Monday, 19 May 2025
NewsFeed

‘กฟผ.’ ผนึกกำลังพันธมิตร ยกระดับความร่วมมือดูแลคุณภาพอากาศ บูรณาการ!! ข้อมูลภาค ‘พื้นดิน-อวกาศ’ เพื่อแก้ปัญหา PM2.5 ให้ปชช.

(15 ก.พ. 68) กฟผ. ร่วมกับกระทรวงพลังงาน กรมควบคุมมลพิษ GISTDA และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประกาศเจตนารมณ์ความร่วมมือด้านคุณภาพอากาศ ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลภาคพื้นดินและอวกาศ วิเคราะห์สาเหตุมลพิษและฝุ่น PM2.5 มุ่งกำหนดนโยบายปรับปรุงคุณภาพอากาศอย่างตรงจุด เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีและลมหายใจสะอาดของคนไทย

กระทรวงพลังงาน กรมควบคุมมลพิษ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมประกาศเจตนารมณ์ความร่วมมือด้านคุณภาพอากาศ 'Breathe Our Future: Space & Sensor Synergy' รวมพลังเพื่อลมหายใจแห่งอนาคต ณ ห้องออดิทอเรียม อาคาร 50 ปี กฟผ. สำนักงานใหญ่ จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568

นายสมภพ พัฒนอริยางกูล รองปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานได้ขับเคลื่อนนโยบายการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและ PM2.5 ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลก โดยวางโครงสร้างพื้นฐานของยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อผลักดันให้เกิดการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าแทนเครื่องยนต์สันดาป การยกระดับคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง การนำชีวมวลมาผลิตไฟฟ้าเพื่อลดการเผาในที่โล่ง และสนับสนุนหน่วยงานภาคีเครือข่ายพัฒนานวัตกรรมตรวจวัดคุณภาพอากาศ (Sensor for ALL) เพื่อหาสาเหตุจากแหล่งการเกิดฝุ่น และใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาเพื่อออกนโยบายแนวทางแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืน

นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า การป้องกันที่แหล่งกำเนิดเป็นสิ่งจำเป็นในการลดมลพิษทางอากาศและ PM2.5 ในขณะที่การขยายความร่วมมือและการพัฒนาเครื่องมือก็เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งปัจจุบันกรมควบคุมมลพิษได้ติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศแล้วจำนวน 100 สถานี ครอบคลุมพื้นที่ 69 จังหวัด และคาดว่าจะมีครบทุกจังหวัดในปี 2569 พร้อมร่วมมือกับภาคีเครือข่ายนำข้อมูลไปใช้วิเคราะห์หาสาเหตุการเกิดฝุ่นจากแหล่งที่มา และสื่อสารข้อมูลที่ได้จากเครื่องมือตรวจวัดแต่ละชนิด เพื่อให้ประชาชนเกิดความเข้าใจและสามารถนำไปใช้ประโยชน์สูงสุด

นางกานดาศรี ลิมปาคม รองผู้อำนวยการ GISTDA เปิดเผยว่า GISTDA มีดาวเทียมที่สามารถติดตามความเข้มข้นของมลพิษทางอากาศรายชั่วโมง จึงสามารถช่วยสนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหาฝุ่นจากแหล่งกำเนิดได้ พร้อมกันนี้ยังได้ใช้ AI ในการพยากรณ์และสื่อสารถึงประชาชนผ่านแอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” โดย GISTDA มุ่งหวังและตั้งเป้าหมายที่จะผสานการตรวจวัดคุณภาพอากาศจากดาวเทียมและภาคพื้นดิน เพื่อให้ได้สาเหตุการเกิดฝุ่นจากแหล่งที่มาได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และส่งผลให้เกิดนวัตกรรมการแก้ไขปัญหาคุณภาพอากาศอย่างยั่งยืนมากขึ้น

รศ.ดร.วิทยา วัณณสุโภประสิทธิ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนความยั่งยืน โดยวางนโยบายเปลี่ยนมหาวิทยาลัยให้เป็นมหาวิทยาลัยสีเขียว ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการพัฒนานวัตกรรม Sensor for ALL ที่เดินหน้าต่อเนื่องมาแล้ว 7 ปี โดยติดตั้งเซนเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศในพื้นที่ต่าง ๆ และกระจายฐานข้อมูลเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ โดยมีแผนที่จะใช้ Sensor สอดประสานความแม่นยำของข้อมูลกับภาคีเพื่อขยายผลการตรวจวัดตั้งแต่ภาคพื้นดินสู่อวกาศต่อไป

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ กฟผ. เปิดเผยว่า กฟผ. ดำเนินภารกิจผลิตไฟฟ้าควบคู่กับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม การดูแลคุณภาพอากาศที่ปล่อยจากการผลิตไฟฟ้าจึงถูกควบคุมดูแลตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำซึ่งเป็นผู้ใช้ไฟฟ้า โดยเลือกใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อให้การปล่อยมลสารจากโรงไฟฟ้าดีกว่าเกณฑ์ค่ามาตรฐานที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งผลักดันการดำเนินมาตรการต่าง ๆ อาทิ การนำร่องใช้ยานยนต์ไฟฟ้า การส่งเสริมมาตรฐานฉลากเบอร์ 5 การสนับสนุนจักรยานยนต์ไฟฟ้าเบอร์ 5 การติดตั้งนวัตกรรมระบบหมุนเวียนและบำบัดอากาศ City Tree การส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่ช่วยแก้ปัญหาฝุ่น และสนับสนุนภารกิจป้องกันไฟป่าและหมอกควัน โดย กฟผ. ได้ร่วมมือกับกระทรวงพลังงาน และคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ติดตั้ง Sensor for All ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งจากการเก็บข้อมูลย้อนหลัง 3 ปี พบว่า ประเทศไทยยังไม่สามารถแก้ปัญหาและลด PM2.5 ได้ จึงต้องผนึกกำลังร่วมมือกับภาคีเครือข่ายเพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยกันนำข้อมูลมาวิเคราะห์ทบทวนและกำหนดมาตรการเสริมในการลดมลพิษทางอากาศและ PM2.5 ของประเทศต่อไป

สำหรับการประกาศเจตนารมณ์ความร่วมมือด้านคุณภาพอากาศในครั้งนี้ ทั้ง 5 หน่วยงานได้บูรณาการข้อมูลและเทคโนโลยีร่วมกัน เพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุของมลพิษทางอากาศและ PM2.5 ให้ตรงจุดมากขึ้น นำไปสู่การกำหนดนโยบายด้านคุณภาพอากาศของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ และส่งเสริมการบริหารจัดการคุณภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมระดับประเทศ เพื่อลมหายใจสะอาดและสุขภาพที่ดีของคนไทยอย่างยั่งยืนต่อไป

