Monday, 19 May 2025
NewsFeed

‘สุริยะ’ ยัน รถไฟฟ้า 20 บาททุกสีทุกสาย มาแน่ คาดสามารถประกาศใช้เดือนกันยายน นี้

‘สุริยะ’ ยืนยัน นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาททุกสีทุกสาย ประกาศใช้ในเดือน ก.ย. นี้ ชี้ รถไฟฟ้า 20 บาท ดันผู้ใช้บริการ สายสีม่วง-สายสีแดง โต 10.86%

(13 ก.พ. 68) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่ในปัจจุบันได้ดำเนินการมาแล้วกว่า 1 ปี 2 เดือนในโครงการรถไฟฟ้า 2 เส้นทาง ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - คลองบางไผ่ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ - รังสิต และช่วงบางซื่อ - ตลิ่งชัน ได้ผลตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี สะท้อนได้จากข้อมูลในช่วงที่ผ่านมาที่มีสถิติการมีผู้ใช้บริการสูงที่สุด (นิวไฮ) ตั้งแต่เปิดให้บริการ โดยทั้ง 2 สายดังกล่าว มีปริมาณผู้โดยสารรวม 3,054,439 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.86 และรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.28 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ นายสุริยะ ยืนยันจะประกาศใช้นโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายในโครงการรถไฟฟ้าทุกสี ทุกสาย และทุกเส้นทางภายในเดือนกันยายน 2568 ตามที่เคยกำหนดไว้ ภายใต้การขับเคลื่อนร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. …. ผ่านการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม ที่ในขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการตามกระบวนการ คาดว่า จะประกาศราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้ในช่วงกลางปี 2568 และเสนอประกาศกฎหมายลำดับรองภายในเดือนกันยายน 2568

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า เมื่อนโยบายนี้ ครอบคลุมในทุกเส้นทาง จะมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างแน่นอน นอกจากนี้ เมื่อมีปริมาณผู้โดยสารเพิ่มมากขึ้นแล้ว คาดว่า รถไฟฟ้าสายสีม่วง และรถไฟฟ้าสายสีแดง จะมีรายได้เท่ากับหรือมากกว่าช่วงก่อนเริ่มนโยบายภายในปี 2568 หรือเร็วกว่าแผนที่กำหนดไว้ จากเดิมที่คาดว่าภายในระยะ 2 ปี 7 เดือนหลังจากเริ่มนโยบาย ซึ่งส่งผลให้ภาครัฐอาจจะไม่ต้องชดเชยส่วนต่างรายได้ให้กับทั้ง 2 โครงการดังกล่าวแล้ว

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า จากแนวโน้มปริมาณผู้โดยสารที่ตอบรับนโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนั้น ถือว่า เป็นสัญญาณที่ดีที่รัฐบาล และกระทรวงคมนาคมได้ช่วยลดภาระค่าครองชีพในการเดินทางให้กับพี่น้องประชาชน อีกทั้งยังจูงใจให้หันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น ลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ซึ่งเป็นอีก 1 ปัจจัยในการช่วยลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 และสร้างโอกาสในการเดินทางอย่างเท่าเทียมของคนทุกกลุ่มด้วย

เปิดฉากการฝึก กองทัพเรือประจำปี 68 ภายใต้แนวคิด 'รบอย่างไร ฝึกอย่างนั้น'

(13 ก.พ.68) พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2568 โดยมี ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเรือ พร้อมกำลังพลที่เข้ารับการฝึก เข้าร่วมในพิธี ณ ท่าเรือแหลมเทียนกลางท่าเรือสัตหีบ ฐานทัพเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี 

โดย ภายหลังพิธีเปิด ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้ร่วมสังเกตการณ์ การสาธิตการปฏิบัติการทางเรือและอากาศยาน และเยี่ยมชม การแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ที่จะใช้ในการฝึกกองทัพเรือใน ปี 2568 นี้

