Monday, 19 May 2025
NewsFeed

‘พีระพันธุ์’ แจงละเอียดยิบภารกิจดูแลพลังงานเพื่อคนไทย คืบหน้าร่าง กม.กํากับน้ำมัน-ก๊าซ วิธีลดค่าไฟฟ้าต่ำกว่า 4 บาท

‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ เผยแจงความคืบหน้าร่างกฎหมายกํากับกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ เผยวิธีลดค่าไฟฟ้าให้ต่ำกว่า 4 บาท  เตรียมเร่งผลิตระบบโซลาร์ราคาถูกวางจำหน่ายในปีนี้ 10,000 เครื่อง

เมื่อวันที่ (13 ก.พ.68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้สัมภาษณ์พิเศษโดยเปิดเผยถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับร่างกฎหมายกํากับการประกอบกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซว่า ภาพรวมเป็นไปด้วยดี แต่ก็มีข้อท้วงติงจากผู้เชี่ยวชาญว่าอาจมีช่องโหว่ในเรื่องของการกำหนดราคาก๊าซ เพราะกฎหมายฉบับนี้จะดูแลประชาชนไปถึงเรื่องของก๊าซด้วย นั่นคือ กรณีของก๊าซหุงต้ม LPG และก๊าซที่ใช้สำหรับรถยนต์ ตนจึงได้มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รวมทั้งผู้ชำนาญการช่วยกันทบทวนเพื่อปรับปรุงร่างกฎหมายในส่วนของก๊าซ เพื่อดูแลการกำหนดราคาให้ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งขณะนี้ก็ได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว

ส่วนร่างกฎหมายเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกในการติดตั้งโซลาร์เซลล์นั้น นายพีระพันธุ์เปิดเผยว่า ทางพรรครวมไทยสร้างชาติได้ยื่นร่างกฎหมายนี้เข้าสภาฯไปแล้วก่อนหน้านี้ ขณะที่ทางรัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานก็จะเสนอร่างกฎหมายส่งเสริมการใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์เข้าสู่สภาฯ ในเร็ว ๆ นี้ โดยขณะนี้กำลังรอให้ทางสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบร่างฯ ของกระทรวงพลังงานแล้วเสร็จ และจะเร่งนำเข้าสู่กระบวนการทำประชาพิจารณ์โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 15-20 วัน ก่อนนำส่งเข้าสภาฯ เพื่อพิจารณาประกอบกับร่างฯ ที่เสนอจากพรรคการเมือง

ในส่วนของการปรับลดค่าไฟนั้น นายพีระพันธุ์กล่าวว่า ตนได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อหาแนวทางปรับลดค่าไฟมาตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2567 ที่ผ่านมา เพื่อหาทางปรับลดค่าไฟให้ได้ต่ำกว่า 4 บาทต่อหน่วย และมีแนวโน้มว่าจะทำได้ แต่ต้องปรับปรุงแก้ไขโครงสร้างและหลักเกณฑ์หลายอย่าง โดยเฉพาะการปรับระบบ Pool Gas แต่เผอิญว่าต้นปี 2568 มีประเด็นเพิ่มเติมเรื่องจะให้ลดค่าไฟลงมาเหลือ 3.70 บาทต่อหน่วย และสํานักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ซึ่งกำกับดูแลเรื่องค่าไฟ ก็ออกมาบอกว่าสามารถลดได้ ซึ่งสำหรับตนถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะตลอดปี 2567 ที่ผ่านมา ตนในฐานะรัฐมนตรีพลังงานต้องพยายามบริหารจัดการอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้มีการขึ้นค่าไฟทุก 4 เดือน  จนสามารถตรึงค่าไฟไว้ได้ที่ 4.18 บาทต่อหน่วยไว้ได้ตลอดปี แต่อย่างไรก็ดี ข้อเสนอล่าสุดของ กกพ. ก็มีประเด็นที่อาจทำไม่ได้

“ทุก 4 เดือน ผมต้องพยายามบริหารจัดการเพื่อไม่ให้มีการขึ้นค่าไฟ เพราะถ้าลดยังไม่ได้ ก็อย่าขึ้น เพราะฉะนั้นปี 67 ทั้งปีเราได้ที่ 4 บาท 18 สตางค์มาตลอด ส่วนงวดปัจจุบันนี้ คือตั้งแต่ มกราคม-เมษายน 68 ผมก็ดําเนินการปรับลงมาที่ 4 บาท 15 สตางค์ แต่ก็ยังมีดราม่าบอกลดอะไร 3 สตางค์ ความจริงถ้าผมไม่ดําเนินการวันนั้น เขาบอกเขาจะขึ้นไป 5 บาทกว่า หรือไม่ก็ 4 บาทปลาย ๆ แต่อีกไม่กี่เดือนก็ต้องเหนื่อยต่อแล้ว เพราะค่าไฟงวดที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 68) จะมาแล้ว ทุกทีผมต้องเป็นคนไปขอให้ลด แต่อย่างน้อยคราวนี้ ทาง กกพ. บอกว่าลดได้ ผมก็ใจชื้น แต่ประเด็นคือ เขาบอกว่าการลดนี้ให้เป็นนโยบายรัฐบาล ให้ไปเลิกสัญญา Adder กับสัญญาที่เป็นปัญหา ที่เราเรียกว่า สัญญาชั่วนิรันดร์ คือสัญญาไม่มีวันหมด ผมในฐานะรัฐมนตรีพลังงานก็ได้พยายามศึกษาแก้ปัญหาเรื่องนี้ เพราะไปเซ็นสัญญากันไว้ตั้งแต่ยุคไหนว่า สัญญานี้ต่ออายุไปเรื่อย ๆ ทุกห้าปี ไม่มีวันหมด แล้วก็ราคาก็สูงเกินปกติ เพราะฉะนั้นมันทําไม่ได้ ที่บอกให้ไปลด 17 สตางค์ได้โดยวิธีเลิกสัญญา ถ้าเลิกก็โดนฟ้องนะครับ ตอนนี้เรากําลังศึกษาว่ามีวิธีการอะไรที่จะแก้ไขสัญญาทั้งสองแบบนี้อยู่เพราะประเด็นที่เสนอโดย กกพ.นั้น มันทําไม่ได้” นายพีระพันธุ์กล่าว