‘พระจอมเกล้าธนบุรี’ พลิกขยะเกษตรสู่ลิกนิน นวัตกรรม!! เปลี่ยนเศรษฐกิจไทยให้ยั่งยืน

(15 ก.พ. 68) ในโลกปัจจุบันปัญหาขยะชีวมวลกำลังกลายเป็นวิกฤตสำคัญ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่เศรษฐกิจพึ่งพาภาคการเกษตรเป็นอย่างมาก ชีวมวลจากชานอ้อย ฟางข้าว ปาล์มน้ำมัน และเศษวัสดุทางการเกษตรจำนวนมหาศาลถูกเผาทำลายหรือทิ้งไปโดยไร้ประโยชน์ ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง

เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงเป็นที่มาของโครงการ การพัฒนากระบวนการบำบัดชีวมวล เพื่อแยกส่วนและตกตะกอนลิกนินบริสุทธิ์ เป็นผลงานวิจัยร่วมระหว่าง ศ.ดร. นวดล เหล่าศิริพจน์ อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และ ดร.ชญานนท์ โชติรสสุคนธ์ นักวิจัยกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรี่และชีวภาพ (IBBG) ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) 

“ชีวมวลไม่ใช่ของเสีย แต่คือทรัพยากรสำคัญที่สามารถแปรรูปให้เกิดประโยชน์สูงสุด เราต้องการสร้างความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม” ศ.ดร. นวดล เหล่าศิริพจน์ ในฐานะหัวหน้าโครงการ กล่าว

ปัจจุบันชีวมวลถูกนำมาใช้ประโยชน์ในหลากหลายรูปแบบ เช่น การแปรรูปเป็นพลังงาน หรือการสกัดองค์ประกอบสำคัญอย่างเซลลูโลสเพื่อนำไปผลิตเยื่อกระดาษ อย่างไรก็ตาม ชีวมวลยังมีองค์ประกอบอื่น ๆ ที่ถูกมองข้าม หนึ่งในนั้นคือลิกนิน (Lignin) ซึ่งมีอยู่มากถึง 20% ของชีวมวล และมีศักยภาพสูงในการนำไปใช้ประโยชน์ 

“ลิกนินเป็นองค์ประกอบสำคัญในชีวมวลลิกโนเซลลูโลส มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น การดูดกลืนรังสียูวีและการต้านอนุมูลอิสระ แต่ด้วยโครงสร้างทางเคมีที่ซับซ้อน ทำให้กระบวนการสกัดแบบเดิมต้องใช้สารเคมีที่รุนแรง ซึ่งนอกจากจะทำลายคุณสมบัติสำคัญของลิกนินแล้ว ยังทำให้ลิกนินถูกจัดเป็นของเสียที่ยากต่อการนำไปพัฒนาต่อยอด ทีมวิจัยจึงได้พัฒนากระบวนการใหม่ โดยใช้ ตัวทำละลายอินทรีย์ ที่สามารถสกัดลิกนินออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งนำตัวทำละลายกลับมาใช้ซ้ำ กระบวนการนี้เป็นระบบกึ่งไร้ของเสีย (Semi-Zero Waste) ช่วยให้ได้ลิกนินที่มีความบริสุทธิ์สูงและยังคงคุณสมบัติสำคัญไว้อย่างครบถ้วน” ดร.ชญานนท์ กล่าว

จากการวิจัยร่วมกันโดยใช้ห้องปฏิบัติการร่วมด้านพลังงานและเคมีชีวภาพ (BIOTEC-JGSEE Integrative Biorefinery Laboratory) ได้ค้นพบศักยภาพของลิกนินในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น การพัฒนาพลาสติกผสมลินินที่สามารถกันรังสียูวีได้โดยไม่ต้องพึ่งพาสารเคมี และผลิตเป็น 'กรีนแพ็กเกจจิ้ง' ด้วยการผสมลิกนินเข้ากับพลาสติกชีวภาพ เช่น PLA (พลาสติกย่อยสลายได้) และ พลาสติก Up-cyling rPET (พลาสติกทนความร้อนและยืดหยุ่นสูง) เพื่อพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ทนต่อรังสียูวี ลดการเสื่อมสภาพ และตอบโจทย์ความยั่งยืน เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการคุณภาพและความปลอดภัยจากแสงยูวี ลิกนินยังถูกนำไปผสมในยางธรรมชาติ เพื่อเพิ่มความทนทานและลดการเสื่อมสภาพจากความชื้นและออกซิเจน ลิกนินยังสามารถแทนที่สารเคมีต้านอนุมูลอิสระได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้เกิดยางที่มาจากธรรมชาติ 100% ซึ่งเหมาะสำหรับการผลิตยางรถยนต์และผลิตภัณฑ์ยางชนิดพิเศษต่าง ๆ นอกจากนี้ ลิกนินยังถูกใช้ในอุตสาหกรรมความงาม เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์รองพื้น (Foundation) ด้วยโทนสีน้ำตาลธรรมชาติและคุณสมบัติป้องกันรังสียูวี โดยมีค่า SPF สูงถึง 36 โดยไม่ต้องใช้สารเคมีเพิ่มเติม ทั้งยังมีศักยภาพในการต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจช่วยชะลอวัย ทีมวิจัยกำลังดำเนินการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผลลัพธ์ในเชิงลึก ทั้งหมดถือเป็นการนำของเหลือจากชีวมวลมาต่อยอดเป็นนวัตกรรมที่มีมูลค่าสูงได้

นอกจากการเพิ่มมูลค่าให้กับชีวมวลแล้ว ทีมวิจัยยังมุ่งมั่นลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ชีวมวลที่ถูกทิ้งหรือเผาทำลายมักปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น มีเทนและคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กระบวนการแปรรูปลิกนินไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซเหล่านี้ แต่ยังสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรจากการขายเศษเหลือการเกษตรในราคาที่สูงขึ้นด้วย

ในอนาคต ทีมวิจัยวางแผนขยายขอบเขตงานวิจัยเพื่อสนับสนุนเป้าหมาย "Zero Emission" และเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยการใช้ชีวมวลให้เกิดประโยชน์สูงสุด ช่วยลดของเสีย และเพิ่มศักยภาพให้ผู้ประกอบการไทยในอุตสาหกรรมต่าง ๆ นอกจากนี้ทีมวิจัยยังเล็งเห็นว่าแนวทางนี้สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างเศรษฐกิจ พร้อมทั้งสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว

“ลิกนินเป็นตัวอย่างของการแปรรูปชีวมวลที่ไม่ได้ช่วยแค่ลดขยะ แต่ยังสร้างโอกาสใหม่ให้กับอุตสาหกรรมไทย ทั้งด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม” ศ.ดร. นวดล กล่าวทิ้งท้าย