การฝึกกองทัพเรือประจำปี ถือเป็นการฝึกที่มีความสำคัญสูงสุดของกองทัพเรือ โดยใช้แนวคิดในการฝึกว่า 'รบอย่างไร ฝึกอย่างนั้น' ซึ่งในปีนี้ เป็นการฝึกป้องกันประเทศโดยกำหนดสถานการณ์ตั้งแต่ในขั้นปกติสถานการณ์วิกฤต ไปถึงขั้นป้องกันประเทศ ซึ่งมีการทดสอบและสร้างความคุ้นเคยทางด้านแนวความคิดหลักการ หลักนิยม ไปจนถึงขีดความสามารถของกำลังรบในแต่ละประเภท โดยส่วนต่าง ๆ ของกองทัพเรือ ทั้งในกองอำนวยการฝึก และหน่วยรับการฝึกทุกหน่วยได้มีการเตรียมและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการฝึกอย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยนำวัตถุประสงค์การฝึกและหัวข้อการทดสอบที่กองทัพเรือกำหนด ไปกำหนดเป็นวัตถุประสงค์เฉพาะตามภารกิจของหน่วย และนำไปทดสอบในการฝึกปัญหาที่บังคับการ (CPX ) และการฝึกภาคสนาม (FTX) เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายคำสั่งและวัตถุประสงค์การฝึกที่ได้กำหนดไว้ ต่อไป

สำหรับการฝึกในปี 2568 นี้ได้ทำการฝึกแผนป้องกันประเทศ ในพื้นที่ทัพเรือภาคที่ 2 ประกอบด้วย การฝึกปัญหาที่บังคับการ และการฝึกภาคสนาม/ภาคทะเล โดยในส่วนของการฝึกภาคสนาม/ภาคทะเลในปีนี้ มีหัวข้อการฝึกที่สำคัญคือ การฝึกปฏิบัติการทางเรือของกองเรือเฉพาะกิจปฏิบัติการระยะไกลที่ 72 

โดยมีการจัดกำลังเข้าร่วมการฝึก ประกอบด้วย เรือหลวงช้าง เรือหลวงอ่างทอง เรือหลวงสุรินทร์ และเรือหลวงมันใน เป็นหมู่เรือลำเลียง โดยมีเรือหลวงนเรศวร เรือหลวงเจ้าพระยา และเรือหลวงกระบุรี ประกอบกำลังเป็นหมู่เรือคุ้มกัน ร่วมด้วยกำลังจากอากาศยานนาวีกำลังรบยกพลขึ้นบกและกำลังสนับสนุน อีกจำนวนหนึ่ง นอกจากนั้นจะมีการฝึกที่สำคัญอื่น ๆ อาทิ การฝึกยิงอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ MIistral ของเรือหลวงจักรีนฤเบศร การฝึกปฏิบัติการร่วมระหว่างกองทัพเรือและกองทัพอากาศ การฝึกปฏิบัติการยุทธสะเทินน้ำสะเทินบก การฝึกต่อต้านการก่อการร้ายบนแท่งผลิตก๊าซธรรมชาติ การฝึกให้ความช่วยเหลือ ด้านมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติ (HADR) การค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเล (SAR) และการขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันและเคมีภัณฑ์ในทะเล (Oil and chemical spill) การฝึกเป็นหน่วยกรมผสมนาวิกโยธิน และการดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง (CALFEX) การฝึกของหน่วยวิชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งประจำพื้นที่และการฝึกยิงอาวุธทางยุทธวิธี 

โดยมีการเชิญกำลังพลจากกองทัพบก กองทัพอากาศ รวมถึงศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) เข้าร่วมการฝึกในครั้งนี้ 

ทรัมป์ยกหูคุยปูติน เล็งหารือด่วนสหรัฐฯ-รัสเซีย เผยคุยตรงไปตรงมาหวังหยุดสงครามยูเครน

(13 ก.พ.68) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เปิดเผยผ่านแพลตฟอร์มทรูธ โซเชียล (Truth Social) ว่าเขาและวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ได้ตกลงกันในการสนทนาทางโทรศัพท์ที่จะเริ่มการเจรจาโดยตรงระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซีย เพื่อหาทางยุติสงครามระหว่างยูเครนและรัสเซียที่ก่อให้เกิดความสูญเสียชีวิตจำนวนมาก

ทรัมป์กล่าวว่า การสนทนาของเขากับปูตินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและใช้เวลานาน โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่าการยุติความขัดแย้งนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อหยุดการสูญเสียชีวิตของประชาชนหลายล้านคนที่เกิดจากสงครามนี้

ทั้งนี้ ทรัมป์และปูตินได้ตกลงที่จะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด รวมถึงการเยือนประเทศของกันและกัน และยังเห็นพ้องให้คณะผู้แทนจากทั้งสองฝ่ายเริ่มการเจรจาทันที โดยเริ่มจากการติดต่อกับโวโลดีเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน เพื่อแจ้งความคืบหน้าของการสนทนา

