 

แต่กลับพบความผิดปกติเกี่ยวกับกาก 'ฝุ่นแดง' ที่ปรากฏอยู่ในปริมาณมาก ราว ๆ 40,000-50,000 ตัน เกินปริมาณที่เคยได้แจ้งไว้ในระบบไปหลายเท่า จึงได้มีคำสั่งให้ทางบริษัทชี้แจง

แต่จนถึงวันนี้ ข้อมูลที่ได้รับจากบริษัทเกี่ยวกับการจำหน่ายเหล็กกลับไม่เป็นประโยชน์ ส่วนเรื่องฝุ่นแดง ก็ไม่ได้รับคำชี้แจงภายในระยะเวลาที่กำหนด

ผมจึงให้ชุดสุดซอยปรับภารกิจในวันนี้ จากเดิมจะไปร่วมเก็บหลักฐานที่บริเวณตึกถล่ม 

แต่เปลี่ยนให้นำหมายศาล ไปเข้าค้นบริษัท SKY พร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง และ DSI เพื่อนำคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด มาสืบค้นหาข้อมูลให้ได้

ซึ่งในขณะนี้ ทีมงานได้อยู่ในพื้นที่ปฏิบัติการแล้วครับ

จีนตอบโต้ศึกการค้า ประกาศลดนำเข้าหนังฮอลลีวูด ผู้เชี่ยวชาญชี้เป็นการลงโทษที่แยบยล เจ็บตัวน้อยแต่ทำให้วอชิงตันต้องคิดหนัก

(11 เม.ย. 68) จีนประกาศแผนลดการนำเข้าภาพยนตร์จากสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการในวันนี้ ท่ามกลางความตึงเครียดจากข้อพิพาททางการค้าระหว่างสองประเทศ ที่ยังคงร้อนแรงและไม่มีวี่แววผ่อนคลาย

โฆษกของ China Film Administration (CFA) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ควบคุมการอนุมัติฉายภาพยนตร์ในประเทศจีน กล่าวว่า มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อ “ปรับสมดุลทางการตลาด” และ “สะท้อนความนิยมของผู้ชมชาวจีน” โดยชี้ว่าการที่สหรัฐฯ เพิ่มอัตราภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากจีน รวมถึงภาพยนตร์ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสนใจของผู้บริโภคในจีน

“เราจะยังคงสนับสนุนภาพยนตร์ที่มีคุณภาพจากทั่วโลก และเปิดรับเนื้อหาที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดภาพยนตร์จีน ซึ่งกำลังเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็ว” โฆษก CFA กล่าว

คริส เฟนตัน ผู้เขียนหนังสือ Feeding the Dragon: Inside the Trillion Dollar Dilemma Facing Hollywood, the NBA, and American Business กล่าวว่า การลดจำนวนภาพยนตร์จากสหรัฐฯ ถือเป็น “วิธีที่โดดเด่นอย่างยิ่งในการแสดงออกถึงการตอบโต้ โดยแทบจะไม่มีผลเสียใดๆ ต่อจีนเลย”

“การลงโทษฮอลลีวูดอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อแสดงความแข็งแกร่งของปักกิ่ง ซึ่งวอชิงตันจะต้องสังเกตเห็นอย่างแน่นอน” เฟนตันกล่าว

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แทบไม่ได้ออกมาปกป้องฮอลลีวูด โดยตอบคำถามสื่อเกี่ยวกับข้อจำกัดใหม่ของจีนว่า “ผมคิดว่าผมเคยได้ยินเรื่องที่แย่กว่านี้”

แม้จะมีข้อจำกัดใหม่ แต่แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมบันเทิงระบุว่า ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์บางเรื่องที่มีฐานแฟนคลับในจีนยังสามารถเข้าฉายได้ เช่น ภาพยนตร์เรื่อง 'Thunderbolts' ของ Marvel Studios ที่จะเข้าฉายในจีน วันที่ 30 เมษายน 2568

บริษัท IMAX ซึ่งมีธุรกิจทั้งในจีนและต่างประเทศ ระบุว่า ข้อจำกัดดังกล่าวไม่น่าจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ โดยกล่าวในแถลงการณ์ว่า “เราคาดว่าปีนี้จะเป็นปีที่แข็งแกร่งสำหรับ IMAX ในจีน โดยไตรมาสแรกของปีนี้ทำรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์”

เซธ เชเฟอร์ นักวิเคราะห์จาก S&P Global Market Intelligence Kagan ให้ข้อมูลว่า แม้จะมีข้อจำกัด แต่ในปัจจุบัน ภาพยนตร์จากต่างประเทศที่ได้เข้าฉายในจีนมีเพียงราว 25% เท่านั้น และเปอร์เซ็นต์นี้ยังคงลดลงเรื่อยๆ อันเป็นผลมาจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศจีนเอง

“แม้จะได้เข้าฉายในจีน รายได้บ็อกซ์ออฟฟิศจากจีนก็มีสัดส่วนน้อยกว่า 10% ของรายได้รวมทั่วโลก” เขากล่าว พร้อมยกตัวอย่างภาพยนตร์ 'Captain America: Brave New World' ซึ่งออกฉายในเดือนกุมภาพันธ์ และทำรายได้ในจีนเพียง 14.4 ล้านดอลลาร์ จากยอดรวมทั่วโลกที่ 413 ล้านดอลลาร์

ในอดีต ภาพยนตร์อย่าง 'ไททานิค' และ 'อวตาร' ประสบความสำเร็จมหาศาลในจีน ทำให้ดาราอย่าง ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ และผู้กำกับอย่าง เจมส์ คาเมรอน เป็นที่รู้จักในหมู่แฟนภาพยนตร์จีนทุกวัย

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ปี 2020 ภาพยนตร์ที่ผลิตโดยจีนเองสามารถครองสัดส่วนตลาดถึง 80% ของรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศประจำปี ซึ่งเพิ่มขึ้นจากประมาณ 60% ในปีก่อนหน้า

ในรายชื่อภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดตลอดกาลของจีน มีเพียงเรื่องเดียวจากต่างประเทศที่ติดอยู่ใน 20 อันดับแรก นั่นคือ 'Avengers: Endgame' ที่ทำรายได้กว่า 4.25 พันล้านหยวน หรือราว 579.8 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ภาพยนตร์ที่เหลือล้วนเป็นผลงานจากจีน

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า แม้จะเป็นมาตรการเชิงสัญลักษณ์ แต่ก็สะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในอุตสาหกรรมบันเทิงระดับโลก ที่กำลังมุ่งสู่การกระจายตัวมากขึ้น และลดการพึ่งพา 'อุตสาหกรรมภาพยนตร์สหรัฐ' ลงอย่างต่อเนื่อง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top