Thursday, 15 May 2025
NewsFeed

เปิดชีวิตแต่งงาน ‘แองจี้ เฮสติ้ง’ กับสามีเศรษฐีบ่อน้ำมันชาวคูเวต หลังอำลาวงการบันเทิงไปสวมบทบาทใหม่เป็นคุณแม่ลูก 2

(5 ก.ค. 66) อดีตนักแสดงสาว แองจี้ เฮสติ้ง ที่วันนี้จะมาเปิดชีวิตหลังอำลาวงการไปแต่งงานกับนักธุรกิจเศรษฐีบ่อน้ำมัน ชาวคูเวตกว่า 8 ปี พร้อมบทบาทใหม่เป็นคุณแม่ลูก 2 แถมเล่านาทีชีวิต รกพันคอลูก ต้องคลอดก่อนกำหนด ผ่านทางรายการคุยแซ่บ show ทางช่องวัน 31 ที่มี พีเค ปิยะวัฒน์ และบูม สุภาพร เป็นพิธีกรดำเนินรายการ

ตั้งแต่แต่งงานจนถึงตอนนี้กี่ปีแล้ว?
แองจี้ : ประมาณ 8 ปีแล้ว คือเราแต่งงานไป เราตั้งใจแล้วว่าเราลาวงการ แล้วยังไม่มีโอกาสได้กลับมาออกรายการด้วย ไปอยู่ที่นู่นด้วย โควิดด้วย คือไม่พร้อม

ก่อนแต่งคบมานานเท่าไหร่?
แองจี้ : กว่าจะได้แต่ง กว่าจะให้เขารู้ตัวว่าเราเป็นโซลเมทใช้เวลานานมาก 10 ปี บวกอีก 8 ปี เป็น 18 ปี

ย้อนไปตอนนั้นพี่ทำยังไง ให้เขารู้ว่ายูคือโซลเมทของฉันนะ ขอฉันแต่งงานได้แล้ว?
แองจี้ : ตอนนั้นคบได้ 9 ปีแล้ว ก็บอกเขาถึงเวลาแล้วนะ ยูควรจะตัดสินใจเพราะว่าในตอนนั้น เรา 35 แล้ว เราต้องตัดสินใจว่าจะไปทางไหน จะเป็นนักแสดงเต็มตัวเลย หรือว่าเป็นเวิร์คกิ้งวูแมนไปเลยไม่ต้องแต่งงานก็ได้ เลยบอกสามีว่าฉันให้เวลาอีกปีหนึ่งนะ ถ้าไม่ขอฉันแต่ง ฉันจะตัดขาด ตั้งใจที่จะทำงานต่อ แล้วเขาก็ไม่ได้พูดอะไร แต่เราก็มั่นใจว่าเขาต้องขอเราแน่ๆ

แล้วทำยังไงอยู่ๆ เขามาขอเรา?
แองจี้ : ตอนเขามาขอเรา เราคิดเลยว่าเขาต้องจัดฉากโรแมนติกนู่น นี่ นั่น แต่ตอนเขาขอแต่งงานเขาไม่ได้จัดฉากอะไรเลย เราก็ไม่รู้ตัวด้วยว่าเขามาขอ เหมือนเขาจะหลอกเราไปถ่ายรูป เขาเป็นคนชอบถ่ายรูป เขาพาไปถ่ายที่แบบเหม็นๆ ที่คูเวต เขาบอกยูมาถ่ายรูปหน่อย รอนานแล้ว ยูจะผูกรองเท้าอะไรนักหนา แล้วเขาก็ดึงแหวนออกมาจากรองเท้า แล้วหน้าเราก็แบบ โอ้โห…

ถ้าย้อนไป 8 ปีที่แล้ว MTV และละครบูมมาก อะไรที่ทำให้พี่ยุติวงการบันเทิง?
แองจี้ : ตอนที่แต่งงานกับเขาจี้ยังไม่ได้ย้ายนะ ยังถ่ายละครอยู่ ยังรับงานอยู่ประมาณปีกว่าเกือบ 2 ปี เขาบอกว่ายูแต่งงานนะ ยูเป็นภรรยาของฉันนะ ทำไมยูยังไม่ย้าย ทำไมยังถ่ายละครอยู่ เราก็ลืมไป ไม่ได้คิดว่าแต่งงานเสร็จเราต้องย้าย เราคิดว่าแต่งงานก็คือแต่งงาน

มันเป็นกฎของครอบครัวคนคูเวตหรือเปล่าต้องย้าย?
แองจี้ : คือเราแต่งงาน เราต้องอยู่ด้วยกันใช่ไหม จี้ลืมไป ไม่ได้คิดว่าเราแต่งงาน เราต้องย้าย เพราะเราอยู่แบบนี้มา10 ปี ลืมไปเลย

พอละครปิดกล้องก็ไป?
แองจี้ : ก็กลับไปเลย เขาแต่งงานกับเราเนี่ย เขาขอร้องให้เราย้ายไปอยู่กับเขา มันก็ต้องตัดสินใจย้ายไปอยู่ ก็ทำใจเราชอบการแสดงมาก พอตัดสินใจเราต้องเด็ดขาด

บางคนก็บอกว่าเราโชคดีจังเลย สามีมีฐานะ หนูตกถังข้าวสาร ตอนนั้นตัวเราเองที่รักกันมา 10 ปีกว่าจะได้แต่งงาน เรารู้สึกยังไง?
แองจี้ : ตอนที่ย้ายไปอยู่ที่คูเวต คิดเหมือนกันว่านี่คือชีวิตเราเหรอ อยู่บ้านใหญ่โต ตื่นมาสามีก็ไปทำงาน แล้วเราก็เดินแบบทำตัวไม่ถูกจริงๆ มันไม่ใช่เราไง เราเป็นคนทำงานตั้งแต่เด็ก มันชินกับลูทีนที่เราต้องตื่นไปถ่ายละครแต่เช้าแล้วกลับบ้าน ล้างหน้าแล้วกลับไปนอน เช้ามาก็ไปทำงานเหมือนเดิม คือมันเปลี่ยนไปเยอะเลย เราไม่รู้จะทำอะไรกับตัวเองพอไปอยู่ประเทศที่ไม่เหมือนบ้านเรา ไปอยู่ประเทศที่มีแต่ทะเลทราย ไม่มีเพื่อน ไม่มีญาติ ไม่มีพ่อ แม่

จริงไหมที่สามีคุณคือเศรษฐีบ่อน้ำมัน?
แองจี้ : ทำงานน้ำมัน แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของบ่อน้ำมัน

ไปอยู่วันแรกเจ้าหญิงเลย?
แองจี้ : ลงมาก็มีคนดูแล ที่บ้านเขาจะเรียกเรามาดาม จี้มีพนักงานประมาณ 14-15 คน ที่บ้านอยู่กันมีแองจี้ สามี พ่อสามี ทั้งหมด 3 คน

แล้วมีพนักงาน 14 คน?
แองจี้ : ก็มีกุ๊ก มีคนละชั้นกัน บ้าน 4 ชั้นครึ่ง

อาทิตย์หนึ่งหรือเป็นเดือนกว่าจะปรับตัวได้?
แองจี้ : ก็นาน เดินไปเดินมา ตายแล้วสามีจะให้เราทำผมทุกวันเลยเหรอ ทำเล็บทุกวันเลยเหรอ มันไม่ใช่เราแล้ว เราต้องหาอะไรทำ แต่เราก็ไม่รู้ไง ภาษาเราก็ไม่ได้ อะไรที่ถนัดก็คือความสวยความงาม ก็เลยหาธุรกิจที่ไม่เหมือนคนอื่นแล้วทำ นั่นคือนำเข้าแบรนด์จากเกาหลีมาขายที่คูเวต และเป็นเจ้าแรก ตอนนั้นไม่มีตลาด มันยังใหม่ เมื่อ 5 ปีที่แล้วเขายังไม่รู้เลยว่าเกาหลีคืออะไร

ตอนแรกยากไหม?
แองจี้ : ยาก แต่ก็ไม่เท่าไหร่ เพราะจี้มีพาสเนอร์เป็นอินฟูที่ดังมากอยู่แล้ว เขาช่วยสื่อสารภาษาให้กับฟอลโลเวอร์ว่ามันเป็นของเกาหลี ราคาก็ได้ ราคาก็ดีเทียบกับลัคชูรีแบรนด์

แล้วสามีที่เขาคาดหวังให้เราทำเล็บทุกวัน ทำผมทุกวัน?
แองจี้ : ก็อธิบาย สามีบอกเธอไม่อยากเป็นมาดามเหรอ เธอแปลกมากเลยนะคนอื่นเขาอยากเป็นมาดาม ไม่ต้องทำอะไร แต่เราเป็นคนทำงานตั้งแต่เด็ก