ทรัมป์ยังได้มอบหมายให้มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ, จอห์น แรตคลิฟฟ์ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลาง (CIA), ไมเคิล วอลซ์ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ และสตีฟ วิตคอฟฟ์ ทูตพิเศษประจำตะวันออกกลาง เป็นผู้นำทีมเจรจาของสหรัฐฯ

ทรัมป์ได้แสดงความมั่นใจว่า การเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียจะสามารถประสบความสำเร็จและนำไปสู่การยุติสงครามได้

บางจากฯ ได้รับการประเมินระดับสูงสุด Top1% พุ่งขึ้นอันดับหนึ่งทำเนียบธุรกิจยั่งยืนระดับโลก

(13 ก.พ.68) บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้รับการประเมินด้านความยั่งยืนระดับสูงสุด Top 1%ของกลุ่มอุตสาหกรรม Oil & Gas Refinery and Marketing ในทำเนียบ 'The Sustainability Yearbook 2025' จากการประเมินของ S&P Global Corporate Sustainability Assessment (CSA) ประจำปี 2024 

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บางจากฯ ได้รับการประเมินด้านความยั่งยืนอันดับสูงสุดของโลก(Top1%) ของกลุ่มอุตสาหกรรม Oil & Gas Refinery and Marketing ในรายงานประจำปี “The Sustainability Yearbook 2025” โดยจากการประเมินในปี 2024 บางจากฯ มีคะแนนรวม 85 คะแนน (จาก 100 คะแนน) และมีคะแนนสูงสุด (Best Dimension) ใน 2 มิติ  คือมิติการกำกับดูแล (Governance) และมิติสิ่งแวดล้อม (Environment) พร้อมได้รับการยกย่องให้เป็น Industry Mover หรือองค์กรที่มีพัฒนาการด้านความยั่งยืนโดดเด่นที่สุดจาก 43 บริษัททั่วโลกที่เข้ารับการประเมินจากอุตสาหกรรมดังกล่าว”

นอกเหนือจากความเป็นเลิศด้านธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและการตลาดแล้ว บางจากฯ ยังได้รับการประเมินด้าน สิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ (ESG) สูงสุดในระดับโลกจาก S&P Global CSA ผู้จัดทำรายงาน The Sustainability Yearbook ซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำด้านการประเมิน ESG และเป็นผู้จัดทำดัชนี Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) โดยในปี 2024 มีผู้เข้ารับการประเมิน 7,690 บริษัทจาก 62 อุตสาหกรรมทั่วโลก และบางจากฯ เข้ารับการประเมิน S&P Global CSA ต่อเนื่องมาเป็นเวลา 10 ปี ตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในระดับสากล

“ความสำเร็จในครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในระดับโลกของบางจากฯ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการบูรณาการหลักการด้าน ESG เข้าสู่ทุกมิติของการดำเนินงาน เพื่อสร้างคุณค่าร่วมให้กับทุกภาคส่วน เราภูมิใจที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และจะยังคงเดินหน้าสร้างอนาคตพลังงานที่สมดุลและยั่งยืน เพื่อโลกและสังคม พร้อมก้าวสู่ทศวรรษที่ 5 อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน” นายชัยวัฒน์กล่าวทิ้งท้าย

‘นายกฯ’ เปิด FTI EXPO 2025 งานยิ่งใหญ่แห่งปี หนุนเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการสู่ตลาดโลกอย่างยั่งยืน

นายกฯ ‘แพทองธาร’ ประธานเปิดงาน FTI EXPO 2025: “EMPOWERING THAI INDUSTRY, ELEVATING THAILAND’S FUTURE เสริมพลังอุตสาหกรรมไทย เพื่ออนาคตไทย ที่ยั่งยืน” ซึ่งจัดโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมกับพันธมิตรองค์กรชั้นนำ จัดขึ้นระหว่าง 12-15 ก.พ. นี้ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ด้วยแนวทาง 4GO ครอบคลุม ทั้งดิจิทัล นวัตกรรม การขยายตลาดต่างประเทศ และการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน  

