Saturday, 10 May 2025
NewsFeed

‘วิโรจน์’ แฉ!! ส่วยสติกเกอร์ตัว T ขนสินค้าจากลาว ไม่ต้องมี ‘พาสปอร์ตรถ’ ชาวเน็ต สวนกลับ!! สติกเกอร์อันนี้ ถูกกฎหมาย ได้คู่กับสมุดประจำรถผ่านแดน

(7 เม.ย. 68) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร รองหัวหน้าพรรคประชาชน ได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า …

ถ้าจ่ายค่าบริการ 1,000 บาท ก็จะได้สติกเกอร์ตัว T มาติดหน้ารถ ทีนี้ก็จะเอารถบรรทุกไปขนสินค้าจากประเทศลาวมายังประเทศไทยได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีพาสปอร์ตรถ นี่จริงหรือครับ

ปรากฎว่า ชาวเน็ตสวนกลับทันที สติกเกอร์ตัว T นั้นมันถูกกฎหมาย โดยมีหลายคนได้แสดงความคิดเห็นกันมากมาย ยกตัวอย่างเช่น … 

สติกเกอร์ ตัว T จะติดหรือไม่ติดไม่สำคัญเท่า ตัวเล่มพาสปอร์ต ที่ระบุข้อมูลของรถคันนั้นๆครับ พาสปอร์ตรถก็เหมือนพาสปอร์ตคน ต้องมีการสแตมป์ประทับตรา ขาเข้า ขาออก ส่วนรถที่ไม่มีมันมีวิธีการ แต่ไม่ได้เกี่ยวว่าต้องแปะสติกเกอร์

ตัว T จากขนส่งนะท่าน รถข้ามด่านมีทุกคัน กรมขนส่งให้มา

สติกเกอร์ถูกกฎหมายแต่เอามาปั่นให้คนด่าได้ สุดยอดครับทั้งคนปั่นและคนเชื่อ

มันเป็นสติกเกอร์ผ่านแดนนี่ครับ

เป็นเหมือนพาสปอร์ตรถครับ สำหรับการขนสินค้ายากครับ ศุลกากรที่สะพานเขาคอยจับตาอย่างใกล้ชิดครับ ปรับหนักมาก

สติ๊กเกอร์อันนี้จะได้คู่กับสมุดประจำรถผ่านแดนครับ ปกติรถบรรทุกป้ายสาธารณะจะเป็นสีเขียว

ไปศึกษามาเยอะๆ

ท่านไม่รู้หรือแกล้งครับ

ตัวนี้ติดปกตินะครับ สำหรับรถขับออกต่างประเทศ

ถ้าขับรถไปลาวคือต้องติดค่ะ แต่ต้องใช้พาสปอร์ตรถตอนข้ามแดนอยู่ดี อันนี้สำหรับรถส่วนบุคคลทั่วไปนะคะ เพิ่งขับรถไปลาวมาค่ะ

‘ศุภวุฒิ สายเชื้อ’ แนะ!! ‘ไทย’ ควรสงวนท่าทีเจรจากับ ‘สหรัฐฯ’ หาทางตั้งรับดีกว่า แล้วค่อยพาดบันได รอโอกาส ตอน ‘ทรัมป์’ ถอย

(7 เม.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Jaroensook Limbanchongkit Pone’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ปรึกษาคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐฯ แนะไทยสงวนท่าทีเจรจากับสหรัฐฯ หาทางตั้งรับดีกว่า แล้วค่อยพาดบันได รอโอกาส ตอนทรัมป์ถอย ยันมีกองทุน 3 พันล้านดูแลผู้ส่งออก

การรีบเร่งเจรจาเหมือนประเทศอื่นๆ ไม่ได้ผล เนื่องจากทรัมป์มีเป้าหมายชัดเจนที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการค้าโลกและลดการขาดดุลของสหรัฐฯ โดยไม่สนใจแนวทางเดิมๆ 