มาคาเลียส อัปเดต 5 ที่พักสุดโรแมนติก ต้อนรับเดือนแห่งความรัก กุมภาพันธ์

(15 ก.พ. 68) กลิ่นอายความรักอบอวลต้อนรับเดือนกุมภาพันธ์ มาคาเลียส แหล่งรวม อี-วอเชอร์ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว อันดับ 1 ของประเทศไทย ขอเอาใจคู่รักทุกเพศทุกวัย ที่กำลังมองหาสถานที่สุดคลูฉลองความรัก ด้วย 5 ที่พักสุดโรแมนติก ไม่ว่าจะเป็นวิวธรรมชาติแสนสวย บรรยากาศสุดอบอุ่น หรือสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ที่พักเหล่านี้จะทำให้การพักผ่อนของคุณและคนรักเต็มไปด้วยความทรงจำที่แสนพิเศษ

Mida Resort Kanchanaburi - พักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติและแม่น้ำแคว จังหวัดกาญจนบุรี พร้อมต้อนรับคู่รักทุกคู่ให้มาร่วมดื่มด่ำกับบรรยากาศธรรมชาติริมน้ำแควใหญ่ ท่ามกลางขุนเขาและสายหมอก ที่นี่เหมาะสำหรับคู่ที่ต้องการหลีกหนีความวุ่นวาย ต้องการการชาร์ทพลังใจให้เติมสตรีม โดยไฮไลต์สำคัญของที่พักแห่งนี้ คือ สระว่ายน้ำวิวแม่น้ำแควใหญ่ จุดดินเนอร์สุดโรแมนติกใต้แสงดาว รวมถึงกิจกรรมล่องแพสุดชิล ซึ่งตัวห้องพักมีให้เลือกหลายขนาด ตั้งแต่ ห้องดีลักซ์ 32 ตร.ม. ไปจนถึงวิลล่าริมน้ำ พร้อมอ่างอาบน้ำส่วนตัว แต่ละห้องมาพร้อม ระเบียงชมวิว เตียงขนาดคิงไซส์ และอ่างจากุซซี่

The Tree Riverside แก่นกระจาน– หนีเมืองวุ่นวาย สู่ความสงบกลางป่าใหญ่ รีสอร์ตริมน้ำสุดเงียบสงบที่โอบล้อมด้วยต้นไม้สีเขียว ให้ความเป็นส่วนตัวสุดๆ มาพร้อมกิจกรรมสำหรับคู่รักทั้งการพายเรือคายัค ล่องแพ และดื่มด่ำกับพระอาทิตย์ตกริมแม่น้ำ ไฮไลต์คือ ห้องพักแคมป์ปิ้งสุดหรู พร้อมอ่างอาบน้ำกลางแจ้ง ให้คุณได้ผ่อนคลายไปกับธรรมชาติ ตัวห้องพักมีขนาดเริ่มต้นที่ 35 ตร.ม. มาพร้อมเตียงคิงไซส์ ระเบียงส่วนตัว และอ่างอาบน้ำแบบโอเพ่น พิเศษด้วย วิวแม่น้ำแบบพาโนรามา และบรรยากาศเงียบสงบเหมือนอยู่ท่ามกลางป่าใหญ่

Rachabhura ราชบุรี – สัมผัสความหรูหราแบบไทยร่วมสมัย สำหรับคู่รักที่มองหาที่พักระดับไฮเอนด์ ที่นี่คือคำตอบ! โดดเด่นด้วยการออกแบบสุดเก๋ ผสมผสานกลิ่นอายไทยโมเดิร์น ห้องพักแบบพูลวิลล่าพร้อมอ่างจากุซซี่ส่วนตัว และบ่อแช่น้ำแร่สุดพิเศษ ขนาดห้องเริ่มต้นที่ 40 ตร.ม. พร้อมวิวสวนสวย และห้องพูลวิลล่าขนาด 80 ตร.ม. มาพร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว โดยทุกห้องเน้นการตกแต่งและการออกแบบอย่างประณีต มีอ่างจากุซซี่ในร่ม พื้นที่นั่งเล่นกว้างขวาง และห้องอาบน้ำแบบ Rain Shower

Eco Cozy Resort ชะอำ – สัมผัสลมทะเลและบรรยากาศสบายๆ หากคุณและคนรักเป็นสายชิล ชอบสายลม แสงแดด และผืนทราย ต้องไม่พลาดที่แห่งนี้! เพราะตั้งอยู่ใกล้ชายหาดชะอำ บรรยากาศสุดอบอุ่น ตัวห้องพักตกแต่งสไตล์บาหลี พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว และศาลานั่งเล่นสุดชิค ห้องพักมีให้เลือกหลากหลายขนาดตั้งแต่ 28 ตร.ม. ไปจนถึงวิลล่าขนาด 60 ตร.ม. มีมุมพักผ่อนส่วนตัว พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว โดดเด่นด้วย เตียงแบบสี่เสาสไตล์บาหลี ฝักบัวกลางแจ้ง และสวนหย่อมส่วนตัว

Kastel Pattaya – ที่พักสไตล์ยุโรปสุดหรูริมทะเล มุมถ่ายรูปเพียบ! ที่พักแห่งนี้ตกแต่งสไตล์ยุโรปสุดหรู ให้คุณดื่มด่ำกับวิวทะเลและบรรยากาศสุดโรแมนติก มุมที่ถือเป็นไอคอนิคของที่นี่คือ สระว่ายน้ำวิวทะเล คาเฟ่สุดเก๋ และมุมดินเนอร์ใต้แสงเทียน ห้องพักมีให้เลือกตั้งแต่ ห้องสวีทขนาด 40 ตร.ม. ไปจนถึงวิลล่าขนาด 90 ตร.ม. พร้อมดาดฟ้าส่วนตัวสำหรับชมวิวทะเล จุดเด่นคือ ห้องอาบน้ำกระจกใสที่สามารถมองเห็นวิวทะเลได้จากอ่างอาบน้ำ และระเบียงส่วนตัวสำหรับจิบไวน์ชมพระอาทิตย์ตก

เดือนแห่งความรักนี้ เลือกที่พักสุดโรแมนติกให้ทุกโมเมนต์ของคุณเต็มไปด้วยความทรงจำสุดพิเศษ สนใจจองที่พักราคาพิเศษ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.makalius.co.th/ หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม Line Official @makalius

‘รังสิมันต์ โรม’โพสต์ข้อความ!! ผ่านโซเชียล หลังได้รับเอกสารจาก ‘ป.ป.ช.’ ยัน!! ไม่มีทางที่จะทำผิดมาตรฐานจริยธรรม คดี 44 สส.ผิดจริยธรรมร้ายแรง

(15 ก.พ. 68) นายรังสิมันต์ โรม สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย หลังได้รับเอกสารจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ลงวันที่ 11 ก.พ. 2568 ที่เชิญเขาเข้ารับทราบข้อกล่าวหากรณีการเสนอร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยกล่าวหาว่าฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง

นายรังสิมันต์ ระบุว่าไม่เข้าใจว่าการเสนอกฎหมายที่เป็นหน้าที่ของ สส. จะเป็นความผิดได้อย่างไร พร้อมยืนยันว่าไม่มีบทกฎหมายใดห้ามการเสนอแก้ไขมาตรา 112 และการกระทำนี้ก็เป็นการทำหน้าที่ของผู้แทนประชาชนตามรัฐธรรมนูญ

“ผมยืนยันว่าไม่มีทางที่เราจะทำผิดมาตรฐานจริยธรรม”

อย่างไรก็ตาม นายรังสิมันต์ ได้บอกว่า “ส่วนตัวผมทราบดีว่าเวลาของผมคงจะมีอีกไม่มาก” ซึ่งแสดงถึงการยอมรับว่าอาจจะมีการดำเนินการต่อไปอย่างรวดเร็ว โดยเขาจะทำหน้าที่ในสภาอย่างเต็มที่ระหว่างที่ยังมีเวลา

นายรังสิมันต์ ยังกล่าวถึงการทำงานของ ป.ป.ช. ที่เขามองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ โดยข้อกล่าวหาต่อ สส. ทั้ง 44 คนจากพรรคประชาชนในกรณีนี้มีความรวดเร็วในการดำเนินการ ขณะที่ข้อร้องเรียนจากฝ่ายค้านกลับไม่ได้รับการพิจารณาอย่างเท่าเทียมกัน

เขายังตั้งคำถามถึงมาตรฐานของ ป.ป.ช. และการทำงานที่ดูจะมีความไม่โปร่งใสโดยเฉพาะข้อครหาที่ ป.ป.ช. บางคนเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องวิ่งเต้น ให้หลุดพ้นจากการถูกร้องถอดถอน

ในตอนท้าย นายรังสิมันต์ กล่าวถึงการได้รับข้อกล่าวหาภายในวันมาฆบูชา ซึ่งอาจจะเป็นเหตุบังเอิญ พร้อมแสดงความยินดีให้กับนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ที่ได้รับการโปรดเกล้าขึ้นเป็นประธาน ป.ป.ช. และกล่าวว่าจะติดตามความคืบหน้าของคดีนี้เพื่อแจ้งให้ประชาชนทราบ

รายงานข่าวแจ้งว่า ป.ป.ช. ได้ทยอยส่งข้อกล่าวหาให้ 44 สส.แล้ว โดยแต่ละคนได้รับแจ้งไม่เหมือนกันตามฐานความผิดในชั้นสอบสวน

ทั้งนี้ข้อกล่าวหาดังกล่าว สืบเนื่องจากนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความ ยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. เมื่อ 2 ก.พ.2567 เพื่อขอให้ไต่สวนและดำเนินคดีกับ สส.พรรคก้าวไกล (ขณะนั้น)จำนวน 44 คน

ฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีร่วมกันเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เป็นการล้มล้างการปกครองระบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

‘ณวัฒน์’ แถลงฟาด!! ดรามาซองแดง อย่าโยง ‘แม่ตั๊ก’ มั่วนิ่มด่า!! เจอฟ้องแน่

(15 ก.พ. 68) กลายเป็นประเด็นอยู่ไม่น้อย กรณีซองแดงอั่งเปาตรุษจีน ที่ 'ณวัฒน์ อิสรไกรศีล' บอสเวทีมิสแกรนด์ ขายในราคา 59 บาท โดยณวัฒน์จะใส่เงินให้เป็นอั่งเปา แต่ต้องลุ้นเอาเองว่าจะได้กี่บาท ซึ่งณวัฒน์จะใส่เงินตั้งแต่ 20 บาท 50 บาท 100 บาท 500 บาท และ 1,000 บาท โดยเป็นการเล่นสนุกสนานของเจ้าตัว ขายวันเดียวในเวลาเพียง 24 ชม.เท่านั้น

ต่อมาเพจอีซ้อขยี้ข่าว ได้ออกมาโพสต์ข้อความเรียกร้องให้ณวัฒน์ออกมาชี้แจงเรื่องซองแดง หลังชาวติ๊กต๊อกจำนวนมาก ทำคอนเทนต์เปิดซองแดงณวัฒน์ แล้วเกิดความผิดหวัง ในซองแดงมีเงินแค่ 20 บาทเท่านั้น บางรายทุ่มซื้อไปเป็นจำนวนมาก อีกทั้งมีคนไปขุดคลิปเก่าที่ณวัฒน์เคยฟาด 'แม่ตั๊ก กรกนก' เรื่องซองแดง หลอกขายทอง นำคลิปมาเทียบกันและย้อนถามทำนอง ทำไมวันนี้มาทำเสียเอง งานนี้ณวัฒน์ไม่ปล่อยให้คาใจนาน ล่าสุดออกมาไลฟ์สดเคลียร์ละเอียดยิบ ๆ ม้วนเดียวจบในติ๊กต๊อกส่วนตัว

-ซองแดงเกิดขึ้นเพราะเป็นเทรนด์ในช่วงตรุษจีน เราทำขึ้นมาขำ ๆ สนุกสนานกับแฟนคลับ ทำแค่วันเดียว 24 ชม. ขายแค่ 3 ครั้ง พอเห็นคนซื้อเยอะ ก็เลิกขาย

-การที่เราขาย เราบอกทุกอย่างชัดเจน เนื่องจากซื้อซองแต๊ะเฮีย แต่ข้างในมีอะไรเราบอกหมด ซึ่งติ๊กต๊อกเขาอนุญาต ถ้าบอกว่าไม่รู้มีอะไรข้างในอันนี้ผิดกฎติ๊กต๊อก

-การเอาเรื่องซองแดงที่คนอื่นขายเป็นล่ำเป็นสันเป็นอาชีพ มากล่าวหาตน โจมตีตน ตนก็เข้าใจได้ ซึ่งวันที่ขายก็บอกชัดเจนว่าจะมีเงิน 20 บาท 50 บาท 100 บาท 500 บาท 1,000 บาท บอกทุกครั้งที่ขาย เพราะขาย 3 ครั้งในเวลา 24 ชม. ซึ่งทุกคนจะได้ไม่อย่างหนึ่งอย่างใด บางคนตนจะใส่ของขวัญเพิ่มเติมไปให้ เพราะเรากำลังเคลียร์สต็อก สินค้าไหนไม่อยากจัดเก็บ มีเยอะ หรือเหลือเศษจะใส่ไปให้เพื่อลองกินลองชิม

-เราแจ้งแล้ว เป็นน้ำใจส่วนตัว ไม่ใช่สินค้า เป็นการให้เพิ่ม บางคนอาจได้ บางคนอาจไม่ได้

-ถ้าไม่ชัดเจน ติ๊กต๊อกไม่อนุญาต เราต้องได้รับอนุมัติจากติ๊กต๊อกถึงขายได้ เพราะเราเปิดขายเองไม่ได้

