Saturday, 10 May 2025
NewsFeed

‘อ.เจษฎ์’ ยืนยัน!! ‘ต้นไมยราบ’ ใช้เตือนภัยแผ่นดินไหวไม่ได้ ตอบสนองไวต่อ ‘ลม-น้ำฝน-แมลง’ มากกว่าแรงสั่นแผ่นดินไหว

(5 เม.ย. 68) จากกรณีเกิดเหตุแผ่นดินไหวที่มีจุดศูนย์กลางประเทศเมียนมา แต่ส่งผลกระทบกับไทยในหลายจังหวัดและเป็นสาเหตุของตึก สตง. ถล่มจนทำให้มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บและ สูญหายหลายราย หลังจากนั้นในโซเชียลก็ได้มีข้อมูลส่งต่อกันว่า ‘ต้นไมยราบ’ สามารถเตือนแผ่นดินไหวได้

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ‘อ.เจษฎ์’ หรือ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Jessada Denduangboripant’ ว่า….

“ถึงแม้ว่า ต้นไมยราบ หรือชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mimosa pudica จะถูกตั้งสมญานามให้กว่า เป็น earthquake plant เพราะคิดกันว่ามันน่าจะหุบใบได้ ตอนที่เกิดแผ่นดินไหว พอลองตรวจสอบแล้ว ไม่พบว่าเป็นความจริงนะครับ ที่บอกว่าคนญี่ปุ่นนิยมปลูกต้นไมยราบเพื่อแจ้งเหตุล่วงหน้า แถมก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนทางวิทยาศาสตร์ ว่า ต้นไมยราบมันสามารถทำเช่นนั้นได้จริง ออกจะเป็นเรื่องเล่า เชื่อตามกันมากกว่า”

“โดยทาง IG ของ wachistudio ซึ่งเป็น content creator ด้านการเพาะพันธุ์และจำหน่ายพืชไม้ประดับ ได้ไปหาข้อมูลและสอบถามคนญี่ปุ่นเพื่อหาคำตอบเรื่องนี้ ว่าจริงหรือไม่ที่ชาวญี่ปุ่นปลูกต้นไมยราบเพื่อตรวจเช็กแผ่นดินไหว?”

“ไม่จริงครับ แม้ว่าไมยราบจะเป็นพืชที่ไวต่อการสัมผัส ใบจะหุบเมื่อถูกกระทบ จนบางคนตั้งสมมติฐานว่า น่าจะเอามาตรวจจับแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวได้”

“แต่ในความเป็นจริง ไมยราบไม่ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ในการตรวจแผ่นดินไหว เพราะการตอบสนองของมัน อ่อนไหวต่อปัจจัยอื่น ๆ เช่น ลม หรือน้ำฝน หรือการสัมผัสจากสัตว์เล็ก ๆ มากกว่าจากแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวนั่นเอง”

“สำหรับการตรวจจับแผ่นดินไหว ญี่ปุ่นจะใช้เซ็นเซอร์ และระบบเครื่องมือทันสมัย ในการตรวจจับ แทนการที่จะใช้พืช อย่างไมยราบครับสำหรับงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของ พฤติกรรมของต้นไมยราบกับแผ่นดินไหวนั้น เคยมีการทำในสมัยทศวรรษที่ 1970 โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น ตามที่มีเรื่องเล่าว่า ใบของต้นไมยราบก่อนจะเกิดแผ่นดินไหวได้”

“โดยในปี 1977 มีนักวิจัยพยายามวัดค่า Tree Bio-electric Potential (TBP) ด้วยการติดอิเล็กโทรด ขั้วหนึ่งไว้ที่ใบของต้น กับอีกขั้วหนึ่งฝังลงในดิน วัดค่าศักย์ไฟฟ้า electricpotential ระหว่างอิเล็กโทรดทั้งสอง ขณะที่เกิดแผ่นดินไหวในประเทศญี่ปุ่น ขนาดประมาณ 7.0 จำนวน 28 ครั้ง ซึ่งพบว่ามีอยู่ 17 ครั้งที่แสดงสัญญาณที่ผิดปกติไป และคาดว่าอาจจะเกิดจากการได้รับสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้า (electric magnetic, EM) ห่างจากดินสู่ราก หรือได้รับประจุไอออนบางอย่างจากอากาศ”

“แต่นักวิจัยก็สรุปว่ายังไม่สามารถจะอธิบายได้ชัดเจนถึงกลไกที่เกิดขึ้น และความเป็นไปได้ที่จะใช้มาทำนายการเกิดแผ่นดินไหว ทั้งในเรื่องของเวลา สถานที่และขนาด นั้นอยู่ในเกณฑ์ต่ำมาก”