แล้วอย่างนี้ขัดใจสามีไหม?
แองจี้ : เขาคงงงๆ จริงๆ ที่นู่นเขาไม่อยากให้ผู้หญิงทำงาน เราก็อธิบายแล้วเขาก็เข้าใจแหละว่าเราอยู่อย่างนั้นไม่ได้เราต้องทำงาน เพราะถ้าอยู่อย่างนั้นเราเครียดนะ ไม่มีเพื่อน ไม่มีใครเลย ไม่มีสังคม จะอยู่บ้านกับสามี เราก็อยากออกไปทำงาน มีรายได้นิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดี แต่ตอนนั้นยังไม่มีลูก

แล้วอะไรที่ตัดสินใจว่าคุณสามีเราต้องมีลูก?
แองจี้ : เราก็นอนกระดิกเท้ากัน นี่พ่อ แม่ ฉันมาพูดแล้วนะว่าเมื่อไหร่จะมีลูกสักที อยู่ด้วยกันมา 2-3 ปีแล้วนะแล้ว ทำไมยังไม่มีทายาทสักคน ยูก็แฮปปี้ ไอก็แฮปปี้ ทำไมต้องมีลูกด้วย เขาพูดมาว่าเนี่ย เขาขอร้อง

ฝั่งครอบครัวเขาอยากได้ เราก็เปลี่ยนใจตามเขา แต่การขอร้องไม่ธรรมดา เขามาเป็นแพ็คเกจโรงพยาบาล?
แองจี้ : ใช่ เขานัดหมอให้เรียบร้อยเลย แล้วเขาก็พาแองจี้ไปด้วย ให้ไปตรวจร่างกาย ไปตรวจเลือดทุกอย่าง

ฝากไข่มีไหม?
แองจี้ : ใช่ เขาเร่งไง เขาบอกว่าไม่ต้องธรรมชาติแล้ว จี้ทำ IVF 9 รอบ ใน 2 ปี ถามว่าเจ็บไหม ไม่นะ แต่มันเป็นการเดินทางที่เหงา โดดเดี่ยว ฮอร์โมนเราปรับขึ้นๆ ลงๆ บางวันเราร้องไห้ไม่อยากทำ มันทำให้เราปั่นป่วน คือหมอที่เราทำ ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นผู้หญิงคุณต้องมีลูกแล้ว หมดหนทางแล้ว มันทำให้เราคิดว่าตายแล้ว เราแก่เหรอ มันทำให้เราเศร้านะ หมอจะพูดเลยว่าสุดทางแล้วนะ แก่แล้วนะ รีบๆ แล้วจี้ก็กลับมาทำหมอที่เมืองไทยด้วย

พอติดก็พาน้องไปคลอดที่อังกฤษ?
แองจี้ : จี้รู้สึกว่ามันปลอดภัยกว่า แล้วเราเป็นลูกครึ่งอังกฤษ อยากไปคลอดโรงพยาบาลที่เราคุ้นเคย แล้วอยากพาครอบครัวเราไปอยู่กับเราด้วย จี้ไม่อยากให้พ่อ แม่จี้มาอยู่ที่คูเวต

แล้วฝั่งสามีไปอังกฤษไหม?
แองจี้ : เขาไม่ได้ไปค่ะ เพราะว่าเขาทำงานหนัก เขามีงานที่ต้องทำไปไม่ได้ ดีแล้วสำหรับจี้ จี้อยากอยู่กับคุณพ่อ คุณแม่

จริงไหมที่ท้องได้ 7 เดือน คนนี้ต้องรีบออก?
แองจี้ : ใช่ ถ้าเราเดินทาง มันจะมีระยะเวลาที่เราเดินทางบนเครื่องบินได้ ถ้าเลย 7 เดือนเขาจะไม่ให้ขึ้นเครื่อง แต่จี้ก็เลยมาแล้ว เลยบอกเขาว่าท้อง 5 เดือน

พอไปน้องคลอดตอน 7 เดือนมันมีภาวะยังไง?
แองจี้ : มันจะมีกำหนดผ่า เพราะถ้าเราเลย 40 แล้วเขาจะไม่ให้เราคลอดธรรมชาติ เขาให้เรากำหนดวันเลยว่าจะผ่าวันไหน ประมาณ 35 วีค ตกเลือด ตกใจเหมือนกัน เลยบอกแม่เลือดออกมาเยอะมากเลย ทำยังไงดี เราตกใจ ช็อก คุณแม่บอกว่าเราต้องรีบไปหาหมอ เขาบอกว่าลูกไปโดนสายสะดือ แล้วมันทับสะดือแล้วมันก็ขาด เลยรีบผ่าด่วน

ตอนนั้นหมอได้บอกไหม มีภาวะอันตรายอะไร?
แองจี้ : เราเสียเลือดเยอะ เราอาจจะช็อก ตัวเด็กเนี่ยก็ขาดออกซิเจน เพราะหัวใจเขาก็เริ่มช้าลง เขาเลยรีบผ่าออก

พอทราบข่าวเราจะคลอด คุณสามีว่ายังไงบ้าง?
แองจี้ : ตอนนั้นจี้ไม่ได้พูด เพราะจี้อยู่ในห้อง ให้คุณแม่กับน้องสาวคุยกับสามี เขาก็คงตกใจและตื่นเต้นแหละ แต่พูดไม่ออก

บินตามมาเลยไหม?
แองจี้ : เขาก็บินตามมาภายใน 2 วัน เพราะที่คูเวตถ้าเราจะบิน เราต้องทำวีซ่าก่อน ไม่ใช่ว่าจะไปขอแล้วได้เลย ต้องทำออนไลน์

พอมีน้องแล้วอยู่ที่อังกฤษแป๊บนึงแล้วค่อยบินกลับไปที่คูเวต คุณพ่อสามีว่ายังไงบ้าง?
แองจี้ : หลานคนแรกที่เป็นผู้ชาย แล้วเป็นทายาทของทางครอบครัวคนแรกด้วย

คนนี้มาด้วยวิทยาศาสตร์ แต่คนที่ 2 ธรรมชาติล้วนๆ?
แองจี้ : ใช่ ช่วงโควิดมั้ง เขามาเอง เพราะว่าผู้หญิงไม่ควรจะเครียด อารมณ์ดี นอนหลับเพียงพอ กินดีอยู่ดี ร่างกายมันจะสมบูรณ์

แต่พอมีลูกแล้วอาการซึมเศร้าหนักกว่า?
แองจี้ : เพราะว่าเรากลัวไปหมด กลัวว่าลูกจะเป็นอะไรหรือเปล่า เราเลี้ยงดีหรือเปล่า เราให้นมได้หรือเปล่า มีนมหรือเปล่า มันหลายๆ อย่าง มันก็เครียด หนักก็คือทั้งบ้านเป็นโควิดหมดเลย 14 คน รวมสามีด้วย ช่วงสามีเป็น เป็นโควิดสายพันธุ์แรกที่แรง เขาโดนไปอยู่โรงพยาบาลเลยเป็นหลายอาทิตย์

ตอนนั้นก็หนักเหมือนกัน มีภาวะยังไงบ้าง?
แองจี้ : มันชา ไม่มีความรู้สึก เหมือนเรารักเขานะ แต่เหมือนเราไม่เต็มที่ เรานอนน้อยด้วย แล้วอะไรหลายๆ อย่างทำให้เราชาไปหมดเลย ไม่มีความรู้สึก

6 เดือน เอาครูมาสอนลูกแล้ว?
แองจี้ : ใช่ สอนการสื่อสาร การดูรูปภาพ การฟัง แล้วก็ให้ไปเรียนว่ายน้ำด้วย จี้ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้เป็นซุปเปอร์มัมและไม่คิดที่จะเป็นซุปเปอร์มัม และไม่คิดว่าแม่บ้านหรือแด๊ดดี๊ต้องมาสอนลูก ก็เลยเอาครูมาสอน เพราะเรารู้สึกว่าเราเป็นแม่ที่ไม่ดีพอ แล้วการเรียนตั้งแต่ 6 เดือนช่วยนะ เขาพูดเก่งมาก

ทำไมถึงกลัวลูกคนที่ 2 เป็นผู้หญิง?
แองจี้ : จี้รู้สึกว่าที่คูเวตยังไม่พร้อมสำหรับเพศหญิง คือจะไม่เท่าเทียมกัน จี้รู้สึกว่าผู้หญิงน่าจะเลี้ยงยากกว่าผู้ชาย