อย่างไรก็ดี นายพีระพันธุ์ได้มองเห็นทางออกในอีกมุมว่า การปรับลดค่าไฟสามารถทำได้จากการบริหารจัดการเชื้อเพลิง เพราะปัจจุบัน ประเทศไทยใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟอยู่ 3 แหล่งใหญ่ ๆ คือ อ่าวไทย เมียนมา และจากต่างประเทศ โดยเฉพาะตะวันออกกลางที่นำเข้ามาเป็นก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG  ซึ่งมีราคาแพง และอิงราคาตลาดโลกที่ผันผวนตลอดเวลา  แต่ถ้าหากสามารถปรับพอร์ต Pool Gas ให้เป็นสัดส่วนชัดเจน ระหว่างการนำไปใช้ผลิตไฟฟ้าและการนำไปใช้ในอุตสาหกรรม ก็น่าจะทำให้ค่าไฟลดลงได้อีกถึงเกือบ 40 สตางค์ โดยตนจะเร่งดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อให้ทันค่าไฟงวดต่อไป

“ปัญหาเรื่องค่าไฟต่างกับปัญหาเรื่องน้ำมันเยอะมากและมีประเด็นต่าง ๆ ที่ต้องเข้ามาแก้ไขเยอะมาก น้ำมันคือน้ำมัน แต่ค่าไฟ มันไม่ใช่แค่ค่าไฟ มันคือค่าแก๊ส ค่าถ่านหิน ค่าขนส่ง ค่าอะไรต่าง ๆ ที่บวกไว้ในสัญญา ค่าบริหารจัดการเงินกู้ของผู้ประกอบการ และที่สําคัญ ผมคิดว่าทํายังไงจะให้ กฟผ. กลับมาแข็งแรงแล้วก็เป็นหลักให้กับประชาชนในเรื่องของการผลิตไฟฟ้า แล้วกําหนดค่าไฟที่ถูกต้องเป็นธรรมมากขึ้น” นายพีระพันธุ์กล่าว

สำหรับกรณีที่มีกระแสว่าการทำงานของ รมว.พลังงาน จะไปขัดผลประโยชน์และสร้างความไม่พอใจให้แก่กลุ่มทุนนั้น นายพีระพันธุ์กล่าวว่า ตนทำในสิ่งที่ต้องทำ ไม่ได้ทําเพื่อจะไปเป็นศัตรูกับใคร แต่ต้องทําในสิ่งที่ประชาชนได้ประโยชน์ ประเทศชาติได้ประโยชน์สูงสุด


“เราไม่ได้เจตนาไปทําอะไรใคร คนเขาพูดไปเอง สื่อก็พูดไปเรื่อยนะครับ จริง ๆ ผมก็ทํางานในสิ่งที่ต้องทํา เมื่อมาเห็นอะไรต้องปรับปรุงก็ต้องทํา และที่สําคัญก็คือว่ามันไม่ใช่เราคนเดียว มันเป็นนโยบายรัฐบาล และถ้าหากจําได้นะครับ ท่านนายกรัฐมนตรีได้ไปประกาศที่ NBT เรื่องของการปรับลดค่าไฟฟ้า ค่าพลังงาน และท่านก็มอบหมายให้ผมเป็นคนทํา เพราะฉะนั้นมันก็เป็นหน้าที่ที่ผมต้องทํา ทั้งนโยบายส่วนตัว ทั้งนโยบายของพรรคของผมรวมถึงนโยบายรัฐบาลมันตรงกันในเรื่องตรงนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อเรามาทํา เราก็ต้องทํานะครับ เราไม่ได้ทําเพราะว่า มันจะกระทบใคร หรือจะเกิดอะไร แต่ต้องทําในสิ่งที่ประชาชนได้ประโยชน์ ประเทศชาติได้ประโยชน์สูงสุด และผมพูดเสมอว่านายทุนหลักคือประชาชน” นายพีระพันธุ์กล่าว

นอกจากนี้ นายพีระพันธุ์ยังได้กล่าวถึงความคืบหน้าของการพัฒนาเครื่อง Inverter สำหรับติดตั้งกับระบบโซลาร์เซลล์สิทธิบัตรของคนไทย ซึ่งกระทรวงพลังงานมีแผนจะนำออกจำหน่ายในราคาถูกให้กับประชาชนในปีนี้ว่า ขณะนี้อยู่ในระหว่างการทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยในขั้นตอนที่ 2 และ 3 หลังจากผ่านการทดสอบขั้นตอนแรกของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ( สวทช.) โดยทางผู้ออกแบบกำลังนำอุปกรณ์ต้นแบบไปทดสอบที่ห้องแล็บในประเทศจีนภายใต้การรับรองของ สวทช. ทั้งนี้เพื่อความรวดเร็วและความสะดวกในการปรับปรุงอุปกรณ์ และเมื่อผ่านการทดสอบแล้วก็จะเข้าสู่กระบวนการผลิต ซึ่งทางกระทรวงพลังงานจะร่วมกับบริษัทในเครือของ กฟผ. และ ปตท. ในการผลิตและจําหน่ายให้ประชาชนในราคาถูก โดยจะเตรียมการผลิตเบื้องต้นประมาณ 10,000 เครื่อง และคาดว่าจะทำให้ประชาชนสามารถติดตั้งระบบโซลาร์ได้ในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาดประมาณ 60% อีกทั้งยังมีการจัดหาเงินทุนสนับสนุนในเรื่องของการติดตั้งและการลดหย่อนภาษีด้วย