(13 ก.พ. 68) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน FTI EXPO 2025 งานรวมสุดยอดอุตสาหกรรมไทยที่จัดขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ “EMPOWERING THAI INDUSTRY, ELEVATING THAILAND’S FUTURE เสริมพลังอุตสาหกรรมไทย เพื่ออนาคตไทย ที่ยั่งยืน” ซึ่งเป็นงานมหกรรมด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีภาคอุตสาหกรรมไทยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปีที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความก้าวหน้าของภาคอุตสาหกรรมไทยที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ จัดโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)  นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้แสดงปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “จุดประกายอุตสาหกรรมไทย สร้างเศรษฐกิจใหม่ นำประเทศสู่ความยั่งยืน” ซึ่งเน้นย้ำให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทย เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยจากอุตสาหกรรมเดิมไปสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต ซึ่งเป็นเป้าหมายของประเทศ โดยต้องมีการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งภาคอุตสาหกรรม ควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

“การจัดงานในครั้งนี้ เป็นการจับมือองค์กรพันธมิตรชั้นนำ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจในการทำงานระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยกันขับเคลื่อนประเทศไทย เพื่อให้ประเทศไทยเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ เศรษฐกิจมีความมั่นคง ประชาชนทุกภาคส่วนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและสร้างรายได้ให้กับประเทศ

ความร่วมมือดังกล่าว จะนำไปสู่การดำเนินงานที่เชื่อมโยงกันทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ไปจนถึงปลายทาง ไม่ว่าจะเป็นการผลิต การแปรรูป การใช้นวัตกรรมเข้ามาช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์และสินค้า การบริหารจัดการด้านการตลาด ตลอดจนการตอบสนองต่อกระแสด้านสิ่งแวดล้อม โดยรัฐบาลได้ให้ความสำคัญและตระหนักถึงการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหาและยกระดับต่อยอดการพัฒนาในทุกมิติ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวทีระดับโลก

ประเทศไทยจะกลายเป็นยานยนต์แห่งอนาคตที่สามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างเต็มกำลัง ความมุ่งหมายของรัฐบาลมีสิ่งเดียว ซึ่งเหมือนกับพี่น้องประชาชนทุกคน นั่นคือ การได้เห็นบ้านเมืองเจริญก้าวหน้า ประชาชนอยู่ดีกินดี สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้ และดิฉันเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าไทยเราทำได้อย่างแน่นอน หากเราทุกคนจับมือแล้วก้าวไปพร้อมกัน ซึ่งความร่วมมือระหว่างภาครัฐและ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จะสามารถนำพาภาคอุตสาหกรรมไทยไปสู่การพัฒนาอย่างมั่นคงและยั่งยืน”

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปัจจุบัน ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ ตอกย้ำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ที่มีความผันผวนและซับซ้อนมากขึ้น ภาคอุตสาหกรรมจึงต้องมีการพัฒนาและปรับตัวให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทั้งจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้าและเทคโนโลยี ตลอดจนผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่คาดการณ์ได้ยากและมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นทุกปี ทั้งหมดนี้ คือ ความท้าทายที่ประเทศไทยจะต้องรวมพลังกัน พลิกความท้าทายให้เป็นโอกาสในการพัฒนาประเทศ เร่งเดินหน้าปฏิรูปโครงสร้างอุตสาหกรรมสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ต่อยอดการพัฒนาของภาคการผลิตด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการไทย ขณะเดียวกันต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาการศึกษา เพื่อสร้างกำลังคนรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต พร้อมทั้งวางยุทธศาสตร์ให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอุตสาหกรรมในภูมิภาคนี้

เพื่อเป็นการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ และเพื่อแสดงให้ทั่วโลกเห็นถึงศักยภาพและความก้าวหน้าของภาคอุตสาหกรรมไทย จึงทำให้การจัดงาน FTI EXPO 2025 เกิดขึ้น โดยรวมพลังความร่วมมือจากกลุ่ม 47 กลุ่มอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด สถาบันภายใต้การกำกับดูแลของ ส.อ.ท. หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน หน่วยงานระหว่างประเทศ และสถาบันการศึกษา ภายใต้นโยบาย ONE FTI (ONE Vision, ONE Team, ONE Goal) ในการวางรากฐานและขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย รวมทั้งยกระดับ SMEs ไปสู่ Smart SMEs ด้วยแนวทาง 4GO ซึ่งประกอบด้วย GO Digital & AI, GO Innovation, GO Global และ GO Green ที่ครอบคลุมในเรื่องของดิจิทัล นวัตกรรม การขยายตลาดต่างประเทศ และการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน 