คำว่าไม่เท่าเทียมคืออะไร หมายถึงสิทธิเหรอ?
แองจี้ : ถูกต้องค่ะ ผู้ชายจะได้มากกว่าผู้หญิง มันยังไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งพอหมอบอกว่าเป็นผู้ชายก็โล่งอก อย่าลืมนะที่คูเวตผู้ชายสามารถมีเมียได้ 4 คน แต่สามีมีคนเดียว แต่เขาก็จะขู่เหมือนกัน มีได้นะ 4 คน เราก็ขู่กลับ ขออนุญาตก่อนไหม

อยากมีลูกต่ออีกคนไหม?
แองจี้ : ไม่ค่ะ พอแล้ว แต่จี้ฝากไข่ สามารถที่จะมีเมื่อไหร่ก็ได้ แต่สามีบอกว่า 2 คนโอเคแล้ว พอแล้ว

‘พี่เต้’ ชำแหละ ‘รธน.ฉบับคณะก้าวหน้า’ ก๊อปปี้ญี่ปุ่นร่างโดยมะกัน เน้นชงให้ ‘ลด-ยกเลิก-ตัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์’

เมื่อไม่นานนี้ ผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่ง ชื่อ ‘wakeupthailand’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอของ ‘นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์’ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ที่ออกมาพูดถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญของคณะก้าวหน้า โดยในคลิประบุว่า…

“ผมได้มาแล้วครับ ต้นฉบับการแก้ไขรัฐธรรมนูญของคณะก้าวหน้า โดยมอบหมายให้พรรคก้าวไกลเป็นคนดําเนินการในการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้คล้ายๆ ประเทศญี่ปุ่น คือเอารัฐธรรมนูญฉบับที่สหรัฐอเมริกาให้ประเทศญี่ปุ่นไปทํา มาให้เราใช้ เป็นการลอกแบบรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นมาให้รัฐบาลไทยทํานั่นเองครับ”

“รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี 2560 หมวดที่ 2 พระมหากษัตริย์ ในมาตรา 6 คือ “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดมิได้” อันนี้คือมาตรา 6 ของเก่านะครับ ส่วนในฉบับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดมาตรา 2 ก็คือเขาให้ยกเลิกนะครับ ยกเลิกหมวดพระมหากษัตริย์ทั้งหมดเลย ยกเลิกตั้งแต่มาตรา 6 ถึง 24 แล้วเขียนมาตราใหม่

ในมาตราเก่าคือ “พระมหากษัตริย์ทรงดํารงไว้เป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ กล่าวหาฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ทางใดมิได้” จะขอแก้ไขเป็น “พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศ ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของปวงชนชาวไทยและทรงเป็นกลางทางการเมือง”

อันนี้คือลอกแบบรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นมาเลย แต่รัฐธรรมนูญญี่ปุ่นร่างโดยสหรัฐอเมริกานะครับ และอย่าลืมว่าญี่ปุ่นเขาตกเป็นเมืองขึ้นของอเมริกานะครับ มาตรา 8 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ใช้อยู่ตอนนี้คือ “พระมหากษัตริย์ทรงดํารงตําแหน่งจอมทัพไทย” ในรัฐธรรมนูญของฉบับนายปิยบุตรนั้นไม่ได้เขียนไว้ อ่านดีๆ นะครับ ทุกท่านสามารถเข้าไปดาวน์โหลดเอกสารฉบับนี้ได้ที่เพจเฟซบุ๊กของคณะก้าวหน้า หรือสามารถไปดาวน์โหลดได้ที่เฟซบุ๊กส่วนตัวของนายปิยบุตรนะครับ”

“ส่วนมาตรา 7 ในหมวดของการปฏิรูปพระมหากษัตริย์ ในส่วนของฉบับอาจารย์ปิยบุตร ฉบับคณะก้าวหน้า ฉบับก้าวไกล ทั้งหมดคืออันเดียวกัน ซึ่งเขาได้ระบุไว้ว่า “การกระทําของพระมหากษัตริย์ทั้งปวง ที่เกี่ยวกับกิจการของรัฐฯ ต้องได้รับคําแนะนําและความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรี รัฐมนตรีแล้วแต่กรณี” นั่นหมายความว่า ในรัฐธรรมนูญฉบับของปิยบุตร คณะก้าวหน้านั้น บอกว่า “พระมหากษัตริย์ ต้องฟังคําสั่ง สส. ต้องฟังคําสั่งรัฐมนตรี ต้องฟังคําสั่งคณะรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรี”

นั่นหมายความว่า รัฐธรรมนูญของฉบับญี่ปุ่น ลอกแบบมาทั้งหมดเลยนะครับ ยกเลิกมาตรา 6 ถึงมาตรา 24 คือหมายความว่า ยกเลิกมาตรา 11 ถึงมาตรา 14 ไปเลย กล่าวคือในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของคณะก้าวหน้านี้ จะไม่มีองคมนตรีแล้ว ยกเลิกองคมนตรีไปทั้งหมดเลยนะครับ และในวรรคสองของมาตรา 7 ของฉบับนายปิยบุตรนั้น คือ ‘ตัดพระราชอํานาจ’ ที่พระมหากษัตริย์ไทย เคยใช้ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 คือการใช้อํานาจผ่านนิติบัญญัติบริหารตุลาการ ตั้งแต่ 2475 จนถึง 2539 แต่พอ 2540, 2550 และ 2560 นั้น พระมหากษัตริย์ทรงใช้อํานาจผ่านนิติบัญญัติบริหารตุลาการ และองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญนะครับ เพราะฉะนั้น ฉบับของนายปิยบุตรจะตัดอํานาจในส่วนนั้นทั้งหมดเลยนะครับ”

“ส่วนอีกอันนึง ซึ่งเราไม่เคยมีในรัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 2475 คือก่อนเข้ารับหน้าที่ พระมหากษัตริย์ต้องปฏิญาณตนในสภาผู้แทนราษฎร คือต้องทําเหมือนกับองค์จักรพรรดิญี่ปุ่นนะครับ ซึ่งองค์จักรพรรดิญี่ปุ่นถูกสหรัฐอเมริกายึดอํานาจไปหมดแล้ว คนละแบบกันกับประเทศไทยนะครับ แต่คนกลุ่มนี้ ไปเรียนเมืองนอกมา พอไปเรียนเมืองเมืองนอก โดยเฉพาะประเทศฝรั่งเศส นิสัยก็จะเหมือนกับพวกจอมพล ป.พิบูลสงคราม, พระยาพหลพลพยุหเสนา, พระยาฤทธิอัคเนย์ หรือนายปรีดี พนมยงค์กันหมดเลย ก็เลยจะเอารัฐธรรมนูญฉบับญี่ปุ่นนี้มาเป็นต้นแบบเพื่อใช้ในประเทศไทยนะครับ”

“ต้องทำความเข้าใจก่อนนะครับว่า พระมหากษัตริย์ของประเทศไทยนั้น ไม่เหมือนกับพระมหากษัตริย์ของประเทศอื่นๆ ประเทศของเรายังไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นใครเลย ถ้าเราไม่มีล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 แล้วเราจะเหลือแผ่นดินไหม ถ้าเราไม่มีรัชกาลที่ 5 เราคงปกครองด้วยระบอบสาธารณรัฐ เป็นคอมมิวนิสต์ไปแล้วนะครับ เราคงไม่ได้มีประเทศไทยที่เข้มแข็งเหมือนในปัจจุบันนี้”

“พรรคการเมืองแบบพรรคก้าวไกล คือเขาเกิดมาเพื่ออะไร? เพื่ออเมริกาหรือเปล่า? เกิดมาเพื่อดําเนินการตามนโยบายของอเมริกาที่เคยทํากับญี่ปุ่นหรือไม่? การแก้ไขหมวด 1 หมวด 2 และหมวด 15 จะกระทําได้ตามรัฐธรรมนูญนั้น ต้องผ่านการประชามติของประชาชน 65 ล้านคนก่อนนะครับ เพราะว่ามีหลายเรื่องที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงหมดแบบไม่มีชิ้นดีเลยนะครับ”

‘เปิ้ล ไอริณ’ แชร์ประสบการณ์เที่ยวคนเดียวมาแล้ว 43 ประเทศ แต่ไม่มีที่ไหนมีเสรีภาพเท่าไทย ขอทุกคนจงภูมิใจในแผ่นดินเกิด

เมื่อไม่นานนี้ ‘เปิ้ล ไอริณ’ นักแสดง นักร้อง และพิธีกรชาวไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Irin Sriklao (เปิ้ล ไอริณ)’ ขณะกำลังพักผ่อนอยู่ที่หาดทรายแก้ว อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยเธอได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ ‘ว่าด้วยเรื่อง ‘เสรีภาพ’ ที่กำลังเรียกร้อง’ ระบุว่า…

ว่าด้วยเรื่อง ‘เสรีภาพ’ ที่กำลังเรียกร้อง 😁

เราเคยสงสัยว่า ทำไมเราถึงมีจิตวิญญาณรักการท่องเที่ยว รักการเดินทางเป็นชีวิตจิตใจ จนแบกเป้ไปคนเดียว เที่ยวมาแล้ว 43 ประเทศ!!