“ผมได้คุยกับท่านรัฐมนตรีอุตสาหกรรม ท่านดูแลเอสเอ็มอีแบงค์ ก็จะให้ทางเอสเอ็มอีแบงค์มาช่วย สําหรับคนที่ไม่มีเงินทุนพอ ก็จะสามารถไปกู้ยืมเงินจากเอสเอ็มอี แล้วผมก็จะสนับสนุนอีกบางส่วนจากกองทุนอนุรักษ์พลังงานเพื่อช่วยเหลือเรื่องดอกเบี้ย และส่วนที่กระทรวงพลังงานเดินหน้าไปแล้วก็คือ ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จะให้กระทรวงการคลังช่วยหักลดหย่อนภาษีด้วย” นายพีระพันธุ์กล่าว

แฟนคลับ เป็นปลื้ม!! ‘พี่ตุ๋ย พีระพันธุ์’ เปิดงาน ‘เทศกาลแห่งความรักสีสันจังหวัดตรัง’ เดินทางด้วยเรือสปีดโบ๊ด!! เป็นพยานรัก ‘LGBTQ+’ จดทะเบียนสมรสที่ ‘เกาะกระดาน’

(15 ก.พ. 68) แฟนคลับโพสต์เกี่ยวกับท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยมีใจความว่า …

สีสันวันแห่งความรัก....พี่ตุ๋ย - พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน สวมเสื้อสีชมพูตามธีมของเทศกาล ไปเป็นประธานเปิดงานเทศกาลแห่งความรักสีสันจังหวัดตรัง (เทศกาลวิวาห์ใต้สมุทร 2025) ที่จังหวัดตรัง โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารภาคเอกชน และ สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมให้การต้อนรับ ก่อนเดินทางด้วยเรือสปีดโบ๊ดไปยังสถานที่จัดกิจกรรม “รักที่สุด กลางสมุทรอันดามัน” ซึ่งเป็นการจดทะเบียนสมรสที่เกาะกระดาน ชายหาดที่ดีที่สุดในโลก และในปีนี้ยังมีคู่รัก LGBTQ+ ร่วมจดทะเบียนสมรสด้วย

เทศกาลนี้ ถือเป็นความภาคภูมิใจของชาวตรังและของประเทศไทยซึ่งจัดต่อเนื่องมากว่า 28 ปี และเคยได้รับการบันทึกเป็นสถิติโลกใน Guinness World of Record เพราะนอกจากจะเป็นการฉลองเทศกาลแห่งความรักแล้ว กิจกรรมนี้ยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล ซึ่งเป็นสมบัติอันล้ำค่าของจังหวัดตรังและของประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริม Soft Power ของไทย ที่แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของวัฒนธรรมในภาคใต้ด้วย

สำหรับการจัดงานปีนี้ ทางจังหวัดตรังได้บูรณาการร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชน พร้อมรณรงค์ให้ชาวตรังใส่เสื้อสีชมพูในช่วงเทศกาล นอกจากจะมีการจัดงานวิวาห์ใต้สมุทรแล้ว ยังมีกิจกรรมเดินขบวนพาเหรด LGBTQ+ การสนับสนุนสินค้า OTOP การให้ส่วนลดค่าที่พัก และส่วนลดค่าอาหาร เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในจังหวัดอีกด้วย โดยการจัดงาน จะมี 2 รูปแบบ ได้แก่ “วิวาห์ใต้สมุทร” ซึ่งเป็นการดำน้ำจดทะเบียนสมรสบริเวณหินก้อนเดียว หน้าถ้ำมรกต และ “รักที่สุด กลางสมุทรอันดามัน” ซึ่งเป็นการจดทะเบียนสมรสที่เกาะกระดาน 

‘ลิซ่า’ ยกทีมนักแสดง White Lotus ร่วมโปรโมทที่ประเทศไทย สุดภูมิใจ!! แต่งผ้าไหมสีชมพูกลีบบัวรับ ‘วาเลนไทน์’

(15 ก.พ. 68) หลังจากที่ ลิซ่า ได้เดบิวต์เต็มตัวในฐานะนักแสดงประเดิมซีรีส์สุดโด่งดัง The White Lotus ซีซัน3 ที่ถ่ายทำกันที่เกาะสมุย ประเทศไทย

ล่าสุดก็ได้ฤกษ์ดีวันวาเลนไทน์จัดงานโปรโมทสุดยิ่งใหญ่ที่แดนสยาม โดยมีนักแสดงนำมาร่วมงานคับคั่งทั้ง ไมค์ ไวท์ ผู้เขียนบท แพทริก ชวาสเนกเกอร์, เจสัน ไอแซค, นาตาชา รอธเวลล์, เทม ทับทิมทอง, ดอม เหตระกูล, ภัทราวดี มีชูธน ฯลฯ

นอกจากนั้นบังมีบรรดาเซเลบของไทยเข้าร่วมงานอีกมากมายทั้ง แอน ทองประสม, อนันดา เอเวอร์ริงแฮม,ไบรท์ วชิรวิทย์, แต้ว ณฐพร, อร สมฤทัย, กวาง เดอะเฟซ, โยชิ รินรดา ฯลฯ

ลิซ่า ปรากฏตัวในชุดที่สั่งทำขึ้นพิเศษโดยเฉพาะจากแบรนด์ Louis Vuitton เป็นผ้าไหมสีชมพูกลีบบัว โดยมีกิมมิคเป็นข้อมือพวงมาลัยสีชมพูและที่ติดผมเป็นรูปดอกบัวเล็ก ๆสีชมพู ต่างหูทับทิมจาก Bvlgari

เรียกได้ว่าโดดเด่นทุกครั้งที่เดินพรมแดงเพราะใส่ใจทุกรายละเอียด

นอกจากนั้นยังมีคนตาดีเห็น เฟเดอริก อาร์โนลต์ มาร่วมให้กำลังใจ ลิซ่า ด้วย

‘สหรัฐฯ’ หยุดจ่ายเงิน!! ‘BBC’ หันมาชม!! ‘จีน’

(15 ก.พ. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘ลึกชัดกับผิงผิง’ โพสต์ข้อความระบุว่า …

หลายวันก่อน อีลอน มัสก์ปิดองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา (USAID)โดยตรง มิเพียงแต่เลิกจ้างพนักงานทั่วโลกจำนวนกว่าหมื่นคนเท่านั้น และยังตัดงบประมาณที่มียอดกว่า 50,000ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี 