งาน FTI EXPO 2025 ในครั้งนี้ จะเป็นเวทีในการขยายช่องทางการตลาดของสินค้า บริการและนวัตกรรมฝีมือคนไทยผ่านสินค้าที่ได้รับการรับรอง Made in Thailand (MiT) ผลักดันให้เกิดการค้า การลงทุนเพื่อเชื่อมโยงสู่ตลาดสากล ซึ่งจะทำให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ และผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

“FTI EXPO 2025 ภายใต้ธีม “EMPOWERING THAI INDUSTRY, ELEVATING THAILAND’S FUTURE เสริมพลังอุตสาหกรรมไทยเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน” จะเป็นโอกาสครั้งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทยที่จะได้ขยายช่องทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ เชื่อมเครือข่ายธุรกิจจากทั่วโลก เปิดมุมมองใหม่ๆ กับนวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำสมัย แลกเปลี่ยนความรู้ที่เป็นประโยชน์กับเวทีเสวนาโดยกูรูทั้งระดับประเทศและระดับโลกที่มากด้วยคุณวุฒิและประสบการณ์ในด้านต่างๆ รวมถึงโซน FTI OUTLET ที่ให้ผู้เข้าร่วมได้มีโอกาสซื้อผลิตภัณฑ์คุณภาพจากสมาชิกของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยทั่วประเทศในราคาสุดพิเศษ ทั้งหมดจะมีพร้อมในงานนี้บนพื้นที่การจัดงานกว่า 20,000 ตารางเมตร” 

“อีกหนึ่งไฮไลต์ของงานนี้ที่พลาดไม่ได้ คือ ทุกท่านจะได้พบกับการสาธิตการบินโดรนโดยสาร (Passenger Drone) รุ่น Sliver Hawk ซึ่งเป็นโดรนโดยสารจากผู้ประกอบการไทยรายแรก ที่สร้าง Passenger Drone ได้สำเร็จ และได้รับการรับรอง MiT (Made in Thailand) โดรนโดยสาร นับเป็นเทคโนโลยีการขนส่งแห่งอนาคตที่จะขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยต่อไป และทุกท่านจะได้เห็นกันในงานนี้ เราจะมีการสาธิตการบินโดรนทุกวัน ตั้งแต่วันที่ 12-15 กุมภาพันธ์ 2568 วันละ 1 รอบ เวลา 14.00-15.00 น. ที่ลานพระสรัสวดี ประตู 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และสวนเบญจกิติ” นายเกรียงไกร กล่าวทิ้งท้าย

งาน FTI EXPO 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-15 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 10.00-19.00 น. ณ Hall 5-8 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยคาดว่า ปีนี้จะมีผู้เข้าร่วมชมงานไม่น้อยกว่า 70,000 ราย และสร้างโอกาสทางการค้าได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท

วันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักที่กลายเป็นปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจ

วันแห่งความรัก หรือ วันวาเลนไทน์ได้พัฒนามาเรื่อยๆจนกลายเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วนทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยเอง และวันแห่งความรักนี้ยังเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่มีการใช้จ่ายสูงสุดของปีในประเทศไทย การบริโภคที่เพิ่มขึ้นในวันนี้ส่งผลโดยตรงต่อภาคธุรกิจหลัก ๆ เช่น ค้าปลีก ร้านดอกไม้ อาหารและเครื่องดื่ม โรงแรม การท่องเที่ยว และความบันเทิง

ข้อมูลจาก มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่าในปี 2567การใช้จ่ายในวันวาเลนไทน์ของไทยแตะระดับ 2.5 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 5.4% จากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่สะท้อนถึง พฤติกรรมผู้บริโภคที่ยังคงให้ความสำคัญกับเทศกาลนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวก็ตาม และสำหรับปี 2568 ก็มีการคาดการณ์ว่าการใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นไปที่ 2.7 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 7.2% จากปีก่อนหน้า

โดยผลกระทบเชิงบวกจากวาเลนไทน์จะสามารถแบ่งเป็นหัวข้อที่น่าสนใจแบบไหนบ้าง วันนี้จะพาไปดูกันค่ะ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติแนะนำ วาเลนไทน์นี้จะไม่ต้องปวดใจ หากหันกลับมาห่วงใยตนเองแลครอบครัว