“คำสรุปก็คือว่า เรื่อง ‘ต้นไมยราบบอกเหตุแจ้งเตือนแผ่นดินไหวล่วงหน้า’ ก็ไม่น่าจะเป็นความจริง เป็นแค่เรื่องเล่า ไม่ค่อยต่างอะไรกับที่บอกว่าสัตว์ต่าง ๆ สามารถแจ้งเตือนแผ่นดินไหวช่วงหน้าได้ ซึ่งไปทางธรณีวิทยานั้น ก็ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันชัดเจนว่าจริงครับ”

‘พีระพันธุ์’ มอบ ‘เลขา รมต.’ ตรวจสอบเครื่องกลั่นน้ำมันจากขยะ ส่งเสริมสิ่งประดิษฐ์จากชาวบ้าน พร้อมแนะพัฒนาด้านคุณภาพ-ความปลอดภัย

เมื่อวานนี้ (5 เม.ย. 68) นางสาวอรพินทร์ เพชรทัต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้รับมอบหมายจากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้ลงพื้นที่ตรวจสอบเครื่องกลั่นน้ำมันจากขยะ หลังกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแนวร่วมปฏิวัติขยะยโสธร ขอรับงบประมาณสนับสนุนในการซื้อเครื่องกลั่นน้ำมันจากขยะมาใช้ในพื้นที่

ก่อนการลงพื้นที่ในวันนี้ (5 เม.ย. 68) ได้มีการสั่งการให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กรมธุรกิจพลังงาน พร้อมพลังงานจังหวัดลพบุรี ลงพื้นที่ตรวจสอบเครื่องกลั่นน้ำมันจากขยะ ซึ่งใช้กระบวนการไพโรไลซิส (Pyrolysis) เป็นกระบวนการสลายตัวด้วยความร้อนที่ไม่สมบูรณ์ในสภาวะปราศจากออกซิเจนหรือมีออกซิเจนน้อยที่สุด อุณหภูมิที่เหมาะสมสําหรับพลาสติกอยู่ในช่วง 300-500 องศาเซลเซียส โดยความร้อนจะทําให้พันธะเคมีสลายตัว 

ส่วนที่เป็นองค์ประกอบคาร์บอนที่ระเหยได้จะกลายเป็นก๊าซเชื้อเพลิงและบางส่วนที่ถูกควบแน่นจะกลายเป็นของเหลวที่มีลักษณะคล้ายนํ้ามันเตา ซึ่งนํ้ามันดังกล่าวสามารถนําไปใช้ประโยซน์และต่อยอดในการใช้งานได้ เนื่องจากมีค่าความร้อนสูง จึงสามารถใช้เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงเพี่อผลิตความร้อนสำหรับใช้ในภาคอุตสาหกรรมได้ อีกทั้ง หากมีการปรับปรุงคุณภาพให้เป็นไปตามมาตรฐาน ก็จะมีคุณสมบัติเทียบเท่านํ้ามันเชื้อเพลิงสามารถใช้งานกับเครื่องยนต์ทางการเกษตรได้

ทั้งนี้ เครื่องดังกล่าวมีราคาประมาณ 25,000 บาท แต่เนื่องจากกระบวนการผลิตอาจจะเกิดสารปนเปื้อนซึ่งส่งผลต่อสุขภาพของผู้ปฎิบัติงานในระยะยาว อีกทั้งตำแหน่งการจัดวางเครื่องมีความเสี่ยงที่อาจจจะเกิดการลุกไหม้ได้ รวมทั้งวัสดุที่ใช้ไม่เหมาะสม 

นอกจากนั้น น้ำมันที่ผลิตได้มีลักษณะเป็นยางเหนียวที่สามารถเกาะเคลือบบริเวณที่สัมผัสกับเครื่องยนต์ ถึงแม้จะมีการกลั่นเบื้องต้นแล้ว น้ำมันสามารถใช้ได้เฉพาะกับเครื่องยนต์การเกษตร กระทรวงพลังงานจึงเห็นควรให้มีการปรับปรุงคุณภาพเพิ่มเติมเพื่อความปลอดภัยกับเครื่องยนต์และผู้ใช้งาน

“หลังจากได้รับหนังสือจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแนวร่วมปฏิวัติขยะยโสธร นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ซึ่งปกติท่านให้ความสำคัญกับประชาชนทุกคน และคิดว่าเครื่องกลั่นน้ำมันจากขยะดังกล่าวน่าจะเป็นประโยชน์ จึงไม่อยากให้สิ่งประดิษฐ์นี้เป็นเรื่องเล็ก ๆ แค่ในอำเภอชัยบาดาล เพราะถ้าเครื่องกลั่นน้ำมันมีคุณภาพ นำไปใช้งานได้จริง ก็จะสามารถขยายผลไปสู่ระดับประเทศและระดับโลกได้ เพราะการนำขยะมาสร้างมูลค่า ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยได้อีกทาง ซึ่งการผลิตน้ำมันได้เองนี้ก็เป็นเป้าหมายสำคัญในการทำงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในการลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน…