เรื่องนี้ทำให้ BBC โกรธมาก และหันมาชมจีนอย่างเต็มที่ ทีมงานของอีลอน มัสก์เปิดโปงว่าแต่ละปี สื่อจำนวนมากของสหรัฐอเมริกาและยุโรปล้วนได้เงินไม่น้อยจาก USAID ส่วน BBC ที่บอกว่าตัวเองเป็นสื่ออิสระและเป็นกลางนั้น ก็มีค่าตอบแทนเช่นกัน โดยแต่ละปีจะได้รับจากUSAIDหลายสิบล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อ 1 เดือนก่อน สารคดีของ BBC ส่วนใหญ่บอกว่าจีนแย่แล้ว จีนจะพังแล้ว แต่หลังจากวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ที่อีลอน มัสก์ตัดงบฯ แล้ว ทำให้ BBC โกรธมาก จึงเร่งพนักงานผลิตสารคดีเรื่อง 'โครงการเมดอินไชน่า 2025' ภายในเวลาไม่กี่วัน และออกอากาศด้วย 

สารคดีเรื่องนี้ชมจีนอย่างเต็มที่ อย่างเช่นโดรนทันสมัยนำหน้าของจีน รถยนต์พลังงานใหม่ของ BYD โครงการโซลาร์เซลล์ และ Deepseek เป็นต้น โดยไม่มีคำตำหนิใส่ร้ายใด ๆ มีแต่พูดเรื่องดี ๆ เท่านั้น 

สุดท้าย พิธีกรได้คำสรุปว่า 'โครงการเมดอินไชน่า 2025' ของจีนประสบความสำเร็จอย่างบริบูรณ์ สาเหตุคือ ระบบของจีน ความอดทนและการวางแผนระยะยาวของรัฐบาลจีน 

BBC ชอบรายงานจีนในเชิงลบ กระทั่งสร้างข่าวปลอมเกี่ยวกับจีน อย่างเช่นเหตุการณ์ผ้าฝ้ายซินเจียง แต่หลังจากอีลอน มัสก์ตัดงบฯ แล้ว BBC เปลี่ยนท่าทีจากผู้ต้านจีนมาเป็นผู้สนิทกับจีนทันที 

ดิฉันคิดว่า BBC ทำสารคดีดังกล่าว คงไม่ใช่สนิทกับจีนจริง ๆ แต่เป็นการเตือนสหรัฐฯ ว่า ถ้าไม่จ่ายเงินต่อ วันหลังก็จะไม่ทำตามคำสั่งอีกแล้ว ทีมงานของอีลอน มัสก์โพสต์ข้อความและยืนยันว่า USAIDให้เงินสนับสนุนแก่ผู้สื่อข่าวจำนวนกว่า 6,200 คน สื่อ 707 แห่ง และองค์การภาคเอกชน 279 แห่งของ 30 ประเทศ

‘ไทยออยล์’ ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 2567 มีกำไรสุทธิ 2,767 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น!! จากไตรมาสก่อน

(15 ก.พ. 68) นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า “ในไตรมาส 4/2567 กลุ่มไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 2,767 ล้านบาทปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะส่วนต่างราคาน้ำมันอากาศยานและน้ำมันดีเซลกับราคาน้ำมันดิบดูไบจากกิจกรรมการท่องเที่ยวที่สูงขึ้นในช่วงสิ้นปี ประกอบกับความต้องการใช้น้ำมันสำหรับผลิตความร้อนในช่วงฤดูหนาว แม้ว่า Crude Premium จะปรับเพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้จากความกังวลต่อความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์ในภูมิภาคตะวันออกกลางก็ตาม สำหรับกำไรขั้นต้นจากธุรกิจอะโรเมติกส์ปรับลดลงจากส่วนต่างราคาสารพาราไซลีนกับราคาน้ำมันเบนซิน 95 ที่ลดลง เนื่องจากอุปสงค์เสื้อผ้าและสิ่งทอไม่เป็นไปตามคาดการณ์ ประกอบกับกำไรของธุรกิจปลายน้ำ เช่น สารพีทีเอ ที่ยังถูกกดดันรวมถึงส่วนต่างราคาสารเบนซีนกับราคาน้ำมันเบนซิน 95 ที่ปรับลดลงจากปริมาณสารเบนซีนคงคลังของจีนที่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี ตลอดจนการกลับมาดำเนินการผลิตของโรงผลิตสารเบนซีนหลังปิดซ่อมบำรุงในไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ กำไรขั้นต้นจากธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนอุปสงค์ที่ฟื้นตัวหลังสิ้นสุดฤดูมรสุม เช่นเดียวกับ กำไรขั้นต้นจากธุรกิจผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานที่ปรับเพิ่มขึ้น จากความต้องการใช้ที่ฟื้นตัวหลังผ่านฤดูฝนและอุปทานที่ตึงตัวอย่างต่อเนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานกลุ่มที่ 1 ในเกาหลีใต้ ในขณะที่ ราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 4/2567 ปรับตัวลดลงจากไตรมาส 3/2567 เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันลดลงตามเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์ขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน 2,010 ล้านบาท     

สำหรับภาพรวมปี 2567 กลุ่มไทยออยล์มีรายได้จากการขายที่ 455,857 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 9,959 ล้านบาท กำไรลดลงจากปีก่อนหน้า สาเหตุหลักจากกำไรขั้นต้นจากการกลั่นปรับลดเนื่องจากส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซิน น้ำมันอากาศยาน น้ำมันดีเซลกับราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวลดลง จากอุปทานที่เพิ่มขึ้น เนื่องจาก โรงกลั่นใหม่เริ่มดำเนินการ ขณะที่ด้านราคาน้ำมันดิบในปี 2567 เทียบกับปี 2566 ปรับลดลง จากความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์รับรู้ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 5,913 ล้านบาท