-เตือนแฟนคลับตลอดถ้าคิดว่าไม่คุ้ม ขาดทุน หรือไม่สบายใจว่าจะได้เท่าไหร่ อย่าซื้อเด็ดขาด ไลฟ์ 3 ครั้ง เตือนนับครั้งไม่ถ้วน เราขอแค่แฟนคลับที่อยากเล่นสนุกๆ เอ็นจอย ได้ลุ้นกับเทศกาล ไม่ได้ทำเป็นอาชีพ

-ย้ำและเน้นให้เป็นออปชั่น ให้เก็บเงินปลายทาง ให้อนุญาตว่าเห็นของ ถ้าไม่ชอบก็คืนได้ ตามเงื่อนไขของปลายทาง ตนทำอะไรถูกต้องหมดทุกอย่าง เพียงแต่อยู่ที่สว่าง เป็นเป้านิ่งคนอาจไม่ชอบ เรื่องที่ทำสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาคิดต่างจากตน แม้แต่นางงาม เวทีคู่แข่ง เป็นอวตาร มาบดขยี้

-อยู่บนพื้นฐานความจริง เป็นคนชัดเจน เป็นเรื่องเฮฮาเล็ก ๆ ในเวลา 24 ชม. แต่กลับเป็นเป้าให้คนไม่ชอบ หรือผลประโยชน์และเรื่องราวขัดแย้ง มาบดขยี้โจมตีตน ตอนแรกคิดว่าช่างมันเถอะ ไม่ได้กลัว แต่มันไปเรื่อย ๆ จนรู้สึกว่าการพูดจาโดยไม่รู้ข้อมูล อาจนำไปสู่ความวุ่นวายได้

-ตนทำแค่ 59 บาท ถ้าอยากได้เงินคุณเยอะ ๆ ทำไมไม่ทำ 199 500 1,000 2,000 ทำไมทำแค่ 59 บาท เพราะต้องการเพียงความสนุก เผื่อเป็นเงินมงคล การที่เราจะขายของบนแพลตฟอร์มติ๊กต๊อก ไม่ใช่อยู่ๆ ทำแล้วขายได้ ต้องได้รับการอนุมัติจากติ๊กต๊อกด้านการตลาดว่าจะมีแบบนี้ ไม่สามารถเอาตะกร้าขึ้นเองได้ แพลตฟอร์มสีอื่น เป็นแพลตฟอร์มที่เขาให้เราทำเอง รับผิดชอบเอง แต่แพลตฟอร์มติ๊กต๊อกต้องได้รับอนุมัติว่าถูกต้อง ใช้เวลาอนุมัติ บางทีก็ 3 ชม. บางทีก็ 5 ชม. เราขอทำวันเดียวเพราะไม่อยากทำ เราทำเพื่อความสนุก

-อยากให้ดูวัตถุประสงค์ก่อน ตนไม่เคยทำ และไม่ได้เดือดร้อนด้านการเงิน ถ้าตนเดือดร้อน ผมต้องทำนาน ๆ หลายวัน ราคา 59 บาทเป็นราคาที่แปลก

-แจกแจงเงิน 59 บาท ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม ค่าบริการไลฟ์กับติ๊กต๊อก เบ็ดเสร็จอยู่ที่ 28 เปอร์เซ็นต์ ตนเหลือเงิน 42 บาท ต้องรับผิดชอบค่าส่ง ซึ่งเต็มแพลตฟอร์มอยู่ที่ 35 บาท หรือ 20 บาทในกรุงเทพฯ แต่ตนไม่ได้เสียค่าส่งทุกอัน ก็ถัว ๆ 20 บาท จาก 42 เหลือ 22 บาท เสียภาษี vat อีก 7 เปอร์เซ็นต์ จะขาดทุนประมาณ 2 บาท นี่คือเท็จจริงที่สามารถพิสูจน์ได้จากติ๊กต๊อก ฉะนั้นเงิน 59 บาทไม่ใช่เงินที่ให้ตน ไปให้ติ๊กต๊อก

-เงินที่คุณจ่ายไม่ได้เข้ามาที่ตนเลย จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้เข้า เพราะเขามีเครดิตอยู่เป็นเดือน เงินไม่ถึงตนสักบาทจนถึงวันนี้ เงินที่ทุกคนส่งเข้าไป คือเข้าไปบริษัทติ๊กต๊อก ถูกหักไปแล้ว 28 เปอร์เซ็นต์ ถูกหักขนส่งไปอีก แต่ตนใส่ทั้งของและซอง การเบิกจ่ายบริษัทมหาชนมีหลักฐาน

-คนได้เยอะเขาไม่ค่อยรีวิว คนรีวิวก็คือกระแนะกระแหนว่าต้องเซ็ต ยืนยันว่าไม่เซ็ต ถ้าเซ็ตก็หลอกลวง ไม่มีทาง เปิดใจกันบ้าง

-นอกจากนั้นถ้าใครที่ไม่ได้จ่ายปลายทางชำระแล้วเห็นของทีหลัง ยังให้สิทธิ์ในการคืนของได้ ตามข้อกำหนดของติ๊กต๊อก ผู้บริโภคทุกคนต้องรู้ เพราะเรารู้เงื่อนไขอยู่ คนที่ไม่พอใจที่ได้น้อยกว่าคนอื่น ก็คืนกันมา ไฟเขียวคืนโลด การคืนทำง่ายนิดเดียว ติดต่อคอลเซ็นเตอร์ 02-9349-999 มีพนักงาน 10-12 คน คอยรับโทรศัพท์ เพราะลูกค้าทุกคนคือพระเจ้าของเรา ไม่พอใจคืนได้ มีคนคืนมาแล้วเป็นร้อย หลายร้อยอยู่ ไม่มีปัญหาเลย ถ้าเห็นของแล้วไม่ถูกใจก็สามารถคืนได้ มีคนคืนเยอะแยะ เราก็รับคืน การคืนคุณไม่เสียอะไรเลยสักบาท คุณได้ครบถ้วน 59 บาท ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องสักบาท ไม่มีอะไรที่ลูกค้าต้องเสีย

-ใครอยากจะคืนก็ตามเบอร์นั้น ให้ติดต่อได้ถึงวันที่ 17 ก.พ. งานนี้ตนขาดทุนเละ แต่ไม่มีปัญหา การคืนก็ไม่ได้เป็นความผิด ไม่เคยโกรธลูกค้าเลยให้ตาย ตนเป็นเด็กยากจนมาก่อน ถ้าผิดหวังไม่เป็นไร คืนได้ มันเป็นสิทธิ์ที่ถูกต้อง มีกฎรองรับอยู่ จะให้คืนจนถึงวันจันทร์ตอน 6 โมงเย็น ใครจะคืนตนไม่ว่าเลย ให้คืน 100 เปอร์เซ็นต์ ส่งมาคืนทั้งหมดก็ได้ ค่าส่งให้เก็บปลายทางเราเป็นคนจ่าย หรือถ้าทำไม่เป็น ให้จ่ายปลายทางมาเลย 25 บาท ตอนโอนคืน เราก็จะคืน 25 บาทด้วย