มาวันนี้ตกผลึกได้ว่า จักรวาลคงอยากให้เราไปสัมผัส ไปให้เห็นกับตา แล้วกลับมา บอกเล่าให้ทุกๆ คนฟัง!!

จากประสบการณ์ที่ได้พบ เราพูดได้เต็มปาก แบบไม่ลำเอียงเลย ว่า ประเทศไทยเรา ช่าง ‘มีเสรีภาพมากที่สุด’ ทั้งในเรื่องการใช้ชีวิต การท่องเที่ยว และการทำมาหาเลี้ยงชีพ ประเทศเรา จะตั้งโต๊ะหน้าบ้าน ขายหมูปิ้ง ขายก๋วยเตี๋ยว ขายโจ๊ก ปลาท๋องโก๋ (ปาท่องโก๋) จะตกปลา หาผักริมทาง จะปั่นรถขายกาแฟ รถขายไก่ย่างส้มตำ ตลาดนัด ถนนคนเดินไม่ต้องพูดถึง ไปทะเล ของอร่อยๆ ขายกันตามฟุตบาธ ตามริมหาดมีของแบกขาย จะนั่งริมหาดไหนนั่ง จอดรถริมหาดตรงไหนก็ได้ แต่ที่ต่างประเทศ คุณทำไม่ได้ค่ะ!! แล้วทะเลไทยสวยจริง น้ำทะเลบ้านเรา ก็ไม่หนาวเย็นเหมือนแถบยุโรป!

นี่เรายังไม่เคยไปประเทศไหน ใจดีอนุญาตให้พาหมา ไปพายเรือ ว่ายน้ำเล่น ในกองฐานทัพเรือได้เลย!! แถมน้ำใสกริ๊ง คาเฟ่ในไทยก็มีเยอะ น่านั่งจนต่างชาติทึ่ง!!

จงรักประเทศไทยเรากันเถอะค่ะ ขวานทองของไทยนี้ มีดี มีเสน่ห์ มีเสรีภาพมากมาย ชนชาติที่ว่าเจริญแล้ว ครั้งหนึ่งในชีวิต ยังขอบินข้ามซีกโลกมาชื่นชมบ้านเราเลย เพราะ นอกจากมีธรรมชาติงดงาม มาละคุ้มค่าเงิน ที่พักถูก ค่าอาหารเบาๆ ที่มีรสชาติขึ้นชื่อ ไทยเรายังมีความปลอดภัยแบบสุดๆ และมีเสน่ห์จากรอยยิ้ม และมิตรภาพของผู้คนอีกด้วย

เราเอง เคยคิดอยากย้ายประเทศ แต่กะจะขอเที่ยวทุกจังหวัดก่อน สุดท้ายโดนตก ไม่ไปไหนละ 😁

อ่านแล้ว ขอให้รัก และภาคภูมิใจในแผ่นดินเกิดของพวกเรา และมองให้เห็นเสรีภาพ ที่เราอาจคุ้นชิน จนลืมให้ค่า และลองหันมาเห็นค่าให้มากๆ ขึ้นนะคะ

บอกเลย!! คุณโชคดีที่สุดแล้ว ที่ได้เกิดเป็นคนไทย 🥰💕🇹🇭

ทั้งนี้ หลังเปิ้ล ไอริณโพสต์ข้อความดังกล่าวออกไป ได้มีผู้เข้ามาแสดงความเห็นชื่นชมและให้กำลังใจเปิ้ล ไอริณเป็นจำนวนมาก โดยหลายคนระบุว่า “รักเมืองไทยที่สุด”

‘ลูกเสือมะกัน-อังกฤษ’ ขอถอนตัวงานชุมนุมลูกเสือโลกที่เกาหลีใต้ เหตุอากาศร้อนทะลุ 38 องศา ทำผู้ร่วมงานล้มป่วยหลายร้อยราย!!

เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 66 สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า องค์การลูกเสือของสหรัฐและอังกฤษได้ขอถอนตัวออกจากการร่วมงานชุมนุมลูกเสือโลก ครั้งที่ 25 ที่จัดขึ้นที่จังหวัดชอลลาเหนือ ประเทศเกาหลีใต้แล้ว เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวหนัก

อย่างไรก็ดี ผู้แทนจากประเทศอื่นๆ ที่เข้าร่วมและเกาหลีใต้ ในฐานะเจ้าภาพ ตัดสินใจที่จะเดินหน้างานชุมนุมต่อไป จากรายงานของสำนักข่าวยอนฮัป สื่อแดนกิมจิ โดยนายฮัน ด๊อค-ซู นายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้ ยังกล่าวย้ำในพันธกิจของเกาหลีใต้ที่จะจัดหาความสนับสนุนอย่างเพียงพอแก่การจัดงานครั้งนี้

เจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐเปิดเผยว่า คณะลูกเสืออเมริกันจะเดินทางไปยังค่ายฮัมฟรีย์ส กองทหารรักษาการณ์ของกองทัพสหรัฐฯ ในจังหวัดพยองแท็กของเกาหลีใต้ต่อไป

ด้านคณะลูกเสือจากอังกฤษ ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่มีสมาชิกราว 4,000 คน แถลงเมื่อคืนวันศุกร์ (4 ส.ค.) ว่า พวกเขาตัดสินใจถอนตัวออกไปเพื่อบรรเทาแรงกดดันในสถานที่ดังกล่าว โดยทางคณะลูกเสืออังกฤษจะนำกลุ่มเยาวชนหนุ่มสาวและอาสาสมัครผู้ใหญ่ออกจากงานชุมนุมลูกเสือโลกไปยังกรุงโซลภายใน 2 วันข้างหน้า

การถอนตัวออกจากงานชุมนุมลูกเสือโลกกลางคันครั้งนี้มีขึ้นหลังจากมีผู้เข้าร่วมงานล้มป่วยหลายร้อยคน เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด โดยสัปดาห์นี้ทางการเกาหลีใต้ได้ออกคำเตือนสภาพอากาศร้อนสูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี ขณะที่อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วประเทศเกาหลีใต้ที่วัดได้ในวันศุกร์ที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา อยู่ระหว่าง 35-38 องศาเซลเซียส

สำหรับงานชุมนุมลูกเสือโลกที่จัดขึ้นที่จังหวัดชอลลาเหนือของเกาหลีใต้ครั้งนี้ มีผู้เดินทางมาร่วมงานจากทั่วโลกมากถึงราว 43,000 คน

‘จตุพร’ หยัน!! ‘เพื่อไทย’ หมดสภาพและไม่เชื่อ ‘ทักษิณ’ จะกลับไทย  ชี้!! พรรคอันดับ 3 ผงาด!! แต่นายกฯ อาจมาจากพรรคอันดับ 4

‘จตุพร’ สงสาร ‘ทักษิณ’ เลื่อนกลับไทย ถามเป็นอะไรหรือเปล่า ฉะตรรกะ “เราไม่ได้ข้ามไปหา แต่เขาข้ามมาเอง” สะท้อน ‘เพื่อไทย’ หมดสภาพ อยู่ในช่วงตกต่ำสุดขีด สูญสิ้นอำนาจต่อรอง ถูกไล่ต้อนให้เป็น ‘พรรคสมุน’ ของพรรคอันดับ 3 คาด นายกฯ อาจมาจากพรรคอันดับ 4

(6 ส.ค. 66) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “ดูท่า… ว่าจะ?” เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 66 ระบุว่า…

นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หนีคดีอยู่ต่างประเทศ ไม่ควรประกาศซ้ำสองกรณีเลื่อนกลับไทยอีก 2 สัปดาห์ เพราะฟังดูยิ่งน่าเห็นใจ เป็นห่วง ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ดังนั้นให้คิดปล่อยจิตว่าง ทำตามที่สบายใจ จะกลับมาวันไหนก็ติดคุกอยู่ดี