ทั้งนี้ กลุ่มไทยออยล์ยังคงให้ความสำคัญกับการดำเนินงานอย่างมีความรับผิดชอบต่อชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อม ภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี ตามหลักการ ESG (Environment, Social, and Governance) อย่างต่อเนื่อง สะท้อนได้จากการได้รับรางวัลด้านความยั่งยืน จำนวน 9 รางวัล และได้รับการรับรองเป็นสมาชิก DJSI ต่อเนื่องเป็นปีที่ 12  

นายบัณฑิตฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับภาพรวมธุรกิจกลุ่มไทยออยล์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 คาดว่าตลาดน้ำมันจะอ่อนตัวลงเนื่องจากอุปทานน้ำมันสำเร็จรูปมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นจากการทยอยเปิดดำเนินการของโรงกลั่นขนาดใหญ่ในจีน เม็กซิโก ไนจีเรีย และโอมาน ถึงแม้ว่าตลาดจะได้รับแรงหนุนจากอุปทานที่ลดลงจากสภาพอากาศหนาวเย็นในสหรัฐฯ ส่งผลให้โรงกลั่นหลายแห่งต้องหยุดดำเนินการ ขณะที่ธุรกิจอะโรเมติกส์ มีแนวโน้มฟื้นตัวโดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ของพาราไซลีนที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากคำสั่งซื้อโพลิเอสเตอร์ในจีนหลังเทศกาลตรุษจีนมีแนวโน้มสูงขึ้น รวมถึงความต้องการขวดบรรจุภัณฑ์ (PET) ที่จะปรับสูงขึ้นในช่วงฤดูร้อน อย่างไรก็ตาม ตลาดน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานมีแนวโน้มอ่อนตัวลง จากแรงกดดันของอุปทานใหม่ที่เข้าสู่ตลาดจากโรงผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานกลุ่มที่ 2 และกลุ่มที่ 3 ในอินเดีย”

ไทยออยล์ยังคงติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงแสวงหาโอกาสสร้างรายได้เพื่อให้มีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันโครงการพลังงานสะอาดให้เดินหน้าต่อไปให้ดีที่สุด ตลอดจนแสวงหาโอกาสในธุรกิจใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ เมกะเทรนด์เพื่อมุ่งเติบโตเป็นองค์กร 100 ปี อย่างมั่นคง ภายใต้วิสัยทัศน์ สร้างสรรค์คุณภาพชีวิต ด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน”

‘รัฐบาลจีน’ ดึง ‘แจ๊ก หม่า - เหลียง เหวินเฟิง’ ร่วมประชุม ส่งสัญญาณ!! รัฐหนุนภาคเอกชน

(15 ก.พ. 68) จีนเชิญแจ๊ก หม่า (Jack Ma) ผู้ร่วมก่อตั้งอาลีบาบา กรุ๊ป (Alibaba Group) และเหลียง เหวินเฟิง (Liang Wenfeng) ผู้ก่อตั้งดีปซีก (DeepSeek) เข้าร่วมประชุมกับผู้บริหารระดับสูงที่อาจจะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า ซึ่งคาดว่าสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนจะเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวด้วยเช่นกัน

ตารางนัดหมายการประชุมยังถูกปกปิดเป็นความลับและยังไม่มีความชัดเจนจนถึงปัจจุบัน แต่การพบปะกันระหว่างสี จิ้นผิง และแจ๊ก หม่า ส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะมีการสนับสนุนภาคเอกชนมากขึ้น หลังปล่อยให้เผชิญความระส่ำระสายมานานหลายปี

แจ๊ก หม่า นักธุรกิจรายใหญ่ของจีนผู้ซึ่งกล้าพูดตรงไปตรงมา กลายเป็นเหยื่อรายสำคัญที่ได้รับผลกระทบจากการปราบปรามภาคอสังหาฯเมื่อปี 2020 ของสี จิ้นผิง เมื่อรัฐบาลจีนช็อกผู้คนทั่วโลกด้วยการสกัดแผน IPO ของแอนท์ กรุ๊ป (Ant Group) ฟินเทคยักษ์ใหญ่ของแจ๊ก หม่า ซึ่งทำให้แจ๊ก หม่า สูญเงิน 35,000 ล้านดอลลาร์ในพริบตา และต้องหายจากหน้าสื่อไปหลายเดือน 

ทั้งนี้ สารสนเทศของคณะมุขมนตรีจีน (State Council Information Office) ไม่ได้ตอบสนองต่อคำถามเกี่ยวกับการประชุมดังกล่าวจากทางรอยเตอร์ เช่นเดียวกับตัวแทนของดีปซีกและอาลีบาบา

ปัจจุบัน รัฐบาลจีนดำเนินวิธีการที่ชวนวิวาทน้อยลง หลังเศรษฐกิจจีนเติบโตชะลอตัวและบริษัทต่าง ๆ อย่างอาลีบาบาปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวทางการผลักดันทางปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของสี จิ้นผิง

ขณะที่ เหลียง เหวินเฟิง กลายเป็นผู้นำด้านเอไอเพียงคนเดียวที่ได้รับเลือกให้เข้าร่วมวงประชุมเปิดระหว่างผู้ประกอบการกับผู้มีอำนาจสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศอย่าง หลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ในวันที่ 20 มกราคม 2025 ด้านแจ๊ก หม่า ก็เริ่มค่อย ๆ ปรากฏตัวในที่สาธารณะมากขึ้น ได้มอบสุนทรพจน์เกี่ยวกับเอไอแก่พนักงานแอนท์ กรุ๊ป เมื่อเดือนธันวาคม 2024

‘อาจารย์อุ๋ย’ จี้!! ‘นายกฯ อิ๊งค์’ ผลักดันนโยบาย ‘Thailand First’ ตามแบบ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ตั้งหน่วยงานเพิ่มประสิทธิภาพ ปราบทุจริต