-สิ่งที่เกิดมากขึ้นคือคนนอก ที่รอจังหวะว่าจะมีอะไรทิ่มแทงตนได้บ้างเขาก็บดขยี้กันสนุก โดยไม่ได้เข้ามาซื้อ มาฟังข้อเท็จจริง ก็บอกให้หยุดกันบ้าง ขอความร่วมมือนิดนึง ส่วนลูกค้าจะคืนก็ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องซีเรียส

-จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว เพราะนึกว่ามีเฉพาะคนรัก ๆ ชอบ ๆ กัน เล่นกันสนุกสนาน ถ้าคนซีเรียสแบบนี้ตนไม่เอาอยู่แล้ว เพราะตนก็ไม่เคยทำ ผมทำมาหากินอย่างอื่นโอเค ตอนนี้ขาดทุนไม่มีปัญหาหรอก อยากคืนก็คืนไม่ว่ากัน

-เรื่องคนอื่นมาพาดพิงตน ตนพูดเรื่องแม่ตั๊ก ดิไอคอน โดยเฉพาะแตงโม (นิดา พัชรวีระพงษ์) ซึ่งมีผลกระทบกับชีวิตค่อนข้างเยอะ รู้ไหมทำไมถึงเงียบเรื่องแตงโม ไม่อยากจะพูดว่ามีการคุยหลังบ้าน แต่ก็ช่างมันเถอะ รวมถึงเวลานางงาม คนละเวทีกัน ก็มีร่างอวตารคอยทิ่มแทง ก็ไม่เกี่ยวกันเลยกับซองแดงคนอื่น และไม่ได้เกี่ยวข้องกับแม่ตั๊ก เขาขายเอาตาย ขายตลอด แล้วออกมาเป็นกระดาษพ่นทอง คนละเรื่องกัน

-คุณเอาความเท็จมาโจมตี ถ้าไม่ใช่ลูกค้า ขออนุญาตเก็บข้อมูล ถ้าสืบได้ว่าเป็นลูกค้า ไม่ว่าจะด่าว่าอะไร ไม่ว่าจะละเมิดแบบไหน หมิ่นประมาทด้วยวิธีอะไรตนจะไม่ทำอะไรเลย นี่คือนโยบายของตนแต่ไหนแต่ไร แต่ถ้าไม่ใช่ลูกค้า แล้วมั่วนิ่มมาด่า ผมบอกเลยนะ ขออนุญาตดำเนินการตามกฎหมาย

-คุณลุงคนนึงยุยงให้คนแจ้งความโดยไม่รู้ข้อเท็จจริง ส่วนบางคนชอบทำคลิปตนเพราะมีแสงเยอะ คนดูเป็นล้านวิว นั่นคือคนชื่อบาส วรชัย ถ้าคุณฟังอยู่ ตนให้เวลาคุณลบคลิปวันนี้จนถึง 17.00 น. วันที่ 14 ก.พ. คุณต้องลบคลิป เพราะเห็นชัดเจนว่ามีความผิด ว่างๆ คุณมาเจอ คุณจะขยี้ด้วยเหตุผลอะไรตนไม่ทราบ แต่คุณต้องรู้ข้อเท็จจริงก่อนทุกอย่าง ไม่ใช่คุณถามลอยๆ อยู่ในอากาศ

- ประเด็นที่คุณพูดว่าตนไปว่าประชาชนโง่ที่ไปหลงเชื่อ แล้วมาทำเสียเอง อันนี้ยังไงก็แล้วแต่ ตนยอมไม่ได้ เพราะตนไม่เคยว่าประชาชนโง่เลยสักครั้งเดียวในชีวิต ผมเป็นคนค่อนข้างแม่นเรื่องกฎหมาย คำว่าโง่ มีความผิดกฎหมายอาญา มาตรา 393 ตนให้โอกาส คุณกับผมไม่ต้องรู้จักกัน ไม่ต้องเจอกัน ต่างคนไม่ต้องมายุ่งกัน คุณหาว่าผมไปบอกประชาชนโง่ เจอ 2 ข้อหา หมิ่นประมาท พูดจาใส่ร้ายให้คนอื่นเกลียดชัง นำความเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ตนจะไม่ฟ้องโรงพัก แต่จะฟ้องศาล (ซึ่งบาส วรชัยได้เข้ามาดูไลฟ์ณวัฒน์ และได้ลบคลิปดังกล่าวทิ้งไป)

-กับอีซ้อไม่ได้เป็นปัญหากัน ลึกๆ ชอบเขาแต่ก็เซอร์ไพรส์เขานิดหน่อย แต่ไม่เป็นไร บางทีมีเรื่องกระทบกระทั่งกันเป็นเรื่องปกติ ไม่มีหรอกตั้งแง่จนวันตาย ทำไมตนคุยกับคุณสนธิ ลิ้มทองกุลได้ ทั้งที่ความคิดเรื่องการเมืองอาจไม่เหมือนกัน เพราะเราทำเรื่องเดียวกันคือเรื่องแตงโม เราอย่าเอาทิฐิไปบดบังเรื่องที่อยากทำ เราอยากรู้ว่าตร. ทั้งโรงพัก และอัยการ ทำไมทำแบบนี้กับคดีแตงโม ที่เงียบๆ ไม่อยากพูดอะไรเยอะ แต่ทำงานอยู่ตลอด เพียงแต่พูดไม่ได้ เพราะหลายคน ญาติพี่น้องก็เป็นห่วง อยู่ ๆ ก็มีเบอร์แปลก ๆ เบอร์สวยๆ โทร.มา มีหมดแหละ

-ตนโตมาจนจะแก่ตาย ผ่านสงครามมาเยอะแล้ว ไม่ต้องขยี้มาก ตนก็ไม่ได้เป็นคนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สุดท้ายต้องดูในข้อเท็จจริง ที่สำคัญตนไม่เคยมีจิตใจที่จะไปเอาเปรียบใคร ตนไมได้เดือดร้อนเรื่องเงิน ถ้าทำแล้ววุ่นวายก็จะไม่ทำอีกเลย นี่คือเรื่องจริง

-ส่วนอีซ้อไม่เป็นไร มีคนบอกเอาให้หนัก แต่น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ไม่มีปัญหา ตนก็หงุดหงิดบ้าง ก็ขอความเข้าใจกันด้วย

-ที่พูดทั้งหมดประจักษ์ด้วยหลักฐาน วิธีการ จำนวนเงินไหลไปที่ไหน ตนยังไม่ได้เงินเลยสักบาทตอนนี้ ทุกการรีฟันตนเสียสองเด้งนะ เรื่องนี้จบแค่นี้