(14 ก.พ.68) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 (ผบก.สอท.1) ในฐานะ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งจากสถิติการรับแจ้งความออนไลน์คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่ 1 มีนาคม 2565 ถึง 31 มกราคม 2567 พบว่ามีผู้เสียหายกว่า 8 แสนราย ความเสียหายรวม 81,500 ล้านบาท ซึ่งแบ่งออกเป็น วัยเรียน (อายุต่ำกว่า 25 ปี) ร้อยละ 15 วัยทำงาน (อายุ 26 - 60 ปี) ร้อยละ 78 และวัยสูงอายุ (อายุ 60 ปี ขึ้นไป) ร้อยละ 7 จำแนกเป็น เพศชาย ร้อยละ 37 และเพศหญิง ร้อยละ 63 ซึ่งเห็นได้ว่าคนทุกเพศทุกวัย ก็สามารถตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมออนไลน์ได้ ประกอบกับในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นเทศกาล “วันวาเลนไทน์” หรือที่เรียกกันว่าเทศกาลแห่งความรัก ที่พี่น้องประชาชนมักจะใช้โอกาสนี้ในแสดงความรักให้กับคนรัก หรือคนที่แอบชอบ นั้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอใช้โอกาสนี้ แนะนำพี่น้องประชาชน ที่ไม่ต้องการเจ็บปวดใจจากความรักที่ไม่สมหวัง ให้หันมาแสดงความรักกับคนในครอบครัว ด้วยการสร้างภูมิคุ้มกันภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งเป็นภัยคุกคามสำคัญที่สร้างความเสียหายให้กับพี่น้องประชาชนจำนวนมาก โดย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอแนะนำ ดังนี้

1. แนะนำให้อย่าหลงเชื่อข้อความหวานหูจากบุคคลแปลกหน้าในโลกออนไลน์

2. แนะนำให้รู้ทันมิจฉาชีพออนไลน์ โดยเฉพาะ หลอกรักออนไลน์ (Romance Scam), หลอกลงทุน และแอปพลิเคชันปลอม

3. แนะนำให้มีภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์
- ไม่กดลิงก์แปลกปลอม ที่ส่งมาทาง SMS หรือโซเชียลมีเดีย
- ใช้รหัสผ่านที่ปลอดภัย และไม่ใช้รหัสผ่านเดียวกันทุกแพลตฟอร์ม
- ตั้งค่าความปลอดภัยของบัญชีออนไลน์ เช่น ยืนยันตัวตนสองชั้น

4. แนะนำให้ดูแลทรัพย์สินให้ปลอดภัย
- อย่าหลงเชื่อการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงเกินจริง
- ไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวหรือรหัส OTP กับผู้อื่น
- ตรวจสอบบัญชีธนาคารหรือธุรกรรมออนไลน์เป็นประจำ

5. ใช้เวลาอยู่กับคนในบ้านให้มากขึ้น เพื่อลดการเสี่ยงตกเป็นเหยื่อจากการแสวงหาความรักในโลกออนไลน์ และยัง สามารถแนะนำบุคคลในครอบครัว ให้ติดตั้งแอปพลิเคชัน Cyber Check ของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ที่สามารถช่วยในการตรวจสอบและป้องกันมิจฉาชีพออนไลน์ โดยใช้ฐานข้อมูลจาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีการร้องเรียนและดำเนินคดีจริง ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ทั้งบน Google Play 
และ App Store

สุดท้าย หากท่าน หรือบุคคลในครอบครัว ได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ บนเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สตูล ประชุมติดตามผลการดำเนินงานในการขับเคลื่อนแผนการพัฒนาพื้นที่ เพื่อเสริมความมั่นคงของชาติในระดับพื้นที่ในเขตทัพเรือภาคที่ 3 (พ.ศ. 2566 - 2570)

(14 ก.พ.68) ที่ห้องประชุมโต๊ะหยงกง ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดสตูล นายศักระ กปิลกาญจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล มอบหมายให้นาวาเอก แสนไทย บัวเนียม รอง ผอ.ศรชล.จว.สต. ร่วมประชุมติดตามผลการดำเนินงานในการขับเคลื่อนแผนการพัฒนาพื้นที่ เพื่อเสริมความมั่นคงของชาติในระดับพื้นที่ในเขตทัพเรือภาคที่ 3 (พ.ศ. 2566 - 2570) พร้อมด้วยคณะพัฒนาเพื่อความมั่นคงในเขตพื้นที่ทัพเรือภาคที่ 3 ปกครองจังหวัดสตูล และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม โดยมีพล.ร.ต.พงษ์มิตร ณรงค์กูล เสนาธิการ ทัพเรือภาคที่ 3 เป็นประธานในการประชุม