ทีมงานไทยจึงประเมินสถานการณ์และเสนอแนวทางเชิงรุก คือ แทนที่จะรีบลดภาษีหรือให้สิ่งตอบแทนทันที ควรมุ่งสร้างพันธมิตรกับภาคเกษตรของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของทรัมป์ โดยเสนอซื้อ วัตถุดิบทางการเกษตรจากสหรัฐฯ มาแปรรูปเป็นอาหารส่งออกทั่วโลก ควบคู่ไปกับการเตรียม "บันได" หรือข้อเสนอผ่อนปรนอื่นๆ ไว้ แต่จะยื่นข้อเสนอเมื่อสหรัฐฯ ส่งสัญญาณพร้อมเจรจา หรือเมื่อนโยบายของทรัมป์เริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เอง 

การเจรจาควรดำเนินการตามลำดับขั้น เริ่มจากระดับเจ้าหน้าที่ (USTR) ก่อน ถึงระดับรัฐมนตรี พร้อมกันนี้ ไทยมีมาตรการบรรเทาผลกระทบเฉพาะหน้าสำหรับผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบด้วย

ศุภวุฒิ อธิบายว่าหลายประเทศที่รีบเจรจากับสหรัฐฯ ในยุคทรัมป์ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะทรัมป์ต้องการเปลี่ยนโครงสร้างการค้าโลกและลดการขาดดุลการค้าอย่างจริงจัง แม้แต่พันธมิตรใกล้ชิดอย่างอังกฤษ ก็ยังถูกขึ้นภาษี 

การตัดสินใจของทรัมป์มีความไม่แน่นอนสูง ทำให้การเจรจาในช่วงแรกเป็นไปได้ยาก 

ทีมยุทธศาสตร์ของไทย นำโดยปลัดกระทรวงพาณิชย์และมี ศุภวุฒิ และ พันศักดิ์ เป็นที่ปรึกษา ประเมินว่าทรัมป์มีเหตุผล 3 ประการในการขึ้นภาษี คือ 1) มองว่าการขาดดุลคือการถูกเอาเปรียบ 2) ต้องการหารายได้ชดเชยการลดภาษีคนรวย 3) ต้องการดึงการผลิตกลับสหรัฐฯ

ดังนั้น แทนที่จะรีบเจรจาและให้สิ่งตอบแทนโดยเปล่าประโยชน์ ไทยควรใช้ยุทธศาสตร์ "รอจังหวะ" และ "สร้างพันธมิตร" โดยเสนอตัวเป็นผู้ซื้อวัตถุดิบทางการเกษตรรายใหญ่จากสหรัฐฯ (เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพด) ซึ่งไทยผลิตไม่พออยู่แล้ว นำมาแปรรูปเป็นอาหารส่งออก แนวทางนี้จะช่วยสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเกษตรกรสหรัฐฯ ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของทรัมป์และพรรครีพับลิกัน

พร้อมกันนี้ ไทยเตรียมมาตรการผ่อนปรนอื่นๆ เช่น การลดภาษีสินค้าบางรายการ หรือการร่วมลงทุน/นำเข้า LNG ไว้เป็น "บันได" ให้สหรัฐฯ ลง 

หากนโยบายภาษีเริ่มส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เอง (เช่น เงินเฟ้อ หุ้นตก) และสหรัฐฯ พร้อมจะเจรจามากขึ้น การเจรจาควรเริ่มจากระดับเจ้าหน้าที่ (USTR ผ่านกรอบ TIFA) ก่อนเพื่อกรุยทางในรายละเอียด แล้วค่อยให้ระดับรัฐมนตรีตัดสินใจในประเด็นที่ตกลงกันไม่ได้ 

การเดินทางไปสหรัฐฯของคณะทำงานจึงเป็นการไป "พบปะหารือ" สร้างแนวร่วม ไม่ใช่การ "เจรจา" ในทันที

‘Mr. S - Miss W’ นร.นอกที่จบจากตะวันตก ปั่นกระแส ทำลายความสัมพันธ์ ‘ไทย - จีน’ ใส่ร้าย!! สร้างวาทกรรม ‘จีนเทา’ ทั้งที่จริงนักลงทุนจีน 99% ดำเนินกิจการ อย่างโปร่งใส