(15 ก.พ. 68) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมาย อดีตที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเห็นว่า “หลายท่านที่ติดตามข่าวต่างประเทศโดยเฉพาะข่าวเกี่ยวกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสไตล์การบริหารที่แปลกแหวกแนว มีสีสันไม่ค่อยเหมือนใคร โดยเฉพาะนโยบาย America First หรืออเมริกาต้องมาก่อน ซึ่งเป็นแคมเปญสั้น ๆ แต่ครอบคลุมทุกมิติของนโยบาย คือทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของอเมริกาและชาวอเมริกัน

ซึ่งผมมองว่าประเทศไทยก็สามารถใช้นโยบายในลักษณะนี้ได้เช่นเดียวกัน แม้เราจะไม่ใช่ประเทศมหาอำนาจ แต่ก็ไม่เล็กเกินไปที่จะแสดงให้โลกเห็นว่าประเทศไทยต้องการที่จะปกป้องปผลประโยชน์ของประเทศไทยและคนไทย โดยไม่ให้ประเทศอื่นมาเอาเปรียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงงานต่างด้าวหรือผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย จะมาได้รับสิทธิ์ทัดเทียมคนไทยนั้น ไม่ควรมีข่าวออกมาให้เห็น หรือถ้าการยกเลิก MOU44 จะทำให้ประเทศไทยได้เปรียบในการถือกรรมสิทธิ์ในขุมพลังงานบริเวณน่านน้ำรอบเกาะกูด ก็ต้องรีบทำ เพราะ ผลประโยชน์ของประเทศไทยต้องมาก่อนเหนือสิ่งอื่นใด หรือแม้แต่การกำจัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ปักหลักอยู่บริเวณชายแดน หากยึดถือหลักการ ประเทศไทยต้องมาก่อน แล้ว คงไม่ต้องรอให้ทางจีนเขาส่งคนใหญ่คนโตเอาแส้มาหวดจนก้นลายกันทั้ง ครม. ถึงจะขยับเขยื้อนกัน 

อีกอันหนึ่งที่ผมเห็นว่าน่าสนใจคือการที่ ปธน. ทรัมป์ตั้ง อีลอน มัสค์ มหาเศรษฐีชื่อดังผู้ก่อตั้ง SpaceX และ Tesla เข้ามานั่งหัวโต๊ะคุมหน่วยงานพิเศษที่เรียกว่ากระทรวงเพิ่มประสิทธิภาพรัฐบาล หรือ Department of Government Efficiency (DOGE) ทำหน้าที่ลดขนาดรัฐ ขจัดกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น ตัดค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลือง และปรับโครงสร้างหน่วยงานรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งก็ต้องมาดูกันต่อไปว่ามัสค์จะทำหน้าที่ได้สมกับที่คุยโวได้หรือไม่ จะเกิดผลประโยชน์ทับซ้อนหรือเปล่า แต่ล่าสุดทาง DOGE ก็ทำผลงานโดยเตรียมตรวจสอบการใช้งบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงกลาโหม และอ้างว่าตัดลดการใช้งบประมาณที่ไม่จำเป็นได้ถึงวันละหนึ่งพันล้านดอลลาร์ และตั้งเป้าจะประหยัดงบให้ได้ถึง 3 พันล้านดอลลาร์ต่อวัน

สุดท้ายนี้ผมมองว่าหากประเทศไทยจะนำหลักการ นโยบายแบบทรัมป์กับคู่หูอีลอน มัสค์ มาประยุกต์ใช้เสียบ้าง คงไม่น่าจะเสียหายอะไร เพราะประชาชนคนไทยกับประเทศไทยมีแต่ได้ โดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพระบบราชการและการปราบคอร์รัปชัน ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนขึ้นอีกหลายเท่าเพราะดัชนีเรื่องความโปร่งใสก็เป็นหนึ่งในดัชนีชี้วัดที่สำคัญที่สากลโลกเขาใช้วัดกันว่าประเทศนี้ประเทศนั้นน่าไปลงทุนมากแค่ไหน ก็ขอฝากท่านนายกไปคิดดูครับ ด้วยความปรารถนาดี”

‘มะม่วงแช่อิ่ม’ จิ้ม!! ‘วาซาบิ’ จากร้านมะม่วงเบาคาเฟ่ สิงหนคร ถูกคัดเลือกขึ้นโต๊ะ!! เสิร์ฟ ครม.สัญจร ‘สงขลา’ อร่อยละมุนลิ้น

(15 ก.พ. 68) พิเศษ…มะม่วงเบาแช่อิ่ม สูตรพิเศษคิดเอง ทำเอง จิ้มวาซาบิ จากร้านมะม่วงเบา คาเฟ่ สิงหนคร ได้รับการคัดเลือกให้นำไปเสิร์ฟเป็นอาหารว่างเลี้ยงคณะรัฐมนตรีช่วงสัญจรไปประชุมที่สงขลา ช่วงวันที่ 17-18 กุมภาพันธ์นี้

“มะม่วงเบาแช่อิ่มจิ้มวาซาบิ เป็นสูตรพิเศษไม่เหมือนใคร ทางร้านคิดขึ้นมาเอง ไม่มีที่ร้านอื่น รสชาติก็จะละมุนลิ้นขึ้น อร่อยในแบบที่แตกต่างกันออกไป” พงศ์ศักดิ์ มากสุวรรณ เจ้าของร้านสาธยาย

พงศ์ศักดิ์ บอกว่า เราจะคัดมะม่วงอย่างดี ไม่อ่อน ไม่แก่จนเกินไปทางมาหั่น ล้างก่อนจะแช่อิ่มตามสูตรของร้าน เราสามารถเลือกมะม่วงได้ เนื่องจากสิงหนครเป็นแหล่งปลูกมะม่วงเบาที่ใหญ่ที่สุด เป็นผลิตผลที่มีจีไอ“

พงศ์ศักดิ์ บอกว่า ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา โชตินรินทร์ เกิดสม เป็นคนตัดสินใจให้เอามะม่วงเบาแช่อิ่มจิ้มวาซาบิจากทางร้านไปขึ้นโต๊ะเสิร์ฟ ครม. เพราะผมเคยนำไปฝากท่านผู้ว่าฯให้ได้ชิมมาแล้ว ท่านผู้ว่าฯให้นายเอกสิทธิ์ สองเมือง นายอำเภอสิงหนคร คัดเลือกของว่างไปเลี้ยง ครม.นายอำเภอก็เสนอมะม่วงเบาแช่อิ่มจิ้มวาซาบิจากทางร้าน ผู้ว่าฯเคยชิมมาแล้ว จึงตัดสินใจเลย