-เราไม่หลอกลวง เพราะเราเป็นมหาชน

‘กองทุนน้ำมัน’ จ่ายหนี้เงินกู้ขั้นบันได เม.ย. จ่ายเฉียด!! 2,000 ล้านบาท

(15 ก.พ. 68) จากข้อมูลฐานะเงินกองทุนน้ำมันฯ ล่าสุดยังคงติดลบกว่า 70,438 ล้านบาท โดยราคาน้ำมันโลกทรงตัวระดับไม่สูงมากนักประมาณ 77 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่งผลให้กองทุนฯ สามารถเรียกเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันทุกชนิดได้มากขึ้นถึงเดือนละกว่า 6,700 ล้านบาท

โดยเฉพาะผู้ใช้แก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 ถูกเรียกเก็บเงินถึง 4.60 บาทต่อลิตร และถูกเรียกเก็บค่าการตลาดจากผู้ค้าน้ำมันประมาณ 3 บาทต่อลิตร ส่งผลราคาขายปลีกแก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ระดับ 35.35 บาทต่อลิตร และ แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ระดับ 34.98 บาทต่อลิตร   

แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงานเปิดเผยว่า สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ได้ประกาศสถานะเงินกองทุนน้ำมันฯ ล่าสุด ณ วันที่ 9 ม.ค. 2568 ที่ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงมีรายรับเข้ามาและทำให้วงเงินกองทุนฯ ติดลบน้อยลงอย่างต่อเนื่องเหลือ 70,438 ล้านบาท โดยยังคงเป็นยอดการติดลบที่น้อยที่สุดในรอบ 2 ปี ซึ่งมาจากบัญชีน้ำมันติดลบรวม 23,966 ล้านบาท และบัญชีก๊าซหุงต้ม (LPG) ติดลบรวม 46,472 ล้านบาท

ทั้งนี้ รายรับที่ได้ส่วนใหญ่มาจากการเรียกเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันทุกประเภทส่งเข้ากองทุนฯ ดังนี้ ผู้ใช้น้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 ส่งเข้ากองทุนฯ 10.68 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 ส่งเข้าถึง 4.60 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ส่งเข้า 2.61 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ส่งเข้า 1.16 บาทต่อลิตร, น้ำมันดีเซลและดีเซล B20 ส่งเข้า 1.05 บาทต่อลิตร และดีเซลเกรดพรีเมียม เรียกเก็บ 2.55 บาทต่อลิตร

ส่งผลให้กองทุนฯ มีเงินไหลเข้า 224.55 ล้านบาท หรือประมาณ 6,700 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งมาจากผู้ใช้น้ำมันรวม 213.39 ล้านบาท และมาจากการเรียกเก็บเงินผู้ใช้และผู้ผลิต LPG รวม 11.16 ล้านบาท ส่วนภาระหนี้เงินกู้โดยรวมยังเหลืออยู่อีก 104,083 ล้านบาท

"ช่วงนี้กองทุนน้ำมันต้องจ่ายหนี้เงินกู้เฉลี่ยเดือนละกว่า 1,000 ล้านบาท โดยเป็นเงินต้นประมาณ 800 ล้านบาท ส่วนดอกเบี้ยอยู่ระดับ 230 ล้านบาท ซึ่งการจ่ายเงินต้นจะทยอยปรับขึ้นตามการกู้เงินที่เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าเดือนเม.ย. 2568 จะต้องจ่ายเงินต้นเกือบ 2,000 ล้านบาท" 

อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่าผู้ใช้น้ำมันกลุ่มแก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 ยังคงถูกเรียกเก็บเงินสูงสุดกว่าผู้ใช้น้ำมันชนิดอื่นถึง 4.60 บาทต่อลิตร นอกจากนี้เมื่อพิจารณาค่าการตลาดน้ำมันที่ผู้ค้าน้ำมันเก็บจากผู้ใช้ จะพบว่ากลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอล์ถูกเรียกเก็บกว่า 3 บาทต่อลิตร

โดยค่าการตลาดผู้ค้าน้ำมัน ที่รายงานโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ณ วันที่ 11 ก.พ. 2568 เปลี่ยนแปลงดังนี้ ค่าการตลาดกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ยังคงทรงตัวระดับสูง โดยน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ถูกเรียกเก็บค่าการตลาด 4.09 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 มีค่าการตลาดที่ 3.04 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 3.12 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 อยู่ที่ 3.75 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 อยู่ที่ 6.88 บาทต่อลิตร, ดีเซล อยู่ที่ 1.88 บาทต่อลิตร  โดยเฉลี่ยค่าการตลาดระหว่าง 1-11 ก.พ. 2568 อยู่ที่ 2.54 บาทต่อลิตร (จากค่าการตลาดที่เหมาะสมที่ 1.5-2 บาทต่อลิตร)

ส่งผลให้ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 35.35 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 34.98 บาทต่อลิตร ขณะที่น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 อยู่ที่ 33.14 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์  E85 อยู่ที่ 32.09 บาทต่อลิตร ขณะที่ราคาดีเซลอยู่ที่ 32.94 บาทต่อลิตร

‘มกธ.’ เปิดเวทีรับฟัง!! ความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน พัฒนาการศึกษา เสวนา ‘ร่างพรบ.การศึกษาแห่งชาติ การศึกษาที่ตอบโจทย์’

(15 ก.พ. 68) ณ ศูนย์ปฏิบัติการการโรงแรม มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี(มกธ.) ได้จัดการเสวนาเรื่อง 'ร่างพรบ.การศึกษาแห่งชาติ การศึกษาที่ตอบโจทย์' โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายภาคส่วนร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

นำโดย รศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติและรองประธานกรรมาธิการการศึกษา ได้นำเสนอสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ ซึ่งมุ่งเน้นการปฏิรูประบบการศึกษาให้ทันสมัยและตอบสนองความต้องการของประเทศ

ภาคเอกชนนำโดย คุณแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ได้เน้นย้ำถึงคุณสมบัติที่ผู้ประกอบการต้องการจากบุคลากร ทั้งในมุมมองของ SME และบริษัทมหาชน พร้อมให้มุมมองเกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ตอบโจทย์ภาคธุรกิจ และ ผอ.ณัฐิกา นิตยาพร ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย สภาการศึกษา ได้วิเคราะห์ภาพรวมของร่างพระราชบัญญัติการศึกษาฉบับใหม่ ว่าสามารถตอบสนองความต้องการของประเทศได้อย่างไร

ด้านการศึกษา อาจารย์ ดร.รัชชัย ศรสุวรรณ อาจารย์ประจำคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี และนายกสมาคมพิทักษ์สิทธิ์ผู้บริหาร และดร.ณัฐวรินธร บวรภัควุฒิสิริ ที่ปรึกษากรรมาธิการศึกษา พร้อมครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้นำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาคุณภาพผู้เรียนที่ไม่กระทบโครงสร้างหลัก และนายเตชทัต หล้าหิบ หัวหน้าโครงการพิเศษ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ธนบุรี ได้สะท้อนมุมมองจากห้องเรียนสู่การร่าง พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ เพื่อให้ตอบโจทย์ทั้งครูและผู้เรียน