(7 เม.ย. 68) มองให้ลึก ก่อนเหมารวม : เมื่อความเงียบกลายเป็นพลังบ่อนทำลาย

ช่วงนี้ในแวดวงความคิดเห็นและการเมืองระหว่างประเทศ เริ่มมีกระแสบางอย่างที่น่าสนใจและควรค่าแก่การจับตา

มีกระแสหนึ่งที่กำลังค่อย ๆ บ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนอย่างเงียบเชียบ มีทิศทางชัดเจน และใช้กลวิธีที่แนบเนียน

เบื้องหลังของกระแสดังกล่าว มีบุคคลกลุ่มเล็ก ๆ โดยเฉพาะสองคนที่รู้จักกันในวงในชื่อย่อว่า Mr. S และ Miss W สองนักเรียนนอกจากโลกตะวันตก ผู้ร่วมกันผลักดันวาทกรรมในเชิง “ป้ายสีจีน” ด้วยการหยิบยกข้อมูลบางด้าน และใช้เทคนิคทางภาษาเพื่อชี้นำสังคมให้เข้าใจผิด เหมารวมว่านักลงทุนจีนทั้งหมดเป็น “ทุนสีเทา”

หลายฝ่ายในวงการเริ่มตั้งข้อสังเกตว่า นี่อาจไม่ใช่แค่ความเห็นส่วนตัว แต่เป็นการ “ปั้นกระแส” อย่างมีทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจน

สิ่งที่สังคมไทยควรตั้งสติและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนคือ—เราไม่ควรเหมารวมบริษัทจีนทั้งหมดว่าเป็นกลุ่มทุนสีเทา

ในความเป็นจริงแล้ว นักลงทุนจีนกว่า 99% ที่เข้ามาในประเทศไทย ล้วนเป็นบริษัทระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้อง โปร่งใส และสร้างงานให้กับคนไทยอย่างจริงจัง อาทิ :
 • GWM
 • Haier
 • Midea
 • Hisense
 • BYD
 • GAC AION
 • Longi
 • MG
 • ChangAn
 • CATL
 • SVOLT

บริษัทเหล่านี้ปฏิบัติตามกฎหมายไทย และมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในหลายมิติ

แม้จะไม่มีใครกล้ายืนยันว่าเบื้องหลังของกระแสนี้คืออะไรแน่ แต่ในโลกของการทูต “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยบังเอิญ”

ทุกกระแสที่ถูกจุดขึ้น ล้วนมีที่มา

และทุกความเคลื่อนไหว ย่อมมี “ราคา” ที่ตามมาเสมอ

สมาคมนักรบนิรนาม 333 จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 พร้อมพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลแด่นักรบผู้ล่วงลับ

(5 เม.ย. 68) สมาคมนักรบนิรนาม 333 ได้จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี พร้อมพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลแด่นักรบนิรนามผู้ล่วงลับ ณ สำนักงานรักษาความปลอดภัย องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก (อผศ.) เลขที่ 27 ซอยรามอินทรา 25 เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร โดยมีสมาชิกของสมาคมเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเคารพ รำลึก และสามัคคี การจัดงานในครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก พลเอก สายหยุด เกิดผล ที่ปรึกษาอาวุโสกิตติมศักดิ์ พลเอก พิจิตร กุลละวณิชย์ ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาสมาคมฯ และ พลเอก วิมล วงศ์วานิช ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ ซึ่งให้การสนับสนุนกิจกรรมของสมาคมมาอย่างต่อเนื่อง
กิจกรรมเริ่มต้นในเวลา 08.00 น. โดยเปิดให้สมาชิกลงทะเบียนเข้าร่วมงานและชำระเงิน จากนั้นเวลา 10.00 น. ได้มีการประกอบพิธีสงฆ์เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่นักรบนิรนามผู้เสียสละ ซึ่งสร้างความสงบและความสำนึกในคุณค่าของผู้ที่เคยอุทิศตนเพื่อชาติ ต่อมาในเวลา 11.00 น. ได้มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 โดยมีการรายงานผลการดำเนินงานของสมาคมในรอบปี 2567 รวมถึงการนำเสนอรายงานงบดุลและบัญชีรายรับ-รายจ่าย ตลอดจนการแต่งตั้งผู้ตรวจสอบบัญชีประจำปี 2568 พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้สมาชิกเสนอความคิดเห็น และหารือในประเด็นต่าง ๆ เพื่อการพัฒนาสมาคมให้ก้าวหน้าต่อไป หลังเสร็จสิ้นภารกิจทางวิชาการในช่วงบ่าย สมาชิกทุกท่านได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันพร้อมกิจกรรมสังสรรค์ในบรรยากาศที่อบอุ่นเป็นกันเอง โดยมีการร้องเพลงคาราโอเกะ สร้างความสนุกสนานและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ สมาคมนักรบนิรนาม 333 ยังคงมุ่งมั่นในการสร้างความสามัคคีระหว่างสมาชิก พร้อมทั้งรำลึกถึงผู้ที่ได้เสียสละเพื่อประเทศชาติ อันเป็นหัวใจสำคัญของการดำรงอยู่ของสมาคมอย่างแท้จริง