“แต่ทั้งนี้ เพื่อให้เครื่องกลั่นน้ำมันจากขยะ มีประสิทธิภาพ มีมาตรฐาน และที่สำคัญต้องมีความปลอดภัย จึงได้มอบหมายให้ดิฉันฯ ลงพื้นที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เจ้าหน้าที่กรมธุรกิจพลังงาน และพลังงานจังหวัดลพบุรี ซึ่งผลการตรวจสอบเบื้องต้น เครื่องกลั่นน้ำมันดังกล่าวยังมีจุดที่ต้องปรับปรุงเพื่อความปลอดภัย จึงได้มอบหมายให้ผู้แทน พพ. พิจารณาตรวจสอบเครื่องกลั่นน้ำมัน และให้ ธพ. ตรวจสอบคุณภาพน้ำมันที่ได้จากเครื่อง คาดว่าจะใช้เวลา 2 สัปดาห์ และจะนำเรื่องเสนอท่านรัฐมนตรีต่อไป” นางสาวอรพินทร์ฯ กล่าว 

‘จีน’ สั่งระงับนำเข้า ‘เนื้อสัตว์ปีก-ข้าวฟ่าง’ จากสหรัฐฯ หลังตรวจพบสารปนเปื้อนที่อันตรายต่อสุขภาพ

(5 เม.ย. 68) สำนักข่าว Xinhua News รายงานว่า ‘จีน’ ตอบโต้มาตรการขึ้นภาษีของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ด้วยการขยับภาษีในอัตราเดียวกัน 34% ในสินค้าหลายประเภท และล่าสุดสำนักบริหารศุลกากรทั่วไปของจีน ประกาศระงับการนำเข้าเนื้อสัตว์ปีก และข้าวฟ่างจากบริษัทสหรัฐฯ บางแห่งมายังจีน

ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2568 จีนจะระงับคุณสมบัติของบริษัทซี&ดี (ยูเอสเอ) อิงก์ (C&D (USA) Inc.) ในการส่งออกข้าวฟ่างสู่จีน รวมถึงระงับคุณสมบัติของบริษัทสหรัฐฯ อีก 3 แห่ง ได้แก่ อเมริกัน โปรตีนส์, อิงก์ (American Proteins, Inc.) เมาน์แทร์ ฟาร์มส ออฟ เดลาแวร์, อิงก์ (Mountaire Farms of Delaware, Inc.) และดาร์ลิง อินกรีเดียนต์ส อิงก์ (Darling Ingredients Inc.) ในการส่งออกเนื้อสัตว์ปีกและกระดูกป่นสู่จีนด้วย

การตัดสินใจนี้ เกิดขึ้นหลังจากศุลกากรของจีนตรวจพบสารซีราลีโนน และเชื้อราในข้าวฟ่างนำเข้าจากสหรัฐฯ ในปริมาณสูงเกินมาตรฐาน รวมถึงสารซาลโมเนลลาในเนื้อสัตว์ปีกและกระดูกป่นนำเข้าจากสหรัฐฯ จึงต้องมีการระงับการนำเข้าเพื่อปกป้องสุขภาพของผู้บริโภคชาวจีน และความปลอดภัยของภาคการเลี้ยงสัตว์ในจีน

ในประกาศแยกอีกฉบับ สำนักบริหารฯ ยังประกาศระงับการนำเข้าเนื้อสัตว์ปีกจากบริษัทสหรัฐฯ 2 แห่งทันที ได้แก่ เมาน์แทร์ ฟาร์มส ออฟ เดลาแวร์, อิงก์ และโคสทอล โพรเซสซิง จำกัด (Coastal Processing, LLC)

"การระงับการนำเข้าครั้งนี้เป็นผลมาจากการที่ศุลกากรของจีน ตรวจพบสารฟูราซิลลิน ซึ่งเป็นยาต้องห้ามในผลิตภัณฑ์ไก่ที่นำเข้าจากสหรัฐฯ หลายครั้ง และการตัดสินใจนี้เป็นไปเพื่อปกป้องสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภค" รายงานจาก สำนักบริหารฯ กล่าวสรุป 

อย่างไรก็ตาม การประกาศระงับนำเข้าเนื้อสัตว์ปีก ข้าวฟ่าง จากสหรัฐ เหตุพบสารปนเปื้อนครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังการประกาศขึ้นภาษีของ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ต่อจีนและหลายประเทศทั่วโลก เพียง 1 วัน

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์จีน ยังได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (WTO) จากการที่สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีตอบโต้จากคู่ค้าทุกราย เช่นกัน

‘หนุ่มจีน’ ตัดสินใจเลิกเลี้ยงสุนัข หันมาเลี้ยงควายในห้องเช่าแทน เผย เลี้ยงไว้เตือนใจตัวเอง ไม่ให้ถูกกดขี่ทำงานหนักแบบไร้จุดหมาย