“ทางร้านมะม่วงเบาคาเฟ่ เราจะคิดสูตรอาหารใหม่ ๆ ขึ้นมาเรื่อย ๆ เช่น เส้นบีหุ้นผัดเคย ล่าสุดเราลองทำปลาช่อนทะเลนึ่งด้วยมะม่วงเบา ไม่ต้องใช้มะนาว รสชาติก็จะนุ่มละมุนกว่า ไม่จี๊ดจ๊าดเหมือนมะนาว อร่อยกว่า”

พงศ์ศักดิ์ บอกอีกว่า ทางร้านจะเน้นอาหารประเภทปลา ปลาสดๆจากทะเลที่ชาวประมงในย่านนั้นนำมาขาย มีปลาเนื้ออ่อน (ทำได้หลายเมนู) จะฉู่ฉี่ หรือทอดกรอบ แกงส้มก็อร่อย แกงส้มเราก็มีแกงส้มมะม่วงเบาให้เป็นทางเลือกของลูกค้า นอกจากนี้เรายังมีหอยจ๊อปู เนื้อปูแน่น ๆ อีกด้วย

“รับรองว่ามารับประทานอาหารที่ร้านมะม่วงเบาแล้วจะไม่ผิดหวังกับบรรยากาศแนวลูกทุ่ง เมนูอาหารให้เลือกมากมาย เรากำลังทดลองทำเค้กจากมะม่วงเบาด้วย แต่สูตรยังไม่ลงตัวจึงยังไม่นำเสนอลูกค้า มีแต่เค้กรสชาติอื่นที่เราก็ผลิตเองเช่นกัน อีกไม่นานก็จะมีเค้กมะม่วงเบาให้บริการ”

กล่าวสำหรับร้านมะม่วงเบาคาเฟ่ ตั้งแต่เปิดให้บริการมาก็ได้รับการผลักดันจาก “วิชาญ ช่วยชูใจ” นักจัดรายการวิทยุ และจัดทัวร์ทางไท เป็นทัวร์ท่องเที่ยวเชิงชุมชน วิชาญก็จะนำลูกทัวร์มาแวะที่ร้านมะม่วงเบาคาเฟ่ตลอด

พงศ์ศักดิ์ บอกว่า ดีใจและภูมิใจที่ทางร้านได้รับการคัดเลือกให้นำมะม่วงเบาแช่อิ่มจิ้มวาซาบิ ไปขึ้นโต๊ะเลี้ยงผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ขอบคุณนายอำเภอสิงหนคร ขอบคุณท่านผู้ว่าฯ

‘โมโตจีพี’ เทสต์สนั่นโลก!! ‘มาร์เกซ’ เร็วที่สุด ‘สมเกียรติ’ ยกระดับ!! ก่อน ‘ThaiGP’

(15 ก.พ. 68) 'ซูเปอร์สตาร์นักบิดโมโตจีพี' ดวลความเร็ว 'ThaiGP Pre-Season Test' เข้มข้น ผลปรากฏว่า มาร์ค มาร์เกซ แชมป์โลกจาก ดูคาติ ผงาดรั้งจ่าฝูงเหนือน้องชายอย่าง อเล็กซ์ มาร์เกซ ขณะที่ 'ก้อง' สมเกียรติ จันทรา นักบิดชาวไทยจาก ฮอนด้า ทำงานอย่างหนักหลังบิดทั้งสิ้น 131 รอบสนาม ยกระดับได้ยอดเยี่ยม ก่อนเปิดฤดูกาล โมโตจีพี 2025 ที่ประเทศไทย ในศึก 'พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์' 28 กุมภาพันธ์-2 มีนาคมนี้

การทดสอบพรีซีซั่นอย่างเป็นทางการของศึก โมโตจีพี 2025 'ThaiGP Pre-Season Test' จบลงอย่างเป็นทางการ หลังผ่านการทำงานอย่างหนักของทีมแข่ง วิศวกร และนักบิดทุกคน ระหว่างวันที่ 12-13 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์

ผลการทดสอบปรากฏว่า 'มาร์ค มาร์เกซ' แชมป์โลกชาวสแปนิชจาก ดูคาติ เลอโนโว ทีม ด้วยเวลาต่อรอบ 1 นาที 28.855 วินาที หลังวิ่งไปทั้งสิ้น 156 รอบสนาม ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา โดยยังไม่สามารถทำลายสถิติเดิม 1 นาที 28.700 วินาที ของทีมเมทอย่าง ฟรานเชสโก้ บันยาญ่า ลงได้ ส่วนอันดับ 2 เป็นของ 'อเล็กซ์ มาร์เกซ' นักบิดสแปนิชจาก เกรซินี เรซซิ่ง ตามหลัง 0.179 วินาที ขณะที่อันดับ 3 เป็นของ 'มาร์โก เบซเซ็คคี' นักบิดอิตาเลียนจาก อพริเลีย เรซซิ่ง ตามหลัง 0.205 วินาที

ส่วน 'เปโดร อคอสต้า' นักบิดดาวโรจน์ชาวสแปนิชจาก เรดบูล เคทีเอ็ม แฟ็คตอรี เรซซิ่ง จบการทดสอบครั้งนี้ในอันดับ 4 ด้วยเวลาต่อรอบ 1 นาที 29.133 วินาที ตามหลังจ่าฝูง 0.278 วินาที ด้าน 'ฟรานเชสโก้ บันยาญ่า' แชมป์โลก 2 สมัย ยังไม่ลงตัวมากนัก รั้งอันดับ 5 ด้วยเวลาสต่อรอบ 1 นาที 29.378 วินาที ตามหลังทีมเมทอย่าง มาร์ค มาร์เกซ 0.523 วินาที