โดยก่อนการประชุมพล.ร.ต.พงษ์มิตร ณรงค์กูล เสนาธิการ ทัพเรือภาคที่ 3 และคณะฯ ขอเข้าเยี่ยมคำนับ นายศักระ กปิลกาญจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล เพื่อหารือข้อราชการในการเสริมสร้างความมั่นคงในระดับพื้นที่ในเขตทัพเรือภาคที่ 3 เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติในระดับพื้นที่ ตามวัตถุประสงค์ และแนวทางที่กำหนด ตลอดจนให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติ พ.ศ. 2558 และเพื่อรองรับการเสนอโครงการ เพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่เป้าหมายและภารกิจที่เกี่ยวข้อง

สำหรับการประชุมครั้งนี้จังหวัดสตูลได้นำเสนอความคืบหน้าในการดำเนินการตามนโยบายและแผนความมั่นคงที่ 17 (การเสริมสร้างความมั่นคงเชิงพื้นที่) และบรรยายสรุปแผนงาน/โครงการ ในพื้นที่เป้าหมาย ที่จังหวัดประกาศ 

เชียงใหม่-งานเลี้ยงขันโตก จักรดาว - บานเย็น เด่นงามสัมพันธ์ ครั้งที่ 34 ประจำปี 2568

เมื่อวานนี้ (13 ก.พ.68) ณ สนามหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย นายศิวะ ธมิกานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ให้เกียรติมาเป็นประธานพิธีเปิดงานประเพณีเลี้ยงขันโตก "จักรดาว - บานเย็น เด่นงามสัมพันธ์ ครั้งที่ 34 ประจำปี 2568 โดยมี พลเอก โกศล ประทุมชาติ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวต้อนรับ พร้อมด้วยผู้บัญชาการโรงเรียนเตรียมทหาร, ผู้อำนวยการโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย คณะผู้บังคับบัญชา, คณะผู้บริหาร, คณาจารย์, คณะครู, ข้าราชการ,นักเรียนเตรียมทหาร, นักเรียนยุพราชวิทยาลัย และผู้มีเกียรติร่วมงาน 

พลเอก โกศล ประทุมชาติ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวต้อนรับในงานเลี้ยงขันโตก จักรดาว - บานเย็น เด่นงามสัมพันธ์ ครั้งที่ 34 ประจำปี 2568 ในนามของผู้บริหาร คณะครู บุคลากร ผู้ปกครองนักเรียน และภาคีเครือข่ายโรงเรียน ยุพราชวิทยาลัย มีความยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสจัดงานเลี้ยงขันโตก ต้อนรับผู้บัญชาการโรงเรียนเตรียมทหาร คณะผู้บังคับบัญชา คณาจารย์ ข้าราชการและนักเรียนเตรียมทหาร ในโอกาสเดินทางมาทัศนศึกษาในเขตพื้นที่ภาคเหนือ และร่วมกิจกรรมการแข่งขันกีฬาประเพณีเตรียมทหาร - ยุพราชฯ ครั้งที่ 34 ประจำปี 2568

โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาของรัฐบาลที่จัดการศึกษาได้อย่าง มีคุณภาพเป็นอันดับหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ และยังเป็นโรงเรียนที่ได้รับการอุปถัมภ์ชุบเลี้ยง กิจการต่าง ๆ ของโรงเรียนจากพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์แห่งบรมราชจักรีวงศ์ รวมถึงเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ และเจ้านายฝ่ายเหนือ ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งโรงเรียนมาจนถึง ปัจจุบัน 

ดังนั้น ผู้บริหาร ครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียนยุพราชวิทยาลัยทุกคน จึงถูกปลูกฝังให้เป็นผู้มีความจงรักภักดี กตัญญูกตเวที่ และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ต่อพระผู้ทรงมีคุณูปการต่อโรงเรียนยุพราชวิทยาลัยมิเสื่อมคลายเฉกเช่นเดียวกับโรงเรียนเตรียมทหาร ที่ได้ปลูกฝังนักเรียนเตรียมทหารให้มีพื้นฐานความเป็นนายทหารในอนาคต ที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และพร้อมที่จะปกป้องราชบัลลังก์แห่งองค์พระมหากษัตริย์เจ้า จากอริราชศัตรู และภยันตรายทั้งปวง ที่อาจจะล่วงล้ำเข้ามาในพระราชอาณาจักร ซึ่งถือเป็นภารกิจหลักของเหล่าทหารหาญทุกเหล่าทัพ ตำรวจทุกนาย และเป็นหน้าที่ของปวงชนชาวไทยทุกคนอีกด้วย