นายจตุพร กล่าวว่า การไม่กลับไทยตามเวลานัด 10 ส.ค. ของนายทักษิณ เป็นไปตามที่ตนประเมินไว้ทุกประการ อีกทั้งได้แนะเหตุผลให้อ้างป่วยก็ตรง และยังทำตาม ส่วนการเลื่อนกลับไทยไปอีก 2 สัปดาห์ ยังต้องฟังหูไว้หู เพราะแม้มนุษย์เราไม่มีใครอยากผิดคำพูด แต่แสดงถึงใจยังไม่ปล่อยวางกับการตัดสินใจมาติดคุกโดยดุษฎี จึงได้แต่ฟังคำพูดคนอื่น ทั้งที่ทางปฏิบัติแล้วไม่เคยมีอยู่จริงที่ไม่ต้องติดคุก ความจริงคนระดับอดีตนายกฯแล้ว นายทักษิณไม่จำเป็นต้องประกาศกลับบ้านเป็นครั้งที่สอง เพราะขาดความน่าเชื่อถือ เมื่อประกาศครั้งเดียวก็ให้มาเลย อย่างไรก็ตามขอให้ตัดใจปล่อยวางการติดคุกให้ได้ ตนเสนอให้เอาตามสบายใจ จะมาวันไหนก็มา แต่ต้องติดคุกอยู่ดี

นายจตุพร กล่าวว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ที่นายทักษิณระบุจะกลับไทยในวันใดวันหนึ่งนั้น โดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 10-24 ส.ค. ซึ่งเป็นช่วงการเจรจาลับตั้งรัฐบาลอย่างเข้มข้น และต้องยกมือไหว้ สว.ในทางแจ้งเพื่อให้ช่วยตั้งรัฐบาลข้ามขั้วอีก จึงเป็นสถานการณ์ที่ชุลมุนในทางการเมืองอย่างหนัก รวมทั้งคาดว่าสถานการณ์จริงทางการเมืองไทยจะเริ่มในวันที่ 16 ส.ค. ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญนัดสั่งคำร้องข้อบังคับการประชุมรัฐสภาขัดรัฐธรรมนูญ (รธน.) หรือไม่ ดังนั้นวันที่ 17 ส.ค.จะโหวตนายกฯ เมื่อได้นายกฯ จะมีเวลาตั้งรัฐบาลอีกเพียง 7 วัน และนายทักษิณจะกลับไทยตามคำประกาศครั้งสอง จึงเป็นไปไม่ได้เพราะกระชั้นชิดมาก และคงต้องเลื่อนอีกครั้งค่อนข้างแน่นอน

“ขอแนะนำอีกว่าหลังจากตรวจร่างกายตามแพทย์บอกแล้ว หมอต้องสั่งห้ามเดินทางเด็ดขาด อีกทั้งระยะเวลาทางการเมืองและการตั้งรัฐบาลยังไม่สอดคล้องกัน จึงเป็นไปไม่ได้จะกลับมาช่วงนั้น เพราะเป็นช่วงชุลมุนตามข้อตกลงตั้งรัฐบาล แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ การโหวตนายกฯ นายเศรษฐา ทวีสิน คงไม่ได้เป็นนายกฯ”

นายจตุพร กล่าวถึง ‘นายภูมิธรรม เวชยชัย’ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ว่า เคยยืนกรานว่านายทักษิณกลับไทยตามวันเวลาเดิม แล้วเมื่อเลื่อนกลับ จะมีการทวงหาคำพูดจากนายภูมิธรรมบ้างหรือไม่ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญในช่วงนี้คำพูดทางการเมืองแสดงถึงการพูดไม่จริงระหว่างกันทั้งสิ้น โดยหลายคนอธิบายเหตุผลนายทักษิณกลับไทยต้องเชื่อว่าเป็นจริง เพราะ ‘อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร’ ลูกสาว เป็นคนประกาศด้วยตัวเอง ดังนั้น นายทักษิณ คงไม่ยอมทำให้ลูกเสียหายได้ ซึ่งเป็นวิธีคิดที่ผิดที่สุด

“ถ้าลูกรู้ว่า พ่อเข้ามาแล้วติดคุก จะมีลูกคนไหนบอกพ่อให้กลับมาเพื่อช่วยรักษาหน้าตาของลูก ซึ่งในโลกความจริงไม่มีลูกคนไหนยอมให้พ่อมาติดคุกหรอก เพราะพ่อติดคุกเท่ากับครอบครัวต้องติดคุกไปด้วย ดังนั้น สัญชาตญาณของลูกที่รักพ่อ ย่อมทนเห็นพ่อติดคุกไม่ได้”

นายจตุพร ระบุว่า ตนไม่เข้าใจนายทักษิณ พูดเลื่อนกลับไทยอีกทำไม ถ้าไม่ติดใจอะไรแล้ว จะกลับก็มาเลย แต่การประกาศแบบปลายเปิดลักษณะนี้มันน่าสงสารว่า เป็นอะไรมากหรือเปล่า เพราะช่วงเวลาทางการเมืองนั้นมันเป็นเรื่องยากที่สุด ควรต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งเสีย เนื่องจากการขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะรายเป็นเรื่องยากมาก

นายจตุพร กล่าวถึงการตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ว่า จากนี้ไปอำนาจต่อรองของเพื่อไทยได้สูญหายไปตามลำดับ และประชาชนที่สนับสนุนจะหดหายไป คงเหลืออีกไม่สักเท่าไร นอกจากนี้แกนนำบางคนให้เหตุผลการตั้งรัฐบาลข้ามขั้วว่า เราไม่ได้ข้ามขั้ว แต่เขาข้ามมาหาเราเอง แสดงถึงการจนปัญญา หมดหนทางอธิบาย เพราะแถมาทุกทิศทางแล้ว จนสีข้างถลอกหมดจึงไม่รู้จะอธิบายอย่างไร

นายจตุพร ประเมินว่า หากเพื่อไทยตั้งรัฐบาลไม่ได้ คงเกิดจากเงื่อนไขไม่มีพรรคสองลุงมาร่วมด้วย ดังนั้น การโหวตนายกฯ ก็จะถูกคว่ำทันที อีกรณีหนึ่งคือ เพื่อไทยอาจไม่ส่งแคนดิเดตนายกฯ ให้สภาฯ โหวต แล้วมอบให้พรรคอันดับ 3 เป็นผู้รวบรวมเสียงตั้งรัฐบาลและเสนอแคนดิเดตนายกฯ ให้สภาโหวตเห็นชอบ

“การให้พรรคอันดับ 3 มาจัดตั้งรัฐบาล เพื่อไทยจะกลายเป็นพรรคถูกชวนเข้าร่วมด้วย แต่พรรคที่ 3 อาจส่งมอบนายกฯ ให้พรรคอันดับ 4 ก็ได้ ซึ่งพร้อมรออยู่ ดังนั้นไม่ว่าอธิบายมุมใดที่เพื่อไทยถูกเชิญมาร่วมรัฐบาลนั้น ก็จะกลายเป็นเพียงพรรคสมุนของพรรคอันดับสามและสี่ไปทันที”

นายจตุพร กล่าวถึงกรณีนายเศรษฐา ถูกตรวจสอบกรณีเลี่ยงภาษีที่ดิน ว่า เมื่อการกล่าวหามีน้ำหนักทางการเมือง โดยเน้นการตรวจสอบคุณสมบัติทางจริยธรรมของบุคคลจะเข้ามามีตำแหน่งทางการเมืองต้องมีความสุจริตเป็นที่ประจักษ์ ดังนั้นในกรณีนายเศรษฐา จึงเสี่ยงกับตำแหน่งนายกฯ เพราะมีแต่เสียกับเสีย และพร้อมเกิดแรงเหวี่ยงกระทบกับชีวตในอนาคตด้วย

“เผลอๆ ไม่กี่วันนี้ คุณเศรษฐา อาจคิดโยนผ้าไม่เป็นนายกฯ หรือจะมีคนอื่นจัดการไม่ส่งก็ได้ เพราะกรณีตรวจสอบจริยธรรมการเลี่ยงภาษีที่ดินจะส่งผลกระทบในวงกว้างมาก ดังนั้นถัดจากนี้ไป คุณเศรษฐา คงต้องกำหนดท่าทีและจุดยืนทางการเมืองว่า จะเอาอย่างไร”