ปิดท้ายด้วย รศ.ดร.กมลมาลย์ ไชยศิริธัญญา คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี และที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการการศึกษาในการร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับปัจจุบัน ได้นำเสนอแนวทางการปรับตัวของผู้บริหารสถานศึกษาและผู้บริหารการศึกษา เพื่อรองรับทิศทางการศึกษาในกระบวนทัศน์ใหม่

การเสวนาในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการพัฒนาการศึกษาไทย โดยมุ่งหวังให้ร่าง พรบ.การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่เป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษาของประเทศ

(สุรินทร์) ผบ.มทบ.25 ตรวจเยี่ยมทหารผ่านศึกสูงอายุ พิการทุพพลภาพ และยากจน

เมื่อวานนี้ (14 ก.พ.68) พลตรี ไชยนคร กิจคณะ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 / หัวหน้าสำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตสุรินทร์ พร้อมด้วย คุณสายธาร กิจคณะ ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขามณฑลทหารบกที่ 25 นายทหารและคณะฯ เข้าตรวจเยี่ยมสำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตสุรินทร์ เพื่อรับฟังการบรรยายสรุปผลการปฏิบัติงานในรอบที่ผ่านมา โดยมี นางสาวอณัญญา พรหมบุตร รองหัวหน้าสำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตสุรินทร์ กล่าวรายงาน 

ต่อจากนั้น พลตรี ไชยนคร  กิจคณะ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 / หัวหน้าสำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตสุรินทร์ พร้อมด้วย คุณสายธาร กิจคณะ ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขามณฑลทหารบกที่ 25นายทหารและคณะฯ นางสาวอนัญญา พรหมบุตร รองหัวหน้าสำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตสุรินทร์ และคณะฯ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสุรินทร์ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมทหารผ่านศึกสูงอายุ พิการทุพพลภาพ และมีฐานะยากจน จำนวน 2 ราย พร้อมมอบเงินช่วยเหลือครั้งคราว มอบเครื่องอุปโภค (ถุงยังชีพ) เพื่อแสดงความห่วงใยและเป็นขวัญกำลังใจให้กับทหารผ่านศึกในพื้นที่ อำเภอเมืองเมือง จังหวัดสุรินทร์ ประกอบไปด้วย รายที่ 1. พลฯ สมหวัง (ขอสงวนนามสกุล) ทหารผ่านศึกนอกประจำการ บัตรชั้นที่ 3 เลขที่ 189277 อยู่บ้านเลขที่ 46 หมู่ที่ 1 ตำบลเฉนียง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ รายได้หลักของ พลฯสมหวัง มาจากการประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป รายได้ไม่แน่นอน เงินคนพิการและเงินสวัสดิการแห่งรัฐ พลฯสมหวัง ป่วยเป็นโรคจิตเวช ขณะนี้ได้เข้ารับการรักษาและทานยาอย่างต่อเนื่อง สามารถทำงานได้ ภรรยาไม่ได้ประกอบอาชีพ เนื่องจากมีภาวะเจ็บป่วยเป็นโรคหัวใจ โรคเบาหวานและกล้ามเนื้ออ่อนแรง 

และไม่ได้ประกอบอาชีพ มีรายได้จากเงินผู้พิการและสวัสดิการแห่งรัฐ และรายที่ 2. พลฯ สุรพินทร์ (ขอสงวนนามสกุล) ทหารผ่านศึกนอกประจำการ บัตรชั้นที่  เลขที่ ป.0107842/26 บ้านเลขที่ 2 หมู่ที่ 6 ตำบลสวาย อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ พลฯสุรพินทร์ ป่วยเป็นโรคแขนและขาอ่อนแรง ตั้งแต่ปี 2558 พักอาศัยอยู่บ้านตามลำพัง ปัจจุบันไม่ได้ประกอบอาชีพเนื่องจากสภาวะเจ็บป่วย มีรายได้จากเบี้ยคนพิการ เดือนละ 800 บาท และเงินช่วยเหลือ รายเดือนจากโครงการทหารผ่านศึกเดือนละ 4,000 บาท การลงพื้นที่ในครั้งนี้ สร้างความประทับใจและความซาบซึ้ง ให้กับทหารผ่านศึกเป็นอย่างมาก ที่สำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตสุรินทร์ ไม่ทิ้งให้ ทหารผ่านศึก อยู่ตามลำพัง

สมุทรปราการ-เทศบาลแพรกษา ดันกองทุน 100 โรงงาน 100 ดวงใจ 1 โรงเรียน ต้นไม้แห่งการศึกษา จัดงานวันสถาปนา 13 ปี PWS 

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ลำดับที่ 41 ให้เกียรติเป็นประธานในพิธี เนื่องในวันสถาปนา ครบรอบ 13 ปี โรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา (PWS) เทศบาลตำบลแพรกษา สังกัดกระทรวงมหาดไทย โดยมี นายวรรณวุฒิ มาสุข รองปลัดเทศบาลฯ รักษาราชการแทนปลัดเทศบาล ปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา นำหัวหน้าส่วนราชการ กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์ โครงการ 100 โรงงาน 100 ดวงใจ 1 โรงเรียน 

เนื่องด้วยงานวันสถาปนาโรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา ได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ซึ่งตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี และในปี 2568 นี้ โรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา ได้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 13 และเพื่อรำลึกถึงประวัติความเป็นมาของการจัดตั้งโรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษาจึงได้จัดงานขึ้นเป็นประจำทุกปี นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากเทศบาลตำบลแพรกษา โดยนางอรัญญา สุวรรณบุตร ภายใต้นโยบาย "การศึกษาต้องมาก่อน" โรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา จัดการเรียนการสอนหลักสูตรการศึกษาแบบพหุภาษา และแบบพหุปัญญา 

อย่างไรก็ตาม การจัดงานในวันนี้ได้รับเกียรติจากหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการตำรวจ บริษัท ห้างร้าน และผู้มีอุปการะคุณจำนวนมากเดินทางมาร่วมสนับสนุนมอบทุนการศึกษา อาทิเช่น นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ลำดับที่ 41 พล.ต.ต.วิชิต บุญชินวุฒิกุล ผบก.สมุทรปราการ ฯลฯ ร่วมให้การสนับสนุนทุนการศึกษา ส่งเสริมให้โอกาสทางการศึกษาแก่นักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ , นักเรียนเรียนดี ตลอดจนนักเรียนที่สร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนด้านต่างๆ และพร้อมเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีของสังคมต่อไป

นอกจากนี้ ภายในงานยังได้ชมการแสดงความสามารถของนักเรียนโรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษาในด้านต่างๆ และการเดินขบวนพาเรทโดยวงดุริยางค์ พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีที่ให้การสนับสนุนทุนการศึกษาในปีนี้อีกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top