(5 เม.ย. 68) เรื่องราวของชายชาวจีนวัย 30 ปีในเมืองฝอซาน มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน กลายเป็นกระแสร้อนบนโลกออนไลน์ หลังโพสต์คลิปวิดีโอที่เขาเลี้ยงควายไว้ในห้องเช่า ดูแลอย่างดี ทั้งอาบน้ำ ใส่เสื้อผ้า และพาไปเดินเล่น โดยตั้งชื่อควายว่า ‘หนิวโหมวหวัง’ ซึ่งแปลว่า ‘ราชาควาย’

ชายแซ่เฉิน เคยเป็นนักมวยมาก่อน ปัจจุบันรับจ้างเป็นครูฝึกมวยในฟิตเนส เขาเล่าว่าเดิมทีเคยเลี้ยงหมาแต่รู้สึกว่าเสียงดังและซนเกินไป จึงเปลี่ยนมาเลี้ยงควายแทนเมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา

เฉินบอกว่าเขาเคยเช่าห้องอยู่ในหมู่บ้าน แต่พอเลี้ยงควายได้ไม่นานก็ถูกเจ้าของบ้านไล่ออก เขาจึงต้องย้ายมาหาห้องเช่าใหม่ที่ไม่ห้ามเลี้ยงสัตว์ เขายืนยันว่าควายของเขาเชื่อง ไม่สร้างปัญหาให้เพื่อนบ้าน “มันจะร้องแค่ตอนหิวเท่านั้น ปกติแล้วนิ่งมาก”

สำหรับสิ่งที่ยากที่สุดในการเลี้ยงควายในเมืองคือเรื่องความสะอาด เฉินบอกว่าเขาต้องล้างพื้นและฆ่าเชื้อเป็นประจำ

มีคนตั้งคำถามว่าเขาทำแบบนี้เพื่อเรียกกระแสหรือสร้างชื่อเสียงหรือไม่ แต่เฉินตอบว่าเหตุผลจริง ๆ ที่เลี้ยงควาย เพราะต้องการเตือนใจตัวเองว่า “อย่ายอมให้ใครใช้งานหนักเหมือนวัวเหมือนม้า” หมายถึงไม่ยอมใช้ชีวิตแบบคนที่ถูกกดขี่หรือถูกสั่งให้ทำงานหนักโดยไร้จุดหมาย 

เขาเสริมว่า “ผมรู้ตัวว่าไม่ใช่คนธรรมดา ผมเลี้ยงควายเพื่อเตือนตัวเองว่าต้องไม่ยอมแพ้ ต้องพยายามและลุกขึ้นสู้ให้ได้เสมอ”

ตอนนี้เขาพาควายกลับบ้านต่างจังหวัดช่วงเทศกาลเช็งเม้ง และยืนยันว่าจะเลี้ยงมันต่อไป แม้จะลำบากแค่ไหนก็ตาม “ถ้าคุณรักมัน คุณก็ยอมรับมันได้ทุกอย่าง”

ผิดมหันต์!! แนวคิด ‘ปล่อยธนาคารยึดคอนโดฯ’ หลังเกิดแผ่นดินไหว เพราะคือจุดเริ่มต้นของ ‘คดีความยืดเยื้อ’ เสียประวัติ-ติดเครดิตบูโร

(5 เม.ย. 68) จากเฟซบุ๊ก Joe Amatyakul ได้โพสต์ข้อความเตือนใจกลุ่มคนที่กำลังผ่อนคอนโดฯ แต่เริ่มมีความคิดจะปล่อยให้ธนาคารยึด หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว ว่า…

“หลังแผ่นดินไหว เห็นน้อง ๆ บางคนโพสต์ว่า ย้ายออกจากคอนโด จะไม่ผ่อนต่อแล้ว จะทิ้งให้ ธ.ยึดไปเลย…

“อย่าทำเด็ดขาด…อ่านโพสต์พี่โจก่อนครับ…

“ต้องแยกแยะก่อนว่า การซื้ออสังหาโดยผ่อนกับ ธ. ตัวคุณคือ ‘ผู้ถือกรรมสิทธิ์’ ในบ้าน/คอนโดนั้น ส่วน ธ.อยู่ในฐานะ ‘เจ้าหนี้’ ที่ให้คุณยืมเงินเพื่อไปจ่ายให้ผู้ขาย…

“ธ.ไม่ใช่เจ้าทรัพย์ ธ.ต้องการแค่ ‘ดอกเบี้ย’ (และเงินต้น) จากคุณอย่างครบถ้วน ธ.ไม่ต้องการบ้านของคุณ…

“การที่คุณขนของออกจากคอนโด ปล่อยให้เค้ายึด แล้วคิดว่านั่นคือจบ.. มันไม่จบครับ ‘คดีเพิ่งเริ่มต้น’ 
ธ.ไม่สนว่าคุณจะอยู่จะไป แต่เมื่อคุณหยุดจ่าย ธ.จะทวง พอเยอะเข้า ธ. ก็จะดำเนินคดีให้คุณจ่ายทั้งต้นทั้งดอก…