นายจตุพร เชื่อว่า การโหวตนายกฯอาจต้องขยายเวลาออกไปอีก แต่จะออกแบบกันอย่างไรก็จะนำพาสู่วิกฤตใหญ่ เพราะการอธิบายอะไรก็ตามทำให้ผิดเป็นถูก ย่อมเป็นตรรกะที่ยากมากที่สุด เช่น การอธิบายว่า ไม่ได้ข้ามไปหาเขา แต่เขาข้ามมาหาเอง ซึ่งเป็นตรรกะที่วิบัติอย่างยิ่ง การใช้ตรรกะ “เขามาเอง” มาอธิบายการข้ามขั้วนั้น ไม่แตกต่างจากคำพูดหาเสียงประกาศแก้ ม.112 แต่เมื่อจะตั้งรัฐบาลก็บอกไม่แก้แล้ว ม.112 แล้วเหลือแยกทางจากก้าวไกล คิดจะไปตั้งรัฐบาลแบบหมูๆ แต่กลับไม่ง่ายตามหวังหลังจากแยกทางก้าวไกล เพราะอำนาจต่อรองเปลี่ยนไป การเจรจาตกเป็นรองพรรคอื่น และที่สำคัญทำให้ประชาชนเสียไปด้วย

“ดังนั้น อะไรก็ตามที่ท้าทายความรู้สึกคน เอาการร่วมเป็นร่วมตายมาละเลงเล่นดูเสมือนประชาชนไม่มีความรู้สึก คิดว่าทำอะไรก็ได้ จึงเป็นการคิดผิดอย่างมาก อีกทั้งเกิดภาพยกมือไหว้ สว.กลางห้องประชุมสภา เพื่อขอปิดสวิตช์ตัวเอง เป็นการกระทำที่ผิดวิสัย ซึ่งไม่น่าได้เห็น แต่ก็เห็นจนได้ จึงเป็นพฤติกรรมแบบหมดสภาพของพรรคอันดับสอง” นายจตุพร กล่าว

‘ตร.ไซเบอร์’ เตือนภัย!! เพจโรงแรม-ร้านอาหารปลอมระบาดหนัก หลอกเหยื่อโอนเงินค่าจองโต๊ะอาหาร เสียหายกว่า 140 ล้านบาท

(6 ก.ค. 66) พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษกศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (บช.สอท.) กล่าวว่า ได้รับรายงานว่าจากการตรวจสอบในระบบศูนย์บริหารการรับแจ้งความออนไลน์ พบผู้เสียหายหลายรายถูกมิจฉาชีพหลอกลวงให้โอนเงินค่าสำรองโต๊ะอาหาร สำรองบุฟเฟต์ (Buffet) ผ่านเพจ facebook ของโรงแรม และร้านอาหารที่มีชื่อเสียงปลอม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวันสำคัญต่างๆ จะมีการหลอกลวงจัดโปรโมชันราคาพิเศษ หรือหากมาหลายท่านทานฟรี 1 ท่าน เป็นต้น

ซึ่งมิจฉาชีพยังคงใช้แผนประทุษกรรมเดิมๆ คือ สร้างเพจ facebook โรงแรม หรือร้านอาหารปลอมขึ้นมา หรือใช้เพจ facebook เดิมที่มีผู้ติดตามจำนวนมากอยู่แล้ว ตั้งชื่อหรือเปลี่ยนชื่อบัญชีเพจให้เหมือนกับเพจจริงทุกตัวอักษร หรือใกล้เคียงกัน คัดลอกภาพโปรไฟล์ ภาพหน้าปก เนื้อหา และโปรโมชันต่างๆ จากเพจจริงมาใช้เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ รวมถึงการใช้เทคนิคในการซื้อ หรือยิงโฆษณาเพื่อเข้าถึงเป้าหมายที่ค้นหาร้านอาหารให้พบเพจปลอมเป็นอันดับแรกๆ หากไม่ทันสังเกตให้ดีก็จะตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ หากผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินไปแล้ว ก็จะไม่สามารถติดต่อเพจนั้นได้แต่อย่างใด

ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา นับตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.66 – 31 ก.ค.66 การหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ ยังคงมีประชาชนตกเป็นเหยื่อสูงเป็นลำดับที่ 1 มีจำนวนกว่า 7,714 เรื่อง หรือคิดเป็น 49.09% ของเรื่องที่มีการรับแจ้งความออนไลน์เดือน ก.ค. 66 และมีมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 140 ล้านบาท

บช.สอท. โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้เร่งรัดขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมออนไลน์ในทุกรูปแบบ รวมถึงการสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงขายสินค้าหรือบริการ

โฆษก บช.สอท. กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปัจจุบันการซื้อสินค้าหรือบริการต่างๆ ผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ ควรระมัดระวัง ตรวจสอบให้ดีเสียก่อน เพราะอาจจะเป็นช่องทางที่ถูกมิจฉาชีพปลอมขึ้นมาเพื่อหลอกลวงเอาทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งที่ผ่านมามิจฉาชีพก็ได้ปลอมเพจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐหลอกลวงเอาข้อมูลส่วนบุคคล หน่วยงานเอกชนหลอกลวงชักชวนให้ลงทุน ที่พักหลอกลวงให้สำรองค่าที่พัก ร้านค้าหลอกลวงขายสินค้าออนไลน์ เป็นต้น

เพราะฉะนั้น เราจะต้องรู้เท่าทันกลโกงของมิจฉาชีพเหล่านี้ ไม่หลงเชื่อเพียงเพราะมีชื่อเพจ เหมือนหรือคล้ายเพจจริง หรือเพียงเพราะพบเจอผ่านการค้นหาในเว็บไซต์ทั่วไป หรือพบเจอในกลุ่มเฟซบุ๊กต่างๆ หรือถูกส่งต่อกันมาตามสื่อสังคมออนไลน์เท่านั้น

จึงขอฝากประชาสัมพันธ์ถึงวิธีการป้องกันการถูกหลอกลวงในลักษณะดังกล่าว 9 ข้อ ดังนี้

1.) โรงแรม หรือร้านอาหารส่วนใหญ่ไม่มีนโยบายโอนเงินไปยังบัญชีส่วนตัว หรือบัญชีบุคคลธรรมดา บัญชีธนาคารที่รับโอนเงินควรเป็นบัญชีชื่อโรงแรม หรือร้านอาหาร หรือบัญชีบริษัทเท่านั้น

2.) ควรสำรองโต๊ะอาหารผ่านช่องทางที่เป็นทางการ หรือผ่านผู้ให้บริการออนไลน์ที่น่าเชื่อถือ

3.) หากต้องการที่จะเข้าสู่เพจ facebook ใดให้พิมพ์ชื่อด้วยตนเอง และตรวจสอบให้ดีว่ามีชื่อซ้ำ หรือชื่อคล้ายกันหรือไม่

4.) เพจจริงจะต้องมีเครื่องหมายถูกสีฟ้ายืนยันตัวตน หากไม่มีเครื่องหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นเพจปลอม ต้องตรวจสอบอย่างละเอียด รวมถึงไปถึงไลน์ทางการต้องเครื่องหมายโล่สีฟ้า หรือสีเขียวเช่นเดียวกัน (Verified Account)

5.) เพจจริงจะมีส่วนร่วมในการโพสต์เนื้อหา รูปภาพ หรือกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อ

6.) เพจปลอมมักจะมีผู้ติดตามน้อยกว่าเพจจริง และมักจะเพิ่งสร้างขึ้นได้ไม่นาน

7.) ระมัดระวังการประกาศโฆษณาโปรโมชันต่างๆ

8.) ตรวจสอบความโปร่งใสของเพจว่ามีการเปลี่ยนชื่อมาก่อนหรือไม่ สร้างมาเมื่อใด ผู้จัดการเพจอยู่ในประเทศใด

9.) ขอเบอร์โทรศัพท์เพื่อติดต่อไปยังโรงแรม หรือร้านอาหารก่อนทำการโอนเงิน ว่าเพจดังกล่าวถูกต้องหรือไม่ หมายเลขบัญชีถูกต้องหรือไม่ หรือมีการปลอมแปลงเพจหรือไม่

เปิดศูนย์ไกล่เกลี่ยมีนบุรี  กระบวนการยุติธรรมทางเลือก ช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งภาคประชาชน

วันที่ 5 สิงหาคม ที่หมู่บ้านพนาสนธิ์ การ์เด้นโฮม 4 เขตมีนบุรี กรุงเทพฯอาจารย์ประกายรัตน์ ต้นธีรวงศ์ ประธานมูลนิธิสถาบันศึกษาและพัฒนาการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี (ส.พ.ส.) เป็นประธานร่วมกับคุณรัตนาภรณ์ ปานรัตน์ ประธานศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน(นิมิตรใหม่)แขวงมีนบุรี ทำพิธีเปิดศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน(นิมิตรใหม่)

โดยช่วงเช้าได้มีพิธีการสงฆ์ ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ จากนั้นทำพิธีเปิดศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน ของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ พร้อมทั้งลงนาม MOU ร่วมกับมูลนิธิสถาบันศึกษาและ พัฒนาการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี (ส.พ.ส.) 