คืนนี้จึงเป็นคืนแห่งความงดงาม เป็นคืนแห่งการรวมใจ ในท่ามกลางงานเลี้ยง ขันโตก ของคณะผู้บังคับบัญชา คณะผู้บริหาร คณาจารย์ คณะครู และนักเรียนทั้งสองสถาบันอันเป็นสถาบันการศึกษาหลักที่เพาะบ่มความรักในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และประชาชนให้แก่เยาวชนที่จะเติบโตไปเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาชาติบ้านเมืองในทางที่ถูกต้องได้อย่างยั่งยืน ต่อไปในอนาคต

นายศิวะ ธมิกานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่  กล่าวว่า งานเลี้ยง ขันโตก "จักรดาว - บานเย็น เด่นงามสัมพันธ์ ครั้งที่ 34 ประจำปี 2568 ทราบว่าจัดขึ้นเพื่อต้อนรับคณะผู้บังคับบัญชา คณาจารย์ข้าราชการ และนักเรียนจากโรงเรียนเตรียมทหาร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศในโอกาสที่ได้มาทัศนศึกษาแหล่งเรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีในเขตจังหวัดภาคเหนือ เพื่อประกอบการศึกษาตามหลักสูตร ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีการศึกษา และได้ใช้โอกาสนี้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาประเพณีเตรียมทหาร - ยุพราชฯ ซึ่งเป็นประเพณีที่ดีงามของทั้งสองสถาบัน โดยได้จัดสืบเนื่องมาอย่างยาวนานทุกปี โดยปีนี้เป็นปีที่ 34 แล้วของการจัดงาน

สัมพันธภาพที่แน่นแฟ้นมาอย่างยาวนานได้สร้างมิตรภาพอันงดงามของทั้งสองสถาบัน โดยได้ก่อให้เกิดคุณูปการที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อนักเรียนและบุคลากรของทั้งสองสถาบัน ที่จะได้มีการสานสัมพันธ์สามัคคีกีฬาประเพณีและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวิชาการ ทั้งยังเป็นโอกาสอันดี ที่คณะผู้บังคับบัญชา คณาจารย์ และนักเรียนเตรียมทหารจะได้ใช้โอกาสนี้ ทัศนศึกษาตามแหล่งเรียนรู้ท้องถิ่นและท่องเที่ยวอย่างมีความสุขใน เมืองแห่งความงดงาม มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เนื่องด้วยเชียงใหม่เคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรล้านนามาแต่โบราณ มี "คำเมือง" เป็นภาษาท้องถิ่น มีประเพณีและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่งดงามหลายแห่งอีกด้วย

ทรัมป์อ้าแขนต้อนรับรัสเซียคืนสู่ G7 รับขับออกไปคือความผิดพลาด

(14 ก.พ.68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี (13 ก.พ.) ว่า เขาอยากเห็นรัสเซียกลับเข้าร่วมกลุ่ม G7 อีกครั้ง โดยมองว่าการขับไล่รัสเซียออกจากกลุ่มในอดีตเป็น 'ความผิดพลาด'

รัสเซียเคยเป็นสมาชิกของ G8 แต่ถูกถอดออกในปี 2014 หลังการผนวกไครเมียของยูเครน ทำให้เหลือเพียง G7 ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ทรัมป์เชื่อว่ารัสเซียสมควรได้รับที่นั่งกลับคืน

"ผมยินดีมากถ้าพวกเขากลับมา" ทรัมป์กล่าวจากทำเนียบขาว "มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าจะชอบรัสเซียหรือไม่ แต่มันคือเรื่องของกลุ่ม G8 เราคุยกันเรื่องรัสเซียอยู่ตลอด ถ้าอย่างนั้นทำไมพวกเขาถึงไม่มีที่นั่งที่โต๊ะเจรจาล่ะ?"

ทรัมป์ยังเสริมว่าเขาคิดว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ก็น่าจะอยากกลับมาเช่นกัน ขณะที่แคนาดา ซึ่งเป็นประธาน G7 ปีนี้ ยังไม่ได้ออกความเห็นเกี่ยวกับแนวคิดดังกล่าวของทรัมป์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top