ภาพ/ข่าว วะจะนะชัย วาจาพารวย / รายงาน

นบ.ยส.24 โชว์ผลงานสรุปผลการปฏิบัติงานที่สำคัญรอบ 6 เดือนปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด Seal Stop Safe ของรัฐบาลสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการแก้ไขปัญหายาเสพติด

(4 เม.ย. 68) เวลา 1000 น. พลโทบุญสิน  พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2/ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการ สกัดกั้น และปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (มทภ.2/ผบ.นบ.ยส.24) มอบหมายให้  พลตรีฉัฐชัย  มีชั้นช่วง  ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่210/รองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการ สกัดกั้น และปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ผบ.มทบ.210/รอง ผบ.นบ.ยส.24 (2)) เป็นประธานการประชุมสรุปผลการปฏิบัติงานที่สำคัญรอบ 6 เดือน (ต.ค.67 - มี.ค.68) และหารือ ประสานงาน/บูรณาการแก้ไขปัญหายาเสพติด ประจำปีงบประมาณ 2568 โดยมีหน่วยงาน/ส่วนราชการในพื้นที่จังหวัดนครพนม จำนวน 15 หน่วย และหน่วยงาน/ส่วนราชการนอกพื้นที่จังหวัดนครพนม ผ่านระบบประชุมทางไกล Video Conference (ผ่าน Zoom meeting) จำนวน 54 หน่วย ในพื้นที่รับผิดชอบของหน่วยบัญชาการ สกัดกั้น และปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ ชายแดน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 7 จังหวัด 25 อำเภอชายแดนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมพระยอด กองบังคับการมณฑลทหารบกที่210 ค่ายพระยอดเมืองขวาง ตำบลกุรุคุ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ปัจจุบันสถานการณ์ยังคงมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติด/เข้ามาในพื้นที่ชายแดน และพื้นที่ตอนในอย่างต่อเนื่อง จากการตรวจสอบเครือข่ายและกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง พบว่ามีการเชื่อมโยงกับบุคคลจาก สปป.ลาวและมีคนไทยในพื้นที่ชายแดนเป็นผู้ขนส่ง โดยได้รับค่าจ้างในราคาที่สูงซึ่งเป็นแรงจูงใจสำคัญโดยพบว่าขบวนการลักลอบ ได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ ซึ่งพฤติการณ์ส่วนใหญ่จะนำยาเสพติดมาพักคอยในพื้นที่เมืองชายแดน ของ สปป.ลาว ก่อนจะใช้เรือลำเลียงมาตามแม่น้ำโขง บางพื้นที่จะนำยาเสพติดขึ้นไปพักคอยบนเกาะดอน ก่อนลักลอบนำเข้ามาในฝั่งไทยจะใช้วิธีการนำยาเสพติดที่อำพรางมาในรูปแบบต่างๆ (รูปปั้น สินค้าทางการเกษตร สินค้าผลิตภัณฑ์อาหารเสริม) ไปกระจายตามพื้นที่ และให้กลุ่มลำเลียงมารับตามจุดที่นัดหมาย เพื่อขนย้ายด้วยยานพาหนะขนาดใหญ่หรือยานพาหนะส่วนบุคคลไปตามเส้นทางชนบทที่ยากต่อการตรวจสอบ ก่อนจะนำยาเสพติดมาพักคอยตามปั๊มน้ำมัน บ้านพัก หรือรีสอร์ทในพื้นที่อำเภอตอนในต่อไป