ทั้งนี้ อาจารย์ประกายรัตน์ ต้นธีรวงศ์ ได้บรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับพรบ.การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทพศ.2562 ให้กับกรรมการศูนย์ไกล่เกลี่ย และผู้เข้าร่วมงาน รวมทั้ง ส.ส.วิชาญ มีชัยนันท์ ได้รับฟัง

คุณรัตนาภรณ์ ปานรัตน์ กล่าวว่า สาเหตุที่นำบ้านมาใช้เป็นศูนย์ไกล่เกลี่ย เพราะเราไม่ใช่หน่วยราชการที่ทำกันทั่วๆไป เพราะบ้านสามารถรับเรื่องได้ตลอด 24 ชม. โดยไม่ปิดกั้นใครที่กำลังเดือดร้อน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้ 

ด้านอาจารย์ประกายรัตน์ ต้นธีรวงศ์ เปิดเผยว่า มูลนิธิสถาบันศึกษาและ พัฒนาการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี (ส.พ.ส.) ก่อตั้งขึ้น 10 กว่าปีแล้ว มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งส่งเสริมช่วยเหลือให้การแก้ไขความขัดแย้งด้วยแนวทางการไกล่เกลี่ย ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศชาติ และสังคมไทย เพื่อเกิดความสงบสุขสมานฉันท์ 

การที่มูลนิธิฯได้มาเซ็น MOU ครั้งนี้ มุ่งเห็นว่าศูนย์ไกล่เกลี่ยภาคประชาชนเป็นหน่วยงานภาคเอกชน ที่เกิดจากผู้มีจิตอาสา น่าจะเข้าถึงประชาชน ที่มีปัญหาข้อพิพาท สามารถหาข้อยุติความขัดแย้ง ทางมูลนิธิฯจึงอยากสนับสนุนองค์ความรู้และเทคนิคด้านต่างๆ ให้กับผู้ที่จะมาทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยให้มีศักยภาพยิ่งขึ้น ทั้งนี้มูลนิธิฯยังจัดอบรมให้ความรู้การไกล่เกลี่ยร่วมกับกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ให้หน่วยงานรัฐ และสถานศึกษา ไปหลายรุ่น

การแก้ปัญหาข้อพิพาท โดยที่ไม่มุ่งไปที่ศาลอย่างเดียว หันมาใช้กระบวนการยุติธรรมทางเลือก สามารถลดความขัดแย้งกับความเห็นต่างลงได้ 

‘เป๊ก-อ๊อฟ-ไอซ์’ เตรียมจัดคอนเสิร์ตใหญ่สุดในรอบ 15 ปี แฟนคลับกาปฏิทินรอพบความสนุกแบบเกินต้าน!!

กาปฏิทินรอ!! ‘GMM SHOW’ ร่วมกับ ‘ATIME SHOWBIZ’ เตรียมเสิร์ฟปรากฏการณ์ความสนุกแบบเกินต้าน จัดคอนเสิร์ตใหญ่สุดพิเศษในรอบ 15 ปี ของ ‘เป๊ก – อ๊อฟ – ไอซ์’ กับ ‘The Concert Application Presents Peck Aof Ice InFriendnity Concert’

หลังห่างหายไปนานกว่า 15 ปี ในที่สุด 3 ศิลปินมากความสามารถและมีเอกลักษณ์ของเสียงร้องอย่าง ‘เป๊ก-ผลิตโชค อายนบุตร’, ‘อ๊อฟ-ปองศักดิ์ รัตนพงษ์’ และ ‘ไอซ์-ศรัณยู วินัยพานิช’ เจ้าของเพลงฮิตที่แฟนเพลงยังคงคิดถึง ไม่ว่าจะเป็น แค่คนโทรผิด, น่ารัก น่า Love, เรื่องไม่ดีไม่จำ และอีกหลายเพลงฮิตที่ยังคงเปิดฟังและนำมาร้องกันอยู่ในทุกวันนี้

ล่าสุด ‘เป๊ก-อ๊อฟ- ไอซ์’ พร้อมแล้วที่จะส่งคอนเสิร์ตใหญ่เต็มรูปแบบในรอบ 15 ปี กับคอนเสิร์ต ‘The Concert Application Presents Peck Aof Ice InFriendnity Concert’ - Friend สนิท Fin สนั่น (เดอะคอนเสิร์ต แอปพลิเคชั่น พรีเซนต์ เป๊ก อ๊อฟ ไอซ์ อินเฟรนด์นิตี้ คอนเสิร์ต) ในวันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน และวันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน 2566 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน งานนี้มาพร้อมโชว์สุดพิเศษ และโปรดักชั่น แสง สี เสียง สเตจ จัดเต็มกว่าที่เคย การันตีความสนุกสุดประทับใจแบบครบทุกโมเมนต์ โดย 2 ผู้จัดมืออาชีพอย่าง ‘ATIME SHOWBIZ’ (เอไทม์โชว์บิส) และ ‘GMM SHOW’ (จีเอ็มเอ็มโชว์)

โดย ‘เป๊ก-ผลิตโชค’ เผยถึงคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งนี้ว่า “รู้สึกดีใจมาก ๆ ที่ได้กลับมาทำงานร่วมกับเพื่อน ๆ ทั้ง 2 คน และจะได้เจอกับแฟน ๆ อีกครั้งครับ สำหรับคอนเสิร์ตครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นคอนเสิร์ตใหญ่เต็มรูปแบบครั้งที่ 2 ของเราทั้ง 3 คน และถ้าใครจำบรรยากาศความสนุกของคอนเสิร์ตเมื่อ 15 ปีที่แล้วได้ อยากบอกว่าทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นในคอนเสิร์ตรียูเนี่ยนครั้งนี้ทุกคนจะเต็มอิ่มทุกโมเมนต์ ได้ดูกันแบบครบทุกอารมณ์ ฉะนั้น 2 กันยายนนี้ อย่าลืมกดซื้อบัตร แล้วมาเจอและสนุกไปด้วยกันนะครับ”

‘อ๊อฟ-ปองศักดิ์’ กล่าวเสริมว่า “ดีใจนะที่ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งในรอบ 15 ปี มันเป็นความพิเศษมาก ๆ ครับ ในระหว่าง 15 ปี แต่ละคนมีเส้นทางเดินของตัวเอง พอวันนี้ได้มีโอกาสกลับมาทำงานร่วมกันมันยิ่งทำให้มีความอยากจะขึ้นโชว์ แล้วได้มาร้องเพลงที่หลายคนยังคงคิดถึงอยู่ สำหรับคอนเสิร์ตที่จะเกิดขึ้นนี้ ทั้งความสนุก ความประทับใจ ทุกอย่างจะบียอน หรือคูณ 3 อย่างแน่นอน บอกตามตรงว่าตื่นเต้นมาก ๆ ครับ พวกเราต้องทำให้ดีที่สุด อยากให้ทุกคนซื้อบัตรไม่อยากให้พลาดคอนเสิร์ตครั้งนี้เพราะไม่รู้จะมีครั้งหน้าเมื่อไหร่ที่เราจะได้มารวมตัวกันอย่างนี้ครับ”

และ ‘ไอซ์-ศรัณยู’ กล่าวปิดท้ายว่า “ดีใจมาก ๆ ครับ ที่มีแฟน ๆ รอคอยการกลับมารวมตัวกันอีกครั้งของพวกเรา และคอนเสิร์ตของพวกเราทั้ง 3 คนในครั้งนี้ จะเป็นคอนเสิร์ตที่ได้รวมเอาประสบการณ์ทั้งหมดใน 15 ปีที่ผ่านมา มาเขย่ารวมกัน เพื่อทำให้แฟน ๆ ของพวกเราได้สนุกมากกว่าที่เคย รับรองว่าทุกเพลงที่เราเอามาเล่น ทุกคนร้องและเต้นตามได้แน่นอน อยากจะขอบคุณทุกคนที่สนับสนุนพวกเรามาโดยตลอด คอนเสิร์ตครั้งนี้พวกเรา และทีมผู้จัด ตั้งใจกันมาก ๆ ไม่อยากให้พลาดนะครับ”