“เมื่อคุณไม่จ่าย ธ.ก็ฟ้องยึดบ้านไปขายทอดตลาด…

“ส่วนใหญ่ก็จะขายได้ต่ำกว่ายอดหนี้เยอะ ซึ่ง ธ.ไม่หยุดแค่นั้น จะฟ้องคุณซ้ำอีกเพื่อเรียกส่วนที่ยังขาด ถ้าคุณไม่จ่ายอีก ก็จะเข้าสู่ขั้นตอน ‘สืบทรัพย์’ ว่าคุณมีทรัพย์อะไรที่ไหนบ้าง ตามยึดที่ไร่ที่นาบ้าง ตามยึดรถบ้าง โดนอายัดเงินเดือนก็มี จนกว่าเจ้าหนี้จะได้ครบทั้งต้นทั้งดอก…

“สรุปคืออย่าหาทำนะครับ จะเป็นคดีติดตัวเปล่า ๆ ทั้งเครดิตบูโรก็จะพังเละเทะทำอะไรไม่ได้ไปอีกนาน 
จะกัดฟันส่งต่อ จะขาย จะปล่อยเช่า จะลดแลกแจกแถมอะไรก็เหอะ แต่ปล่อยให้ ธ.ยึดไม่ได้เด็ดขาด คดียาว…

“เป็นหนี้ก็ต้องใช้ ไม่มีหนี้คือดีที่สุด แต่ถ้าพลาดไปแล้วก็ต้องหาทางลงแบบถูกวิธี ปล่อยทิ้งไม่ได้นะครับ”

'เจริญชัย' ปฏิวัติด้วยนวัตกรรม (NIA) 'Platform Solar Transformer AI + Solar + Energy Storage + EV' Platform Solar AI ลดค่าไฟฟ้า 5 - 100%

เมื่อวันที่ (21 มี.ค.68) กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน ร่วมกับสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ERDI-CMU) จัดสัมมนาวิชาการในหัวข้อ “ภาครัฐและเอกชนสนับสนุน มาตรฐานการจัดการพลังงานในอาคารและโรงงานควบคุม ลดค่าไฟฟฟ้า 5-100% ลดคาร์บอน ลดพลังงาน ลดอุณหภูมิโลก พร้อมลงทุน 0 บาท”และ BOI สนับสนุน 50% Platform Solar Transformer AI + Solar + Energy Storage ณ ห้องประชุมประเสริฐฤกษ์เกรียงไกร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมีเป้าหมายเพื่อเผยแพร่แนวทางการจัดการพลังงานยุคใหม่ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในสถานประกอบการทุกระดับ โดยไม่ต้องมีเงินลงทุนเริ่มต้น

คุณประจักษ์  กิตติรัตนวิวัฒน์  รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด กล่าวได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ให้ดำเนินงานวิจัยหม้อแปลง IoT และระบบบริหารจัดการพลังงานทดแทน Solar กับ Energy Storage ด้วยโปรแกรม Energy Management System  ภายใต้โครงการ “Low Carbon Transformer ระบบจัดการหม้อแปลงไฟฟ้า เพื่อรองรับพลังงานสะอาดอย่างมั่นคง จนประสบความสำเร็จ และตอบโจทย์ด้านการประหยัดพลังงาน โรงงานอุตสาหกรรม, โรงพยาบาล, มหาวิทยาลัย, ห้างสรรพสินค้า, ปั๊มน้ำมัน, สถานีอัดประจุ, โรงเรียน, ร้านค้าและบ้านเรือน ในด้าน Net Zero & Near Zero, Peak Demand และ Demand Response และการประหยัดพลังงาน โดยสามารถลดการใช้พลังงาน ลดต้นทุนค่าไฟฟ้า และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และมีระยะเวลาคืนทุนภายในเวลา  2 – 5  ปี ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการแก้ปัญหาด้านการประหยัดพลังงาน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ ด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้า 

* การประหยัดอยู่ที่การลงทุนและพื้นที่การติดตั้ง Solar
ภายในงาน รองศาสตราจารย์ ดร.สิริชัย คุณภาพดีเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน และเปิดเวทีด้วยวิสัยทัศน์ด้านพลังงานสะอาดที่สถาบันฯ ได้พัฒนาและขับเคลื่อนมาโดยตลอด ต่อจากนั้น คุณมัณลิกา สมพรานนนท์ ผู้อำนวยการกองพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน กล่าวเปิดงานอย่างเป็นทางการ โดยเน้นย้ำถึงความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนในการผลักดันเป้าหมาย Net Zero อย่างจริงจังและยั่งยืน และในงานสัมมนามีการบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายภาคส่วน อาทิ ดร.ณัฐพล รุ่นประแสง จากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนฯ ที่กล่าวถึงการบังคับใช้มาตรฐานอาคารควบคุม, ผศ.ดร.พฤกษ์ อักกะรังสี และ ดร.ณัฐวุฒิ จารุวสุพันธ์ จาก ERDI-CMU ที่นำเสนอระบบ AI บริหารจัดการพลังงานและหม้อแปลง Low Carbon, คุณวิศรุต จันทน์สุคนธ์ จากบริษัท บ้านปู เน็กซ์ อีโคเสิร์ฟ จำกัด ที่สนับสนุนโครงการลงทุน 0 บาท และคุณสถาปนา พรหมบุญ จาก BOI ภาคเหนือที่นำเสนอนโยบายสนับสนุนการลงทุนสูงถึง 50%

การสัมมนาครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ด้านพลังงานเท่านั้น หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาควิชาการในการขับเคลื่อนนโยบายพลังงานสะอาดอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในประเด็นการยกระดับมาตรฐานการจัดการพลังงานในอาคารและโรงงานควบคุม ผ่านนวัตกรรมที่สามารถใช้งานได้จริง ซึ่งทั้งกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน, BOI ภาคเหนือ, บริษัท บ้านปู เน็กซ์ อีโคเสิร์ฟ จำกัด และ ERDI-CMU  พร้อมร่วมให้การสนับสนุนเทคโนโลยีด้านพลังงานและการลงทุน โดยเฉพาะหม้อแปลง IoT, ระบบบริหารจัดการพลังงานด้วย AI, และระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) และระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์ ที่ช่วยลดต้นทุนและลดการปล่อยคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม และนำประเทศไทยไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และเป้าหมาย Net Zero ที่ทั้งโลกกำลังมุ่งสู่ภายในระยะเวลาอันใกล้นี้

ตำรวจสวีเดนสกัดแผนลอบวางระเบิดในเมืองมัลโม่ รวบชาย 2 เยาวชน 1 พร้อมระเบิดมือเต็มกระเป๋าเป้

(6 เม.ย. 68) สำนักข่าว Sweden Herald รายงานเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2568 ว่า ชาย 2 คนและวัยรุ่น 1 คนถูกควบคุมตัว จากปฏิบัติการของตำรวจในเมืองมัลโม่เมื่อเย็นวันศุกร์ หลังจากพบระเบิดมืออย่างน้อย 10 ลูกในกระเป๋าเป้สะพายหลังของหนึ่งในผู้ต้องสงสัยพกติดตัวมาด้วย ที่ย่านเวสเทิร์นฮาร์เบอร์ เมืองมัลโม่ ทางตอนใต้ของประเทศสวีเดน 

ส่งผลให้ย่านเวสตราฮัมเนน เมื่อเวลาประมาณ 18.30 น. ของเย็นวันศุกร์ มีการดำเนินการครั้งใหญ่และประกาศเตือนภัย (VMA) พื้นที่ถูกปิดกั้น ทั้งผู้อยู่อาศัยและธุรกิจต่าง ๆ ถูกอพยพ และหน่วยเก็บกู้ระเบิดแห่งชาติถูกเรียกตัวไปที่เกิดเหตุ จนถึงหลังเวลา 22.00 น. เล็กน้อย ความอันตรายก็สิ้นสุดลง

เจ้าหน้าที่ตำรวจสวีเดนเผย ผู้ต้องสงสัย 2 รายอายุ 25 และ 30 ปี ส่วนรายที่ 3 เป็นเด็กชายอายุต่ำกว่า 18 ปี ทั้งคู่ถูกตั้งข้อสงสัยว่ากระทำความผิดร้ายแรงตามกฎหมายเกี่ยวกับวัตถุไวไฟและวัตถุระเบิด ซึ่งเบื้องต้นสอบปากคำผู้ต้องสงสัยแล้ว แต่ตำรวจยังไม่สามารถเปิดเผยการสอบปากคำได้

“เรากำลังพูดคุยกับผู้คนและวิเคราะห์กล้องวงจรปิดในบริเวณดังกล่าว มีสถานที่อยู่หลายแห่งในที่เกิดเหตุ ดังนั้นเราจึงพยายามรวบรวมข้อมูล” ลินา ฟรีเบิร์ก โฆษกของตำรวจกล่าว

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ยึดระเบิดทั้งหมดไว้เป็นหลักฐาน และกำลังเร่งสอบสวนขยายผลว่า อาวุธดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อนำไปใช้ในเหตุการณ์ใด รวมถึงตรวจสอบว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการอาชญากรรมหรือกลุ่มก่อการร้ายหรือไม่

อย่างไรก็ตาม แม้ตำรวจไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของผู้ต้องสงสัยทั้งสาม เนื่องจากอยู่ระหว่างกระบวนการสอบสวน แต่เบื้องต้นทั้งหมดถูกควบคุมตัวไว้ในข้อหาครอบครองวัตถุระเบิดโดยผิดกฎหมาย  และอาจเผชิญโทษร้ายแรงหากศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง

‘ดร.อักษรศรี’ ชี้สงครามเศรษฐกิจสหรัฐฯ-จีน เสียหายกันถ้วนหน้า เตรียมรับมือ หุ้นร่วง ส่งออกไม่ได้ ทุนต่างชาติไม่มา นักท่องเที่ยวลด เศรษฐกิจฟุบ คนตกงาน

(6 เม.ย. 68) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Aksornsri Phanishsarn ว่า…

ทรัมป์เพิ่งโพสต์ว่า “จีนจะเจ็บตัวมากกว่าสหรัฐฯ” !! ความเป็นจริง คือ เจ็บทั้งคู่ และ 🌎 #เจ็บทั้งโลก 🌎 !!

งานนี้หนักนะคะ  🇺🇸 #ทรัมป์ กับ 🇨🇳 #สีจิ้นผิง ต่างคนต่างงัดไม้แข็งมาฟาดใส่กัน  #ตาต่อตาฟันต่อฟัน  ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกแบบชาติเล็กๆ ที่มี #เศรษฐกิจเปราะบาง อย่างไทยก็คงรอดยาก !!

แม้ว่าคู่ชกหลักของสหรัฐฯ คือ จีน !! แต่ชาติอื่นที่อยู่ใน supply chain ห่วงโซ่อุปทานของสองมหาอำนาจนี้ก็ต้องโดนเลขหางไปด้วย  #โดนลากให้พังไปด้วยกัน 

นายกฯ #สิงคโปร์  เตือนชัดเจนแล้วนะคะ #ระบบเศรษฐกิจแบบเดิมถูกทุบพังทะลายลงแล้ว ระบบโลกาภิวัตน์แบบเดิมถูกสับถูกหั่นเป็นชิ้นๆ การค้าโลกหดตัว

โลกจะแบ่งค่ายแบ่งขั้วชัดเจน แต่ละชาติจะถูกบีบให้ต้องเลือกข้าง 

ผู้นำชาติไหนที่ยังคง #ชะล่าใจ ก็จะเจอ #ความหายนะ อย่างหนักก่อนใครเช่นกันค่าาา

หุ้นร่วง ส่งออกไม่ได้ ทุนต่างชาติ FDI ไม่มา นักท่องเที่ยวลด เศรษฐกิจฟุบ ปิดโรงงาน คนตกงาน ขาดรายได้ สังคมแตกแยกหนักกว่าเดิม ฯลฯ ฃ

#ความล่มจมทางเศรษฐกิจ มาจ่อรออยู่หน้าประตูบ้านแล้วนะ #ไทยแลนด์ 

‘นายกฯ’ เชื่อการหารือบรรลุผล ส่ง ‘พิชัย’ เจรจาสหรัฐฯ ยันไทยไม่ใช่แค่ผู้ส่งออก แต่คือพันธมิตรหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่เชื่อถือได้

(6 เม.ย. 68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงถึงจุดยืนของรัฐบาลไทยต่อสถานการณ์ภาษีนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา โดยระบุว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญแรงกดดันจากมาตรการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ ในอัตราสูงถึงร้อยละ 36 ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อาหารแปรรูป และสินค้าเกษตร

นายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า รัฐบาลได้จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจตั้งแต่ต้นปี และดำเนินการหารือกับภาคเอกชนและตัวแทนสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเตรียมส่ง นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางไปยังสหรัฐฯ เพื่อหารือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง

“ประเทศไทยไม่ใช่แค่ผู้ส่งออก แต่คือพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ เชื่อถือได้” น.ส.แพทองธาร กล่าว พร้อมเปิดเผยว่า ข้อเสนอของไทยจะครอบคลุมถึงการเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เช่น พลังงาน อากาศยาน และสินค้าเกษตร รวมถึงการส่งเสริมการลงทุนและลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างสองประเทศ

นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการป้องกันการสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้า และวางแผนขยายตลาดใหม่ในตะวันออกกลาง ยุโรป และอินเดีย รวมถึงเร่งเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) เพื่อกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ

นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำว่า รัฐบาลจะมีมาตรการเยียวยาทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ และยืนยันว่า “ประชาชนไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง รัฐบาลจะอยู่เคียงข้างและปกป้องผลประโยชน์ของชาติอย่างถึงที่สุด”

โดยในวันอังคารที่ 8 เมษายนนี้ จะมีการประชุมร่วมกับคณะกรรมการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสรุปแนวทางอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

ชุมนุม Hands Off แสดงความโกรธ ลุกฮือต่อต้านนโยบายทรัมป์ หลังการปิดหน่วยงานรัฐ ตัดงบสุขภาพ และการลดการคุ้มครองบุคคลข้ามเพศ