สรุปสถิติและการปฏิบัติที่สำคัญแต่ละมาตรการตั้งแต่ 1 ตุลาคม2567 ถึง ปัจจุบัน ดังนี้
1. มาตรการสกัดกั้น : มอบให้ กองกำลังป้องกันชายแดน เป็นหน่วยรับผิดชอบหลัก โดยมีสถิติการซุ่มเฝ้าตรวจ 18,838 ครั้ง,ลาดตระเวนทางบก 16,351 ครั้ง,ลาดตระเวนทางน้ำ 169 ครั้ง,จัดตั้งจุดตรวจด่านตรวจ 4,656 ครั้งรายละเอียดตามจอภาพ/ เป็นผลทำให้สามารถสกัดกั้นยาเสพติดที่สำคัญในพื้นที่ ณ แนวชายแดนได้ แยกเป็นยาบ้า จำนวน 64,000,005 เม็ด, ไอซ์ น้ำหนัก 2,603 กก., เฮโรอีน น้ำหนัก 124 กก. 
2. มาตรการปราบปราม : มอบให้ ตำรวจภูธรภาค 3, ภาค 4 และตำรวจปราบปรามยาเสพติดเป็นหน่วยรับผิดชอบหลัก โดยมีการปิดล้อมตรวจค้น 231 ครั้ง ติดตามจับกุม ขยายผล และยึดทรัพย์สินคดียาเสพติด จำนวน 73 คดี 
รวมผลการตรวจยึดจับกุมตามมาตรการสกัดกั้นและปราบปราม ณ ปัจจุบัน มีการตรวจยึดจับกุม จำนวน 607 ครั้ง ผู้ต้องหา 848 ราย ของกลาง ยาบ้า 86,767,305 เม็ด,ไอซ์ 3,124.644 กิโลกรัม, เฮโรอีน 124 กก. เคตามีน 776.87 กิโลกรัม และอื่นๆ รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้นมากถึง ห้าพันเก้าร้อยล้านบาทเศษ (5,936,581,800 บาท)
3. มาตรการป้องกัน : มอบให้ ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัด เป็นหน่วยรับผิดชอบหลัก     โดยมีการปฏิบัติการจิตวิทยาและการประชาสัมพันธ์ จำนวน 1,896 ครั้ง, ฝึกอบรมพัฒนา ชรบ. จำนวน 116 ครั้ง,การปฏิบัติงานของ ชรบ. จำนวน 872 ครั้ง, การจัดระเบียบสังคม จำนวน 748 ครั้ง,  การอบรมและการสร้างชุมชนเข้มแข็ง จำนวน 66 ครั้ง
4. มาตรการบำบัดรักษา : มอบให้ สาธารณสุขจังหวัด เป็นหน่วยรับผิดชอบหลัก โดยมีการดำเนินโครงการชุมชนล้อมรักษ์ (CBTx) จำนวน  2,852 ราย ดำเนินโครงการมินิธัญญารักษ์ จำนวน 1,421 ราย ดำเนินการรายงานในระบบข้อมูลการบำบัดรักษา และฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดของประเทศ จำนวน 8,073 ราย ควบคุมตัวบุคคลคลุ้มคลั่ง จำนวน 300 ราย 
5.มาตรการบูรณาการ : เน้นให้ทุกส่วนราชการ บูรณาการร่วมกันทั้งงานด้านการข่าว และแผนงานโครงการ ต่างๆ โดยมีการดำเนินการจัดการประชุมขับเคลื่อนงานแก้ไขปัญหายาเสพติด 245 ครั้ง ดำเนินการประชุมโต๊ะข่าวแลกเปลี่ยนข้อมูล 106 ครั้ง กิจกรรมรณรงค์ต่อต้านยาเสพติด 94 ครั้ง
6. มาตรการประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน : มอบให้ ส่วนบังคับบัญชา, ส่วนอำนวยการ ของ นบ.ยส.24, ปปส.ภาค 3 และ ปปส.ภาค 4 เป็นหน่วยรับผิดชอบหลัก โดยมีการพบปะพัฒนาสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน จำนวน 32 ครั้ง ดำเนินการประชุมแลกเปลี่ยนข่าวสาร จำนวน 2 ครั้ง ประสานการจับกุม และส่งมอบผู้ต้องหาข้ามประเทศ จำนวน 1 ครั้ง
ซึ่งมีตัวชี้วัดประสิทธิภาพการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่เป้าหมาย ตั้งแต่ห้วงเปิดปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด “Seal Stop Safe” ผนึกกำลัง 51 อำเภอชายแดน (1 ก.พ. – 31 ก.ค. 68) หน่วยมีผลการปฏิบัติตามมาตรการสกัดกั้นและปราบปราม ณ แนวชายแดน โดยทำการซุ่มเฝ้าตรวจ 6,540 ครั้ง, ลาดตระเวนทางน้ำ? 64 ครั้ง, ลาดตระเวนทางบก 5,383 ครั้ง, จัดตั้งจุดตรวจด่านตรวจ 1,530 ครั้ง ทำการปิดล้อมตรวจค้น 47 ครั้ง ติดตามจับกุม ขยายผล และยึดทรัพย์สิน คดียาเสพติด จำนวน 28 คดี รวมผลการตรวจยึดจับกุมตั้งแต่ห้วงเปิดปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด “Seal Stop Safe” (1 ก.พ. – 31 ก.ค. 68) มีการตรวจยึดจับกุมจำนวน 216 ครั้ง/ ผู้ต้องหา 272 ราย ของกลาง ยาบ้า 26,970,802 เม็ด,ไอซ์ 1,216.336 กิโลกรัม, และอื่นๆ

เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​

"ร่วมถวายราชสักการะ มหาจักรีบรมราชวงศ์"

(6 เม.ย. 68) พลเรือโท นเรศ วงศ์ตระกูล ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 มอบหมายให้ พลเรือตรี วีรวิทย์ ศรีอินทรสุทธิ์ รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 เป็นผู้แทนร่วมงานรัฐพิธีถวายราชสักการะ เนื่องในวันพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  และวันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์ ประจำปี 2568 ณ หอประชุมศรีเกียรติพัฒน์  องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ตำบลพะวง  อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา

เนื่องด้วยวันที่ 6 เมษายนของทุกปี เป็นวันพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและวันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์ การนี้จังหวัดสงขลาได้จัดงานรัฐพิธีฯ เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและพระบรมราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ โดยทัพเรือภาคที่ 2 ได้ร่วมรัฐพิธีดังกล่าว เป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

#ทัพเรือภาคที่ 2
#พิทักษ์สถาบัน_ป้องกันอ่าวไทย_สามัคคีรวมใจ_ห่วงใยประชาชน
#กองทัพเรือที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ
#เทิดทูนสถาบัน_ป้องกันรัฐ_พัฒนาชาติ_ราษฎร์ศรัทธา

สมุทรปราการ-สงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ที่ปรึกษานายกฯ รดน้ำดำหัวขอพรผู้สูงอายุ เนื่องในวันปีใหม่ไทย 

(6 เม.ย. 68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางประธานกรรมการชุมชน โดยนางภิรมย์ งามวงษ์ ร่วมกับคณะกรรมการชุมชน หมู่บ้านเฟื่องฟ้า 1 และหมู่บ้านเฟื่องฟ้า 2 จัดพิธีทำบุญเลี้ยงพระเนื่องในโอกาสเทศกาลวันสงกรานต์ หรือวันปีใหม่ไทย ประจำปี 2568 ณ บริเวณลานอเนกประสงค์ หมู่บ้านเฟื่องฟ้า 1 ต.บางเมือง อ.เมือง สมุทรปราการ โดยได้นิมนต์พระสงฆ์ จำนวน 9 รูป ประกอบพิธีเจริญชัยมงคลคาถา เจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล

ภายในงานได้รับเกียรติจาก นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายภิญโญ กิจเลิศไพโรจน์ และว่าที่ผู้สมัครนายกเทศมนตรีตำบลบางเมือง พร้อมด้วยผู้ลงสมัครสมาชิกสภาเทศบาล ตลอดจนกำนันขวัญเรือน นาคทิม กำนันตำบลบางเมือง พร้อมด้วยผู้ใหญ่บ้านและพี่น้องประชาชนที่พักอาศัยอยู่ภายในหมู่บ้านเฟื่องฟ้าแห่งนี้เข้าร่วมในพิธี

นอกจากนี้ ทางประธานและคณะกรรมการชุมชนยังจัดให้มีพิธีรดน้ำดำหัวขอพรผู้สูงอายุ โดยมีผู้สูงอายุซึ่งเป็นตัวแทนของทางหมู่บ้านเฟื่องฟ้า 1 เฟื่องฟ้า 2 หมู่บ้านเทพนคร หมู่บ้านเอื้ออาทร และหมู่บ้านพัทร เข้าร่วมในกิจกรรมครั้งนี้

ทั้งนี้ยังได้มีการมอบของที่ระลึกให้แก่ผู้สูงอายุ อาทิ ผ้าขนหนู เสื้อยืด ให้แก่กลุ่มผู้สูงอายุ โดยท่าน สงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง โดยกำนันขวัญเรือน นาคทิม กำนันตำบลบางเมือง ได้เป็นตัวแทนมอบ เนื่องในเทศกาลวันสงกรานต์ 

ซึ่งภายในกิจกรรมครั้งนี้มีประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก จากนั้น ทางคณะกรรมการได้ร่วมรดน้ำดำหัวขอพรนาย สงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเนื่องในวันปีใหม่ไทยอีกด้วย

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

‘ไล่ ชิงเต๋อ’ ปธน.ไต้หวัน ย้ำไม่ตอบโต้ภาษีทรัมป์ 32% ชู 5 แนวทางรับมือ ยึดผลประโยชน์ชาติเป็นหลัก

(8 เม.ย. 68) ประธานาธิบดีไต้หวัน นายไล่ ชิงเต๋อ ได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อประชาชนผ่านวิดีโอในวันนี้ ภายหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ประกาศมาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไต้หวันในอัตรา 32% ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนในภาคเศรษฐกิจและการค้าในภูมิภาค

ในการแถลงดังกล่าว นายไล่ ชิงเต๋อ ยืนยันว่า ไต้หวันจะไม่ตอบโต้ด้วยการใช้มาตรการเก็บภาษีศุลกากรใดๆ โดยระบุว่า “ไต้หวันจะไม่เลือกเดินในเส้นทางของความขัดแย้งทางเศรษฐกิจ แต่จะใช้สติปัญญาและการเจรจาเพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดของชาติ”

นอกจากนี้ ประธานาธิบดีไต้หวันได้เสนอแนวทางรับมือสถานการณ์นี้ 5 ประการ ได้แก่
1.เจรจาปรับปรุงอัตราภาษีและจัดตั้งทีมระดับสูง 
2.การเปิดตัวโครงการสนับสนุนอุตสาหกรรม โดยให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้รับความสำคัญเป็นพิเศษ
3.เปิดตัวแผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะกลางถึงระยะยาวและสร้างเกาะอัจฉริยะ AI
4.การกำหนดรูปแบบเศรษฐกิจใหม่แบบ “ไต้หวัน + 1” และการเสริมสร้างความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกา 
5.เปิดตัว “Industry Listening Tour” เพื่อรับฟังเสียงจากผู้ประกอบการ

นอกจากนี้ นายไล่ ชิงเต๋อยังกล่าวเน้นว่า พันธกรณีด้านการลงทุนของบริษัทไต้หวันในสหรัฐฯ จะยังคงดำเนินต่อไป “ตราบใดที่การลงทุนเหล่านั้นยังสอดคล้องกับผลประโยชน์ของชาติและประชาชนของเรา”