สำหรับคอนเสิร์ตครั้งนี้ ‘เป๊ก-อ๊อฟ-ไอซ์’ มีความตั้งใจที่จะสร้างโมเมนท์สุดพิเศษแบบครบทุกอารมณ์ ทั้งสุข สนุก สุดซึ้ง เพื่อมอบความประทับใจให้กับแฟน ๆ ที่มาดูคอนเสิร์ต จึงอยากจะขอเชิญชวนทุกคนมาสนุกแบบเฟรนด์สนิท และมาฟินกันให้สนั่น ใน ‘The Concert Application Presents Peck Aof Ice InFriendnity Concert’ - Friend สนิท Fin สนั่น (เดอะคอนเสิร์ต แอปพลิเคชั่น พรีเซนต์ เป๊ก อ๊อฟ ไอซ์ อินเฟรนด์นิตี้ คอนเสิร์ต) ในวันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน และวันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน 2566 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน เปิดจำหน่ายบัตรวันที่ 2 กันยายน 2566 ที่ The Concert Application หรือ www.theconcert.com บัตรราคา 5,500 / 4,500 / 4,000 / 3,500 / 3,000 / 2,500 / 2,000 / 1,500 บาท สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ FB: Atimeshowbiz และ FB: GMM SHOW รวมทั้งช่องทางอื่น ๆ ได้ที่ TIKTOK: @gmmshow, IG: @gmmshow

‘บิ๊กตู่’ หนุน ศึกษาสร้างฐานปล่อยยานอวกาศในไทย หวังพัฒนาเทคโนโลยีอย่างยั่งยืนแข่งกับนานาประเทศ

(6 ส.ค. 66) สำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เร่งขับเคลื่อนนโยบายอวกาศของรัฐบาลให้เป็นรูปธรรม เพื่อพัฒนาและใช้ประโยชน์จากกิจการอวกาศ เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยได้สนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเป็นไปได้ ในการสร้างจัดตั้งท่าอวกาศยานในประเทศไทย คือ ฐานสำหรับการส่งและรับยานอวกาศ (spaceport) เนื่องจากหากประเทศไทยมีท่าอวกาศยานของเราเอง จะก่อให้เกิดความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีอวกาศ ทั้งยังเกิดการสร้างรายได้ทางตรงจากอุตสาหกรรมอวกาศ

ซึ่งอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ หรือ ‘Aerospace Industry’ ถูกกำหนดให้เป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ และถือเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ส่งผลไปถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ จึงเป็นฟันเฟืองที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ

สำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ เน้นย้ำให้ศึกษารายละเอียดรอบด้าน อย่างรอบคอบและระมัดระวังที่สุด ทั้งความคุ้มค่าและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอื่น ทั้งนี้ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ได้เริ่มศึกษาความเป็นไปได้ตั้งแต่ปลายปี 2565 ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาศึกษาอีกประมาณ 1-2 ปี โดยเบื้องต้นพบว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่มีความเหมาะสมถึง 5 คุณสมบัติ ได้แก่

1.) การอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร มีผลต่อการนำส่งอวกาศยานที่จะช่วยลดการสิ้นเปลืองของพลังงาน
2.) มีทะเลขนาบ 2 ฝั่งซ้าย-ขวา มีมุมปล่อยอวกาศยานได้หลากหลายแบบ
3.) มีแนวชายฝั่งที่เป็นคาบสมุทร สามารถกำหนดจุดหรือ Drop Zone ที่ไม่กระทบกับพื้นที่บนฝั่ง และยังสามารถออกเก็บกู้วัตถุที่ตกลงมาได้ง่าย
4.) มีระบบโลจิสติกส์ที่เข้าถึงง่าย หลายหลาย มีระบบท่าเรือน้ำลึกและท่าอากาศยาน
5.) ไม่มีภัยพิบัติรุนแรง ซึ่งทำให้ไทยมีโอกาสและแนวโน้มที่จะเกิดโครงการนี้ได้จริง

สำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า หากท่าอวกาศยานในประเทศไทย จัดตั้งได้สำเร็จจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางอวกาศขนาดใหญ่ นอกจากจะยกระดับวิทยาศาสตร์อวกาศ เทคโนโลยีอวกาสแล้ว ยังส่งเสริมและผลักดัน ธุรกิจอวกาศ อุตสาหกรรมอวกาศ ยกระดับเศรษฐกิจและสังคมและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ อุตสาหกรรมการผลิตอุตสาหกรรมพลังงาน อุตสาหกรรมปิโตรเคมี อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เป็นต้น เกิดอาชีพใหม่เพิ่มขึ้นอีกกว่า300-400 อาชีพ อาทิ ช่างประกอบจรวด ช่างประกอบเพย์โหลด ช่างขัดท่อจรวด ช่างอิเล็กทรอนิกส์ระบบจรวด ช่างไฟฟ้าระบบจรวด เจ้าหน้าที่ตรวจสอบการนำเข้าจรวด พนักงานขายตั๋วเที่ยวบินไปอวกาศฯลฯ ซึ่งยังไม่เคยมีเกิดขึ้นในประเทศไทย ถือเป็นวิสัยทัศน์ที่ล้ำสมัย นำไปสู่ความการยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน และยังทำให้ประเทศไทย เป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจอวกาศแห่งภูมิภาคเอชีย-แปซิฟิกได้

สำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ ริเริ่มวางรากฐานพัฒนาด้านอวกาศไทยมาโดยตลอด เช่น ผลักดันให้มี ร่างกฎหมายอวกาศหรือพระราชบัญญัติกิจการอวกาศ พ.ศ. .... และผลักดันให้เกิดแผนแม่บทอวกาศแห่งชาติ พ.ศ.2566 - 2580 (National Space Master Plan 2023 - 2037) ขึ้นเพื่อพัฒนาและใช้ประโยชน์จากกิจการอวกาศเพื่อความมั่งคั่ง มั่นคง ยั่งยืน ของประเทศไทย ให้แข่งขันกับนานาประเทศได้

‘ปิยบุตร’ ชื่นมื่น ฉลองครบรอบแต่งงาน 7 ปีกับภรรยาชาวฝรั่งเศส ชาวเน็ตอวยแซะ!! ขอให้รักสดใส มีลูกชายหญิงเหมือน ‘เพนกวิน-รุ้ง’

(6 ส.ค. 66) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า อดีตผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ได้ทวีตข้อความในทวิตเตอร์ส่วนตัวชื่อ ‘Piyabutr Saengkanokkul’ พร้อมแนบรูปที่ถ่ายคู่กับภรรยาชาวฝรั่งเศส ระบุข้อความว่า…

“ครบรอบ 7 ปีแต่งงาน 🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡”

ภายหลังจากทวีตข้อความไปแล้ว ก็มีผู้ติดตามเข้ามาแสดงความคิดเห็นและอวยพรมากมาย เช่น 

- น่ารักค่อดๆ อะค้าบ
- Happy Anniversary! ครับ
- มีความสุขตลอดไปนะคะอาจารย์
- อาจารย์ป๊อกมีความสุขมากๆ ค่า🧡🙏🏻🎉 happy anniversary 🍾

นอกจากนี้ ก็ยังมีผู้ใช้ทวิตเตอร์ที่มีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างกันเข้ามาแสดงความคิดเห็นด้วยเช่นกัน เช่น

- ขอให้ได้ไปอยู่ฝรั่งเศสเมืองในฝันโดยเร็วครับ
- ขอให้มีลูกที่น่ารักเหมือนน้องหยกนะบองป๊อก ✨✨✨✨✨🥰
- มีลูกให้เหมือนนังหยกเด็กนรก ที่ทุกวันนี้พวกคุณเข้าไปล้างสมองจนกู่ไม่กลับ ขออวยพรให้ ดั่งที่เราให้พร
- ขออวยพร ใครที่ทำร้ายชาติ สถาบันพระมหากษัตริย์ ขอให้ได้รับแต่ความฉิบหาย 7 ชั่วโคตร...นะฉิบหาย โมตายโหง พุทเข้าโลง ธาดับสูญ ยะสลายกลายเป็นดิน...

- ขอให้ภรรยาคุณเหมือนคุณเจี๊ยบ อมรรัตน์ ขอให้ถ้ามีบุตรและธิดาขอให้มีนิสัยแบบแพนกวินกะหยก และสุดท้ายขอให้คุณปิยบุตรสมหวังได้ไปที่ชอบ ที่ชอบ สาธุ

- ขออวยพรให้คู่ของอาจารย์ ซื่อสัตย์ต่อกันเหมือนคุณเอกซื่อสัตย์ต่อภรรยา ขอให้ภรรยาของอาจารย์ใจกว้างต่อบริวารเหมือนคุณเจี๊ยบปฏิบัติต่อสารถี ขอให้มีบุตรชายหญิงที่มีพยาธิสภาพน่ารักเหมือนน้องกวิ้น-น้องรุ้งและมีกิริยาน่าเอ็นดูเหมือนน้องหยก มีวาจาคมคายเหมือนคุณไอซ์ค่ะ 🤗🤗🤗


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top