ขณะที่ 'โจอัน เมียร์' ชาวสแปนิชจาก ฮอนด้า เอชอาร์ซี คาสตรอล ส่งสัญญาณยอดเยี่ยม ขยับขึ้นมารั้งท็อป 6 ด้วยเวลาต่อรอบ 1 นาที 29.399 วินาที บีบระยะเข้าไปหาหัวแถวเหลือ 0.544 วินาที ตามด้วย 'ฟรานโก้ มอร์บิเดลลี' นักบิดอิตาเลียนจาก เปอร์ตามิน่า เอ็นดูโร วีอาร์46 เรซซิ่ง ในอันดับ 7 ตามหลัง 0.599 วินาที

ส่วน 'ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร' แชมป์โลก 1 สมัยชาวฝรั่งเศสจาก มอนสเตอร์ อีเนอร์จี้ ยามาฮ่า โมโตจีพี จบการทดสอบครั้งนี้ในอันดับ 8 ด้วยเวลาต่อรอบ 1 นาที 29.586 วินาที ตามหลังจ่าฝูง 0.731 วินาที ตามด้วย 'มาเวริค บีญาเลส' นักบิดสแปนิชจาก เรดบูล เคทีเอ็ม เทคทรี ตามหลัง 0.751 วินาที และอันดับ 10 เป็นของ 'แจ็ค มิลเลอร์' นักบิดออสเตรเลียนจาก พรีม่า พรามัค ยามาฮ่า โมโตจีพี ตามหลังหัวแถว 0.762 วินาที

สำหรับนักบิดโมโตจีพีชาวไทยคนแรกในประวัติศาสตร์อย่าง 'ก้อง' สมเกียรติ จันทรา จาก อิเดมิตสึ ฮอนด้า แอลซีอาร์ ทำงานกับทีมและวิศวกรของ ฮอนด้า อย่างหนัก จบการทดสอบครั้งนี้ด้วยอันดับ 20 ด้วยเวลาต่อรอบ 1 นาที 30.465 วินาที ตามหลังจ่าฝูง 1.610 วินาที หลังจากที่ลงบิดไปทั้งสิ้น 131 รอบสนาม 

ด้านรุกกี้ที่ผลงานดีที่สุดในการทดสอบครั้งนี้ได้แก่ 'ไอ โอกูระ' นักบิดชาวญี่ปุ่นจาก แทร็คเฮาส์ เรซซิ่ง ภายใต้รถแข่งอพริเลีย รั้งอันดับ 11 ด้วยเวลาต่อรอบ 1 นาที 29.636 วินาที ตามหลังจ่าฝูง 0.781 วินาที ตามด้วย 'เฟร์มิน อัลเดเกร์' นักบิดดาวรุ่งชาวสแปนิชจาก เกรซินี เรซซิ่ง ในอันดับ 18 ตามหลัง 1.230 วินาที

ทั้งนี้ หลังจบภารกิจการทดสอบ 'ThaiGP Pre-Season Test' อย่างเป็นทางการของ โมโตจีพี 2025 บรรดานักบิดพรีเมียร์คลาสทุกคน จะมีเวลาพักราว 2 สัปดาห์ ก่อนเข้าสู่การแข่งขันสนามแรกของฤดูกาล ระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์-2 มีนาคมนี้ ในศึก 'พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์' ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่ประเทศไทยรองรับการแข่งขันสนามแรกของศึกจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก

‘ป.ป.ช.’ ร่อน!! ข้อกล่าวหา ยัน!! มีพยานหลักฐาน เพียงพอว่า ‘มีมูลความผิด’ ‘เจี๊ยบ อมรัตน์’ เจ้าตัวเดือด!! จัดฟาดกลับ หลังเห็นคำขวัญของ ป.ป.ช.

(15 ก.พ. 68) นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต สส. พรรคก้าวไกล และหนึ่งใน 44 สส. ที่ถูกกล่าวหาว่าผิดจริยธรรมร้ายแรงในกรณีร่วมลงชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กทันทีหลังได้รับเอกสารแจ้งข้อกล่าวหาจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งระบุว่า “มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะสนับสนุนข้อกล่าวหาว่ามีมูลความผิด”

นางอมรัตน์ แสดงความไม่พอใจ ว่า 1.การประกันตัวผู้ต้องหาคดี 112 จะทำได้ศาลต้องเป็นผู้อนุมัติ นั่นหมายถึงศาลสมรู้ร่วมคิดกับดิฉันเซาะกร่อนบ่อนทำลายและล้มล้างการปกครองใช่หรือไม่ แล้วป.ป.ช.ส่งหมายเรียกให้ศาลมารับทราบข้อกล่าวหาหรือยัง

ยังมีนักวิชาการหลาย ๆ ท่านไปร่วมประกันตัวเพื่อให้ลูกศิษย์ได้กลับมาเรียนหนังสือในระหว่างต่อสู้คดีด้วย พวกเขามีความผิดด้วยหรือไม่
2.อำนาจหน้าที่เสนอกฎหมายใหม่ แก้ไขกฎหมายเก่าที่ล้าสมัยยังเป็นหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่

3.มีบทบัญญัติหรือข้อห้ามใดบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่าห้ามเสนอแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 และในอดีตก็เคยมีการแก้ไขมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ครั้ง

4.กกต.เป็นผู้อนุญาตให้ใช้นโยบายแก้ไขมาตรา 112 เป็น 1 ใน 300 นโยบายหาเสียงของพรรคก้าวไกล แสดงว่า กกต. ก็สุมหัวร่วมทำความผิดนี้ด้วยหรือไม่

ทำไมไม่เรียกกกต.ไปรับทราบข้อกล่าวหาพร้อม ๆ กัน

ท้ายที่สุด นางอมรัตน์ ยังกล่าวถึงปัญหามโนธรรมของ ป.ป.ช. ที่ไม่ได้รักษาหลักการที่ถูกต้อง และเสียดสีว่า “เห็นคำขวัญบรรทัดสุดท้ายแล้วอยากอาเจียน”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top