ทั้งนี้ คำแถลงของประธานาธิบดีไต้หวันในวันนี้สะท้อนถึงความพยายามในการรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไต้หวันกับสหรัฐฯ ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น และเป็นสัญญาณถึงจุดยืนเชิงบวกของรัฐบาลไต้หวันต่อประชาคมโลกในยามวิกฤต

“เรามาทำงานร่วมกันเถอะ!” ไหลชิงเต้กล่าวคำร้องขอจากใจจริงต่อประชาชน โดยหวังว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะไม่เพียงแต่เป็นจุดเริ่มต้นของความท้าทายเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสใหม่ในการพัฒนาเศรษฐกิจของไต้หวันอีกด้วย

ม.โตเกียว เปิดคณะใหม่ครั้งแรกในรอบ 70 ปี คณะ ‘วิทยาลัยการออกแบบ’ หลักสูตรควบตรี-โท สอนอังกฤษล้วน รับต่างชาติครึ่งรุ่น

(8 เม.ย. 68) มหาวิทยาลัยโตเกียว (University of Tokyo) ประกาศเปิดตัวคณะใหม่ในชื่อ “วิทยาลัยการออกแบบแห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว” (UTokyo College of Design) ซึ่งมีกำหนดเปิดการเรียนการสอนในเดือนกันยายน ปี 2027 โดยใช้ ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอนทุกชั้นปี ถือเป็นการปฏิรูปการศึกษาครั้งสำคัญที่มุ่งสร้างผู้นำรุ่นใหม่ให้สามารถรับมือกับปัญหาและความท้าทายระดับโลกที่ซับซ้อน

คณะใหม่นี้จะเปิดสอนใน หลักสูตรควบระดับปริญญาตรีและปริญญาโท ระยะเวลา 5 ปี โดยแบ่งออกเป็น การเรียนระดับปริญญาตรีใน 4 ปีแรก และ ระดับบัณฑิตศึกษาในช่วง 1 ปีสุดท้าย 

เนื้อหาหลักสูตรจะครอบคลุมสาขาวิชาหลากหลาย เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษา สำรวจและเลือกเรียนตามความสนใจของตนเอง เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพ การออกแบบระบบนโยบายสาธารณะ และความยั่งยืนในระดับโลก

จำนวนรับนักศึกษาอยู่ที่ 100 คน โดยสงวนที่นั่งสำหรับนักศึกษาต่างชาติไว้ถึงครึ่งหนึ่ง เพื่อส่งเสริมความหลากหลายและการเรียนรู้ข้ามวัฒนธรรม นอกจากนี้หัวหน้าคณะจะเป็นศาสตราจารย์ชาวต่างชาติประจำมหาวิทยาลัยโตเกียว และมีคณาจารย์ร่วมสอนจากทั้งในประเทศญี่ปุ่นและต่างประเทศ รวมถึงนักวิจัยชั้นนำในหลากหลายสาขา

ศาสตราจารย์เทรุโอะ ฟูจิอิ อธิการบดีมหาวิทยาลัยโตเกียว กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยจะสร้างพื้นที่การเรียนรู้รูปแบบใหม่ ที่เปิดกว้างและยืดหยุ่น เพื่อให้นักศึกษาสามารถ เปลี่ยนความฝันให้เป็นจริง โดยใช้ทรัพยากรและศักยภาพของมหาวิทยาลัยอย่างเต็มที่”

สำหรับการเปิดวิทยาลัยการออกแบบในครั้งนี้ นับเป็นการก่อตั้งคณะใหม่ครั้งแรกของมหาวิทยาลัยโตเกียวในรอบเกือบ 70 ปี นับตั้งแต่การจัดตั้งคณะเภสัชศาสตร์เมื่อปี 1958 และสะท้อนถึงแนวทางใหม่ของการศึกษาระดับสูงที่ผสมผสานระหว่างศาสตร์ต่างๆ เพื่อรองรับโลกอนาคตที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top