(6 เม.ย. 68) ฝูงชนที่โกรธแค้นต่อแนวทางการบริหารประเทศ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ออกมาเดินขบวนและรวมตัวกันในเมืองต่างๆ ของอเมริกาในวันเสาร์ที่ผ่านมา (5 เม.ย.) ซึ่งถือเป็นวันที่มีการชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของสหรัฐฯ

มีการจัดการชุมนุมที่เรียกว่า Hands Off! ขึ้นในสถานที่ต่างๆ กว่า 1,200 แห่งใน 50 รัฐโดยกลุ่มต่างๆ กว่า 150 กลุ่ม รวมถึงองค์กรสิทธิมนุษยชน สหภาพแรงงาน ผู้สนับสนุนกลุ่ม LBGTQ+ ทหารผ่านศึก และนักรณรงค์การเลือกตั้ง การชุมนุมดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นไปอย่างสันติ โดยไม่มีรายงานการจับกุมใดๆ ในขณะนี้

ผู้ประท้วงหลายพันคนในเมืองต่างๆ ทั่วประเทศตั้งแต่มิดทาวน์แมนฮัตตันไปจนถึงแองเคอเรจ รัฐอลาสก้า รวมถึงอาคารรัฐสภาหลายแห่ง โจมตีการกระทำของทรัมป์และมหาเศรษฐีอีลอน มัสก์เกี่ยวกับการลดขนาดรัฐบาล เศรษฐกิจ การย้ายถิ่นฐาน และสิทธิมนุษยชน

อีกทั้ง ผู้ประท้วงถือป้ายที่มีคำเช่น “ต่อสู้กับกลุ่มผู้มีอำนาจปกครอง” พร้อมตะโกนขณะเดินขบวนไปตามถนนในพอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน และลอสแองเจลิส ซึ่งพวกเขาเดินขบวนจากเพอร์ชิงสแควร์ไปยังศาลากลาง

การจัดการชุมนุมในครั้งนี้มาจากการที่ ผู้ประท้วงแสดงความโกรธต่อการเคลื่อนไหวของฝ่ายบริหารในการไล่พนักงานรัฐบาลหลายพันคน ปิด สำนักงานภาคสนามของสำนักงาน ประกันสังคมปิดหน่วยงานทั้งหมด ส่งตัวผู้อพยพกลับลดการคุ้มครองบุคคลข้ามเพศ และตัดงบประมาณโครงการด้านสุขภาพ

โดยก่อนหน้านี้ อีลอน มัสก์ นักธุรกิจและนักลงทุน และที่ปรึกษาของทรัมป์ที่บริหาร Tesla, SpaceX และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย X กลายมามีบทบาทสำคัญในการลดขนาดบริษัทในฐานะหัวหน้าแผนกประสิทธิภาพของรัฐบาลที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ เขาบอกว่าเขาช่วยประหยัดเงินภาษีของประชาชนได้หลายพันล้านดอลลาร์

ทำเนียบขาวกล่าวในแถลงการณ์ว่า “จุดยืนของประธานาธิบดีทรัมป์ชัดเจน เขาจะปกป้องประกันสังคม เมดิแคร์ และเมดิเคดให้กับผู้มีสิทธิ์ ในขณะเดียวกัน จุดยืนของพรรคเดโมแครตคือมอบสิทธิประโยชน์ประกันสังคม เมดิเคด และเมดิแคร์ให้กับคนต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย ซึ่งจะทำให้โครงการเหล่านี้ล้มละลายและทำลายผู้สูงอายุชาวอเมริกัน”

เคลลีย์ โรบินสัน ประธานกลุ่มรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน วิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติของรัฐบาลต่อชุมชน LBGTQ+ ในการชุมนุมที่เนชันแนล มอลล์ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งสมาชิกรัฐสภาจากพรรคเดโมแครตก็ได้ขึ้นเวทีด้วย

“พวกเขากำลังตัดงบประมาณป้องกันเอชไอวี พวกเขากำลังทำให้แพทย์ ครู ครอบครัว และชีวิตของเรากลายเป็นอาชญากร พวกเราไม่ต้องการอเมริกาแห่งนี้ พวกเราต้องการอเมริกาที่เราสมควรได้รับ ซึ่งศักดิ์ศรี ความปลอดภัย และเสรีภาพ” โรบินสันกล่าว

โรเจอร์ บรูม วัย 66 ปี ผู้เกษียณอายุจากเดลาแวร์เคาน์ตี้ รัฐโอไฮโอ เป็นหนึ่งในหลายร้อยคนที่ออกมาชุมนุมที่รัฐสภาในโคลัมบัส เขาบอกว่าเขาเคยเป็นรีพับลิกันในสมัยเรแกน แต่ตอนนี้เขาไม่ชอบทรัมป์แล้ว “เขากำลังทำให้ประเทศนี้แตกแยก” บรูมกล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top